ยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของประเทศจีนกับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานทดแทนได้กลายเป็นแนวทางสำคัญที่หลายประเทศทั่วโลกเลือกใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและก้าวเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตามพลังงานหมุนเวียนจุดอ่อนเรื่องความไม่แน่นอนและความไม่สม่ำเสมอในการผลิต ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ด้วยเหตุนี้แบตเตอรี่จึงมีบทบาทสำคัญในฐานะ “ผู้ร่วมทาง” ที่สำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบพลังงานสะอาด ทั้งความสามารถด้านการเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ระบบไฟฟ้า ด้วยการกักเก็บพลังงานส่วนเกินจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนในช่วงที่มีการผลิตสูงและจ่ายกลับเข้าสู่ระบบเมื่อความต้องการเพิ่มขึ้น อีกทั้งในภาคการขนส่งที่แบตเตอรี่เป็นหัวใจสำคัญสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีบทบาทในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดีแม้แบตเตอรี่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานแต่ยังมีข้อกังวลหลายประการที่ต้องพัฒนาทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถรองรับการเติบโตของพลังงานหมุนเวียนและยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างยั่งยืน และนำพาโลกไปสู่อนาคตที่ปราศจากมลพิษได้อย่างแท้จริง
วัฏจักรชีวิตของแบตเตอรี่ที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
แม้แบตเตอรี่จะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้า แต่ตลอดวงจรชีวิตของแบตเตอรี่ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ก็มีความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ดังนี้
1. การสกัดแร่ (Raw Material Extraction)
การได้มาซึ่งวัตถุดิบสำคัญ เช่น ลิเธียม โคบอลต์ และนิกเกิล มักมาพร้อมกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการรุกล้ำถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ การปนเปื้อนโลหะหนักในดินและน้ำ รวมถึงการใช้น้ำในปริมาณมากในกระบวนการสกัด ซึ่งส่งผลต่อระบบนิเวศในระยะยาว
2. การผลิตแบตเตอรี่ (Battery Manufacturing)
กระบวนการแปรรูปแร่ต้องใช้พลังงานสูง โดยเฉพาะในประเทศที่ยังใช้ไฟฟ้าจากถ่านหิน ส่งผลให้การผลิตแบตเตอรี่มีคาร์บอนฟุตพริ้นต์สูง นอกจากนี้ยังมีการใช้สารเคมีอันตราย เช่น อิเล็กโทรไลต์อินทรีย์และโซลเวนต์ ซึ่งหากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม อาจกระทบต่อคุณภาพอากาศและสุขภาพของแรงงาน
3. การใช้งานแบตเตอรี่ (Battery Use)
แม้การใช้งานแบตเตอรี่จะไม่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรง แต่ก็ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของพลังงานไฟฟ้าที่ชาร์จเข้าไป หากไฟฟ้ามาจากพลังงานฟอสซิล ก็ยังคงมีการปล่อยคาร์บอนทางอ้อม อีกทั้งเมื่อสิ้นสุดการใช้งาน หากไม่มีระบบจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพ ก็อาจเกิดการรั่วไหลของสารเคมีอันตรายสู่สิ่งแวดล้อม
4. การกำจัดและการรีไซเคิล (End-of-Life & Recycling)
