อนุ กอ. ครั้งที่ 12 - วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน 2550

มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 6/2550 (ครั้งที่ 12)
วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ชั้น 6 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
1. รายงานความคืบหน้าโครงการส่งเสริมการจัดการด้านการใช้พลังงาน "โดยวิธีประกวดราคา"
2. แนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการสนับสนุนการลงทุนโครงการพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่
3. เห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ปีที่ 2 และพิจารณาแผนงานโครงการฯ ปีที่ 3
4. ขอความเห็นชอบปรับแผนงาน โครงการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
5. ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
6. ขอความเห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับการดำเนินงานตามแผนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์
7. ขอความเห็นชอบโครงการศูนย์สาธิตและพัฒนาพลังงานทดแทนจากข้าวครบวงจร
8. ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก แควน้อย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายอดุลย์ ฉายอรุณ) แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานความคืบหน้าโครงการส่งเสริมการจัดการด้านการใช้พลังงาน "โดยวิธีประกวดราคา"
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปความก้าวหน้าของโครงการส่งเสริมการจัดการด้านการใช้พลังงาน "โดยวิธีประกวดราคา" เป็นมาตรการที่จะจูงใจผู้ประกอบการตัดสินใจลงทุนดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในกิจการได้เร็วขึ้น ด้วยการเชิญชวนผู้ประกอบการยื่นข้อเสนอวิธีการที่จะปรับปรุงการใช้พลังงาน และเสนอขอรับเงินสนับสนุนต่อค่าพลังงานที่ประหยัดได้ ตามอัตราที่ต้องการและไม่เกินวงเงินที่ สนพ. กำหนด โดย มีเงินจากกองทุนฯ สนับสนุนอัตราต่อหน่วยพลังงานที่ประหยัดได้ ซึ่ง สนพ. ได้จัดสัมมนาผู้ประกอบกิจการโรงงานและอาคารธุรกิจและผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อรับทราบรายละเอียดโครงการฯ พร้อมกับรับข้อคิดเห็นมาปรับปรุงรายละเอียดโครงการฯ และออกประกาศเชิญชวนเรียบร้อยแล้ว โดยกำหนดตรวจสอบความครบถ้วนและความถูกต้องสมบูรณ์ของข้อเสนอและพิจารณาตัดสินคัดเลือกผู้ได้รับจัดสรรรอบที่ 1 ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2551 และจะรายงานคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ ได้ทราบผลต่อไป
มติที่ประชุม
รับทราบ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอที่ประชุมเพื่อรับทราบมติของ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2550 เรื่องแนวทางในการบริหาร "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง" หลังหมดภาระหนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ดังนี้
1.1 ให้ปรับโอนอัตราเงิน "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง" ให้แก่ "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ดังนี้
| โอนให้กองทุนอนุรักษ์พลังงาน | เพื่อลดราคา ขายปลีกน้ำมัน |
||
| สำหรับแผนงานปกติ | สำหรับโครงการขนส่งฯ | ||
| 1) เบนซิน 95 | 0.1800 | 0.5000 | 0.5000 |
| 2) เบนซิน 91 | 0.1800 | 0.5000 | 0.5000 |
| 3) แก๊สโซฮอล์ 95 | 0.1870 | 0 - 0.5000 | 0.5000 |
| 4) แก๊สโซฮอล์ 91 | 0.1870 | 0 - 0.5000 | 0.5000 |
| 5) ดีเซลหมุนเร็ว | 0.1800 | 0.5000 | 0.5000 |
| 6) ไบโอดีเซล บี 5 | 0.1835 | 0 - 0.5000 | 0.5000 |
โดยในระยะแรกให้โอนอัตรากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล ไปยังกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่ง ในระดับ 0 บาท/ลิตร และมอบอำนาจให้ประธาน กพช. เป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มการโอนอัตรากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล ในอนาคตสูงขึ้นได้ถึง 0.50 บาท/ลิตร ตามภาวการณ์ที่เห็นว่าเหมาะสม ทั้งนี้ ให้ปรับเพิ่มการโอนอัตรากองทุนน้ำมันฯ ไปยังกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่ง เป็น 0.70 บาท/ลิตร เมื่อกองทุนน้ำมันฯ ได้สะสมเงินไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในภาวะฉุกเฉินและเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เพียงพอแล้ว โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาปริมาณเงินกองทุนน้ำมันฯ ที่เหมาะสมต่อไป
1.2 มอบหมายให้ ฝ่ายเลขานุการฯ ออกประกาศ กพช. และนำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้สอดคล้องกับมติ กพช. ตามข้อ 2.1 โดยให้กระทำในวันเดียวกัน ดังนี้
1) ประกาศ กพช. เพื่อกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และไบโอดีเซล บี 5 เป็น 0.75, 0.25, 0.75 และ 0.25 บาท/ลิตร ตามลำดับ
2) ประกาศ กบง. เพื่อปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 เบนซิน 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และไบโอดีเซล บี 5
1.3 มอบหมายให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานรับไปจัดทำแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนในการสนับสนุนโครงการด้านระบบขนส่ง เพื่อเสนอ กพช. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
2. เพื่อให้การจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบการขนส่งมีความชัดเจน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้เพิ่มเป็นภารกิจพิเศษภายใต้แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยกำหนดเป็นงานที่ 5) โครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่ และกำหนดแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ดังต่อไปนี้
(1) แนวทางในการให้การสนับสนุน "โครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่" : เพื่อเป็นเงินหมุนเวียน เงินช่วยเหลือ หรือเงินอุดหนุน หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ สำหรับการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาระบบการขนส่งเฉพาะที่ก่อให้เกิดผลลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศ และประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการนั้น เช่น การสร้างระบบขนส่งมวลชนในเมืองใหญ่ การพัฒนาระบบการขนส่งทางรถไฟ รวมถึงรถไฟรางคู่ และ การพัฒนาระบบสนับสนุนการขนส่งสินค้า (Logistics) เช่น การปรับปรุงท่าเรือ และคลังสินค้า เป็นต้น
(2) ผู้ที่จะได้รับการสนับสนุน : หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ
(3) ประเภทของค่าใช้จ่ายที่จะได้รับการสนับสนุน : ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ ในลักษณะเงินช่วยเหลือให้เปล่า ซึ่งกองทุนฯ จะจ่ายเงินเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของหน่วยงานนั้นๆ ในการบริหารโครงการ และค่าใช้จ่ายในการลงทุน ในลักษณะเงินช่วยเหลือ หรือเงินอุดหนุน หรือเงินหมุนเวียน ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในการควบคุมงานก่อสร้างหรือติดตั้ง เครื่องจักร อุปกรณ์ โดยการจ่ายเงินทำเป็นงวดๆ ตามปริมาณงานหรือความจำเป็นและเหมาะสม
(4) แนวทางจัดทำข้อเสนอโครงการฯ "เจ้าของโครงการ" จะต้องจัดทำข้อเสนอโครงการ โดยมีแผนงานและงบลงทุนเต็มโครงการ รายจ่ายทั้งแผนงาน และต้องจำแนกส่วนที่ดำเนินงานไปแล้ว กำลังดำเนินงาน และจะต้องระบุแหล่งเงินทุนที่จะต้องใช้ในการดำเนินโครงการในแต่ละแหล่งให้ชัดเจน รวมทั้งจะต้องระบุรายละเอียดความคุ้มค่าของการลงทุน ผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจ ผลตอบแทนด้านการเงิน และผลตอบแทนด้านการลดการใช้พลังงานของประเทศ
(5) เงื่อนไขในการพิจารณาโครงการ : โครงการที่จะได้รับการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ต้องผ่านการพิจารณาจากสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คณะกรรมการกองทุนฯ และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว และหากจะมีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญของโครงการฯ ก็ให้ สศช. พิจารณาก่อน
(6) วิธีการและขั้นตอนในการให้การสนับสนุน : หน่วยงานที่มีความประสงค์ขอรับการสนับสนุน ยื่นข้อเสนอโครงการต่อ สนพ. เพื่อวิเคราะห์และกลั่นกรอง ให้ความเห็น ตามแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข ที่กำหนดไว้ และเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
(7) หลักเกณฑ์การจัดสรรเงินสนับสนุน : เนื่องจากรายรับของกองทุนฯ มาจากสัดส่วนของการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ของประชาชนในภูมิภาคต่างๆ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงนำปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จำหน่ายไปของแต่ละจังหวัดคิดค่าเฉลี่ยตั้งแต่ ปี 2547-ปัจจุบัน และจัดกลุ่มแบ่งออกเป็น 5 ภาค เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางกำหนดสัดส่วนการจัดสรรค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุนในโครงการพัฒนาระบบการขนส่ง
3. สนพ. ได้จัดทำประมาณการรับและรายจ่ายของกองทุนน้ำมันฯ ให้สอดคล้องตามมติ กพช. โดยไม่ได้โอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงฯ จำนวน 3,000 ล้านบาท ไปเพิ่มสภาพคล่องให้กับกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (มติคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2550) จากการประมาณการกระแสเงินของกองทุนน้ำมันฯ คาดว่าจะมีฐานะเป็นบวกประมาณกลางเดือนธันวาคม 2550 จึงเริ่มโอนอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจัดเก็บแทน ในอัตรา 0.50 บาทต่อลิตร ในวันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2550 กองทุนน้ำมันฯ จะมีเงินสะสม 10,179 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายน 2551
ด้วย กบง. ในการประชุมเมื่อ 12 ตุลาคม 2550 มีมติให้กองทุนน้ำมันฯ โอนเงิน 3,500 ล้านบาท ฝากที่ ธกส. เพื่อเป็นทุนให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อใช้ในการผลิตไบโอดีเซล ทำให้เงินกองทุนน้ำมันฯ จะสะสมได้ถึง 10,000 ล้านบาท ในปลายเดือนกันยายน 2551 และการโอนอัตรากองทุนน้ำมันฯ ไปยังกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่งเป็น 0.70 บาท/ลิตร จะเริ่มได้ประมาณวันที่ 1 ตุลาคม 2551
4. จากแนวทางตามข้อ 3 ฐานะการเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จะเป็นดังนี้

5. จากข้อ 4 กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจะมีวงเงินสำหรับโครงการลงทุนพัฒนาระบบขนส่งขนาดใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2550 ถึงกันยายน 2555 รวมทั้งสิ้น 71,424 ล้านบาท ดังนี้

6. การทบทวนเป้าหมายแผนอนุรักษ์ฯ ในช่วงปี 2551-2554 ตามมติ กพช. ในการประชุมเมื่อ 28 กันยายน 2550 นั้น สนพ. ได้ศึกษาจากรายงานผลการศึกษาโครงการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ที่ พพ. ได้ว่าจ้าง TDRI แล้ว และเห็นว่าเป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2551-2554 ได้รวมผลการประหยัดพลังงานในเรื่องการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน และการก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงไว้แล้ว จึงได้เพิ่มผลการประหยัดพลังงานที่ได้จากการผลิตรถประหยัดเชื้อเพลิง (ECO Car) 123 ktoe และการผลิตไฟฟ้าระบบ Cogeneration 608 ktoe สำหรับการลงทุนในโครงการพัฒนาระบบขนส่งขนาดใหญ่ จะเกิดผลการประหยัดพลังงานหลังปี 2554 จึงสรุปเป้าหมายของแผนอนุรักษ์พลังงานฯ เป็นดังนี้
| เป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงาน ณ ปี 2554 | |||
| กพช. | กพช. | ปรับปรุง | |
| 23 ธ.ค.47 | 26 ธ.ค.49 | ต.ค. 50 | |
| (ktoe) | (ktoe) | (ktoe) | |
| เป้าหมายรวม | 17,884 | 19,005 | 18,931 |
| แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 10,354 | 7,694 | 7,725 |
| สาขาอุตสาหกรรม | 3,411 | 3,832 | 3,094 |
| สาขาขนส่ง | 6,270 | 3,290 | 3,413 |
| การจัดการด้านการใช้พลังงาน | 673 | 572 | 1,217 |
| แผนงานด้านพลังงานทดแทน | 7,530 | 11,311 | 11,206 |
| ส่งเสริม NGV | - | 4,348 | 4,518 |
| พลังงานหมุนเวียน* | 7,530 | 6,963 | 6,688 |
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยรับคำแนะนำของอนุกรรมการฯ ไปปรับปรุงแนวทางฯ และเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาการเริ่มโอนอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้ "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" จัดเก็บแทน ในอัตรา 0.50 บาทต่อลิตร ในวันที่ 17 ธันวาคม 2550 และปรับเพิ่มเป็น 0.70 บาท/ลิตร ในวันที่ 1 ตุลาคม 2551 เพื่อใช้สำหรับโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่ โดยกองทุนน้ำมันฯ ไม่ต้องโอนเงินจำนวน 3,000 ล้านบาท ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อเพิ่มสภาพคล่องตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ เคยมีมติไว้แล้ว และให้เสนอ กพช. พิจารณาต่อไป
3. รับทราบและเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาเป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2551-2554 ที่ปรับปรุงตามข้อ 5.3 และให้เสนอ กพช.พิจารณาต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานที่ประชุมเพื่อรับทราบผลการดำเนินงาน "โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ" ซึ่งเป็นโครงการที่คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2548 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ในวงเงินรวม 50 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในศึกษาวิจัยที่เป็นงานต่อเนื่องระยะเวลา 5 ปี โดยให้ มช. เสนอผลการดำเนินงานแต่ละปีให้คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ทราบและเห็นชอบก่อน สนพ. จะจัดสรรเงินดำเนินการปีต่อไป
2. มช. ได้ดำเนินโครงการฯ มาจนครบปีที่ 2 โดยได้คัดเลือกสายพันธุ์ปาล์มน้ำมัน 3,200 ต้น และคัดเลือกสายพันธุ์สบู่ดำ 10,000 ต้น และได้นำไปลงปลูกในแปลงวิจัยพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 แห่ง รวม 386 ไร่ คือ แปลงวิจัยศรีบัวบาน จ.ลำพูน 350 ไร่ ควบคุมสภาวะแวดล้อม 100% และที่แปลงวิจัยแม่เหียะ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ 36 ไร่ ควบคุมสภาวะแวดล้อม 50% ควบคุมวิธีการให้น้ำด้วยระบบชลประทานน้ำหยด การคลุมด้วยวัสดุต่างๆ ปริมาณการให้น้ำ ระยะเวลาการให้น้ำที่เหมาะสม การจัดการปุ๋ย ได้แก่ ปุ๋ยยูเรีย ฟอสเฟต ปุ๋ยคอก และการตัดแต่งกิ่ง วิจัยผลกระทบต่อปาล์มน้ำมันและสบู่ดำที่เกิดจากการจัดการวัชพืชด้วยวิธีต่างๆ วิธีปลูกพืชแซมที่ไม่กระทบต่อปาล์มและสบู่ดำ
3. ในปีที่ 2 ได้เก็บข้อมูลวิจัยการเจริญเติบโตปาล์มน้ำมัน และสบู่ดำ ในแปลงวิจัยทั้ง 2 แห่ง
1) ปาล์มน้ำมัน อายุ 20 เดือน (ณ เดือนมิถุนายน 2550) เจริญเติบโตดี มีความสูงเฉลี่ย 278 เซนติเมตร จำนวนทางใบเฉลี่ย 35 ทางใบ การออกดอกของปาล์มน้ำมัน พบว่า ปาล์มน้ำมันพันธุ์สุราษฎร์ธานี 2 ออกดอกมากที่สุด 116 ต้น พันธุ์ไนจีเรียจำนวน 30 ต้น พันธุ์สุราษฎร์ธานี 3 จำนวน 5 ต้น โดยจะทราบว่าปาล์มน้ำมันจะให้ผลผลิตหรือไม่ ต้องรอให้ปาล์มน้ำมันมีอายุประมาณ 36 เดือน หรือประมาณเดือนมิถุนายน 2551
2) ปลูกสบู่ดำ อายุ 16 เดือน (ณ เดือนมิถุนายน 2550) เจริญเติบโตดี มีการให้ผลผลิตครั้งแรก ในเดือนพฤษภาคม 2549 - ธันวาคม 2549 (รวม 8 เดือน) และหยุดการให้ผลผลิตเนื่องจากเกิดการทิ้งใบเพื่อพักตัวและหยุดการเจริญเติบโตในช่วงฤดูแล้ง ผลผลิตของสบู่ดำในปีที่ 2 เฉลี่ย 307 กิโลกรัม/ไร่ โดยพันธุ์ชัยภูมิให้ผลผลิตมากที่สุด คือ 345.87 กิโลกรัม/ไร่ ส่วนสบู่ดำพันธุ์สตูล ให้ผลผลิตน้อยที่สุด คือ 278.46 กิโลกรัม/ไร่ อย่างไรก็ตามผลผลิตในครั้งแรกยังไม่ใช่ผลผลิตที่สูงสุดของสบู่ดำ ปริมาณผลผลิตต่อไร่สูงสุด จะทราบผลในการให้ผลผลิตปีที่ 3
4. มช. ได้ศึกษาออกแบบพัฒนาเครื่องสกัดน้ำมันสบู่ดำ เครื่องหีบน้ำมันปาล์มขนาดเล็ก และเครื่องผลิตไบโอดีเซลขนาด 300 ลิตรต่อครั้ง โดยเครื่องสกัดน้ำมันสบู่ดำและเครื่องผลิตไบโอดีเซลที่พัฒนาขึ้น ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้งานได้ง่าย ไม่มีความยุ่งยากซับซ้อน เมื่อนำไปให้เกษตรกรทดลองใช้งาน ช่วยให้เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจในหลักการทำงานของเครื่องจักรทั้งสองอย่าง สำหรับการสาธิตใช้ไบโอดีเซลกับเครื่องยนต์การเกษตรในชุมชนนั้น เครื่องยนต์เดินปกติสม่ำเสมอไม่มีสะดุด การถอดชิ้นส่วนของเครื่องยนต์เพื่อตรวจสภาพ ไม่พบคราบหรือยางเหนียว ทุกชิ้นส่วนยังคงสภาพเดิม
5. แผนงานในปีที่ 3 ยังคงเป็นเรื่องการศึกษาวิจัยการเจริญเติบโตของต้นปาล์มน้ำมันและต้นสบู่ดำ ทั้งในแปลงวิจัยและแปลงสาธิต โดยต้นปาล์มน้ำมันในแปลงวิจัยจะครบรอบการให้ผลผลิตในครั้งแรก ซึ่งจะทราบโอกาสและความเป็นไปได้ของการปลูกปาล์มในภาคเหนือ พร้อมนี้ มช. จะเริ่มพัฒนาสายพันธุ์สบู่ดำด้วยวิธีตัดต่อพันธุกรรม (GMO) เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ด้วย โดย มช. ประมาณการรายจ่ายสำหรับปีที่ 3 ในวงเงิน 11,846,000 บาท
มติที่ประชุม
1. รับทราบและเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงาน "โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ" ปีที่ 2 ตามที่ มช. เสนอมา
2. เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนงานโครงการฯ ในปีที่ 3 ตามแผนงานที่เสนอมา ในวงเงินรวม 11,846,000 บาท โดยใช้เงินกองทุนฯ แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ ปีงบประมาณ 2550 โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจร ในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้อนุมัติไว้แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอที่ประชุมเพื่อทราบความเป็นมาของ "โครงการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน" ที่คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ได้สนับสนุนทุนวิจัยให้กับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ในวงเงินรวม 60 ล้านบาท เพื่อศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์และนำเสนอมาตรการเพื่อแก้ปัญหาด้านพลังงานของประเทศ ซึ่งคณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2550 มีข้อสังเกตว่ารายงานผลการศึกษาของ สกว. ข้อมูลบางตัวอ้างอิงเป้าหมายเดิมที่ยังไม่ได้ปรับให้เป็นปัจจุบัน บางส่วนต่างไปจาก พพ. บางส่วนอ้างอิงจากต่างประเทศ จึงทำให้ผลการศึกษาอาจคลาดเคลื่อนกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จึงมีมติให้ สนพ. พพ. และ สกว. พิจารณาข้อมูลร่วมกันและปรับตัวเลขเป้าหมายของการศึกษาให้ตรงกัน รวมถึงพิจารณาความซ้ำซ้อนและปรับขอบเขตงานวิจัยที่ สกว. เสนอขอศึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้ผลการศึกษาได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจได้แม่นยำมากขึ้น โดย สกว. จะใช้เงินกองทุนฯ ที่ได้รับอนุมัติจัดสรรไปแล้วและยังคงเหลืออยู่ ประมาณ 28.5 ล้านบาท เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้ง
2. สนพ. พพ. และ สกว. ประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาข้อมูลและปรับตัวเลขที่ปรากฏในรายงานการศึกษาให้ตรงกัน รวมถึงพิจารณาความซ้ำซ้อนและปรับขอบเขตงานวิจัยที่ สกว. เสนอขอศึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ผลการศึกษาที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจได้แม่นยำมากขึ้น โดย สกว. จะใช้เงินกองทุนฯ ที่ได้รับอนุมัติจัดสรรไปแล้วและยังคงเหลืออยู่ ประมาณ 28.5 ล้านบาท เพื่อเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้ง ซึ่ง สนพ. พพ. และ สกว. ได้ประชุมร่วมกันตามมติคณะอนุกรรมการฯ เรียบร้อยแล้ว สามารถสรุปได้ดังนี้
2.1 ศักยภาพการผลิตไบโอดีเซล สกว. ได้ประเมินตามแผนการขยายพื้นที่เพาะปลูกปาล์มของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เฉลี่ย 3 แสนไร่ต่อปี พบว่าในปี 2554 การผลิตไบโอดีเซลจะอยู่ระหว่าง 1.48-3.24 ล้านลิตรต่อวัน ทั้งนี้กรณีต่ำสุดคิดจากฐานปัจจุบันที่มีข้อจำกัดด้านการขยายพื้นที่ให้ผลผลิตจริงและยังไม่มีการปรับปรุงอัตราการผลิตผลปาล์มต่อหน่วยพื้นที่ ส่งผลให้พื้นที่ให้ผลผลิตจริงอาจจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 1.5 แสนไร่/ปี เท่านั้น ทั้งนี้หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการเพาะปลูกในรูปแบบ Good Agricultural Practice การใช้กล้าปาล์มที่ให้ผลผลิตสูง (ซึ่งเอกชนบางรายสามารถทำได้ถึง 5.0 ตันต่อไร่ต่อปี) อีกทั้งมีการคัดสรรพื้นที่ส่งเสริมให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มสัดส่วนของพื้นที่ให้ผลผลิตต่อพื้นที่เพาะปลูกแล้ว ก็สามารถจะผลิตไบโอดีเซลได้ถึง 3.0 ล้านลิตรต่อวัน
