Hydrogen Policy Pathway: ขับเคลื่อนพลังงานไทยสู่อนาคต
โลกในศตวรรษที่ 21 กำลังเผชิญกับวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกที่เพิ่มสูงขึ้น สภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดถี่ขึ้น ภัยธรรมชาติที่รุนแรงกว่าเดิม รวมไปถึงปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนสะท้อนผลกระทบจากการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน สำหรับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาดังกล่าว ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเร่งเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการ “การเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition)” โดยมีเป้าหมายคือการลดการใช้พลังงานฟอสซิล และเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดหรือพลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น เพื่อสร้างระบบพลังงานที่มีความยั่งยืน มั่นคง และปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม
ในกระบวนการเปลี่ยนผ่านนี้ การแสวงหาพลังงานทางเลือกที่สามารถตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และการใช้งานในระดับอุตสาหกรรมจึงเป็นความท้าทายสำคัญ หนึ่งในพลังงานที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระดับโลก คือ พลังงานไฮโดรเจน ซึ่งมีจุดเด่นที่สามารถผลิตได้จากแหล่งพลังงานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นก๊าซธรรมชาติ ชีวมวล หรือพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ผ่านกระบวนการแยกน้ำด้วยไฟฟ้า (Electrolysis) หากผลิตโดยใช้พลังงานหมุนเวียน ไฮโดรเจนที่ได้จะไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิต นอกจากนี้ ไฮโดรเจนยังสามารถนำไปใช้ในภาคพลังงานได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้เป็นเชื้อเพลิงในยานยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell EV) การผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้า และการใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมหนัก เช่น เหล็กและปิโตรเคมี เป็นต้น ด้วยศักยภาพที่สามารถเป็นพลังงานทางเลือกที่สะอาด ยืดหยุ่น และรองรับการใช้งานในหลายภาคส่วน ไฮโดรเจนจึงถูกมองว่าเป็น “พลังงานแห่งอนาคต” ที่จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานของโลก รวมถึงของประเทศไทยในระยะต่อไป
ไฮโดรเจนในเวทีโลก
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไฮโดรเจนได้กลายเป็นพลังงานทางเลือกที่หลายประเทศให้ความสำคัญอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในบริบทของการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย “Net Zero Emission” การพัฒนาไฮโดรเจนจึงได้รับการผลักดันในเชิงนโยบายและการลงทุนทั่วโลก ปัจจุบันมีมากกว่า 58 ประเทศที่ประกาศยุทธศาสตร์ไฮโดรเจนระดับชาติ อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เยอรมนี อินเดีย และสหรัฐอเมริกา โดยมีเม็ดเงินสนับสนุนจากภาครัฐรวมกันกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
สหรัฐอเมริกาถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนาไฮโดรเจน โดยได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไฮโดรเจนระยะยาว แบ่งเป็น 4 ระยะ ตั้งแต่การสร้างการรับรู้ การลดต้นทุนการผลิต การขยายการใช้งานเชิงพาณิชย์ ไปจนถึงการเป็นผู้นำการส่งออกไฮโดรเจนในปี ค.ศ. 2050 ภายในปี ค.ศ. 2030 สหรัฐฯ ตั้งเป้าผลิตไฮโดรเจนมากกว่า 17 ล้านเมตริกตัน มีรถยนต์ไฮโดรเจน (FCEV) 1.2 ล้านคัน และสถานีเติมไฮโดรเจน 4,000 แห่งทั่วประเทศ รัฐบาลยังลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายใต้กฎหมาย Infrastructure Investment and Jobs Act รวมถึงสร้างระบบท่อส่งไฮโดรเจนเฉพาะทาง ยาวกว่า 1,600 ไมล์ และจัดตั้ง “Regional Clean Hydrogen Hubs” อย่างน้อย 4 แห่ง ด้วยงบประมาณกว่า 8 พันล้านดอลลาร์ พร้อมงบเพิ่มอีก 2.5 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างสถานีเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนทั่วประเทศ