แบตเตอรี่หมดอายุถือเป็นขยะอันตราย การกำจัดด้วยวิธีฝังกลบต้องอาศัยระบบป้องกันการปนเปื้อนอย่างรัดกุม บางกรณีมีการส่งออกไปยังประเทศกำลังพัฒนาเพื่อรีไซเคิลต้องแลกมากับความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมหากขาดมาตรฐานที่เข้มงวด ดังนั้นการรีไซเคิลแบตเตอรี่ถือเป็นแนวทางที่มีศักยภาพสูงในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับการผลิตแบตเตอรี่ใหม่จากวัตถุดิบดั้งเดิม อย่างไรก็ตามการนำระบบรีไซเคิลไปใช้ในทางปฏิบัติยังคงเผชิญข้อจำกัดทั้งด้านต้นทุนที่สูง เทคโนโลยีที่พัฒนาอยู่ในระยะเริ่มต้น และโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดเก็บและคัดแยกที่ยังไม่ทั่วถึง ด้วยเหตุนี้การรีไซเคิลแบตเตอรี่จึงควรพัฒนาไปควบคู่กันเพื่อให้สามารถบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมความยั่งยืนของห่วงโซ่อุตสาหกรรม แม้ว่าหลายประเทศทั่วโลกจะเริ่มให้ความสำคัญกับการจัดการแบตเตอรี่หมดอายุและการพัฒนาระบบรีไซเคิลอย่างจริงจัง แต่ระดับความพร้อมในการดำเนินงานยังแตกต่างกันไป เช่น ความพร้อมด้านศักยภาพของอุตสาหกรรม ปริมาณแบตเตอรี่ที่หมดอายุ ความต้องการวัตถุดิบสำคัญภายในประเทศ ตลอดจนกรอบกฎหมายและระบบการกำกับดูแลที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา เป็นต้น
นโยบายและกลยุทธ์ของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของประเทศจีนเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
ประเทศจีนถือเป็นผู้เล่นหลักที่น่าสนใจ ด้วยจุดแข็งทั้งในด้านแหล่งวัตถุดิบภายในประเทศ โครงสร้างพื้นฐานการผลิตแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ อุปสงค์จากตลาด EV ภายในประเทศ และการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งรัฐบาลจีนยังมีบทบาทเชิงรุกในการกำหนดนโยบาย กฎระเบียบ และมาตรฐานการจัดการแบตเตอรี่และการรีไซเคิลอย่างชัดเจนจึงเอื้อต่อการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนได้อย่างเป็นระบบ โดยภายใต้เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมุ่งสู่ความเป็น กลางทางคาร์บอนภายในปี 2060 ประเทศจีนให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดอย่างจริงจัง โดยเฉพาะบทบาทของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (LIB) ที่มีความสำคัญทั้งในระบบพลังงานหมุนเวียนและยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จีนจึงได้พัฒนาแนวทางทั้งในเชิงนโยบาย กฎหมาย และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อทำให้ระบบการผลิต การใช้งาน และการจัดการแบตเตอรี่เป็นไปอย่างยั่งยืนพร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศไปด้วย
1. กฎหมายและมาตรการกำกับวางกรอบการจัดการแบตเตอรี่ตลอดวงจรชีวิต เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการรั่วไหลของของเสียอันตรายจากแบตเตอรี่และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยจีนเริ่มจากการกำหนดนโยบายและกฎเกณฑ์ที่ควบคุมแบตเตอรี่ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง เช่น
• หลักการ EPR (Extended Producer Responsibility) หรือความรับผิดชอบของผู้ผลิต ที่กำหนดให้ผู้ผลิตแบตเตอรี่ต้องรับผิดชอบต่อสินค้าของตนเองแม้จะสิ้นสุดการใช้งานแล้ว เช่น ต้องจัดระบบรับคืนและรีไซเคิลแบตเตอรี่
• การออกมาตรฐานระดับประเทศ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย คุณภาพ การติดตามแบตเตอรี่ และรองรับ การนำกลับมาใช้ซ้ำหรือรีไซเคิล
• ระบบ “บัญชีรายชื่อขาว” (White List) ที่ระบุชื่อผู้ผลิตหรือบริษัทรีไซเคิลที่ผ่านเกณฑ์คุณภาพเท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจ
2. การส่งเสริมการผลิต การใช้งาน และการส่งออกแบตเตอรี่ เพื่อต่อยอดอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ให้แข่งขันได้ในระดับโลก โดยใช้มาตรการจูงใจและสนับสนุนหลายด้าน เช่น