2.2 ค่า External cost ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน จากที่ สกว. เคยเสนอไว้ 6.0 บาท/kWh พบว่าข้อมูลที่นำมาใช้คำนวณเป็นข้อมูลที่ยังมิได้มีการปรับปรุงให้ทันสมัย โดยเฉพาะภายหลังการติดตั้งอุปกรณ์กำจัดซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (FGD) ทั้งนี้ สกว. จึงได้นำข้อมูลของโรงไฟฟ้าแม่เมาะและโรงไฟฟ้า BLCP ที่ดำเนินการผลิตอยู่ในปัจจุบันมาเป็นฐานการคำนวณ และแปลงค่าเงินยูโรด้วย Purchasing Power Parity Index พบว่า ค่า External cost ของการผลิตไฟฟ้าจากลิกไนท์เฉลี่ยในช่วงปี 2544-2549 คือ 0.48 บาท/kWh ค่า External cost ของการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนำเข้าคือ 0.33 บาท/kWh และของก๊าซธรรมชาติคือ 0.18 บาท/kWh สรุปได้ดังนี้
| สารมลพิษ | External cost (บาท/kWh) | ||
| ลิกไนต์ (แม่เมาะ) | ถ่านหินนำเข้า (BLCP) | ก๊าซธรรมชาติ (บางปะกง) | |
| CO2 | 0.28 | 0.23 | 0.12 |
| SO2 | 0.06 | 0.05 | 0 |
| NOX | 0.12 | 0.05 | 0.06 |
| PM10 | 0.02 | N/A | 0 |
| รวม | 0.48 | 0.33 | 0.18 |
2.3 การพิจารณาประเด็นงานวิจัย พพ. สนพ. และ สกว. ได้ประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2550 ณ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย เพื่อร่วมกันพิจารณาประเด็นงานวิจัยที่ สกว. เสนอขอศึกษาเพิ่มเติมเพื่อลดความซ้ำซ้อนของงาน และสรุปได้ดังนี้
| ประเด็นงานวิจัย | ผลที่คาดหวัง | สรุปความเห็น |
| 1.พลังงานน้ำขนาดเล็ก | ||
| 1.1 การใช้ทรัพยากรแหล่งน้ำ เพื่อการผลิตไฟฟ้า | อุปสรรคข้อกฎหมายที่ขัดแย้งกัน ระหว่างหน่วยงานใช้ประโยชน์ของทรัพยากรน้ำ | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจาก พพ. มีการปรึกษาหารือกับกรมป่าไม้และ สผ. อยู่แล้ว |
| 1.2 การประเมินศักยภาพเพิ่มเติม ของแหล่งพลังงานน้ำขนาดเล็ก | สำรวจศักยภาพของน้ำทิ้งท้ายเขื่อน (กฟผ.และกรมชลฯ) ด้วยวิธีการสำรวจพื้นที่และความเป็นไปได้ในการพัฒนาเขื่อนแบบ run-of-river ในลุ่มน้ำที่สำคัญ | ให้ศึกษาศักยภาพในภาพรวมในส่วนที่ยังไม่ได้มีการศึกษา (พพ.มีการสำรวจศักยภาพลุ่มน้ำโขง-ชี-มูลและน่าน รวมถึงน้ำทิ้งท้ายเขื่อนของกรมชลฯ) |
| 2.พลังงานลม | ||
| 2.1 การใช้พื้นที่สาธารณะเพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม | ปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของภาคเอกชนในการติดตั้งกังหันลมในพื้นที่สาธารณะเพื่อผลิตไฟฟ้า | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจาก พพ.ศึกษากฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้องแล้ว |
| 3.พลังงานชีวมวล | ||
| 3.1 การเพิ่มศักยภาพแหล่งชีวมวลสำหรับผลิตไบโอดีเซล | ศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ในการเพิ่มผลผลิตโดยเพิ่มพื้นที่และใช้เทคโนโลยี | ให้รวบรวมเทคโนโลยีพร้อมทั้งประเมินความเป็นไปได้ในการเพิ่มผลผลิต ภายใต้ความร่วมมือกับ ก.เกษตรฯ |
| 3.2 นโยบายการกำหนดราคาเอทานอลและไบโอดีเซลที่เหมาะสม | หลักเกณฑ์การกำหนดราคาที่เหมาะสมและผลกระทบของการใช้สูตรกำหนดราคาต่างๆ | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจากกระทรวงฯได้ประกาศหลักเกณฑ์และสูตรการคำนวณเรียบร้อยแล้ว |
| 3.3 การเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกอ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน | ความเป็นไปได้การเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกและการกระจายเชิงภูมิศาสตร์ | ให้ศึกษาศักยภาพสูงสุดในการขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชพลังงานโดยดูผลกระทบในการขยายพืชที่ไปทับซ้อนกับพืชเศรษฐกิจอื่นๆ |
| 3.4 การใช้ป่าเสื่อมโทรมเพื่อปลูกไม้โตเร็ว | ประเภทไม้โตเร็วที่เหมาะสมและความเป็นไปได้ในการปลูกในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจาก สนพ.ได้ให้ทุนนักวิจัยศึกษาการปลูกไม้โตเร็วเพื่อผลิตไฟฟ้าเป็น pilot scale แล้ว |
| 3.5 ประเมินทางเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ของการเก็บรวบรวมยอดใบอ้อย ฟางข้าว เพื่อผลิตความร้อนและไฟฟ้า | ศึกษาเทคนิคการจัดเก็บฟางข้าว ยอดและใบอ้อยเพื่อให้เกิดความคุ้มทุนในเชิงเศรษฐศาสตร์ในภาพรวมของประเทศ | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจาก สนพ. ให้ทุนวิจัยศึกษาศักยภาพที่แหล่งของแกลบและชานอ้อยแล้ว |
| 3.6 การพัฒนากระบวนการและเครื่องมือการจัดการพลังงานชีวมวลที่ยั่งยืนโดยคำนึงการใช้อย่างคุ้มค่าและลด CO2 | จัดทำฐานข้อมูลและประเมินข้อดีข้อเสียและทางเลือกการใช้ชีวมวลต่างๆ | ไม่มีข้อขัดข้อง |
| 3.7 ประเมินทางเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ของการผลิตก๊าซ ชีวภาพจากวัสดุเหลือทิ้งทางเกษตรและพืชพลังงาน | ค้นหาวัตถุดิบใหม่สำหรับการผลิตก๊าซชีวภาพ ได้แก่วัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและพืชที่ปลูกเพื่อเป็นพลังงานโดยเฉพาะ | ไม่ซ้ำซ้อน กับที่ พพ.ได้ศึกษาศักยภาพของการใช้น้ำเสียจากโรงงานประเภทต่างๆและฟาร์มสุกรแล้ว |
| 4.ประสิทธิภาพพลังงาน | ||
| 4.1 ประเมินผลกระทบ SPP ต่อการส่งเสริม CHP และ ปรับปรุงระเบียบ SPP | ได้ศึกษาล่วงหน้าเพื่อให้ทันกับระเบียบปรับปรุงของ SPP | ไม่มีข้อขัดข้อง |
| 4.2 การบังคับใช้ building energy code | ปัญหาข้อขัดข้องในการนำไปสู่การปฏิบัติ | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจาก พพ.ได้ทำร่างกระทรวง หารือขั้นตอนการปฏิบัติกับ กทม.และกรมโยธาธิการ และรอประกาศใช้ |
| 4.3 ประเมินศักยภาพและเทคโนโลยีประหยัดพลังงานเฉพาะอุตสาหกรรมบางสาขาที่มีการใช้พลังงานมาก | ประเมินศักยภาพและโอกาสการประหยัดพลังงานในภาพรวมเพื่อวางยุทธ์ศาสตร์ในการยกระดับเทคโนโลยีการประหยัดพลังงาน | พพ.ได้ประเมินศักยภาพและเทคโนโลยีการประหยัดพลังงาน 13 สาขาจาก 28 สาขา และยินดีให้ สกว.นำข้อมูลไปวิเคราะห์และหาแนวทางในการบรรลุเป้าหมาย |
| 4.4 พัฒนากรอบและจัดทำฐานข้อมูลสำหรับประเมินศักยภาพและติดตามผลกระทบทางเลือกการประหยัดพลังงานในภาคขนส่ง | พัฒนาแนวทางการจัดทำฐานข้อมูลที่จำเป็นที่สามารถทำเป็นงานประจำที่สะสมตัวเองได้ | ให้ศึกษากรอบการจัดทำฐานข้อมูล พร้อมทั้งทำการสำรวจข้อมูลในภาคขนส่งเพื่อให้ในงานวางแผนต่อไป |
| 5.ประเด็นทั่วไป | ||
| 5.1 ประเมิน cost-effectiveness ของการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนและการประหยัดพลังงานในภาพรวมของประเทศ | ศึกษาการลงทุนและผลตอบแทนในภาพรวมของประเทศ | ไม่มีข้อขัดข้อง |
| 5.2 แนวทางคิด carbon tax เป็นส่วนหนึ่งของ avoided cost ในการประหยัดพลังงานในภาคขนส่งและการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพและพลังงานหมุนเวียน | ศึกษาความเหมาะสมของการใช้ carbon tax ในประเทศไทยและรูปแบบที่เหมาะสม และคิดค่า carbon tax สำหรับประเทศไทย | ไม่มีข้อขัดข้อง |
| 5.3 การพัฒนาและสาธิตกระบวนการ PDP โดยคำนึงการประหยัดพลังงานและใช้พลังงานหมุนเวียนและการมีส่วนร่วมของประชาชน | พัฒนากระบวนการวางแผน PDP ที่ประชาชนมีส่วนร่วม | ให้ศึกษา model กระบวนการจัดทำ PDPที่เป็นรูปธรรมสามารถนำไปใช้จริงได้ เช่น มีระยะการปฎิบัติตามกระบวนการไม่นานจนข้อมูลล้าสมัย ระบุนิยามผู้มีส่วนได้เสียที่จะเข้าร่วมกระบวนการที่ชัดเจน |
มติที่ประชุม
1. รับทราบและเห็นชอบผลการศึกษา "โครงการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน" ตามที่ สกว. ปรับตัวเลขเสนอมา โดยให้ สกว. ดำเนินการจัดพิมพ์รายงานฉบับใหม่และส่งไปยังหน่วยงานต่างๆ ตามที่ที่ประชุมให้ความเห็นไว้ด้วย
2. เห็นชอบให้ สกว. ปรับแผนงานโครงการฯ โดยขยายระยะเวลาออกไปจนถึงเดือนตุลาคม 2551 และให้ใช้จ่ายเงินส่วนที่เหลืออยู่จำนวน 28.5 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษารายละเอียดเชิงลึกเพิ่มเติม ได้ตามที่เสนอมา ดังรายละเอียดที่ปรากฏในส่วนที่ 5 ของเอกสารประกอบวาระที่ 4.3 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 5 ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอต่อที่ประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องที่มีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปแล้ว ได้ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้ รวม 20 โครงการ ดังนี้
1.1 ขอขยายระยะเวลาดำเนินงาน รวม 12 โครงการ คือ
| โครงการ | หน่วยงาน | เดิม | ขยายถึง | |
| (1) | โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการอบแห้งกุนเชียง | ม.พระจอมเกล้าธนบุรี | กันยายน 2550 | ธันวาคม 2550 |
| (2) | โครงการบูรณาการงานด้านพลังงานกับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด | สำนักงานพลังงานภูมิภาค 3 | พฤษภาคม 2550 | สิงหาคม 2550 |
| (3) | โครงการศึกษาดัชนีการใช้พลังงานสำหรับหน่วยงานราชการ | ม.เชียงใหม่ | กันยายน 2550 | ธันวาคม 2550 |
| (4) | โครงการออกแบบประตูบานเกล็ดเพื่ออนุรักษ์พลังงาน | ม.พระจอมเกล้าธนบุรี | ธันวาคม 2548 | ธันวาคม 2550 |
| (5) | โครงการกรุงเทพฯ ฟ้าใส ด้วยไบโอดีเซล | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | พฤศจิกายน 2550 | พฤศจิกายน 2551 |
| (6) | โครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซชีวภาพจากระบบจัดการน้ำเสียโรงฆ่าสัตว์ | มูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม | กันยายน 2550 | สิงหาคม 2552 |
| (7) | โครงการการส่งเสริมการผลิตการใช้ไบโอดีเซลในระดับชุมชน (ทดสอบการใช้ ไบโอดีเซลกับเครื่องยนต์การเกษตรเอนกประสงค์) | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | สิงหาคม 2550 | กุมภาพันธ์ 2551 |
| (8) |
โครงการการศึกษาวิศวกรรมแบบบูรณาการเพื่อเพิ่มทักษะด้านการอนุรักษ์พลังงานสำหรับพนักงานปฏิบัติการในโรงงานอุตสาหกรรม |
ม.พระจอมเกล้าธนบุรี | เมษายน 2550 | ธันวาคม 2550 |
| (9) |
โครงการอบรมบุคลากรเรื่องบูรณาการการเรียนการสอนด้านพลังงานระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา |
มูลนิธิสิ่งแวดล้อมไทย | กันยายน 2550 | มีนาคม 2551 |
| (10) | โครงการสนับสนุนทุนวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา รวม 3 ทุน | ม. พระจอมเกล้าธนบุรี | - | - |
| (11) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศ จำนวน 2 ทุน | ม.เชียงใหม่ | - | - |
| (12) | ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือนนับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา จำนวน 5 ราย | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | - | 3 เดือนนับจากวันที่ได้รับอนุมัติการขยายระยะเวลา |
1.2 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รวม 8 โครงการ คือ
| โครงการ | หน่วยงาน | ขอเปลี่ยนแปลง | |
| (1) | โครงการบูรณาการงานด้านพลังงานกับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด | สำนักงานพลังงานภูมิภาค 9 | ขอนำเงินค่าบริหารโครงการ ไปจัดซื้อเครื่องมือตรวจวัดการใช้พลังงาน จำนวน 6 ชุด ราคาชุดละ 29,799.50 บาท รวมเป็นเงิน 178,797 บาท |
| (2) | โครงการการจัดการพลังงานพลังงานทั่วทั้งองค์กรสำหรับโรงแรมและการบริหารเปลี่ยนแปลง | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย | ขอขยายระยะเวลาดำเนินงาน จากเดิมสิ้นสุดเดือนกันยายน 2550 เป็นเดือนพฤษภาคม 2551 และขอปรับรายละเอียดการรายงานความก้าวหน้าและการเบิกจ่ายเงิน |
| (3) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ จำนวน 3 ทุน | - | ขอขยายระยะเวลาการศึกษาและเพิ่มวงเงินทุนการศึกษา จำนวน 2 หน่วยงาน และขอโอนการชดใช้ทุน จำนวน 1 หน่วยงาน * |
| (4) | โครงการสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา จำนวน 4 หน่วยงาน | - | ขอเปลี่ยนแปลงคณะผู้วิจัย จำนวน 3 หน่วยงาน และ ขอสละสิทธิ์การรับทุน อุดหนุนการวิจัย จำนวน 1 หน่วยงาน |
| (5) | โครงการศึกษากำหนดคุณภาพและคุณสมบัติของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่เหมาะสมหลังปี 2550 | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | ขอขยายระยะเวลาดำเนินงาน จากเดิมสิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2551 เป็นเดือนพฤษภาคม 2551 และปรับลดวงเงินจากเดิม 6,400,000 บาท เป็น 5,340,000 บาท |
| (6) | โครงการตรวจวัดมลพิษทางอากาศจากรถยนต์ที่ใช้แก๊สโซฮอล์ | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | ขอขยายระยะเวลาดำเนินงาน จากเดิมสิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2550 เป็นเดือนพฤศจิกายน 2550 และปรับลดจำนวนรถยนต์ที่ใช้ทดสอบจาก 2 คัน เหลือ 1 คัน พร้อมปรับลดวงเงินจาก 11,762,000 บาท เหลือ 11,296,500 บาท |
| (7) | โครงการ การส่งเสริมการผลิต การใช้ไบโอดีเซลในระดับชุมชน (ขนาด 2,000 ลิตรต่อวัน) | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | - ขอเปลี่ยนชุมชนต้นแบบการผลิตและใช้ไบโอดีเซล จาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี เป็นศูนย์ทดลองวิชาการพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน จังหวัดหนองคาย
- ขอโอนเงินกองทุนฯ หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ งานบริหารแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน จำนวน 4,733,500 บาท ไปก่อสร้างอาคารโรงคลุมระบบผลิตไบโอดีเซล ศูนย์ทดลองวิชาการฯ จ.หนองคาย |
| (8) | โครงการผลิตเมทานอลจากชีวมวลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในเซลล์เชื้อเพลิง | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | ขอยกเลิกการดำเนินงานโครงการผลิต เมทานอลจากชีวมวลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในเซลล์เชื้อเพลิง เพื่อเปลี่ยนไปดำเนินโครงการพัฒนาสาธิตการผลิตไฮโดรเจนจากขบวนการความร้อนเคมีระยะที่ 2 แทน ในวงเงิน 6,000,000 บาท |
* หมายเหตุ
(1)สำนักงานศาลปกครอง ขอขยายเวลาการศึกษาให้แก่ นางสาวรัชดาพร นิ่มพงษ์ศักดิ์ ออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 9 มกราคม 2552 เพื่อปรับปรุงวิทยานิพนธ์ และขออนุมัติเพิ่มวงเงินทุนการศึกษา จำนวน 9,040 ปอนด์
(2) ม. อุบล ขอขยายเวลาการศึกษาให้แก่ นางสาวบงกช สุขอนันต์ ออกไปอีก 10 เดือน ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2551 เพื่อใช้เวลาในการเขียนวิทยานิพนธ์ และขออนุมัติเพิ่มวงเงินจำนวน 9,550 ปอนด์
(3) กรมควบคุมมลพิษ ขอให้ นายสราวุธ เทพานนท์ โอนการชดใช้ทุนการศึกษาจากกรมควบคุมมลพิษ ไปปฏิบัติงานเป็นพนักงานของรัฐ ตำแหน่งอาจารย์ ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาการขอขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดของโครงการฯ ทั้ง 20 โครงการแล้ว เห็นควรให้ดำเนินการ ดังนี้
2.1 เห็นสมควรให้โครงการตามข้อ 1.1 (1)-(12) และข้อ 1.2 (1)-(7) รวม 19 โครงการ ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่เสนอมา เนื่องจากไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้วและไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง
2.2 ไม่เห็นสมควรให้โครงการตามข้อ 1.2 (8) เปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ เพราะเป็นการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของโครงการไปจากเดิม เนื่องจาก พพ. จะขอยกเลิกการดำเนิน "โครงการผลิตเมทานอลจากชีวมวลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในเซลล์เชื้อเพลิง" และจะขอนำเงินของโครงการดังกล่าวไปใช้สำหรับดำเนิน "โครงการพัฒนาสาธิตการผลิตไฮโดรเจนจากขบวนการความร้อนเคมี ระยะที่ 2" แทน
ในกรณีข้างต้น ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าถ้า พพ. จะไม่ดำเนิน "โครงการผลิตเมทานอลจากชีวมวลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในเซลล์เชื้อเพลิง" ก็ควรส่งเงินจำนวนดังกล่าวคืนกองทุนฯ และถ้า พพ. จะดำเนิน "โครงการพัฒนาสาธิตการผลิตไฮโดรเจนจากขบวนการความร้อนเคมี ระยะที่ 2" ก็ควรจัดทำรายละเอียดโครงการฯ เสนอขอจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ต่อไป
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้โครงการตาม ข้อ 1.1 (1)-(12) และ ข้อ 1.2 (1)-(7) รวม 19 โครงการ สามารถขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
2. ไม่เห็นชอบให้ พพ. ปรับรายละเอียดของโครงการตามข้อ 1.2 (8) โดยให้พิจารณาดำเนินการตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นไว้
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า กพช. ในการประชุมครั้งที่ 2/2550 เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2550 มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ (Nuclear Power Infrastructure Preparation Committee : NPIPC) เพื่อทำหน้าที่ในการจัดทำและเสนอแนะแผนงาน มาตรการ แนวทางในการดำเนินงานด้านการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากนิวเคลียร์เพื่อผลิตไฟฟ้า รวมทั้งการสื่อสารสาธารณะเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และนำไปสู่การยอมรับของประชาชน และมีการได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 7 คณะ เพื่อช่วยเหลือคณะกรรมการในการศึกษาประเด็นหลัก (Key Issues) ประกอบด้วย (1) คณะอนุกรรมการด้านระบบกฎหมาย ระบบกำกับ และข้อผูกพันระหว่างประเทศ (2)คณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ (3) คณะอนุกรรมการด้านการถ่ายทอด พัฒนาเทคโนโลยี และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (4)คณะอนุกรรมการความปลอดภัยนิวเคลียร์ และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (5) คณะอนุกรรมการด้านสื่อสารสาธารณะและการยอมรับของประชาชน (6) คณะอนุกรรมการด้านการวางแผนด้านการเตรียมจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ และ (7) คณะอนุกรรมการยกร่างแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานพลังงานนิวเคลียร์
โดยคณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ และคณะอนุกรรมการฯ ได้จัดทำร่างแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ แล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2550 และได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากทบวงพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) มาให้ความเห็นต่อร่างดังกล่าว พร้อมทั้งได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องทุกภาคฝ่าย เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2550 และนำข้อคิดเห็นที่ได้รับมาปรับปรุงร่างแผนงานฯ ที่สมบูรณ์ ประกอบด้วย 6 แผน คือ (1 )แผนงานด้านระบบกฎหมาย ระบบกำกับ และข้อผูกพันระหว่างประเทศ (2) แผนงานโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ (3) แผนการถ่ายทอดพัฒนาเทคโนโลยี และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (4) แผนด้านความปลอดภัยและการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (5)แผนการสื่อสารและการยอมรับของสาธารณะ และ (6) การวางแผนการดำเนินการโครงสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
2. คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ ได้เสนอร่างแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ต่อ กพช. ในการประชุมครั้งที่ 7/2550 (ครั้งที่ 116) เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2550 และที่ประชุมมีมติดังนี้
2.1 เห็นชอบในหลักการ แผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานฯ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ รับไปศึกษาในรายละเอียดเพื่อจัดทำแผนให้สมบูรณ์ และเสนอ กพช. ต่อไป
2.2 เห็นชอบให้มีการจัดตั้งสำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เป็นหน่วยงานภายในกระทรวงพลังงาน
2.3 เห็นชอบในการดำเนินโครงการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยจัดประชุมสัมมนาอย่างน้อย 8 ครั้ง ในระยะเวลา 6 เดือน
2.4 เห็นชอบแผนการดำเนินงานในช่วง 3 ปีแรก (พ.ศ. 2551 - 2553) โดยมอบหมายให้คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ รับไปกำหนดแผนการดำเนินงานในรายละเอียดต่อไป