เยอรมนีเป็นผู้นำระดับโลกด้านพลังงานไฮโดรเจน โดยประกาศยุทธศาสตร์ไฮโดรเจนแห่งชาติ (National Hydrogen Strategy) เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ. 2045 แผนดังกล่าวครอบคลุมตั้งแต่การผลิต การขนส่ง การใช้งาน และการสนับสนุนด้านกฎหมาย การเงิน และการวิจัย และเยอรมนียังได้เปิดตัวโครงการประมูลโรงไฟฟ้าที่สามารถใช้ไฮโดรเจนได้ทันที รวมกำลังผลิต 12.5 กิกะวัตต์ (GW) และจัดสรรงบ 4 พันล้านยูโร ในโครงการ H2Global ซึ่งเป็นกลไกจัดซื้อไฮโดรเจนสะอาดจากต่างประเทศ โดยมีการร่วมมือกับพันธมิตร เช่น เนเธอร์แลนด์ แคนาดา และออสเตรเลีย ในเยอรมนียังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เครือข่ายท่อส่งไฮโดรเจนยาว 9,700 กิโลเมตร ภายในปี 2032 และท่าเรือนำเข้าไฮโดรเจนเพื่อเชื่อมต่อกับตลาดโลก ในด้านเทคโนโลยี เยอรมนีลงทุนในโครงการสำคัญ เช่น Refhyne II และ GET H2 Nukleus ที่เน้นการใช้ไฮโดรเจนในอุตสาหกรรมหนักและการผลิตไฟฟ้า รวมถึงการสาธิตการใช้ไฮโดรเจนในกังหันก๊าซ 100% (Hyflexpower)
ญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาไฮโดรเจน โดยมีกฎหมายส่งเสริมสังคมไฮโดรเจน (Hydrogen Society Promotion Act) และการจัดสรรงบประมาณกว่า 3 ล้านล้านเยน เพื่อสนับสนุนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การผลิตจนถึงการนำเข้าไฮโดรเจนและแอมโมเนีย และที่สำคัญคือการส่งเสริมการใช้ไฮโดรเจนในภาคพลังงาน ผ่านเทคโนโลยีการร่วมเผาไหม้กับถ่านหินและกังหันก๊าซ ตลอดจนการส่งเสริมยานยนต์ไฮโดรเจน เช่น รถยนต์ รถโดยสาร และรถยกในภาคอุตสาหกรรม โดยมีสถานีเติมไฮโดรเจน (Hydrogen Refuelling Station: HRS) มากกว่า 170 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม โดยมีการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น กังหันก๊าซที่ใช้ไฮโดรเจน 100% และเตาหลอมเหล็กคาร์บอนต่ำ รวมถึงการขนส่งไฮโดรเจนเหลวจากต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานในอนาคต
เราจะเห็นว่าไฮโดรเจนไม่ได้เป็นเพียงพลังงานทางเลือก แต่กำลังก้าวขึ้นเป็น “พลังงานแห่งยุทธศาสตร์” ที่ช่วยผลักดันการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และยกระดับขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ในเวทีโลก
การขับเคลื่อนไฮโดรเจนของประเทศไทย
จากแนวโน้มของโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประเทศไทยได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยประกาศเป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero Emissions ภายในปี 2065 ซึ่งถือเป็นกรอบทิศทางสำคัญที่ผลักดันให้ภาครัฐเร่งพัฒนานโยบายพลังงานสะอาดอย่างเป็นระบบ รวมถึงการส่งเสริมการใช้ไฮโดรเจนในภาคพลังงานและอุตสาหกรรม โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ดำเนินการจัดทำแผนพัฒนาการผลิตและการใช้ไฮโดรเจนในภาคพลังงานของประเทศไทย (ค.ศ. 2025–2050) เพื่อกำหนดแนวทางเตรียมความพร้อมของประเทศให้สามารถนำไฮโดรเจนมาใช้เชิงพาณิชย์ได้ตั้งแต่ปี 2030 เป็นต้นไป โดยกำหนดเป้าหมาย คือ “ประเทศไทยมีความพร้อม สามารถเริ่มมีการใช้ไฮโดรเจนเชิงพาณิชย์ในภาคพลังงานตั้งแต่ปี ค.ศ. 2030 และเติบโตอย่างยั่งยืนจนเป็นหนึ่งในทางเลือกที่สำคัญสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ. 2050” ในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว แผนการพัฒนาการผลิตและการใช้ไฮโดรเจนในภาคพลังงาน ค.ศ. 2025-2050 ได้กำหนดยุทธศาสตร์หลัก 4 ด้าน ได้แก่
ยุทธศาสตร์ 1 การพัฒนาตลาดและสร้างแรงจูงใจ: สนับสนุนการสร้างความต้องการใช้ไฮโดรเจน ทั้งในรูปแบบโครงการนำร่องและแรงจูงใจด้านเศรษฐศาสตร์
ยุทธศาสตร์ 2 การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี: พัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทานไฮโดรเจน
ยุทธศาสตร์ 3 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน: วางระบบโครงสร้างพื้นฐานรองรับการผลิต การจัดเก็บ การขนส่ง และการใช้ไฮโดรเจนในอนาคต
ยุทธศาสตร์ 4 การพัฒนากฎระเบียบและมาตรฐาน: ปรับปรุงกฎหมาย มาตรฐาน และกรอบการกำกับดูแลให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีไฮโดรเจนและความปลอดภัย
โดยแผนปฏิบัติการถูกแบ่งออกเป็น 3 ระยะ เพื่อค่อยๆ สร้างความพร้อมและขยายการใช้ไฮโดรเจนในประเทศไทย ประกอบด้วย
• ระยะสั้น (2025-2030): เป็นช่วงการวางรากฐาน ผ่านโครงการนำร่องในภาคพลังงาน ขนส่ง หรืออุตสาหกรรม เพื่อทดสอบเทคโนโลยีและรูปแบบการใช้งานจริง ตลอดจนการสร้างระบบสนับสนุน เช่น กฎระเบียบและโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้น
• ระยะกลาง (2031-2040): มุ่งสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์ในวงกว้าง โดยเฉพาะในภาคการผลิตไฟฟ้าและความร้อน พร้อมสนับสนุนด้วยมาตรการส่งเสริมตลาดและการลงทุน
• ระยะยาว (2041-2050): เป็นการขยายผลและเพิ่มสัดส่วนการใช้ไฮโดรเจนให้มีบทบาทสำคัญในโครงสร้างพลังงานของประเทศ โดยเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทไทย เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero Emissions ได้อย่างยั่งยืน