• สนับสนุนเงินทุนและภาษี แก่บริษัทที่ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีใหม่หรือใช้ทรัพยากรในประเทศเพื่อลด การนำเข้า
• ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (R&D) โดยเฉพาะแบตเตอรี่รุ่นใหม่ เช่น solid-state และ sodium-ion เป็นต้น เพื่อลดการพึ่งพาแร่หายากและพัฒนาการเพิ่มประสิทธิภาพของแบตเตอรี่
• ขยายตลาดส่งออก ตามยุทธศาสตร์ “การหมุนเวียนคู่ขนาน” (Dual Circulation) ที่เน้นทั้งตลาดภายในประเทศและการขยายอิทธิพลไปยังต่างประเทศผ่านการตั้งโรงงานแบตเตอรี่ในต่างประเทศ
3. การจัดการแบตเตอรี่หมดอายุ ด้วยการใช้ซ้ำและการรีไซเคิล เมื่อแบตเตอรี่หมดอายุการใช้งาน การจัดการหลังการใช้งานจึงมีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งจีนให้ความสำคัญกับแนวทาง “ใช้ซ้ำก่อนรีไซเคิล” ซึ่งแนวทางนี้ไม่เพียงลดปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยให้จีนสามารถนำแร่กลับมาใช้ใหม่ ลดการนำเข้า และสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศ เช่น
• การใช้งานแบบ “Second-life” คือ การนำแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพจากรถ EV มาใช้งานต่อในระบบกักเก็บพลังงาน เช่น สถานีไฟฟ้าหรือโซลาร์เซลล์ เพื่อลดของเสียและเพิ่มอายุการใช้งาน
• การรีไซเคิลแบตเตอรี่ โดยรัฐกำหนดอัตราการกู้คืนแร่ (recovery rate) ขั้นต่ำ เช่น ลิเธียมต้องกู้คืนได้ 90% โคบอลต์และนิกเกิลต้องได้ 98% รวมถึง ตั้งเป้าหมายรีไซเคิลแบตเตอรี่ให้ได้กว่า 6 ล้านตันภายในปี 2030
• สร้างระบบรองรับการรีไซเคิล เช่น จุดรับคืนแบตเตอรี่ (drop-off points), ระบบติดตามผ่าน QR code และความร่วมมือกับภาคเอกชน
4. กลไกสนับสนุนเชิงโครงสร้างและการควบคุมคุณภาพ เพื่อให้การรีไซเคิลมีประสิทธิภาพ จีนยังดำเนินการในหลายด้านเพิ่มเติม เช่น
• พัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพจากภายนอก (Third-party audit) เพื่อให้แน่ใจว่ากระบวนการจัดการแบตเตอรี่เป็นไปตามมาตรฐาน
• ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมแบตเตอรี่แบบครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบ การใช้ การใช้ซ้ำ จนถึงการรีไซเคิล เพื่อใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าและหมุนเวียนได้อย่างต่อเนื่อง
จีนถือเป็นตัวอย่างสำคัญของการปรับตัวของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ให้สอดรับกับเป้าหมายด้านพลังงานสะอาด ผ่านการวางกรอบนโยบายที่ชัดเจน การกำกับดูแลเชิงระบบ และการส่งเสริมเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เป็นเพียง การวางกลยุทธ์เพื่อรองรับการใช้งานภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้นำด้านการผลิต ส่งออก และรีไซเคิลแบตเตอรี่ ในระดับโลกอีกด้วย
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของโลกที่เดินหน้าอย่างรวดเร็ว บทบาทของเทคโนโลยีแบตเตอรี่เปรียบเสมือนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่จำเป็นสำหรับรองรับระบบพลังงานในอนาคต ซึ่งประเทศที่สามารถวางตำแหน่ง ในห่วงโซ่ได้อย่างชัดเจนย่อมมีโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากร เทคโนโลยี และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกมากกว่า ดังนั้นในบริบทของประเทศไทยควรวางตำแหน่งในห่วงโซ่อุตสาหกรรมแบตเตอรี่อย่างไรเพื่อให้สามารถปรับตัวและเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมแห่งอนาคตนี้อย่างมีคุณค่าและเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานได้อย่างยั่งยืน
แหล่งอ้างอิง
(2) https://www.mdpi.com/2071-1050/17/7/3045