2.5 เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณในช่วง 3 ปีแรก (พ.ศ. 2551 - 2553) จำนวน 1,800 ล้านบาท เพื่อใช้ในการจัดตั้งสำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ การดำเนินงานแผนงานด้านกฎหมาย ระบบกำกับและข้อผูกพันระหว่างประเทศ แผนงานด้านโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ แผนงานด้านพัฒนา ถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แผนงานด้านความปลอดภัยนิวเคลียร์และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม แผนงานด้านสื่อสารสาธารณะและการยอมรับของประชาชน และแผนงานด้านการเตรียมการจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ โดยให้ตั้งงบประมาณรวมอยู่ในกระทรวงพลังงาน และให้กระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาจัดหางบประมาณต่อไป
2.6 เห็นชอบให้การกำกับดูแลในระยะเริ่มแรกให้ใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่หลายฉบับไปพลางก่อน หลังจากนั้นมอบหมายให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รับไปยกร่างกฎหมายเฉพาะในการกำกับดูแล มาตรฐานและความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์ โดยครอบคลุมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
3. กระทรวงพลังงาน ได้มีข้อเสนอสำหรับการดำเนินงานตามแผนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ดังนี้
3.1 คณะอนุกรรมการยกร่างแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานพลังงานนิวเคลียร์ ได้มีการประชุมครั้งที่ 4/2550 (ครั้งที่ 4) เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2550 เพื่อรับทราบมติของ กพช. และให้คณะอนุกรรมการทั้ง 6 ชุด จัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงานและแผนงบประมาณในช่วง 3 ปีแรก (พ.ศ. 2551-2553) ซึ่งคาดว่าจะใช้จ่ายเงินประมาณ 450 ล้านบาท/ปี หรือจำนวนรวม 1,350 ล้านบาท
3.2 เพื่อให้การดำเนินงานตามแผนฯ มีความต่อเนื่องและทันตามกำหนดเวลาที่ กพช. เห็นชอบไว้ กระทรวงพลังงานจึงเสนอขอใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ให้ สนพ. ไว้สำหรับจัดสรรเป็นเงินช่วยเหลืออุดหนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 250 ล้านบาท/ปี หรือจำนวนรวม 750 ล้านบาท โดยมีแนวทางและขั้นตอนการจัดสรรเงินกองทุนฯ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ จัดทำแผนการดำเนินงานในรายละเอียดของแต่ละโครงการและหน่วยงานที่รับผิดชอบ พร้อมกำหนดแหล่งทุนที่จะใช้สำหรับโครงการนั้น
ขั้นตอนที่ 2 โครงการที่คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ กำหนดให้ใช้เงินจากกองทุนฯ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการฯ ยื่นข้อเสนอต่อ สนพ. เพื่อให้ความเห็นเสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ
ขั้นตอนที่ 3 ข้อเสนอที่คณะอนุกรรมการกองทุนฯ เห็นชอบแล้ว สนพ. จะแจ้งมติให้เจ้าของโครงการทราบ และลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญากับเจ้าของโครงการ การเบิกจ่ายเงินงวดแรกให้ "เจ้าของโครงการ" เป็นไปตามที่ระบุไว้ในหนังสือยืนยันหรือสัญญา
ขั้นตอนที่ 4 เจ้าของโครงการดำเนินการตามแผนงาน และรายงานผลให้ สนพ. ทราบทุกระยะ โดยมีคณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ รับรองรายงานแต่ละฉบับ
ขั้นตอนที่ 5 เมื่อต้องมีการจ่ายเงินตามงวดในหนังสือยืนยัน สนพ. จะดำเนินการเบิกเงินจากที่เก็บรักษาเงินกองทุนฯ เพื่อนำมารอจ่ายให้แก่เจ้าของโครงการ โดย สนพ. ต้องตรวจสอบให้เจ้าของโครงการดำเนินการตามหนังสือยืนยันหรือสัญญาก่อนจึงจ่ายเงินได้
ขั้นตอนที่ 6 สนพ. รายงานความก้าวหน้าและผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบเป็นระยะๆ รวมถึงติดตามประเมินผลโครงการด้วย
มติที่ประชุม
เห็นชอบการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ให้ สนพ. จำนวน 250 ล้านบาท/ปี หรือจำนวนรวม 750 ล้านบาท ไว้สำหรับจัดสรรเป็นเงินช่วยเหลืออุดหนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับดำเนินการตามแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ในช่วง 3 ปีแรก (พ.ศ.2551 - 2553) และเห็นชอบกรอบ แนวทางและขั้นตอนการจัดสรรเงินกองทุนฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยนำคำแนะนำของที่ประชุมไปปรับให้ชัดเจนขึ้น และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 7 ขอความเห็นชอบโครงการศูนย์สาธิตและพัฒนาพลังงานทดแทนจากข้าวครบวงจร
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า พพ. ได้จัดทำแผนงานเบื้องต้น "โครงการศูนย์สาธิตและพัฒนาพลังงานทดแทนจากข้าวครบวงจร" เสนอต่อ สนพ. เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานในวงเงินรวม 13,800,000 บาท (สิบสามล้านแปดแสนบาทถ้วน) ซึ่งมีระยะเวลาในการดำเนินโครงการฯ 6 เดือน
2. โครงการนี้มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
2.1 พพ. จะร่วมกับมูลนิธิชัยพัฒนา และกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ณ โรงสีข้าว จัดตั้งและสาธิตเครื่องจักรแปรรูปข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร คือ โรงสีข้าวชุมชนและเครื่องจักรผลิตไฟฟ้าจากแกลบ หรือ Gasifier ณ พื้นที่ของศูนย์บริการวิชาการเกษตร มูลนิธิชัยพัฒนา หมู่ 1 ตำบลบึงทองหลาง อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรหรือชีวมวล คือ แกลบ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยการนำไปผลิตเป็นกระแสไฟฟ้า อีกทั้งเครื่องจักรทั้งสองดังกล่าว ยังเป็นนวัตกรรมด้านวิศวกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรที่ได้ทำการศึกษา ออกแบบ วิจัย พัฒนา และประดิษฐ์ขึ้นด้วยฝีมือคนไทยทั้งหมด จนประสบความสำเร็จ และสามารถนำไปใช้งานได้จริง
2.2 ศูนย์บริการวิชาการเกษตร มูลนิธิชัยพัฒนา จะเป็นสถานที่ตัวอย่างพร้อมถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้กับเกษตรกรหรือผู้ที่สนใจในการดำเนินกิจกรรมข้าวแบบครบวงจร สอดคล้องกับดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในเรื่องทฤษฎี เศรษฐกิจพอเพียง คือ เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยเริ่มตั้งแต่การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว การเพาะปลูกข้าว การทำเขตกรรมนาข้าว การเก็บเกี่ยวข้าว การแปรรูปจากข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร การบริหารจัดการการตลาด รวมถึงการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอย่างแกลบจากโรงสีข้าวไปผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อป้อนกลับไปใช้ยังโรงสี และเหลือใช้ภายในชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับการสร้างพลังงานทดแทน และการอนุรักษ์พลังงาน โดยเกษตรกรสามารถใช้ทุกพื้นที่นาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
2.3 พพ. ขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงินทั้งสิ้น 16,300,000 บาท ประกอบด้วย
| หน่วยการผลิต | งบลงทุน (บาท) | (%) | |
| หน่วยงานผู้สนับสนุนโครงการ | |||
| กองทุนฯ | CP | ||
| 1. โรงสีข้าวชุมชน ซีพี-อาร์1000 (1,000 กก. ข้าวเปลือก/ชม.) | - | 2,500,000 | 15.34% |
| 2. Gasifier 200 kW (200 กิโลวัตต์) | 9,500,000 | - | 58.28% |
| 3. เครื่องอบลดความชื้น (30 ตัน ข้าวเปลือก/วัน) | 3,800,000 | - | 23.31% |
| 4. เครื่องสกัดน้ำมันรำ (80 กก. รำ/ชม.) | 500,000 | - | 3.07% |
| รวมเงินลงทุนทั้งโครงการ | 13,800,000 | 2,500,000 | 100.00% |
2. ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าโครงการนี้มีวัตถุประสงค์และแนวทางดำเนินโครงการฯ อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ จึงเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาเห็นชอบให้ สนพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ให้ พพ. ในวงเงิน 13,800,000 บาท โดย สนพ. จะแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ คือ ดร. สมชาติ โสภณรณฤทธิ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ ดร. วีระชัย อาจหาญ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ร่วมพิจารณาข้อเสนอดังกล่าว และเมื่อ พพ. ปรับแผนงานของโครงการฯ ตามความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิเรียบร้อยแล้ว ผอ.สนพ. จะได้พิจารณาเห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้ พพ. ต่อไป
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ สนพ. ใช้จ่ายเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการสนับสนุนการศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ปีงบประมาณ 2550 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติให้ สนพ. สามารถขยายระยะเวลาการผูกพันและใช้จ่ายเงินต่อไปได้ถึงเดือนธันวาคม 2550 จัดสรรให้ พพ. ในวงเงิน 13,800,000 บาท (สิบสามล้านแปดแสนบาทถ้วน) เพื่อนำไปใช้จ่ายสำหรับ "โครงการศูนย์สาธิตและพัฒนาพลังงานทดแทนจากข้าวครบวงจร" โดยดำเนินการตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นไว้
เรื่องที่ 8 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก แควน้อย
1. อธิบดี พพ. เสนอที่ประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 46) ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ แผนพัฒนาพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2551 วงเงินรวม 64,780,000 บาท ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก แควน้อย จ.พิษณุโลก โดยมีเงื่อนไขให้ พพ. เพิ่มเติมหนังสือจากกรมป่าไม้เห็นชอบให้เข้าดำเนินการในพื้นที่ได้ด้วยนั้น
2. เนื่องจากการขอหนังสือให้ความเห็นชอบจากกรมป่าไม้เห็นชอบ ต้องใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี ซึ่งเจ้าหน้าที่ของ พพ. จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเข้าไปดำเนินการขอใช้พื้นที่ป่าตามขั้นตอนของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้วย เช่น การดำเนินการร่วมประชุมกับราษฎร และ อบต. เพื่อขอมติจากที่ประชุมในการอนุญาตให้ใช้พื้นที่ รวมถึงเจ้าหน้าที่ของ พพ. ต้องเข้าสำรวจแนวเขตพื้นที่โครงการฯ เพื่อตรวจสอบสภาพพื้นที่ที่ขอใช้ก่อสร้างโครงการฯ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้ เป็นต้น พพ. จึงขอปรับแผนค่าใช้จ่ายโดยขอจัดสรรเงินจำนวน 3,307,800 บาท มาใช้เป็นค่าดำเนินงานบริหารโครงการฯ โดยวงเงินรวมไม่เปลี่ยนแปลง
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ พพ. เปลี่ยนแปลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กแควน้อย โดยจัดสรรเงินจำนวน 3,307,800 บาท ไปใช้เป็นค่าดำเนินงานบริหารโครงการฯ ได้ตามที่ขอมา
กองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ตุลาคม 2550
- กองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ตุลาคม 2550 (2280 Downloads)
กองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ตุลาคม 2550
- กองทุนสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ตุลาคม 2550 (853 Downloads)
งบประมาณกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตุลาคม 2550
- งบประมาณกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตุลาคม 2550 (1041 Downloads)
กอ. ครั้งที่ 46 - วันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2550

มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 46)
วันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2550 เวลา 9.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. เกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2550
2. ขอความเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2551-2554 และขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2551
3. ขออนุมัติปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
รองนายกรัฐมนตรี (นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กระทรวงพลังงาน ผู้เข้าร่วมประชุม
เรื่องที่ 1 เกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2550
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า กรมบัญชีกลาง (บก.) ได้รายงานผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2549 โดยภาพรวมมีคะแนนอยู่ในระดับ 3.6036 สรุปได้ดังต่อไปนี้
1.1 ผลการดำเนินงานด้านการเงิน (15%) ประกอบด้วย
ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละของงบประมาณที่มีการผูกพันสัญญาต่องบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากกองทุนฯ ผลการดำเนินงานสิ้นปี 2549 อยู่ในระดับร้อยละ 97.27 ส่งผลให้ได้รับคะแนน 5.00
ตัวชี้วัดที่ 1.2 ค่าใช้จ่ายเพื่อการบริหารกองทุนฯ ที่เกิดขึ้นจริงเทียบกับงบประมาณ ผลการดำเนินงานสิ้นปี 2549 อยู่ในระดับร้อยละ 84.96 ส่งผลให้ได้รับคะแนน 3.5413
1.2 ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ (35%) ประกอบด้วย
ตัวชี้วัดที่ 2.1 ร้อยละของจำนวนโครงการที่มีการทำสัญญาของแต่ละแผนงาน ต่อจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติทั้งหมดของแต่ละแผนงาน ผลการดำเนินงานสิ้นปี 2549 โดย แผนพลังงานทดแทน ได้คะแนน 3.0960 แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ได้คะแนน 3.8880 และแผนงานบริหารทางกลยุทธ์ ได้คะแนน 1.00
ตัวชี้วัดที่ 2.2 ร้อยละของจำนวนโครงการที่สามารถดำเนินงานได้ตามแผนภายในระยะเวลาที่กำหนดต่อจำนวนโครงการทั้งหมด โดยแผนพลังงานทดแทน ได้คะแนน 1.00 แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ได้คะแนน 1.0000 และ แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ ได้คะแนน 5.00
ตัวชี้วัดที่ 2.3 ร้อยละของการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ ประจำปี 2549 ได้คะแนน 1.00
1.3 การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (20%) ประกอบด้วย
ตัวชี้วัดที่ 3.1 การสำรวจความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้คะแนน 5.00
ตัวชี้วัดที่ 3.2 การจัดทำแผนการปรับปรุงการดำเนินงาน ได้คะแนน 4.00
1.4 การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน (30%) ประกอบด้วย
ตัวชี้วัดที่ 4.1 การจัดทำแผนกลยุทธ์กองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2550-2554 ได้คะแนน 4.00
ตัวชี้วัดที่ 4.2 การจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีบัญชี 2550 กองทุนฯ ได้คะแนน 4.00
ตัวชี้วัดที่ 4.3 การติดตามประเมินผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ได้คะแนน 5.0000
2. ความเห็นคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2550 (ครั้งที่ 11) เมื่อ 14 กันยายน 2550
2.1 รับทราบผลการประเมินฯ ประจำปีงบประมาณ 2549 และมีข้อสังเกตเรื่องคะแนนผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ที่อยู่ในระดับ 3.6036 เมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนอื่นๆ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า กองทุนหมุนเวียนที่มีลักษณะให้การส่งเสริมและเข้าสู่ระบบประเมินผลในปี 2549 มี 11 ราย กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานมีผลการประเมินจัดอยู่ในอันดับที่ 6 โดยคะแนนตัวชี้วัดด้านการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการที่ได้รับไม่เต็ม เนื่องจากการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ล่าช้า คณะอนุกรรมการฯ ที่ประชุมรับทราบและให้คำแนะนำว่างบประมาณของกองทุนฯ ปี 2550 ได้รับอนุมัติล่าช้าประมาณ 3 เดือน อาจส่งผลให้การดำเนินงานไม่ผ่านเกณฑ์ ฝ่ายเลขานุการฯ ควรหารือกับกรมบัญชีกลางขอผ่อนผันเพื่อปรับเกณฑ์การประเมินตามตัวชี้วัดดังกล่าวด้วย
2.2 เห็นชอบเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2550 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ รับทราบก่อน เสนอประธานกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณาลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินกับกระทรวงการคลัง
มติที่ประชุม
รับทราบผลการประเมินการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกองทุนฯ ประจำปี 2549 และเห็นชอบเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2550 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอประธานกรรมการกองทุน เพื่อโปรดพิจารณาลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินกับกระทรวงการคลัง ต่อไป
1. ผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2548-2550 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปรายงานที่ประชุมเพื่อทราบ ดังนี้
1.1 การดำเนินงานแต่ละด้านเป็นไปตามแผนงานฯ ที่กำหนดไว้ ก่อเกิดผลลดการใช้พลังงานได้ประมาณ 1,518 ktoe และมีการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น 3,713 ktoe ใกล้เคียงกับเป้าหมาย ณ ปี 2550 โดยเปรียบเทียบเป้าหมายกับผลประหยัดพลังงานที่คาดว่าจะได้รับ ณ ปี 2550 ได้ดังนี้
| แผนงาน | เป้าหมาย ปี 54 | เป้าหมาย | ผล |
| ปี 50 | ปี 50 | ||
| ktoe | ktoe | ktoe | ktoe |
| (1) แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 7,693 | 1,557 | 1,518 |
| 1. อุตสาหกรรม | 3,832 | 492 | 567 |
| 2. ขนส่ง | 3,290 | 861 | 726 |
| 3. บ้านและการจัดการ | 571 | 204 | 225 |
| (2) แผนงานด้านพลังงานทดแทน | 11,311 | 3,555 | 3,713 |
| 1. ส่งเสริม NGV | 4,348 | 405 | 540 |
| 2. ส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน | 6,963 | 3,150 | 3,173 |
1.2 ผลงานที่สำคัญในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2548-2550 เช่น
(1) ปรับปรุงแก้ไข พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 เพื่อให้บทบัญญัติบางประการเหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน และผ่านขั้นตอนความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อทูลเกล้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ลงพระปรมาภิไธย
จากการแก้ไข พ.ร.บ.ฯ ฉบับดังกล่าว ต้องมีการปรับปรุงกฎหมายลำดับรองที่ออกตามมาด้วย ซึ่งกระทรวงพลังงานได้เตรียมเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ตามลำดับต่อไป
(2) กำหนดมาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้พลังงาน โดยจัดทำแผน 5 ปี (2550-2554) เพื่อออกกฎกระทรวงฯ กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ (MEPs) และการส่งเสริม (ติดฉลาก) เครื่องจักรและอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน รวมทั้งสิ้น 35 ผลิตภัณฑ์
- (3) การส่งเสริม ช่วยเหลือ อุดหนุน ด้านอนุรักษ์พลังงาน เช่น
โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม เกิดผลประหยัด 1,979 ล้านบาทต่อปี
โครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษี เกิดผลประหยัดจากมาตรการ Cost based 375 ล้านบาทต่อปี มาตรการ Performance based 402 ล้านบาทต่อปี และสิทธิประโยชน์ด้านภาษี (BOI) 1,027 ล้านบาทต่อปี
โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน เกิดผลประหยัดในระยะที่ 1 จำนวน 1,403 ล้านบาทต่อปี และระยะที่ 2 จำนวน 1,545 ล้านบาทต่อปี
(4) การลดการใช้พลังงานในภาคขนส่ง จากการใช้ระบบขนส่งมวลชนโดยมีผู้ใช้รถไฟฟ้าประมาณ 600,000 คนต่อวัน ใน 3 สายทาง การปรับปรุงระบบจราจร ทำให้ความเร็วเฉลี่ยเขตเมือง เพิ่มขึ้น จาก 10 กม./ชม. เป็น 15 กม./ชม. การจัดทำเวบไซต์ Thai Truck Center เพื่อลดการเดินรถเที่ยวเปล่า มีสมาชิกแล้วจำนวน 5,224 ราย และการจัดทำพื้นที่จอดแล้วจร 12 แห่ง รองรับรถยนต์ได้ 5,707 คัน
(5) ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ดำเนินการในหลายด้านๆ ทั้งการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง มาตรการส่งเสริมต่างๆ ทำให้เกิดการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น 3,713 ktoe เช่น
การขยายระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยขยาย จากไม่เกิน 1 MW เป็นไม่เกิน 10 MW ทำให้มี VSPP รายใหม่ ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้า 564 MW ตอบรับซื้อไฟฟ้า 45 ราย 231.7 MW
ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration จากการประกาศรับซื้อไฟฟ้ารอบแรก 500 MW นั้น มี SPP ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้า 31 ราย รวม 2,416 MW