ในปัจจุบัน การจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาการผลิตและการใช้ไฮโดรเจนในภาคพลังงาน ระยะสั้น (ค.ศ. 2025-2030) เป็นก้าวสำคัญ เพราะเป็นช่วงเวลาที่จะวางรากฐานของระบบไฮโดรเจนในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นใช้ในภาคอุตสาหกรรมเป้าหมาย การจัดตั้งสถานีเติมไฮโดรเจน หรือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเข้าสู่การใช้ไฮโดรเจนอย่างเป็นระบบในอนาคต
ความท้าทายที่ต้องเผชิญ
แม้ประเทศไทยจะเริ่มต้นกำหนดทิศทางนโยบายไฮโดรเจนอย่างเป็นระบบ ผ่านแผนยุทธศาสตร์และกรอบการดำเนินงานที่ชัดเจน แต่การเดินหน้าสู่เป้าหมาย “พลังงานสะอาดในอนาคต” ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาเชิงพาณิชย์
หนึ่งในอุปสรรคสำคัญคือ ต้นทุนการผลิตไฮโดรเจนที่ยังสูง โดยเฉพาะการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวจากพลังงานหมุนเวียนซึ่งมีต้นทุนไฟฟ้าสูง และยังขาดแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ เช่น เงินอุดหนุนหรือสิทธิประโยชน์ด้านภาษีสำหรับการลงทุนในระบบ Electrolyzer ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังขาดโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ระบบท่อส่งไฮโดรเจน โรงเก็บรักษา และสถานีเติมไฮโดรเจนในภาคขนส่ง ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบหลักที่จะรองรับการใช้ไฮโดรเจนในระดับอุตสาหกรรมและยานยนต์อย่างแพร่หลาย ดังนั้นความไม่พร้อมของโครงสร้างพื้นฐานทำให้ไม่สามารถสร้างระบบนิเวศพลังงานไฮโดรเจนได้อย่างครบวงจร
อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องเร่งดำเนินการคือ การพัฒนาและปรับปรุงกฎหมาย มาตรฐาน และข้อกำหนดด้านความปลอดภัย ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การขนส่ง และการใช้งานไฮโดรเจน ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอ ส่งผลให้ภาคเอกชนยังลังเลในการลงทุนระบบขนาดใหญ่
สุดท้ายคือ การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยี Electrolyzer, Fuel Cell, การออกแบบระบบจัดเก็บ หรือการบูรณาการไฮโดรเจนในภาคอุตสาหกรรม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จึงเป็นอีกหนึ่งโจทย์สำคัญ หากต้องการให้ไฮโดรเจนกลายเป็นพลังงานหลักในอนาคต
ก้าวสำคัญบนเส้นทางพลังงานใหม่ของประเทศไทย
ไฮโดรเจนไม่ได้เป็นเพียงแค่ “พลังงานแห่งอนาคต” เท่านั้น แต่ยังเป็น “พลังงานเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” ในยุคที่โลกเร่งเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero Emission สำหรับการนำไฮโดรเจนมาใช้ในภาคพลังงานถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สำหรับประเทศไทย ไฮโดรเจนจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นพลังงานทางเลือกที่มีศักยภาพสูงในการช่วยให้ประเทศบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 แม้ว่าเส้นทางนี้จะเต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งต้นทุนการผลิตที่ยังสูง ความไม่แน่นอนของเทคโนโลยี ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการขาดแคลนบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ แต่ประเทศไทยก็มีจุดแข็งที่สำคัญ ได้แก่ แหล่งพลังงานหมุนเวียนที่หลากหลายและมีศักยภาพสูง ความพร้อมบางส่วนของระบบสาธารณูปโภค รวมถึงภาคอุตสาหกรรมที่เข้มแข็งและเป็นฐานที่ดีในการนำไฮโดรเจนมาใช้ นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างประเทศกับพันธมิตรชั้นนำอย่างญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และซาอุดิอาระเบีย ยังเป็นโอกาสสำคัญที่จะช่วยเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและขยายตลาดไฮโดรเจนในประเทศไทย หากประเทศไทยสามารถต่อยอดจุดแข็งเหล่านี้ด้วยนโยบายที่ชัดเจน แผนงานที่เป็นรูปธรรม และกลไกส่งเสริมที่ทันสมัยและครอบคลุม ไฮโดรเจนจะกลายเป็นพลังงานหลักที่ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต
เอกสารอ้างอิง
• International Energy Agency : IEA (2564). Net Zero by 2050. A Roadmap for the Global Energy Sector.
• International Energy Agency : IEA (2567). Global Hydrogen Review 2024.https://www.iea.org/reports/global-hydrogen-review-2024
• สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (2566). รายงานฉบับสุดท้าย โครงการจัดทำแผนกลยุทธ์การนำไฮโดรเจนไปใช้ในภาคพลังงาน.