การกำหนดส่วนเพิ่มอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทั้ง SPP และ VSPP ด้วยกลไกการแข่งขัน มี SPP ซื้อซอง 11 ราย ยื่นซอง 9 ราย เป็นชีวมวล 435 MW
การสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำเพื่อพลังงานทดแทน ให้เอกชน 62 ราย ลงทุนเปลี่ยนอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อเปลี่ยนเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันเตาเป็นชีวมวล 36 ราย และเปลี่ยนมาใช้ก๊าซชีวภาพ 26 ราย
มาตรการอุดหนุนเงินลงทุน ค่าออกแบบ และค่าบริหารโครงการ ด้านพลังงานหมุนเวียน ช่วยให้มีการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น ณ ปี 2550 โดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายได้ดังนี้
| เป้าหมาย | ผลปี 50 | หน่วย | ||
| ปี 54 | ปี 50 | |||
| การผลิตไฟฟ้า | ||||
| 1) พลังงานแสงอาทิตย์ | 45 | 31 | 31 | MW |
| 2) พลังงานลม | 115 | 4 | 0.15 | MW |
| 3) พลังงานน้ำ | 156 | 104 | 62 | MW |
| 4) พลังงานชีวมวล | 2,800 | 2,077 | 1,977 | MW |
| 5) ขยะ | 100 | 10 | 4 | MW |
| 6) ก๊าซชีวภาพ | 30 | 8 | 29.20 | MW |
| การใช้ความร้อน | ||||
| 7) พลังงานชีวมวล | 3,851 | 2,217 | 2,087 | ktoe/ปี |
| การใช้น้ำมันและแอลกอฮอล์จากพืช | ||||
| 8) เอทานอล | 3.0 | 0.9 | 0.55 | ล้านลิตร/วัน |
| 9) ไบโอดีเซล | 4.0 | 0.5 | 0.07 | ล้านลิตร/วัน |
2. ฝ่ายเลขานุการฯ แจ้งต่อที่ประชุมว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติจัดสรรเงินงบประมาณประจำปี 2550 ให้ 3 หน่วยงาน คือ พพ. สนพ. และกรมบัญชีกลาง เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ในวงเงิน 3,487,758,344 บาท และเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2550 ได้อนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้ พพ. เพิ่มเติม 3 โครงการ รวม 154,700,000 บาท รวมวงเงินจัดสรรในปีงบประมาณ 2550 รวมทั้งสิ้น 3,642,458,344 บาท จำแนกได้ดังนี้
| หน่วยงาน | แผนพลังงานทดแทน | แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
| 1) พพ. | 1,719,772,500 | 733,050,000 | - | 2,452,822,500 |
| 2) สนพ. | 529,500,000 | 472,611,000 | 186,405,104 | 1,188,516,104 |
| 3) กรมบัญชีกลาง | - | - | 1,119,740 | 1,119,740 |
| รวม | 2,249,272,500 | 1,205,661,000 | 187,524,844 | 3,642,458,344 |
เนื่องจากระยะเวลาดำเนินการตามแผนปีงบประมาณ 2550 มีเวลาเพียง 9 เดือน งานส่วนใหญ่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาจัดสรรทุน และการจัดหา จัดซื้อ จัดจ้าง การประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามระเบียบและประกาศของกระทรวงการคลัง จึงไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันตามประมาณการรายจ่ายได้ทันในเดือนกันยายน 2550 ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติให้ทั้ง 3 หน่วยงาน ขยายเวลาการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ตามแผนงานต่างๆ ต่อไปได้ถึงเดือนธันวาคม 2550
3. แผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2551-2554 กระทรวงพลังงานได้พิจารณาศักยภาพและมาตรการที่จะดำเนินการในช่วงต่อไปกับสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว จึงเสนอปรับเป้าหมายและวิธีดำเนินการบางมาตรการเพื่อให้ผลที่คาดว่าจะได้รับชัดเจนและเร่งให้เร็วขึ้นได้ ดังนี้
3.1 เป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2551-2554
| แผนงาน | เป้าหมายเดิม (26 ธันวาคม 2549) |
เป้าหมายใหม่ (14 กันยายน 2550) |
||
| ktoe | ร้อยละ | ktoe | ร้อยละ | |
| (1) แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 7,694 | 10.5 | 7,088 | 9.6 |
| - สาขาอุตสาหกรรม | 3,832 | 5.2 | 2,581 | 3.5 |
| - สาขาขนส่ง | 3,290 | 4.5 | 3,290 | 4.5 |
| - การจัดการด้านการใช้พลังงาน | 572 | 0.8 | 1,217 | 1.6 |
| (2) แผนงานด้านพลังงานทดแทน | 11,311 | 15.4 | 11,206 | 15.2 |
| - ส่งเสริม NGV | 4,348 | 5.9 | 4,518 | 6.1 |
| - พลังงานหมุนเวียน * | 6,963 | 9.5 | 6,688 | 9.0 |
* เป้าหมายของการใช้พลังงานหมุนเวียนจำแนกประเภทได้ดังนี้
| ประเภทพลังงาน | ไฟฟ้า | ความร้อน | เชื้อเพลิงชีวภาพ | รวม | ||
| MW | ktoe | ktoe | ล้านลิตร/วัน | ktoe | ktoe | |
| แสงอาทิตย์ | 45 | 4 | 5 | - | - | 9 |
| พลังลม | 115 | 13 | - | - | - | 13 |
| ไฟฟ้าพลังน้ำ | 156 | 17 | - | - | - | 18 |
| ชีวมวล | 2,800 | 941 | 3,660 | - | - | 4,601 |
| ขยะ | 100 | 45 | - | - | - | 45 |
| ก๊าซชีวภาพ * | 60 | 27 | 370 | - | - | 397 |
| เอทานอล | - | - | - | 2.4 | 653 | 653 |
| ไบโอดีเซล | - | - | - | 3.0 | 953 | 953 |
| รวม | 3,276 | 1,047 | 4,035 | 5.4 | 1,606 | 6,688 |
3.2 เป้าหมายการประหยัดพลังงานในภาคอตุสาหกรรม ลดจาก 3,832 ktoe เป็น 2,581 ktoe เนื่องจากงานปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะประหยัดพลังงานได้ 1,400 ktoe ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา และในช่วงปี 2551-2554 จะเร่งดำเนินการและเพิ่มมาตรการที่คาดว่าจะลดการใช้พลังงานได้อีก 794 ktoe สรุปโครงการที่สำคัญ เช่น
3.1.1 เร่งรัดการจัดการออกกฎกระทรวงตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ... เพื่อให้วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน ได้มาตรฐานมีประสิทธิภาพด้านพลังงาน
3.1.2 เร่งส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยใช้มาตรการส่งเสริม สนับสนุนและจูงใจทั้งด้านการเงิน มาตรการทางภาษี และการคำแนะนำทางด้านเทคนิค เพิ่มแนวทางใหม่เสริมกับมาตรการที่มีอยู่ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกลงทุนอนุรักษ์พลังงาน ดังนี้
(1) สนับสนุนธุรกิจบริษัทจัดการพลังงาน ESCO โดยจัดตั้งกองทุนเพื่อร่วมลงทุนและส่งเสริมการลงทุนให้โครงการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน โดยใช้เงินจากกองทุนฯ ไปเข้าร่วมทุนในโครงการ ในปี 2551 จะทดลองดำเนินการในวงเงิน 500 ล้านบาท คาดว่าจะเกิดการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนมากกว่า 2,500 ล้านบาท เกิดผลประหยัดด้านพลังงานมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท/ปี
(2) ส่งเสริมการจัดการด้านการใช้พลังงานโดยวิธีประกวดราคา โดยใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนอัตราต่อหน่วยพลังงานที่ประหยัดได้ ด้วยการเชิญชวนผู้ประกอบการยื่นข้อเสนอวิธีการที่จะปรับปรุงการใช้พลังงาน และเสนอขอรับเงินสนับสนุนต่อค่าพลังงานที่ประหยัดได้ ตามอัตราที่ต้องการและไม่เกินวงเงินที่กองทุนฯ กำหนด คาดว่าจะช่วยลดการใช้พลังงานได้ไม่น้อยกว่า 500 ล้านหน่วย/ปี ลดความต้องการไฟฟ้าได้ 77 MW ช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานความร้อน 1.7 ล้าน MMBTU/ปี เทียบเท่าน้ำมันดิบ 48 ล้านลิตร/ปี
(3) รณรงค์ให้มีการเปลี่ยนมาใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ T5 หรือหลอดผอมใหม่เบอร์ 5 แทนหลอดฟลูออเรสเซนต์ T8 หรือหลอดผอมเดิม เพื่อประหยัดพลังงานไฟฟ้าของประเทศ โดยมีเป้าหมายของ 100 ล้านหลอด หรือประมาณร้อยละ 50 ของจำนวนหลอดในระบบ คาดว่าจะลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ 4,111 ล้านหน่วย/ปี นับตั้งแต่ปี 2555 ลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุดได้ 891 เมกะวัตต์ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ 2.1 ล้านตัน/ปี
(4) ส่งเสริมลดการใช้พลังงานในสาขาขนส่ง ได้แก่ การจัดเตรียมพื้นที่จอดแล้วจร (Park&Ride) และศึกษากฎหมายเรื่องการกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะ เพื่อให้ความรู้กับผู้ใช้ยานพาหนะทราบเรื่องการขับ/ขี่ที่ความเร็วไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดในแต่ละเขตทาง สำหรับการขนส่งสินค้าจะเริ่มเข้าไปช่วยผู้ประกอบกิจการบริการขนส่งสินค้าโดยตรงเพื่อศึกษาความเหมาะสมวิธีลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และต้องนำผลการศึกษาไปทำจริง สร้างแนวทางจูงใจใหม่ให้ผู้ประกอบกิจการต่างๆ ลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในกิจการของตน พร้อมทั้งจัดโปรแกรมฝึกอบรมวิธีการขับประหยัดน้ำมันและปลอดภัยให้กับ ผู้ขับยานพาหนะของหน่วยงานรัฐและเอกชน
3.3 ด้านการใช้พลังงานทดแทนเป้าหมายลดลง 275 ktoe เนื่องจากปรับเป้าหมายการใช้น้ำมันไบโอดีเซลและเอทานอลลง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการน้ำมันที่ได้ชะลอตัวลงจากอดีตที่เคยคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตามในช่วงปี 2551-2554 จะเร่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุนและพัฒนาพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น ด้วยการเร่งผลักดันพลังงานทดแทนที่เหมาะสมกับประเทศไทย ดังนี้
3.3.1 ส่งเสริมการก๊าซชีวภาพ จากฟาร์มสุกร โรงงานแป้งมันสำปะหลัง และน้ำเสียจากโรงงาน เป็นต้น โดยมีเป้าหมายจะผลิตก๊าซชีวภาพ 1,060 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ทดแทนพลังงานเทียบเท่าน้ำมันดิบปีละ 397,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 6,970 ล้านบาทต่อปี ทำให้เป้าหมายก๊าซชีวภาพทางด้านไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 30 MW เป็น 60 MW และด้านความร้อนเพิ่มขึ้นเป็น 370 ktoe จาก 186 ktoe
3.3.2 การผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำ การแปรรูปขยะเป็นพลังงาน การใช้พลังงานจากลม และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ได้มีแผนปฏิบัติการ รายละเอียดวิธีการดำเนินงาน และเป้าหมายในแต่ละปีที่ชัดเจนมากขึ้น
4. การดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2551-2554 ตามข้อ 2 จะขอจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปดำเนินการในวงเงินรวมประมาณ 16,132 ล้านบาท โดยสรุปแผนการใช้จ่ายเงินได้ดังนี้
| แผนใช้จ่ายเงิน ปี | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | 2555 | รวม 5 ปี |
| 1) แผนพลังงานทดแทน | 2,588 | 940 | 1,065 | 880 | 1,110 | 6,582 |
| 2) แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 5,838 | 2,356 | 428 | 351 | 328 | 9,300 |
| 3) แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | 250 | - | - | - | - | 250 |
| รวมทั้งสิ้น | 8,675 | 3,295 | 1,493 | 1,231 | 1,438 | 16,132 |
หมายเหตุ: แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในแผนงาน/งานเดียวกันได้
5. ฐานะทางการเงินของกองทุนฯ ตามแผนงานและแผนการจัดสรรเงินในข้อ 3 และข้อ 4 ปรากฏดังตารางต่อไปนี้

หมายเหตุ :
(1) ประมารการรายรับล่วงหน้าปี 2551 ได้รับโอนเงินจำนวน 3,000 ล้านบาท จากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีมาสมทบเป็นรายได้ให้กับกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน
(2) ประมาณการรายจ่ายล่วงหน้าคาดว่าจะขออนุมัติเพิ่มเติมระหว่างปี 2552-2556 ประมาณปีละ 3,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเบิกจ่ายได้เฉลี่ยร้อยละ 70 ของงบประมาณที่ได้รับ
6. จากตารางตามข้อ 5 ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2551 ฐานะการเงินของกองทุนฯ ติดลบ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอแนวทางเพิ่มสภาพคล่องให้กับฐานะการเงินของกองทุนฯ โดยกำหนดอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ สำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซล จาก 7 สตางค์ต่อลิตร เป็นอัตรา 25 สตางค์ต่อลิตร ก็จะทำให้ฐานะการเงินของกองทุนฯ เป็นบวก โดยดำเนินการวันเดียวกับการประกาศลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซลลง 18 สตางค์ต่อลิตร เพื่อไม่ให้มีผลต่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อมีการชดใช้หนี้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหมดแล้ว คาดว่าประมาณเดือนธันวาคม 2550 - มกราคม 2551 ซึ่งจะทำให้ฐานะการเงินของกองทุนฯ ดังนี้

มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 และในการประชุมครั้งที่ 1/2550 (ครั้งที่ 45) เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2550 ได้อนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และกรมบัญชีกลาง เพื่อใช้ตามแผนงานปีงบประมาณ 2550 รวมทั้งสิ้น 3,642,458,344 บาท (สามพันหกร้อยสี่สิบสองล้านสี่แสนห้าหมื่นแปดพันสามร้อยสี่สิบสี่บาทถ้วน) นั้น สามารถขยายระยะเวลาการผูกพันและใช้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวต่อไปได้ถึงเดือนธันวาคม 2550 สรุปได้ดังนี้
| หน่วยงาน | แผนพลังงานทดแทน | แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
| 1) พพ. | 1,719,772,500 | 733,050,000 | - | 2,452,822,500 |
| 2) สนพ. | 529,500,000 | 472,611,000 | 186,405,104 | 1,188,516,104 |
| 3) กรมบัญชีกลาง | - | - | 1,119,740 | 1,119,740 |
| รวม | 2,249,272,500 | 1,205,661,000 | 187,524,844 | 3,642,458,344 |
2. เห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 3 ในช่วงปี 2551-2554 และอนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อใช้ตามแผนงานดังกล่าว ในวงเงินรวม 16,132,273,859 บาท (หนึ่งหมื่นหกพันหนึ่งร้อยสามสิบสองล้านสองแสนเจ็ดหมื่นสามพันแปดร้อยห้าสิบเก้าบาทถ้วน) และคาดว่าจะเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาจัดสรรเพิ่มเติมในแต่ละปี จะมีวงเงินเฉลี่ย 3,000 ล้านบาท/ปี สำหรับวงเงิน 16,132,273,859 บาท นำมาจัดสรรให้ 3 หน่วยงาน ดังต่อไปนี้
2.1 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เพื่อใช้ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2551-2555 ในวงเงินรวม 11,851,176,782 บาท (หนึ่งหมื่นหนึ่งพันแปดร้อยห้าสิบเอ็ดล้านหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นหกพันเจ็ดร้อยแปดสิบสองบาทถ้วน) ตามรายละเอียดแผนงาน/โครงการและแนวทางการใช้จ่ายเงินตามที่ปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 4.1.2
2.2 ให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เพื่อใช้ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในปีงบประมาณ 2551 ในวงเงินรวม 4,279,988,401 บาท (สี่พันสองร้อยเจ็ดสิบเก้าล้านเก้าแสนแปดหมื่นแปดพันแปดสี่ร้อยหนึ่งบาทถ้วน) ตามรายละเอียดแผนงาน/โครงการและแนวทางการใช้จ่ายเงินตามที่ปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 4.1.4-4.1.5 โดยมีเงื่อนไขให้ พพ. จัดทำรายละเอียดของโครงการเพิ่มเติมในบางโครงการฯ และเสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ
2.3 อนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ งานบริหารจัดการ ให้กรมบัญชีกลาง ในวงเงินรวม 1,108,676 บาท (หนึ่งล้านหนึ่งแสนแปดพันหกร้อยเจ็ดสิบหกบาทถ้วน) เพื่อใช้ในงานบริหารจัดการประจำปีงบประมาณ2551ตามรายละเอียดแผนงาน/โครงการที่ปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 4.1.3
3. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ สำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซล จากเดิมเก็บในอัตรา 7 สตางค์/ลิตร เป็นอัตรา 25 สตางค์ต่อลิตร
4. ให้ สนพ. และ พพ. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานให้ฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อสรุปรายงานคณะอนุกรรมการกองทุนฯ ทุก 3 เดือน และคณะกรรมการกองทุนฯ ทุก 6 เดือน
เรื่องที่ 3 ขออนุมัติปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า มีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปแล้ว ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้ รวม 8 โครงการ ดังนี้
1.1 ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 6 โครงการ คือ
| โครงการ | หน่วยงาน | เดิม | ขยายถึง | |
| (1) | โครงการการส่งเสริมการผลิตถ่านและการจัดการทรัพยากรไม้อย่างมีประสิทธิภาพ | สมาคมเทคโนโลยีที่เหมาะสม | กันยายน 2549 | กันยายน 2550 |
| (2) | โครงการสร้างขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืนในถิ่นทุรกันดาร : กรณีศึกษาพื้นที่อำเภอบ่อเกลือ และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน | ม. พระจอมเกล้าธนบุรี | กุมภาพันธ์ 2549 | กรกฎาคม2550 |
| (3) | โครงการศึกษากระบวนการสร้างชุมชนเข้มแข็ง ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม |
ม. ราชมงคลล้านนา | กรกฎาคม 2550 | กันยายน 2550 |
| (4) | โครงการส่งเสริมการเรียนการสอนเรื่องการอนุรักษ์พลังงาน ในระดับอุดมศึกษา ด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ |
ม. ธรรมศาสตร์ | กันยายน 2550 | กันยายน 2551 |
| (5) | การสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษา จำนวน 4 หน่วยงาน | ม. ราชภัฏเลย
ม. เกษตรศาสตร์ ม. พระจอมเกล้าธนบุรี ม. สงขลานครินทร์ |
กรกฎาคม 2550
ธันวาคม 2550 พฤศจิกายน 2550 มกราคม 2551 |
|
| (6) | ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือน นับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา จำนวน 24 ราย |
พพ. | 3 เดือนนับจากวันสิ้นสุดสัญญา | |
1.2 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รวม 2 โครงการ คือ
| โครงการ | หน่วยงาน | ขอเปลี่ยนแปลง | |
| (1) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศ จำนวน 1 หน่วยงาน | พพ. | ขอใช้เงินคงเหลือจำนวน 23,580 บาท จากงบประมาณที่ได้รับอนุมัติไว้ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาเพิ่มเติมอีก 1 ภาคการศึกษา เนื่องจากมหาวิทยาลัยได้เปลี่ยนแผนการเรียน จากเดิม 4 ภาคปกติ และ 2 ภาคฤดูร้อน เป็นการเรียนในภาคเรียนปกติ 5 ภาคเรียน |
| (2) | การสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษา จำนวน 2 หน่วยงาน | ม. แม่ฟ้าหลวง | ขอขยายเวลาดำเนินโครงการวิจัยให้กับ นายธำรงศักดิ์ จินดาเพ็ชร ถึง ตุลาคม 2550 และขอเปลี่ยนชื่อโครงการวิจัย เป็น "สมบัติทางไฟฟ้าและเชิงกลของวัสดุ อิเล็กโทรไลต์ DGC ที่เติมด้วย TZP" |
| สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ | ขอเปลี่ยนชื่อโครงการวิจัย ของ นางสาวลินดา เพ่งสุวรรณ เป็น "ประสิทธิผลของสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการประหยัดพลังงานในอาคาร : กรณีศึกษา นักศึกษาปริญญาโท ภาคปกติ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์" | ||
2. คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ ครั้งที่ 5/2550 (ครั้งที่ 11) เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 ได้พิจารณาการขอปรับรายละเอียดโครงการดังกล่าวแล้ว เห็นว่าโครงการตามข้อ 1.1 และข้อ 1.2 รวม 8 โครงการ ที่ขอขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดโครงการมานั้น ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง จึงเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดโครงการได้ตามที่เสนอมา และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ ขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ทั้ง 8 โครงการ ตามข้อ 1.1 และข้อ 1.2 ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2550 ได้เห็นชอบเรื่องแนวทางการออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ (Independent Power Producer : IPP) สำหรับการจัดหาไฟฟ้าในช่วงปี พ.ศ. 2555 - 2557 ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เสนอ โดยมี สนพ. กระทรวงพลังงาน และคณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน เป็นผู้ดำเนินการออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP และเห็นชอบให้ สนพ. สามารถนำรายได้ที่เกิดขึ้นในโครงการฯ ไปเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาเพื่อประเมินและคัดเลือกข้อเสนอฯ และหากมีรายได้คงเหลือ ให้ สนพ. นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ
2. การดำเนินงานที่ผ่านมา
2.1 ขั้นตอนดำเนินงานออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าสำหรับ IPP กำหนดไว้ดังนี้
| 1) ออกประกาศเชิญชวน | 29 มิถุนายน 2550 |
| 2) กำหนดการ IPP ยื่นข้อเสนอ | 19 ตุลาคม 2550 |
| 3) ประเมินและคัดเลือกแล้วเสร็จ | 16 พฤศจิกายน 2550 |
| 4) ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วเสร็จ | มิถุนายน 2551 |
| 5) จัดหาเงินกู้แล้วเสร็จ (Financial Closed) | มิถุนายน 2552 |
| 6) เริ่มการก่อสร้างโรงไฟฟ้า | มิถุนายน 2552 |
| 7) วันเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ | พ.ศ. 2555 - 2557 |
2.2 เพื่อให้การออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP เป็นไปตามแผนงานฯ ซึ่งมีความเร่งด่วนในการดำเนินการ สนพ. จึงได้ดำเนินการจ้างที่ปรึกษาด้านระบบส่งสำหรับโครงการศึกษาสนับสนุนการดำเนินงานรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (ITSA) ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 83 วรรคสอง โดยวิธีตกลง และได้ทำสัญญาจ้างที่ปรึกษาเลขที่ KO. 2/2550 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2550 โดยใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3. ปัญหาของการดำเนินงานจ้างที่ปรึกษาและข้อเสนอเพื่อพิจารณา
3.1 การจ้างที่ปรึกษาด้านระบบส่งฯ สนพ. ได้ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 83 วรรคสอง ที่ให้หัวหน้าส่วนราชการทำรายงานชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นของการจ้างโดยวิธีตกลงให้ คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) ทราบ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้มีการจ้าง โดย สนพ. ได้รายงานเสนอ กวพ. แล้วตามหนังสือลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2550
3.2 การพิจารณาเรื่องการจ้างที่ปรึกษา ITSA ดังกล่าวซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนนั้น ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาโดยกรมบัญชีกลางเพื่อเสนอ กวพ. ให้ความเห็น ที่ใช้เวลามานานพอสมควร ประกอบกับ สนพ. ได้เคยหารือกับคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการนำระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยพัสดุ พ.ศ.2535 มาอนุโลมใช้บังคับกับเงินกองทุนฯ ซึ่ง กวพ. ได้เคยตอบข้อหารือไว้แล้วว่า "การหารือเกี่ยวกับการดำเนินการด้านพัสดุ โดยใช้จ่ายจากเงินกองทุนซึ่งไม่อยู่ในข่ายบังคับของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยพัสดุ พ.ศ.2535 กวพ. จึงไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยข้อหารือดังกล่าวได้"
3.3 สนพ. ได้พิจารณาทบทวนขั้นตอนการดำเนินการในเรื่องการจ้างที่ปรึกษา ITSA แล้วเห็นว่า กวพ. อาจไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยข้อหารือในเรื่องนี้เช่นกัน และเนื่องจากคณะกรรมการกองทุนฯ ยังไม่ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติตามระเบียบพัสดุ ข้อ 83 วรรคสอง ไว้ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงอาศัยอำนาจตามระเบียบคณะกรรมการการกองทุนฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนพิจารณา
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ สนพ. จัดจ้างที่ปรึกษาด้านระบบส่งสำหรับโครงการศึกษาสนับสนุนการดำเนินงานรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ตามสัญญาจ้างที่ปรึกษาเลขที่ KO. 2/2550 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2550 โดยวิธีตกลง ได้ตามที่ สนพ. เสนอ
อนุ กอ. ครั้งที่ 11 - วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2550

มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 5/2550 (ครั้งที่ 11)
วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2550 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. รายงานผลการประเมินการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2549
2. ขอความเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ในช่วงปี 2551-2554
3. ขอความเห็นชอบเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2550 และการลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2550
4. ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า กรมบัญชีกลาง (บก.) ได้รายงานผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2549 โดยภาพรวมมีคะแนนอยู่ในระดับ 3.6036 สรุปได้ดังต่อไปนี้
1. ผลการดำเนินงานด้านการเงิน (15%) ประกอบด้วย
ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละของงบประมาณที่มีการผูกพันสัญญาต่องบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากกองทุนฯ ผลการดำเนินงานสิ้นปี 2549 อยู่ในระดับร้อยละ 97.27 ส่งผลให้ได้รับคะแนน 5.00
ตัวชี้วัดที่ 1.2 ค่าใช้จ่ายเพื่อการบริหารกองทุนฯ ที่เกิดขึ้นจริงเทียบกับงบประมาณ ผลการดำเนินงานสิ้นปี 2549 อยู่ในระดับร้อยละ 84.96 ส่งผลให้ได้รับคะแนน 3.5413
2. ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ (35%) ประกอบด้วย
ตัวชี้วัดที่ 2.1 ร้อยละของจำนวนโครงการที่มีการทำสัญญาของแต่ละแผนงาน ต่อจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติทั้งหมดของแต่ละแผนงาน ผลการดำเนินงานสิ้นปี 2549 โดย แผนพลังงานทดแทน ได้คะแนน 3.0960 แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ได้คะแนน 3.8880 และแผนงานบริหารทางกลยุทธ์ ได้คะแนน 1.00
ตัวชี้วัดที่ 2.2 ร้อยละของจำนวนโครงการที่สามารถดำเนินงานได้ตามแผนภายในระยะเวลาที่กำหนดต่อจำนวนโครงการทั้งหมด โดยแผนพลังงานทดแทน ได้คะแนน 1.00 แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ได้คะแนน 1.0000 และ แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ ได้คะแนน 5.00
ตัวชี้วัดที่ 2.3 ร้อยละของการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ ประจำปี 2549 ได้คะแนน 1.00
3. การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (20%) ประกอบด้วย
ตัวชี้วัดที่ 3.1 การสำรวจความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้คะแนน 5.00
ตัวชี้วัดที่ 3.2 การจัดทำแผนการปรับปรุงการดำเนินงาน ได้คะแนน 4.00
4. การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน (30%) ประกอบด้วย
ตัวชี้วัดที่ 4.1 การจัดทำแผนกลยุทธ์กองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2550-2554 ได้คะแนน 4.00
ตัวชี้วัดที่ 4.2 การจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีบัญชี 2550 กองทุนฯ ได้คะแนน 4.00
ตัวชี้วัดที่ 4.3 การติดตามประเมินผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ได้คะแนน 5.0000
ข้อสังเกตของที่ประชุม
ที่ประชุมได้สอบถามถึงคะแนนผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ที่อยู่ในระดับ 3.6036 เมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนอื่นๆ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า กองทุนหมุนเวียนที่มีลักษณะให้การส่งเสริมและเข้าสู่ระบบประเมินผลในปี 2549 มี 11 ราย กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานมีผลการประเมินจัดอยู่ในอันดับที่ 6 โดยคะแนนตัวชี้วัดด้านการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการที่ได้รับไม่เต็ม เนื่องจากการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ล่าช้า ที่ประชุมรับทราบและให้คำแนะนำว่างบประมาณของกองทุนฯ ปี 2550 ได้รับอนุมัติล่าช้าประมาณ 3 เดือน อาจส่งผลให้การดำเนินงานไม่ผ่านเกณฑ์ ฝ่ายเลขานุการฯ ควรหารือกับกรมบัญชีกลางขอผ่อนผันเพื่อปรับเกณฑ์การประเมินตามตัวชี้วัดดังกล่าวด้วย
มติที่ประชุม
รับทราบและให้ฝ่ายเลขานุการฯ หารือกรมบัญชีกลางขอผ่อนผันเกณฑ์การประเมินผลกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานปีงบประมาณ 2550 ตามคำแนะนำของที่ประชุม
เรื่องที่ 2 ขอความเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ในช่วงปี 2551-2554
1. ผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2548-2550 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปรายงานที่ประชุมเพื่อทราบ ดังนี้
1.1 การดำเนินงานแต่ละด้านเป็นไปตามแผนงานฯ ที่กำหนดไว้ ก่อเกิดผลลดการใช้พลังงานได้ประมาณ 1,518 ktoe และมีการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น 3,713 ktoe ใกล้เคียงกับเป้าหมาย ณ ปี 2550 โดยเปรียบเทียบเป้าหมายกับผลประหยัดพลังงานที่คาดว่าจะได้รับ ณ ปี 2550 ได้ดังนี้
| แผนงาน | เป้าหมาย ปี 54 | เป้าหมาย | ผล |
| ปี 50 | ปี 50 | ||
| ktoe | ktoe | ktoe | ktoe |
| (1) แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 7,693 | 1,557 | 1,518 |
| 1. อุตสาหกรรม | 3,832 | 492 | 567 |
| 2. ขนส่ง | 3,290 | 861 | 726 |
| 3. บ้านและการจัดการ | 571 | 204 | 225 |
| (2) แผนงานด้านพลังงานทดแทน | 11,311 | 3,555 | 3,713 |
| 1. ส่งเสริม NGV | 4,348 | 405 | 540 |
| 2. ส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน | 6,963 | 3,150 | 3,173 |
1.2 ผลงานที่สำคัญในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2548-2550 เช่น
(1) ปรับปรุงแก้ไข พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 เพื่อให้บทบัญญัติบางประการเหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน และผ่านขั้นตอนความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อทูลเกล้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ลงพระปรมาภิไธย
จากการแก้ไข พ.ร.บ.ฯ ฉบับดังกล่าว ต้องมีการปรับปรุงกฎหมายลำดับรองที่ออกตามมาด้วย ซึ่งกระทรวงพลังงานได้เตรียมเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ตามลำดับต่อไป
(2) กำหนดมาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้พลังงาน โดยจัดทำแผน 5 ปี (2550-2554) เพื่อออกกฎกระทรวงฯ กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ (MEPs) และการส่งเสริม (ติดฉลาก) เครื่องจักรและอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน รวมทั้งสิ้น 35 ผลิตภัณฑ์
(3) การส่งเสริม ช่วยเหลือ อุดหนุน ด้านอนุรักษ์พลังงาน เช่น
โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม เกิดผลประหยัด 1,979 ล้านบาทต่อปี
โครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษี เกิดผลประหยัดจากมาตรการ Cost based 375 ล้านบาทต่อปี มาตรการ Performance based 402 ล้านบาทต่อปี และสิทธิประโยชน์ด้านภาษี (BOI) 1,027 ล้านบาทต่อปี
โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน เกิดผลประหยัดในระยะที่ 1 จำนวน 1,403 ล้านบาทต่อปี และระยะที่ 2 จำนวน 1,545 ล้านบาทต่อปี
(4) การลดการใช้พลังงานในภาคขนส่ง จากการใช้ระบบขนส่งมวลชนโดยมีผู้ใช้รถไฟฟ้าประมาณ 600,000 คนต่อวัน ใน 3 สายทาง การปรับปรุงระบบจราจร ทำให้ความเร็วเฉลี่ยเขตเมือง เพิ่มขึ้น จาก 10 กม./ชม. เป็น 15 กม./ชม. การจัดทำเวบไซต์ Thai Truck Center เพื่อลดการเดินรถเที่ยวเปล่า มีสมาชิกแล้วจำนวน 5,224 ราย และการจัดทำพื้นที่จอดแล้วจร 12 แห่ง รองรับรถยนต์ได้ 5,707 คัน
(5) ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ดำเนินการในหลายด้านๆ ทั้งการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง มาตรการส่งเสริมต่างๆ ทำให้เกิดการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น 3,713 ktoe เช่น
การขยายระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยขยาย จากไม่เกิน 1 MW เป็นไม่เกิน 10 MW ทำให้มี VSPP รายใหม่ ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้า 564 MW ตอบรับซื้อไฟฟ้า 45 ราย 231.7 MW
ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration จากการประกาศรับซื้อไฟฟ้ารอบแรก 500 MW นั้น มี SPP ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้า 31 ราย รวม 2,416 MW
การกำหนดส่วนเพิ่มอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทั้ง SPP และ VSPP ด้วยกลไกการแข่งขัน มี SPP ซื้อซอง 11 ราย ยื่นซอง 9 ราย เป็นชีวมวล 435 MW
การสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำเพื่อพลังงานทดแทน ให้เอกชน 62 ราย ลงทุนเปลี่ยนอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อเปลี่ยนเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันเตาเป็นชีวมวล 36 ราย และเปลี่ยนมาใช้ก๊าซชีวภาพ 26 ราย
มาตรการอุดหนุนเงินลงทุน ค่าออกแบบ และค่าบริหารโครงการ ด้านพลังงานหมุนเวียน ช่วยให้มีการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น ณ ปี 2550 โดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายได้ดังนี้
| เป้าหมาย | ผลปี 50 | หน่วย | ||
| ปี 54 | ปี 50 | |||
| การผลิตไฟฟ้า | ||||
| 1) พลังงานแสงอาทิตย์ | 45 | 31 | 31 | MW |
| 2) พลังงานลม | 115 | 4 | 1 | MW |
| 3) พลังงานน้ำ | 156 | 104 | 62 | MW |
| 4) พลังงานชีวมวล | 2,800 | 2,077 | 1,977 | MW |
| 5) ขยะ | 100 | 10 | 4 | MW |
| 6) ก๊าซชีวภาพ | 30 | 8 | 6 | MW |
| การใช้ความร้อน | ||||
| 7) พลังงานชีวมวล | 3,851 | 2,217 | 2,087 | ktoe/ปี |
| การใช้น้ำมันและแอลกอฮอล์จากพืช | ||||
| 8) เอทานอล | 3.0 | 0.9 | 0.55 | ล้านลิตร/วัน |
| 9) ไบโอดีเซล | 4.0 | 0.5 | 0.07 | ล้านลิตร/วัน |
2. แผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2551-2554 กระทรวงพลังงานได้พิจารณาศักยภาพและมาตรการที่จะดำเนินการในช่วงต่อไปกับสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว จึงเสนอปรับเป้าหมายและวิธีดำเนินการบางมาตรการเพื่อให้ผลที่คาดว่าจะได้รับชัดเจนและเร่งให้เร็วขึ้นได้ ดังนี้
2.1 เป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2551-2554
| แผนงาน | เป้าหมายเดิม (26 ธันวาคม 2549) |
เป้าหมายใหม่ (14 กันยายน 2550) |
||
| ktoe | ร้อยละ | ktoe | ร้อยละ | |
| (1) แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 7,694 | 10.5 | 7,088 | 9.6 |
| - สาขาอุตสาหกรรม | 3,832 | 5.2 | 2,581 | 3.5 |
| - สาขาขนส่ง | 3,290 | 4.5 | 3,290 | 4.5 |
| - การจัดการด้านการใช้พลังงาน | 572 | 0.8 | 1,217 | 1.6 |
| (2) แผนงานด้านพลังงานทดแทน | 11,311 | 15.4 | 11,206 | 15.2 |
| - ส่งเสริม NGV | 4,348 | 5.9 | 4,518 | 6.1 |
| - พลังงานหมุนเวียน * | 6,963 | 9.5 | 6,688 | 9.0 |
* เป้าหมายของการใช้พลังงานหมุนเวียนจำแนกประเภทได้ดังนี้
| ประเภทพลังงาน | ไฟฟ้า | ความร้อน | เชื้อเพลิงชีวภาพ | รวม | ||
| MW | ktoe | ktoe | ล้านลิตร/วัน | ktoe | ktoe | |
| แสงอาทิตย์ | 45 | 4 | 5 | - | - | 9 |
| พลังลม | 115 | 13 | - | - | - | 13 |
| ไฟฟ้าพลังน้ำ | 156 | 17 | - | - | - | 18 |
| ชีวมวล | 2,800 | 941 | 3,660 | - | - | 4,601 |
| ขยะ | 100 | 45 | - | - | - | 45 |
| ก๊าซชีวภาพ * | 60 | 27 | 370 | - | - | 397 |
| เอทานอล | - | - | - | 2.4 | 653 | 653 |
| ไบโอดีเซล | - | - | - | 3.0 | 953 | 953 |
| รวม | 3,276 | 1,047 | 4,035 | 5.4 | 1,606 | 6,688 |
2.2 เป้าหมายการประหยัดพลังงานในภาคอตุสาหกรรม ลดจาก 3,832 ktoe เป็น 2,581 ktoe เนื่องจากงานปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะประหยัดพลังงานได้ 1,400 ktoe ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา และในช่วงปี 2551-2554 จะเร่งดำเนินการและเพิ่มมาตรการที่คาดว่าจะลดการใช้พลังงานได้อีก 794 ktoe สรุปโครงการที่สำคัญ เช่น
2.1.1 เร่งรัดการจัดการออกกฎกระทรวงตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ... เพื่อให้วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน ได้มาตรฐานมีประสิทธิภาพด้านพลังงาน
2.1.2 เร่งส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยใช้มาตรการส่งเสริม สนับสนุนและจูงใจทั้งด้านการเงิน มาตรการทางภาษี และการคำแนะนำทางด้านเทคนิค เพิ่มแนวทางใหม่เสริมกับมาตรการที่มีอยู่ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกลงทุนอนุรักษ์พลังงาน ดังนี้
(1) สนับสนุนธุรกิจบริษัทจัดการพลังงาน ESCO โดยจัดตั้งกองทุนเพื่อร่วมลงทุนและส่งเสริมการลงทุนให้โครงการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน โดยใช้เงินจากกองทุนฯ ไปเข้าร่วมทุนในโครงการ ในปี 2551 จะทดลองดำเนินการในวงเงิน 500 ล้านบาท คาดว่าจะเกิดการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนมากกว่า 2,500 ล้านบาท เกิดผลประหยัดด้านพลังงานมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท/ปี
(2) ส่งเสริมการจัดการด้านการใช้พลังงานโดยวิธีประกวดราคา โดยใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนอัตราต่อหน่วยพลังงานที่ประหยัดได้ ด้วยการเชิญชวนผู้ประกอบการยื่นข้อเสนอวิธีการที่จะปรับปรุงการใช้พลังงาน และเสนอขอรับเงินสนับสนุนต่อค่าพลังงานที่ประหยัดได้ ตามอัตราที่ต้องการและไม่เกินวงเงินที่กองทุนฯ กำหนด คาดว่าจะช่วยลดการใช้พลังงานได้ไม่น้อยกว่า 500 ล้านหน่วย/ปี ลดความต้องการไฟฟ้าได้ 77 MW ช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานความร้อน 1.7 ล้าน MMBTU/ปี เทียบเท่าน้ำมันดิบ 48 ล้านลิตร/ปี
(3) รณรงค์ให้มีการเปลี่ยนมาใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ T5 หรือหลอดผอมใหม่เบอร์ 5 แทนหลอดฟลูออเรสเซนต์ T8 หรือหลอดผอมเดิม เพื่อประหยัดพลังงานไฟฟ้าของประเทศ โดยมีเป้าหมายของ 100 ล้านหลอด หรือประมาณร้อยละ 50 ของจำนวนหลอดในระบบ คาดว่าจะลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ 4,111 ล้านหน่วย/ปี นับตั้งแต่ปี 2555 ลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุดได้ 891 เมกะวัตต์ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ 2.1 ล้านตัน/ปี
(4) ส่งเสริมลดการใช้พลังงานในสาขาขนส่ง ได้แก่ การจัดเตรียมพื้นที่จอดแล้วจร (Park&Ride) และศึกษากฎหมายเรื่องการกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะ เพื่อให้ความรู้กับผู้ใช้ยานพาหนะทราบเรื่องการขับขี่ที่ความเร็วไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดในแต่ละเขตทาง สำหรับการขนส่งสินค้าจะเริ่มเข้าไปช่วยผู้ประกอบกิจการบริการขนส่งสินค้าโดยตรงเพื่อศึกษาความเหมาะสมวิธีลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และต้องนำผลการศึกษาไปทำจริง สร้างแนวทางจูงใจใหม่ให้ผู้ประกอบกิจการต่างๆ ลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในกิจการของตน พร้อมทั้งจัดโปรแกรมฝึกอบรมวิธีการขับประหยัดน้ำมันและปลอดภัยให้กับ ผู้ขับยานพาหนะของหน่วยงานรัฐและเอกชน
2.3 ด้านการใช้พลังงานทดแทนเป้าหมายลดลง 275 ktoe เนื่องจากปรับเป้าหมายการใช้น้ำมันไบโอดีเซลและเอทานอลลง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการน้ำมันที่ได้ชะลอตัวลงจากอดีตที่เคยคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตามในช่วงปี 2551-2554 จะเร่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุนและพัฒนาพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น ด้วยการเร่งผลักดันพลังงานทดแทนที่เหมาะสมกับประเทศไทย ดังนี้
2.3.1 ส่งเสริมการก๊าซชีวภาพ จากฟาร์มสุกร โรงงานแป้งมันสำปะหลัง และน้ำเสียจากโรงงาน เป็นต้น โดยมีเป้าหมายจะผลิตก๊าซชีวภาพ 1,060 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ทดแทนพลังงานเทียบเท่าน้ำมันดิบปีละ 397,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 6,970 ล้านบาทต่อปี ทำให้เป้าหมายก๊าซชีวภาพทางด้านไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 30 MW เป็น 60 MW และด้านความร้อนเพิ่มขึ้นเป็น 370 ktoe จาก 186 ktoe
2.3.2 การผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำ การแปรรูปขยะเป็นพลังงาน การใช้พลังงานจากลม และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ได้มีแผนปฏิบัติการ รายละเอียดวิธีการดำเนินงาน และเป้าหมายในแต่ละปีที่ชัดเจนมากขึ้น
2.3.3 กระจายความรู้ความเข้าใจสู่ภูมิภาคและท้องถิ่นอย่างทั่วถึง รวมถึงให้ความรู้ความเข้าใจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในเรื่องพลังงานทางเลือก ทั้งด้านนโยบายของรัฐ การผลิต การใช้ การกำกับดูแลความปลอดภัย และการจัดการป้องกันผลกระทบ
3. การดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2551-2554 ตามข้อ 2 จะขอจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปดำเนินการในวงเงินรวมประมาณ 16,132 ล้านบาท โดยสรุปแผนการใช้จ่ายเงินได้ดังนี้
| แผนใช้จ่ายเงิน ปี | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | 2555 | รวม 5 ปี |
| 1) แผนพลังงานทดแทน | 2,588 | 940 | 1,065 | 880 | 1,110 | 6,582 |
| 2) แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 5,838 | 2,356 | 428 | 351 | 328 | 9,300 |
| 3) แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | 250 | - | - | - | - | 250 |
| รวมทั้งสิ้น | 8,675 | 3,295 | 1,493 | 1,231 | 1,438 | 16,132 |
หมายเหตุ: แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในแผนงาน/งานเดียวกันได้
4. ฐานะทางการเงินของกองทุนฯ ตามแผนงานและแผนการจัดสรรเงินในข้อ 2 และข้อ 3 ปรากฏดังตารางต่อไปนี้

หมายเหตุ :
(1) ประมารการรายรับล่วงหน้าปี 2551 ได้รับโอนเงินจำนวน 3,000 ล้านบาท จากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีมาสมทบเป็นรายได้ให้กับกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน
(2) ประมาณการรายจ่ายล่วงหน้าคาดว่าจะขออนุมัติเพิ่มเติมระหว่างปี 2552-2556 ประมาณปีละ 3,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเบิกจ่ายได้เฉลี่ยร้อยละ 70 ของงบประมาณที่ได้รับ
5. จากตารางตามข้อ 4 ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2551 ฐานะการเงินของกองทุนฯ ติดลบ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอแนวทางเพิ่มสภาพคล่องให้กับฐานะการเงินของกองทุนฯ โดยปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ จาก 7 สตางค์ต่อลิตร เป็นอัตรา 25 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งทำให้ฐานะการเงินของกองทุนฯ เป็นบวก ดังนี้

การพิจารณาของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานในช่วงปี 2548-2550 และเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2551-2554 ที่จะปรับเป้าหมายและเร่งรัดการดำเนินงานตามมาตรการให้เร็วขึ้น โดยใช้เงินกองทุนฯ ในวงเงินรวมประมาณ 16,132 ล้านบาท และมีข้อเสนอแนะให้ฝ่ายเลขานุการฯ ปรับรายละเอียดให้ถูกต้องชัดเจนก่อนเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ ดังนี้
1. มาตรการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน
1.1 การกำหนดส่วนเพิ่มอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
(1) ให้ตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนผู้ผลิตไฟฟ้าตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก และให้เพิ่มข้อมูลการผลิตไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้า SPP Cogeneration ด้วย
(2) เร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับ SPP ที่เป็น Non Firm โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขสัญญา ควรเพิ่มเติมท้ายสัญญาว่า "เป็นสัญญาประเภทปีต่อปีที่ กฟผ. จะต่อสัญญาให้โดยอัตโนมัติ" เพื่อให้สถาบันการเงินมีความมั่นใจว่า กฟผ. จะรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าประเภทดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมั่นในการอนุมัติสินเชื่อเพื่อดำเนินโครงการ
(3) โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำขนาดเล็กและขนาดเล็กมาก ที่ พพ. ได้ใช้เงินจากกองทุนฯ ลงทุน/ปรับปรุงโครงการที่มีอยู่เดิม หากมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้า ให้ พพ. นำเงินส่งคืนกองทุนฯ โดยจัดทำหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนด้วย
(4) ให้ พพ. เร่งติดตามและให้ความเข้าใจกับชาวบ้านบริเวณพื้นที่โดยรอบ โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่จะติดตั้งบริเวณเขื่อนลำตะคอง จ.นครราชสีมา และที่เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ เพื่อให้การดำเนินการสำเร็จลุล่วงด้วยดี
1.2 การส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล ตามแผนงานที่จะนำรถยนต์ E85 เข้ามาใช้หลังปี 2554 นั้นควรเริ่มเตรียมความพร้อมตั้งแต่ปัจจุบัน และเร่งรัดการดำเนินการเพิ่มผลผลิตปาล์มให้เพียงพอสำหรับการผลิตไบโอดีเซลในสัดส่วน 5% ของน้ำมันดีเซลทั้งหมด โดยอาจโอนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ 3,500 ล้านบาท ฝากที่ ธกส. เพื่อเป็นทุนให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อใช้ในการผลิตไบโอดีเซล
สำหรับความเป็นไปได้ในการส่งเสริมการใช้สบู่ดำและสาหร่ายเซลล์เดียวเป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซล ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นกำลังศึกษาอยู่นั้น ปลัดกระทรวงพลังงานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า การปลูกสบู่ดำในปัจจุบันยังมีอัตราผลผลิตต่อไร่ที่ต่ำอยู่ ทำให้ผู้ปลูกมีรายได้เพียง 4000 บาท/ไร่ จึงยังไม่มีการส่งเสริมเชิงพาณิชย์ และจะดำเนินการวิจัยด้านการตัดต่อพันธุกรรม (GMO) เพื่อให้ได้พันธุ์สบู่ดำที่ให้ผลผลิตสูง ส่วนการใช้สาหร่ายเซล์เดียวมาเป็นวัตถุดิบนั้นหากผลการวิจัยพบว่ามีสมบัติเหมาะสมในการใช้ผลิตไบโอดีเซล ก็จะทำการพิจารณาส่งเสริมต่อไป
1.3 มาตรการส่งเสริมการใช้ NGV กระทรวงพลังงานควรร่วมกับกระทรวงการคลังในพิจารณาหาแนวทางปรับลดภาษีการนำเข้ารถรถตู้เครื่องยนต์เบนซิน ซึ่งยังไม่มีการผลิตในประเทศต้องนำเข้ารถยนต์ดังกล่าวทั้งคันทำให้ต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราสูง ในขณะที่รถตู้เครื่องยนต์เบนซินนั้นนำมาปรับปรุงใช้ NGV เป็นเชื้อเพลิง ได้ง่ายกว่ารถตู้ดีเซลซึ่งผลิตเองในประเทศมาก
1.4 โครงการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ พพ. มีแผนงานจะดำเนินการ ให้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่หน่วยงานเจ้าของเรื่อง ต้องถามความเห็น ศอบต. ก่อนดำเนินการ
1.5 มาตรการจ่ายส่วนเพิ่มอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Adder) นั้น ให้ สนพ. พิจารณากำหนดอัตราสำหรับกรณีการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าที่มากกว่าหนึ่งชนิด เช่น ขยะผสมกับมูลสุกรที่จะได้ก๊าซชีวภาพ เป็นต้น เนื่องจากอัตราเงินสนับสนุนส่วนเพิ่มค่ารับซื้อไฟฟ้าของเชื้อเพลิงทั้ง 2 ประเภท ต่างกันมาก โดยอาจกำหนดอัตราตามสัดส่วนของเชื้อเพลิงแต่ละประเภทที่นำมาผสมกันใช้ในการผลิตไฟฟ้า
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอที่ประชุมพิจารณาเรื่อง การดำเนินงานโครงการลดใช้พลังงานในหน่วยงานราชการซึ่งมี 2 หน่วยงานคือ พพ. และสำนักงานพลังงานภูมิภาค (สพภ.) เสนอแผนงานและขอใช้เงินจากกองทุนฯ ในปี 2551 โดยมีความเหลื่อมซ้อนงานกัน และเนื่องจากหน่วยงานราชการมีอยู่จำนวนมาก จึงเสนอให้กำหนดพื้นที่ปฏิบัติงานโดย พพ. รับผิดชอบเฉพาะหน่วยงานราชการที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ สำหรับ สพภ. 1-12 ให้รับผิดชอบหน่วยงานราชการที่ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาคและในการดูแลของแต่ละ สพภ.
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 3 ในช่วงปี 2551-2554 และเห็นชอบการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 16,132 ล้านบาท เพื่อใช้ตามรายละเอียดแผนงาน/โครงการและการใช้จ่ายเงินแต่ละปีตามปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 4.1.2 ถึง 4.1.5 โดยให้แต่ละหน่วยงานนำความเห็นของที่ประชุมไปปรับรายละเอียดของแผนงานฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาเรื่องการขอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ จากอัตรา 7 สตางค์/ลิตร เป็นอัตรา 25 สตางค์ต่อลิตร เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ต่อไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2550 ที่ประธานกรรมการกองทุนฯ จะต้องลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินกับกระทรวงการคลัง จะมีการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ เป็น 4 ด้าน รวม 7 ตัวชี้วัด ดังนี้
(1) ผลการดำเนินงานด้านการเงิน (15%) ประกอบด้วย
ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละของงบประมาณที่มีการผูกพันสัญญาต่องบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากกองทุน
ตัวชี้วัดที่ 1.2 ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและผูกพันเทียบกับงบประมาณ
(2) ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ (30%) ประกอบด้วย
ตัวชี้วัดที่ 2.1 ร้อยละของจำนวนโครงการที่มีการทำสัญญาของแต่ละแผนงานต่อจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติทั้งหมดของแต่ละแผนงาน
ตัวชี้วัดที่ 2.2 ร้อยละความสำเร็จของจำนวนโครงการที่ผูกพันและดำเนินงานได้ตามแผนฯ ต่อจำนวนโครงการที่ผูกพันและมีแผนดำเนินงานภายในปีบัญชี 2550
(3) การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (15%)ประกอบด้วย
ตัวชี้วัดที่ 3.1 การดำเนินงานตามแผนการปรับปรุงการให้บริการ จากผลการสำรวจความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประจำปีบัญชี 2550
(4) การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน (40%) ประกอบด้วย
ตัวชี้วัดที่ 4.1 การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ ประจำปีบัญชี 2550
ตัวชี่วัดที่4.2 การติดตามประเมินผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบร่างเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2550 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอประธานกรรมการกองทุนฯ เพื่อลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินกับกระทรวงการคลัง ต่อไป
2. เห็นชอบให้ พพ. สนพ. และ บก. ขยายเวลาการผูกพันและการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ งบประมาณปี 2550 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้วรวมทั้งสิ้น 3,642,458,344 บาท ต่อไปได้ถึงเดือนธันวาคม 2550 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 4 ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งที่ประชุมว่า มีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้ รวม 8 โครงการ ดังนี้
1.1 ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 6 โครงการ คือ
| โครงการ | หน่วยงาน | เดิม | ขยายถึง | |
| (1) | โครงการการส่งเสริมการผลิตถ่านและการจัดการทรัพยากรไม้อย่างมีประสิทธิภาพ | สมาคมเทคโนโลยีที่เหมาะสม | กันยายน 2549 | กันยายน 2550 |
| (2) | โครงการสร้างขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืนในถิ่นทุรกันดาร : กรณีศึกษาพื้นที่อำเภอบ่อเกลือ และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน | ม. พระจอมเกล้าธนบุรี | กุมภาพันธ์ 2549 | กรกฎาคม2550 |
| (3) | โครงการศึกษากระบวนการสร้างชุมชนเข้มแข็งด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม | ม. ราชมงคลล้านนา | กรกฎาคม 2550 | กันยายน 2550 |
| (4) | โครงการส่งเสริมการเรียนการสอนเรื่องการอนุรักษ์พลังงาน ในระดับอุดมศึกษา ด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ | ม. ธรรมศาสตร์ | กันยายน 2550 | กันยายน 2551 |
| (5) | การสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษา จำนวน 4 หน่วยงาน | สนพ. | - | - |
| (6) | ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือน นับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา จำนวน 24 ราย | พพ. | - | 3 เดือน นับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา |
1.2 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รวม 2 โครงการ คือ
| โครงการ | หน่วยงาน | ขอเปลี่ยนแปลง | |
| (1) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศ จำนวน 1 หน่วยงาน | พพ. | ขอใช้เงินคงเหลือจำนวน 23,580 บาท จากงบประมาณเดิมที่ได้รับอนุมัติไว้ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาเพิ่มเติม 1 ภาคการศึกษา เนื่องจากมหาวิทยาลัยได้ปรับเปลี่ยนแผนการเรียนการสอน จากเดิม 4 ภาคเรียนปกติ และ 2 ภาคฤดูร้อน เป็นการเรียนการสอน ในภาคเรียนปกติ 5 ภาคเรียน |
| (2) | การสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษา จำนวน 2 หน่วยงาน | ม. แม่ฟ้าหลวง | 1) ขอขยายเวลาดำเนินโครงการวิจัยให้กับ นายธำรงศักดิ์ จินดาเพ็ชร ถึง ตุลาคม 2550 และขอเปลี่ยนชื่อโครงการวิจัย เป็น "สมบัติทางไฟฟ้าและเชิงกลของวัสดุ อิเล็กโทรไลต์ DGC ที่เติมด้วย TZP" |
| สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ | 2) ขอเปลี่ยนชื่อโครงการวิจัย ของ นางสาวลินดา เพ่งสุวรรณ เป็น "ประสิทธิผลของสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการประหยัดพลังงานในอาคาร : กรณีศึกษา นักศึกษาปริญญาโท ภาคปกติ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์" | ||
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ให้ความเห็นว่า การขอขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดของโครงการฯ ทั้ง 8 โครงการแล้ว เห็นควรให้ดำเนินการได้ตามที่เสนอมา และเสนอที่ประชุมพิจารณากรณีที่กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือน นับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา จำนวน 24 ราย นั้น ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เคยมีหนังสือแจ้งให้ พพ. พิจารณาบริหารสัญญาและเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลากำหนด เพื่อลดภาระงานของคณะอุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ แต่ พพ. ยังมิได้ดำเนินการเท่าที่ควร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่เสนอให้ พพ. จัดทำแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ต่อคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งต่อไป เช่น ปรับขั้นตอนการตรวจรับรายงานให้รวดเร็วขึ้น กำหนดระยะเวลาการแก้ไขงานของที่ปรึกษาให้ทันกำหนดระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน หรือให้มีการปรับลงโทษที่ปรึกษาที่ไม่สามารถแก้ไขงานได้ทันตามกำหนดระยะเวลา
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ทั้ง 8 โครงการ ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา ด้วยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
อนุ กอ. ครั้งที่ 10 - วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2550

มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 4/2550 (ครั้งที่ 10)
วันที่ 25 มิถุนายน 2550 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ขอความเห็นชอบ โครงการศึกษาสนับสนุนการดำเนินงานรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่
2. ขออนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อคืนเงินภาษีโครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
3. ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ขอความเห็นชอบ โครงการศึกษาสนับสนุนการดำเนินงานรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน2549 เห็นชอบนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานของประเทศ โดยในแผนการจัดหาพลังงาน ได้กำหนดให้มีการส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชนให้มีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยเร่งรัดการออกประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) และต่อมา กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2550 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP 2007) ซึ่งกำหนดให้มีการจัดหาไฟฟ้าจาก IPP ด้วย และ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2550 ได้พิจารณาเรื่องการออกประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP และ ได้มีมติดังนี้
(1) เห็นชอบในหลักการแนวทางการออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) สำหรับจัดหาไฟฟ้าในช่วงปี พ.ศ. 2555-2557 และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และคณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ดำเนินการออกประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP ต่อไป
(2) เห็นชอบให้ สนพ. สามารถนำรายได้จากการจำหน่ายเอกสารเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP (RFP Package) ค่าธรรมเนียมการประเมินและคัดเลือก (Evaluation Fee) และค่าธรรมเนียมการจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Contract Finalization Fee) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างที่ปรึกษาตลอดจน การดำเนินการประเมินคัดเลือกผู้ยื่นข้อเสนอจนลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วเสร็จ และหากมีรายได้คงเหลือให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ
โดยในการออกประกาศเชิญชวน สนพ. จะเป็นผู้ดำเนินการออกประกาศเชิญชวนฯ ในช่วงเดือนมิถุนายน 2550 และจะจำหน่ายเอกสาร RFP Package ในราคาชุดละ 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) เป็นเวลาประมาณ 1 เดือน ซึ่งผู้สนใจสามารถซื้อเอกสารดังกล่าวและยื่นข้อเสนอมายัง สนพ. ได้ภายในระยะเวลา 4 เดือน นับจากวันที่เริ่มขายเอกสารฯ และ สนพ. จะจัดการสัมมนาเพื่อตอบข้อซักถามเกี่ยวกับเงื่อนไขการประมูล (Pre-Bid Meeting) ประมาณ 1 เดือนหลังจากวันเริ่มจำหน่ายเอกสารฯ ทั้งนี้ ณ วันที่ยื่นข้อเสนอ ผู้ยื่นข้อเสนอโครงการจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการประเมินและคัดเลือก (Evaluation Fee) จำนวน 2,000,000 บาท และหลังจากประกาศรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือก ผู้ที่ได้รับคัดเลือกจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเพื่อดำเนินการในขั้นตอนการจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Contract Finalization Fee) จำนวนรายละ 4,000,000 บาท (สี่ล้านบาทถ้วน)
2. คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอที่ได้รับจากการประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และดำเนินการเจรจาเพื่อจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับผู้ยื่นข้อเสนอและเสนอผลการเจรจาและคัดเลือกต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานให้ความเห็นชอบ เพื่อให้ กฟผ. ดำเนินการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับผู้ยื่นข้อเสนอต่อไป โดยการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ สามารถจัดจ้างที่ปรึกษาทางด้านเทคนิค กฎหมาย และการเงิน ตลอดจนจ้างบุคลากรเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ ได้
3. เพื่อให้การออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP และการดำเนินการของคณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนแล้วเสร็จตามแผนการดำเนินงานที่กำหนด ทำให้สามารถจัดหาไฟฟ้าได้เพียงพอกับความต้องการในแผน PDP 2007 สนพ. จึงมีความจำเป็นต้องจ้างที่ปรึกษาโครงการศึกษาสนับสนุนการดำเนินงานรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ สนพ. และ อนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในช่วงเตรียมและช่วงการออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP ดังนั้น สนพ. ใคร่ขอเสนอขอรับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้
1) วัตถุประสงค์
(1) เพื่อจัดจ้างที่ปรึกษาดำเนินการช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงพลังงาน ในโครงการศึกษาสนับสนุนการดำเนินงานรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่
(2) เพื่อให้การจัดหาไฟฟ้าโดยการออกประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ การประเมินคัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้า และการเจรจาร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า แล้วเสร็จและสามารถดำเนินการจ่ายไฟฟ้าได้ทันตามกำหนดการในแผน PDP 2007 ภายใต้กฎเกณฑ์และเงื่อนไขการประมูล ที่มีความชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรมต่อผู้ลงทุน
2) ขอบเขตงาน
แผนการดำเนินงานเป็น 4 ระยะ (Phase) โดยแต่ละระยะจะมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องและมีความจำเป็นต้องจัดจ้างที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และประสบการณ์ทั้งด้านเทคนิค ด้านระบบส่ง ด้านการเงิน ด้านราคาเชื้อเพลิง และด้านกฎหมาย ได้แก่
| ระยะ | รายละเอียด | กำหนดเวลา |
| ระยะที่ 1:(Pre-RFP Release) | เตรียมการออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าจาก IPP | มิ.ย. 50 |
| ระยะที่ 2:(Solicitation) | ระหว่างออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP | ก.ค.-ต.ค. 50 |
| ระยะที่ 3:(Evaluation) | ประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน | พ.ย.-ธ.ค. 50 |
| ระยะที่ 4:(Contract) | เจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ/ถ่านหิน (Power Purchase Agreement: PPA) สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติหลัก (Master Gas Sale Agreement: MGSA) และกฎระเบียบหรือข้อกำหนดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | ม.ค.-มิ.ย. 51 |
3) ผลที่คาดว่าจะได้รับ : ผลการศึกษาที่ได้รับจะทำให้การจัดหาไฟฟ้าสามารถตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้า ตามแผน PDP 2007 สำหรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในปี พ.ศ. 2555-2557 และเป็นการส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในกิจการผลิตไฟฟ้า กล่าวคือการจัดหาไฟฟ้าด้วยวิธีประมูลแข่งขัน ผู้ผลิตไฟฟ้าจะต้องผลิตไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่ำ และสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตไฟฟ้ารายอื่นๆ จึงต้องมีการเลือกใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ และต้นทุนต่อหน่วยต่ำ ซึ่งก่อให้เกิดการประหยัด และเป็นการอนุรักษ์พลังงาน นอกจากนี้การเปิดประมูลแข่งขันครั้งนี้กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนจะต้องดำเนินการตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่กำหนด ซึ่งเป็นการดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย
2.4 งบประมาณ
ขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 37,000,000 บาท (สามสิบเจ็ดล้านบาทถ้วน) โดยจำแนกรายละเอียดงบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนตามขอบเขตการดำเนินงาน ได้ดังนี้
| รายการ | จำนวนเงิน (บาท) |
| 1. ค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ | 34,000,000 |
| 1.1 ระยะที่ 1 : ก่อนการออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP (จัดจ้างที่ปรึกษาศึกษา วิเคราะห์ และให้คำปรึกษาต้นทุนระบบส่ง) | 1,500,000 |
| 1.2 ระยะที่ 2 : การยื่นข้อเสนอ (จัดจ้างที่ปรึกษาศึกษา วิเคราะห์ ต้นทุนระบบส่ง ด้านราคาเชื้อเพลิง ด้านเทคนิค ด้านการเงิน และด้านกฎหมาย) | 14,000,000 |
| 1.3 ระยะที่ 3 : การประเมินและคัดเลือก IPP (จัดจ้างที่ปรึกษาศึกษา วิเคราะห์ ต้นทุนระบบส่ง ด้านราคาเชื้อเพลิง ด้านเทคนิค ด้านการเงิน และด้านกฎหมาย) | 18,500,000 |
| 2. ค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ (จัดจ้างลูกจ้างโครงการ บริหารโครงการ จัดสัมมนารับฟังความเห็น ศึกษาดูงาน ประชาสัมพันธ์และอื่นๆ) |
3,000,000 |
| รวมทั้งสิ้น | 37,000,000 |
หมายเหตุ: ค่าใช้จ่ายดังกล่าวข้างต้นเป็นเพียงการประมาณการค่าใช้จ่าย ซึ่งจะเบิกจ่ายในวงเงินที่ขอรับการสนับสนุน และตามที่ได้จ่ายไปจริงในการดำเนินงานโครงการฯ โดยสามารถถัวจ่ายได้ทุกรายการ
มติที่ประชุม
เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา วิจัย พัฒนาอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ที่ สนพ. ได้รับอนุมัติไว้แล้วจากคณะกรรมการกองทุนฯ ให้ สนพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการศึกษาสนับสนุนการดำเนินงานรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่" ในวงเงิน 37 ล้านบาท (สามสิบเจ็ดล้านบาทถ้วน) ทั้งนี้ สนพ. สามารถถัวจ่ายได้ทุกรายการตามความเหมาะสม ตามรายละเอียดที่ปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 3.1
เรื่องที่ 2 ขออนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อคืนเงินภาษีโครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2548 ได้พิจารณาแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2549 ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ และมีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2549 ในวงเงิน 100 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับเป็นเงินคืนภาษีให้แก่สถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยในการดำเนินการโครงการดังกล่าว มีขั้นตอนการขอรับการสนับสนุนฯ สรุปได้ ดังนี้
(1) สถานประกอบการยื่นใบสมัครพร้อมเอกสารประกอบต่อ พพ. คณะกรรมการฯ พิจารณาเอกสารและกำหนดผู้ตรวจสอบ และ พพ. แจ้งผลไปยังสถานประกอบการ
(2) สถานประกอบการดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน และอำนวยความสะดวกให้ผู้ตรวจสอบ ได้ตรวจสอบการวัดการใช้พลังงานในสถานประกอบการ ทั้งก่อนและหลังการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานหรือติดตั้งอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน
(3) สถานประกอบการ ดำเนินการจัดทำรายงานฯ และให้ผู้ตรวจสอบลงนามเห็นชอบการตรวจวัด และจัดส่งรายงานฯ มายัง พพ. เพื่อกลั่นกรองและนำเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการฯ
(4) สถานประกอบการ นำหลักฐานการเสียภาษี พร้อมทั้งเอกสารการอนุมัติเงินคืนภาษี จาก พพ. มายื่นขอรับเงินภาษีคืน
2. ความก้าวหน้าในการดำเนินการและปัญหาอุปสรรค : จากผลการดำเนินการโครงการฯ มีสถานประกอบการที่ดำเนินตามขั้นตอน โดยคณะกรรมการพิจารณาสิทธิประโยชน์ทางภาษีฯ ได้ให้ความเห็นชอบในวิธีการตรวจวัด และได้เห็นชอบคืนเงินภาษี ให้แก่ ผู้ประกอบการ จำนวน 75 ราย รวมเป็นเงินประมาณ 43 ล้านบาท และสามารถกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ลงทุนในมาตรการอนุรักษ์พลังงาน เป็นเงิน 546.23 ล้านบาท โดยมีผลประหยัดพลังงานรวม 401.54 ล้านบาท/ปี ประกอบด้วย
(1) ผลประหยัดทางด้านไฟฟ้า (75 มาตรการ) ประมาณ 41.23 ล้านหน่วย/ปี คิดเป็นเงิน 117.27 ล้านบาท/ปี
(2) ผลประหยัดทางด้านความร้อน (34 มาตรการ) 712.32 ล้านเมกะจูล/ปี คิดเป็นเงิน 284.27 ล้านบาท/ปี
โดยการดำเนินการในขั้นตอนการเห็นชอบการจ่ายเงินคืนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการฯ นั้น จะสามารถกระทำได้หลังจากที่สถานประกอบการได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน และมีการพิสูจน์ผลการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งต้องใช้เวลาในการดำเนินการพอสมควร และได้นำเสนอคณะกรรมการพิจารณาสิทธิประโยชน์ทางภาษีฯ เห็นชอบการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานหลังปรับปรุงอุปกรณ์ฯ (Post Audit) และเห็นชอบให้คืนเงินภาษีในช่วงระหว่างเดือน ต.ค. 2549 - ก.พ. 2550 ส่งผลให้ พพ. ก่อหนี้ผูกพันไม่ทันภายในปีงบประมาณที่ได้รับ อนุมัติ (ปีงบประมาณ 2549) ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินฯ ข้อ 16 จึงทำให้ พพ. ไม่สามารถนำเงินกองทุนฯ ที่ พพ. ได้รับในปีงบประมาณ 2549 ในวงเงิน 100 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงานจ่ายคืนเงินภาษีให้สถานประกอบการฯ ได้
3. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้พิจารณาแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ และมีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ในวงเงิน 140 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 โดยประกอบด้วยค่าใช้จ่าย 2 ส่วนดังนี้
(1) ค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการฯ และเพื่อทำการตรวจสอบการตรวจวัดและพิสูจน์ผลการอนุรักษ์พลังงาน ประมาณ 40 ล้านบาท โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษา
(2) ค่าใช้จ่ายเงินสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับสถานประกอบการ (โรงงานและอาคารที่เข้าร่วมโครงการ) ประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งการสนับสนุนเงินในส่วนนี้ เมื่อพิจารณาจากขั้นตอนการดำเนินการของโครงการฯ ประกอบกับข้อมูลการดำเนินการที่ผ่านมาแล้ว จะไม่สามารถผูกพันงบประมาณได้ทั้งหมดภายในปีงบประมาณ 2550 โดยคาดการณ์ว่าจะมีการใช้จ่ายคืนเงินภาษีให้แก่ สถานประกอบการในปีงบประมาณ 2551
ดังนั้น เพื่อให้ พพ. สามารถดำเนินการจ่ายคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่สถานประกอบการที่ได้มีการเห็นชอบคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้ว และอยู่ในขั้นตอนยื่นขอรับคืนภาษีจาก พพ. อยู่ในขณะนี้ จำนวน 75 ราย ในวงเงินรวมประมาณ 43 ล้านบาท สำหรับโครงการที่ได้รับอนุมัติเงินกองทุนฯ ไว้แล้วในปีงบประมาณ 2549 แต่ไม่สามารถผูกพันงบประมาณได้ทันภายในปีงบประมาณได้ พพ. จึงเห็นควรนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติให้ พพ. ใช้เงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 โครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ตามข้อ 3 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว เพื่อคืนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการดังกล่าว ในวงเงิน 43 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับเงินสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 2 ให้นำเสนอของบประมาณจากเงินกองทุนฯ เพิ่มเติมในปีงบประมาณ 2551 ต่อไป
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา อนุมัติให้ พพ. ใช้เงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 โครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว ในวงเงิน 43 ล้านบาท (สี่สิบสามล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นเงินคืนภาษีให้แก่สถานประกอบการที่ได้รับอนุมัติคืนเงินภาษีในโครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์ พลังงานแล้ว จำนวน 75 ราย ตามรายละเอียดที่ปรากฏในเอกสารแนบ 3.2.5
เรื่องที่ 3 ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องที่หน่วยงานต่างๆ ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปแล้ว ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้ รวม 30 โครงการ ดังนี้
1. ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 21 โครงการ คือ
| โครงการ | เดิม | ขยายถึง | |
| 1) | โครงการส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียอุตสาหกรรมเพื่อใช้แทนน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบ UASB หน่วยงานรับผิดชอบ : กรมโรงงานอุตสาหกรรม |
เมษายน 2550 | ธันวาคม 2550 |
| 2) | โครงการบูรณาการงานด้านพลังงานกับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด | ||
| หน่วยงานรับผิดชอบ : สำนักงานพลังงานภูมิภาคที่ 4, 7, 9, และ 12 | สพภ. 4 ,12 เมษายน 2550 |
สิงหาคม 2550 | |
| สพภ. 7 มิถุนายน 2550 |
สิงหาคม 2550 | ||
| สพภ. 9 พฤษภาคม 2550 |
สิงหาคม 2550 | ||
| 3) | โครงการศึกษาความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ วิศวกรรม และสิ่งแวดล้อม และสำรวจออกแบบเพื่อก่อสร้างสถานีขนส่งทางลำน้ำเพื่อการประหยัดพลังงาน หน่วยงานรับผิดชอบ : กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี |
มกราคม 2550 | ธันวาคม 2550 |
| 4) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศ จำนวน 2 หน่วยงาน | ||
| - กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (นายดุสิต สินสุข) | มีนาคม 2550 | พฤศจิกายน 2550 | |
| - วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา (นายปราการรัตน์ ขันธทัต และ นายจีระศักดิ์ สิทธิ) | มีนาคม 2550 | มีนาคม 2551 | |
| 5) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ จำนวน 1 หน่วยงาน หน่วยงานรับผิดชอบ : การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค |
กุมภาพันธ์ 2550 | มิถุนายน 2550 |
| 6) | ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือนนับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา จำนวน 7 ราย หน่วยงานรับผิดชอบ : กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน |
- | 3 เดือนนับจากวันที่ได้รับอนุมัติให้ขยายระยะเวลา |
| 7) | โครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศร้อนชื้น หน่วยงานรับผิดชอบ : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ |
กรกฎาคม 2550 | ธันวาคม 2550 |
| 8) | โครงการศึกษา จัดทำ และปรับปรุงนโยบายให้สอดคล้องกับสถานการณ์พลังงานโลก หน่วยงานที่รับผิดชอบ : สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน |
พฤษภาคม 2550 | พฤศจิกายน 2550 |
| 9) | โครงการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานชุดโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียโรงงานอุตสาหกรรม หน่วยงานที่รับผิดชอบ : สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน |
มกราคม 2550 | มกราคม 2551 |
| 10) | โครงการผลิตภัณฑ์ปูนฉาบฉนวนกันความร้อนมวลเบา หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
มีนาคม 2549 | มิถุนายน 2549 |
| 11) | โครงการศึกษาอิทธิพลการบังเงาต่อการถ่ายเทความร้อนผ่านผนังทึบ หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
มกราคม 2550 | เมษายน 2550 |
| 12) | โครงการศึกษาการถ่ายเทความร้อนและปริมาณแสงผ่านกระจกสองชั้นชนิดต่างๆ หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
มกราคม 2550 | เมษายน 2550 |
| 13) | โครงการ Ceramic Coating หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
มกราคม 2550 | เมษายน 2550 |
| 14) | โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้ดินเป็นตัวระบายความร้อนทิ้งของเครื่องปรับอากาศในประเทศไทย หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยมหิดล |
มีนาคม 2548 | พฤษภาคม 2550 |
| 15) | โครงการศึกษาและวิจัยเพื่อการทำความเย็นจากรั้วบ้าน หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
พฤศจิกายน 2549 | พฤษภาคม 2550 |
| 16) | โครงการศึกษาอิทธิพลของตัวแปรที่มีผลต่อการนำแสงธรรมชาติทางด้านข้างมาใช้ในอาคาร หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
ธันวาคม 2548 | กันยายน 2550 |
| 17) | โครงการออกแบบบ้านประหยัดพลังงานประเภททาวน์เฮ้าส์ กรณีศึกษา : สงขลาหรือจังหวัดใกล้เคียง หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล |
มกราคม 2550 | มิถุนายน 2550 |
| 18) | โครงการพัฒนาอิฐก่อสร้างเพื่อการประหยัดพลังงาน หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ |
ธันวาคม 2548 | กันยายน 2550 |
| 19) | โครงการศึกษาวัสดุระบบการก่อสร้างด้วยโฟมเพื่อใช้ในการออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
ธันวาคม 2549 | มีนาคม 2550 |
| 20) | โครงการศึกษาอิทธิพลการตกแต่งผิววัสดุในลักษณะต่างๆ ต่อภาระการทำความเย็นของระบบปรับอากาศ หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
มีนาคม 2550 | เมษายน 2550 |
| 21) | โครงการการปรับปรุงหลังคาเพื่อลดปริมาณความร้อนเข้าสู่อาคาร (โดยสีเคลือบหลังคา) หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยรังสิต |
กันยายน 2549 | มกราคม 2550 |
2. ขอปรับรายละเอียดโครงการ และ/หรือ เปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงิน 9 โครงการ คือ
| โครงการ | ขอเปลี่ยนแปลง | |
| 1) | โครงการการจัดการพลังงานพลังงานทั่วทั้งองค์กรสำหรับโรงแรมและการบริหารเปลี่ยนแปลง
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
1) ขอปรับการรายงานความก้าวหน้าในงวดที่ 1 จากเดิมรายงานผลการอบรมผู้บริหารโรงแรม 45 ราย เป็น 36 ราย
2) โดยที่เหลืออีก 6 ราย จะไปรายงานในงวดถัดไป |
| 2) | โครงการสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรด้านพลังงานเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมายุครบ 70 พรรษา
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย |
1) ขอเปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบโครงการฯ
2) เปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินของโครงการ 3) ขยายเวลาการรับสมัครขอรับทุนการศึกษาโครงการฯ ออกไปอีก 1 ปี |
| 3) | โครงการก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : กองบัญชาการตำรวจตะเวนชายแดน |
ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรูปแบบการติดตั้งสายเมนระบบไฟฟ้าแรงสูง พร้อมสายเมนระบบโทรศัพท์ และท่อเมนระบบประปา จากระบบเคเบิลใต้ดินเป็นระบบเคเบิลบนดิน |
| 4) | โครงการบริหารสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ฯ |
ขออนุมัติเพิ่มบุคลาการในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษทางวิชาการ เพื่อให้เป็นไปตามมติ คณะกรรมการอำนวยการโครงการอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร |
| 5) | โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการอบแห้งกุนเชียง
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
ขอเปลี่ยนแปลงพื้นที่ดำเนินงานโครงการ โดยปรับลดโรงงานร่วมโครงการในกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน จาก 2 แห่ง เหลือ 1 แห่ง และเพิ่มโรงงานในกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างจาก 2 แห่ง เป็น 3 แห่ง |
| 6) | การสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษา จำนวน 1 หน่วยงาน
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
1) ขอเปลี่ยนชื่อโครงการวิจัย ปีงบประมาณ 2549 2) ขอเปลี่ยนชื่อผู้วิจัยในโครงการ |
| 7) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ จำนวน 2 หน่วยงาน - สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นางสาววรนุช เอมมาโนชญ์) - สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายสุรพล ศรีเฮือง) |
1) สผ. ขอขยายระยะเวลาและเพิ่มวงเงิน ให้แก่ นางสาววรนุช เอมมาโนชญ์
2) สคช. ขออนุมัติเพิ่มวงเงิน ให้กับ นายสุรพล ศรีเฮือง เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย สำหรับการเดินทางกลับ |
| 8) | โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3 ส่วนที่ 1 ฟาร์มใหญ่
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
เพื่อขอขออนุมัติปรับแผนการขอซื้อรถยนต์ตรวจการณ์ (4WD) เป็น รถยนต์ตรวจการณ์ (รถตู้) ในวงเงินเดิมที่กำหนด |
| 9) | โครงการเตรียมการจัดตั้งคณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน |
1) ขอเพิ่มวงเงินในการจัดจ้างผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านการเงิน และเทคนิค 2) ขอปรับปรุงระยะเวลาการดำเนินการ ทั้งโครงการจากแผนการดำเนินงาน ซึ่งปรับปรุงครั้งที่ 2 ซึ่งกำหนดไว้ 42 เดือน เป็น 36 เดือน 3) ขอปรับแผนการเบิกจ่ายเงินโครงการเตรียมการจัดตั้งฯ เพื่อให้สอดคล้อง กับการปรับปรุงกิจกรรมการดำเนินงานในข้อ 1 |
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ทั้ง 30 โครงการ ตามข้อ 1และ ข้อ 2 ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา ด้วยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
กอ. ครั้งที่ 45 - วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2550

มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2550 (ครั้งที่ 45)
วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2550 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3
2. ขอนุมัติเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับ โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ
3. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
4. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
5. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก"
6. ขอคืนหลักประกันซอง โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
รองนายกรัฐมนตรี (นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กระทรวงพลังงาน ผู้เข้าร่วมประชุม
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่าในช่วงที่ผ่านมา คณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณา อนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน ดังนี้
1.1 คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 40) เมื่อ 25 สิงหาคม 2548
(1) อนุมัติเงินกองทุนฯ 2,000 ล้านบาท ให้ พพ. เพื่อดำเนินโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 2 โดยใช้เงินจาก แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2549 เพื่อให้สถาบันการเงินที่ผ่านการคัดเลือกของ พพ. นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้แก่โรงงาน อาคาร และบริษัทจัดการพลังงาน นำไปใช้ในการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงินนั้น จะต้องปล่อยกู้ภายในระยะเวลา 3 ปี และส่งคืนกองทุนฯ ผ่าน พพ. ในเวลา 10 ปี นับจากวันที่ พพ. ทำสัญญากับสถาบันการเงิน โดยจะมีขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ การเบิกจ่ายเงิน ในการสนับสนุนเหมือนกับโครงการเงินหมุนเวียนฯ ระยะที่ 1
(2) ให้ พพ. ดำเนินการเจรจากับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้จ่ายดอกเบี้ยคืนกองทุนฯ ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 0.5 ของเงินกองทุนฯ ที่สถาบันการเงินนำไปปล่อยให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อเป็นค่าเสียโอกาสในส่วนดอกเบี้ยเงินฝากที่กองทุนฯ ได้รับเป็นประจำ
1.2 คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 ได้อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจำนวน 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ พพ. ดำเนินโครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริม การใช้พลังงานทดแทน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 1 โดยใช้เงินจากแผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550
2. ผลการดำเนินงานโครงการเงินหมุนเวียนฯ
2.1 ผลการดำเนินงานโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 1
การดำเนินงานฯ ระยะที่ 1 โครงการฯ ได้ครบกำหนดระยะเวลาการปล่อยกู้เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2550 โดย พพ. ได้อนุมัติข้อเสนอโครงการจำนวนทั้งสิ้น 78 ข้อเสนอ ประกอบด้วย อาคารจำนวน 13 ข้อเสนอ โรงงาน 63 ข้อเสนอ บริษัทจัดการพลังงาน (ESCO) 2 ข้อเสนอ จำนวนเงินที่ พพ. อนุมัติคิดเป็นเงิน 1,908 ล้านบาท โดยมีเงินลงทุนจำนวน 3,427 ล้านบาท และจากการประเมินศักยภาพผลการอนุรักษ์พลังงานที่ประเทศชาติจะได้รับ คิดเป็นการประหยัดพลังงานรวมเป็นเงิน 1,402 ล้านบาทต่อปี
2.2 ผลการดำเนินงานโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 2
การดำเนินงานฯ ระยะที่ 2 โครงการฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 5 เมษายน 2550) ครบกำหนดระยะเวลาการปล่อยกู้เมื่อ 16 มีนาคม 2552 โดย พพ. ได้อนุมัติข้อเสนอโครงการจำนวนทั้งสิ้น 75 ข้อเสนอ ประกอบด้วย อาคารจำนวน 9 ข้อเสนอ โรงงาน 66 ข้อเสนอ จำนวนเงินที่ พพ. อนุมัติคิดเป็นเงิน 1,446 ล้านบาท (วงเงินคงเหลือ 554 ล้านบาท) โดยมีเงินลงทุนจำนวน 2,794 ล้านบาท และจากการประเมินศักยภาพผลการอนุรักษ์พลังงานที่ประเทศชาติจะได้รับ คิดเป็นการประหยัดพลังงานรวมเป็นเงิน 1,258 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการในระยะที่ 2 ได้ปล่อยสินเชื่อสำหรับโครงการที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนเองในวงเงินกว่า 12,000 ล้านบาท และยังมีข้อเสนอโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ พพ. อีกจำนวน 20 ข้อเสนอ ในวงเงินกว่า 567 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าวงเงินในระยะที่ 2
2.3 สรุปผลการดำเนินงานโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 1 และ 2
พพ. ได้อนุมัติข้อเสนอโครงการจำนวนทั้งสิ้น 153 ข้อเสนอ ประกอบด้วย อาคาร 22 ข้อเสนอ โรงงาน 129 ข้อเสนอ บริษัทจัดการพลังงาน 2 ข้อเสนอ รวมจำนวนเงินที่ พพ. อนุมัติ 3,354 ล้านบาท โดยมีเงินลงทุนทั้งหมดจำนวน 6,221 ล้านบาท มีศักยภาพผลการอนุรักษ์พลังงานที่ประหยัดได้ตลอดอายุอุปกรณ์ สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ 6,329 ล้านหน่วย (คิดเป็นเงิน 20,486 ล้านบาท) ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 2,134 ล้านลิตรเทียบเท่าน้ำมันเตา (คิดเป็นเงิน 15,608 ล้านบาท) รวมประหยัดได้ 36,094 ล้านบาท หรือ 2,384 ktoe
2.4 ความคืบหน้าโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนฯ ระยะที่ 1
เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของโครงการฯ การดำเนินงานของโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ระยะที่ 1 พพ. จะดำเนินการจัดสรรวงเงินให้แก่สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 11 แห่ง โดยจะมีขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ การเบิกจ่ายเงิน ในการสนับสนุนเช่นเดียวกับโครงการเงินหมุนเวียนฯ ในระยะที่ 2 ต่อไป โดยจะเน้นการให้สินเชื่อทางด้านพลังงานทดแทนให้มากขึ้น
3. เหตุผลความจำเป็นในการเพิ่มวงเงินหมุนเวียน
3.1 ความต้องการการลงทุนโครงการด้านพลังงานของภาคสถาบันการเงิน : จากการสำรวจข้อมูลจากสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 11 แห่ง ธนาคารต่างๆ ได้ให้ข้อมูลที่ภาคเอกชนมีความต้องการจะขอสินเชื่อเกี่ยวกับโครงการด้านพลังงานประมาณ 80 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 3,350 ล้านบาท
3.2 โครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอโครงการ : สถาบันการเงินได้ยื่นโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนมายัง พพ. (ข้อมูล ณ วันที่ 5 เมษายน 2550) และอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอโครงการอย่างเป็นทางการอีกจำนวน 20 ข้อเสนอ คิดเป็นเงินลงทุนรวม 1,280 ล้านบาท โดยต้องการเงินในส่วนของเงินโครงการเงินหมุนเวียน จำนวน 567.2 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าวงเงินที่ได้รับอนุมัติในโครงการเงินหมุนเวียน ระยะที่ 2
3.3 การพิจารณาผลกระทบกับฐานะของกองทุนฯ
เมื่อพิจารณาฐานะการเงินของกองทุนฯ โดยอยู่บนฐานของรายได้เฉลี่ยปีละ 1,400 ล้านบาท และประมาณการรายจ่ายปีละ 2,000 ล้านบาท หากมีการจัดสรรเงินเพิ่มเติมอีก 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ พพ. รับไปดำเนินโครงการเงินหมุนเวียนฯ ระยะที่ 3 จะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินของกองทุนฯ ที่จะขาดดุลในปีงบประมาณ 2551 และ 2552 วงเงิน 610 ล้านบาท และ 281 ล้านบาท ตามลำดับ และจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยแสดงรายการได้ดังนี้
| ปีงบประมาณ | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | รวม |
| 1. เงินคงเหลือยกมาต้นปี | 4,915 | 1,239 | (610) | (281) | 184 | 4,915 |
| 2.ประมาณการรายรับล่วงหน้า | 1,795 | 2,149 | 2,198 | 2,248 | 2,299 | 10,688 |
| 3. เงินทุนหมุนเวียนรอรับคืน | 413 | 937 | 1,080 | 986 | 936 | 4,351 |
| รวมรับ | 2,208 | 3,086 | 3,277 | 3,233 | 3,235 | 19,954 |
| 4. รายจ่าย ประกอบด้วย | ||||||
| 4.1 รายจ่ายผูกพัน ปี 2538-2547 | 558 | 468 | 398 | 265 | 76 | 1,764 |
| 4.2 รายจ่ายผูกพัน ปี 2548-2549 | 3,082 | 824 | 551 | 503 | - | 4,959 |
| 4.3 ประมาณการรายจ่ายล่วงหน้า | 2,244 | 3,644 | 2,000 | 2,000 | 2,600 | 12,488 |
| รวมจ่าย | 5,884 | 4,935 | 2,948 | 2,768 | 2,676 | 19,212 |
| 5. เงินคงเหลือปลายปี ยกไป | 1,239 | (610) | (281) | 184 | 742 | 742 |
4. คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2550 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2550 ได้เห็นชอบ "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3" ตามที่ พพ. เสนอมา
(1) จากความต้องการของภาคเอกชนที่ให้ความสนใจยื่นขอสินเชื่อเพื่อการลงทุนด้านพลังงานที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก และสถาบันการเงินจะได้มีความเชื่อมั่นสามารถตัดสินใจในการให้สินเชื่อได้เร็วขึ้นหากมีนโยบายหรือสัญญาณที่แสดงว่าจะมีแหล่งเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ จึงเห็นควรสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามการจัดสรรเงินในช่วงปีงบประมาณ 2551 และ 2552 ต้องมีการบริหารจัดการเพื่อลดรายจ่ายตามแผนงานที่คาดว่าจะใช้จ่ายปีละ 2,000 ล้านบาท เพื่อให้ฐานะการเงินของกองทุนฯ อยู่ในลักษณะไม่ขาดดุล
(2) งานด้านอนุรักษ์พลังงานและผลักดันการใช้พลังงานทดแทนมีหลายโครงการที่จำเป็นต้องมีแหล่งทุนสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มสภาพคล่องให้กับกองทุนฯ อาจต้องขอโอนเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีรายได้เฉลี่ยประมาณเดือนละ 2,700 - 3,000 ล้านบาท ซึ่ง ณ เดือนมกราคม 2550 ฐานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแสดงให้เห็นว่ามีแนวโน้มจะสามารถชำระหนี้ชดเชยตรึงราคาน้ำมันค้างชำระและหนี้ชดเชยราคา LPG ที่มีวงเงิน 34,204 ล้านบาท ได้หมดภายในสิ้นปี 2550 จึงควรเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบางส่วนมาสมทบเป็นรายได้ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพช่วยผลักดันการดำเนินการตามนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศได้มากขึ้น
(3) ระหว่างที่รอปรับฐานะการเงินของกองทุนฯ ให้ พพ. ขยายกรอบการใช้เงิน "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ระยะที่ 1" ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติจัดสรรเงินไว้แล้วเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท ให้สามารถปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเพื่อการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานได้ด้วย โดยมีขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ การเบิกจ่ายเงิน ในการสนับสนุนเหมือนกับโครงการเงินหมุนเวียนฯ ระยะที่ 2 และให้รับข้อสังเกตของที่ประชุมไปดำเนินการด้วย
(4) พพ. ควรนำตัวอย่างมาตรการที่ประสบความสำเร็จของโครงการฯ ระยะที่ 1 และ 2 ไปเผยแพร่ให้สาธารณชนสามารถรับทราบได้มากขึ้นเพื่อจะได้มีการนำไปประยุกต์ใช้และก่อให้เกิดการขยายผลในวงกว้าง
มติที่ประชุม
1. อมุมัติให้ พพ. ขยายกรอบการใช้เงิน " โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ระยะที่ " ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติจัดสรรเงินไว้แล้วเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท ให้สามารถปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเพื่อการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน โดยมีขั้นตอนขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ การเบิกจ่ายเงิน ในการให้การสนับสนุนเช่นเดียวกับโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 2
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติม ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3" ให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้แก่โรงงาน อาคาร และบริษัทจัดการพลังงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงินต้องปล่อยกู้ภายในระยะเวลา 3 ปี และ ส่งเงินคืนกองทุนฯ ผ่าน พพ. ในเวลา 10 ปี นับจากวันที่ได้รับอนุมัติ โดยอนุโลมให้ใช้ขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ การเบิกจ่ายเงิน ในการให้การสนับสนุนเช่นเดียวกับโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 2
3. เห็นชอบให้ สนพ. เสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 3,000 ล้านบาท มาสมทบเป็นรายได้ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของฐานะการเงินของกองทุนฯ ทำให้มีศักยภาพช่วยผลักดันการดำเนินการตามนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศได้มากขึ้น
เรื่องที่ 2 ขอนุมัติเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับ โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบถึงมาตรการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ สรุปได้ดังนี้
1.1 คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาพลังงานของประเทศ โดยกำหนดแนวทางในการส่งเสริมการนำก๊าซธรรมชาติ (NGV) มาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลและให้รถยนต์ราชการที่ใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงติดตั้งอุปกรณ์เพื่อเปลี่ยนไปใช้ NGV โดยให้ ปตท. ดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้ก่อน และให้กระทรวงการคลังกำหนดระเบียบการผ่อนจ่ายค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการเพื่อคืนให้ ปตท. โดยบวกเพิ่มในราคาก๊าซฯ อีกกิโลกรัมละ 5 บาท เป็น 9.53 + 5.00 บาท = 14.53 บาท และ คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 40) เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2548 ได้พิจารณาข้อเสนอ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" และมีมติดังนี้
(1) อนุมัติเงินกองทุนฯ จากแผนพลังงานทดแทน ปีงบประมาณ 2548 ให้ ปตท. เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย ในวงเงิน 110 ล้านบาท (หนึ่งร้อยสิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาใช้เงินทั้งหมดคืนกองทุนฯ ภายใน 10 ปี โดยใช้คืนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของวงเงินภายในปีที่ 5 และคืนส่วนที่เหลือภายในปีที่ 10
(2) ก่อนดำเนินโครงการฯ ให้ ปตท. หารือกับกรมบัญชีกลาง เรื่องระเบียบวิธีการเบิกจ่ายและเรียกเก็บเงินคืนกองทุนฯ และให้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 19 เมษายน 2548 ที่ให้ ปตท. ออกค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้ก่อน และให้ส่วนราชการผ่อนจ่ายคืนโดยบวกเพิ่มในราคาก๊าซ ซึ่งหากวิธีดำเนินการขัดกับมติคณะรัฐมนตรีก็ให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
(3) การติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยใช้เงินกองทุนฯ ให้ดำเนินการกับรถยนต์ราชการจำนวน 1,708 คัน ที่แจ้งความประสงค์ไว้ ในราคาประมาณ 65,000 บาท/คัน และสำหรับรถยนต์ราชการที่จะติดตั้งต่อจากนี้ให้ตั้งเรื่องของบประมาณแผ่นดินมาเป็นค่าติดตั้ง
(4) รถยนต์ของส่วนราชการที่ติดตั้งอุปกรณ์ NGV แล้ว และรถยนต์หมดอายุการใช้งานก่อนอุปกรณ์ NGV สามารถนำอุปกรณ์ NGV เปลี่ยนไปติดตั้งกับรถยนต์ราชการคันอื่นได้
1.2 กระทรวงการคลังเห็นว่าการผ่อนชำระคืนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้กับรถยนต์ราชการที่เข้าร่วมโครงการฯ ส่วนราชการต่างๆ ไม่สามารถชำระค่าติดตั้งให้เสร็จสิ้นภายในปีงบประมาณ และจะต้องผูกพันเงินงบประมาณในปีต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการก่อหนี้ผูกพัน ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 23 วรรค 4 ดังนั้นเพื่อเป็นแนวทางให้ส่วนราชการถือปฏิบัติ คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2548 ได้อนุมัติหลักการให้ทุกส่วนราชการที่นำรถยนต์ราชการเข้าร่วม "โครงการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้แก่รถยนต์ราชการ" ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณในการผ่อนชำระคืนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้แก่กองทุนฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และสำหรับแนวทางการชำระคืนเงินค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV มีมติให้ สนพ. เป็นผู้แทนทุกส่วนราชการในการเสนอขอตั้งงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนชดเชยกองทุนฯ เพื่อผูกพันงบประมาณโดยรวม
1.3 ในปี 2549 ปตท. ได้ติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้รถยนต์ราชการรวม 1,209 คัน (เป้าหมายเดิมจำนวน 1,708 คัน) คาดว่าจะประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในภาครัฐคิดเป็นมูลรวม 32,358,856 บาท/ปี ซึ่งกรมธุรกิจพลังงานเห็นว่ายังมีรถยนต์ราชการจำนวน 1,200 คัน ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ยังไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์ NGV จึงเสนอขอใช้เงินจากกองทุนฯ 100,000,000 บาท (หนึ่งร้อยล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ยสำหรับสนับสนุนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้กับหน่วยงานดังกล่าว โดยในครั้งนี้กรมธุรกิจพลังงานจะเป็นผู้แทนทุกส่วนราชการในการเสนอขอตั้งงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนชดเชยกองทุนฯ
1.4 คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สนพ. ในวงเงินรวม 1,188,516,104 บาท (หนึ่งพันหนึ่งร้อยแปดสิบแปดล้านห้าแสนหนึ่งหมื่นหกพันหนึ่งร้อยสี่บาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปี 2550 ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ภายใต้แผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต จะมีงบประมาณส่วนหนึ่งในวงเงิน 100,000,000 บาท (หนึ่งร้อยล้านบาทถ้วน) ที่เตรียมไว้ให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" ซึ่งปัจจุบัน (25 เมษายน 2550) กรมธุรกิจพลังงานกำลังจัดทำรายละเอียดของโครงการฯ เสนอ สนพ.
2. ผลการดำเนินงาน
ในช่วงระยะเวลา 1 ปี ( ธันวาคม 2548 ถึง ธันวาคม 2549) สนพ. ปตท. กรมธุรกิจพลังงาน กรมการพลังงานทหาร กระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมกันดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการ จำนวน 1,209 คัน ประกอบด้วย
รถยนต์เบนซิน ติดระบบ Bi Fuel 1,177 คัน (41,000 ถึง 97,000 บาท/คัน)
รถยนต์ดีเซลขนาดเล็ก ติดระบบ Diesel Dual Fuel 27 คัน ( 45,000 บาท/คัน)
รถบัส เปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ NGV (Re – powering) 5 คัน ( 150,000 บาท/คัน)
การดำเนินงานดังกล่าวคาดว่า ส่วนราชการจะประหยัดน้ำมันเบนซินได้ 1,730,100 ลิตรต่อปี และดีเซล 217,175 ลิตรต่อปี หรือคิดเป็นมูลค่าผลประหยัดรวม 32,358,856 บาทต่อปี โดย ปตท. มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ผ่านเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย รวม 66,091,653 บาท (หกสิบหกล้านเก้าหมื่นหนึ่งพันหกร้อยห้าสิบสามบาทถ้วน) และ สนพ. เตรียมตั้งเป็นรายจ่ายในงบประมาณประจำปี 2551 เสนอสำนักงบประมาณเพื่อนำมาชำระคืนกองทุนฯ ต่อไป
3. การขอเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ
3.1 ปัจจุบันฐานะการเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเมื่อจัดสรรเงินตามประมาณการรายจ่ายตามแผนงาน 2550-2554 แล้วยังอยู่ในลักษณะสมดุล และกระทรวงพลังงานได้ประเมินฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแล้วเห็นว่ามีแนวโน้มจะสามารถชำระหนี้ชดเชยตรึงราคาน้ำมันค้างชำระและหนี้ชดเชยราคา LPG ได้หมดภายในสิ้นปี 2550 จึงจะเสนอขอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบางส่วนมาสมทบเป็นรายได้ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพช่วยผลักดันการดำเนินการตามนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศได้มากขึ้น
3.2 จากเหตุผลตามข้อ 3.1 ประกอบกับภาระค่าใช้จ่ายของงบประมาณแผ่นดินที่รัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากในการผลักดันงานและโครงการต่างๆ เพื่อพัฒนาและสร้างความมั่นคงของประเทศ สนพ. จึงขอเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อโปรดพิจารณาการเปลี่ยนแปลงการใช้เงินจากกองทุนฯ สำหรับ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" ของ ปตท. และ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" ของกรมธุรกิจพลังงาน ดังต่อไปนี้
(1) ให้การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ภายใต้ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" และ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" เปลี่ยนแปลงเป็น "เงินให้เปล่า" แทน "เงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย ที่ต้องคืนกองทุนฯ ภายใน 10 ปี โดยใช้คืนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของวงเงินภายในปีที่ 5 และคืนส่วนที่เหลือภายในปีที่ 10"
(2) จากข้อ (1) สนพ. และกรมธุรกิจพลังงาน ไม่ต้องตั้งรายจ่ายในงบประมาณแผ่นดินประจำปี เพื่อนำมาชำระคืนกองทุนฯ
(3) เปลี่ยนชื่อ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" ที่กรมธุรกิจพลังงานได้รับอนุมัติจัดสรรเงินไว้แล้วจากมติคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 โดยเปลี่ยนชื่อเป็น "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" และให้กรมธุรกิจพลังงานปรับแผนงานโครงการฯ ให้สอดรับกับการดำเนินงานสนับสนุนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการ แบบให้เปล่า
4. มติคณะอนุกรรมการกองทุนฯ
คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 8) เมื่อ 25 เมษายน 2550 เห็นว่า ทั้ง 2 โครงการข้างต้นได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปแล้วโดยให้ใช้ในลักษณะ "เงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย" ที่ สนพ. จะเป็นผู้แทนทุกส่วนราชการในการเสนอขอตั้งงบประมาณแผ่นดินนำมาชำระคืนกองทุนฯ ภายหลังและในเวลาที่กำหนด ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าทั้ง 2 โครงการดังกล่าวเป็นการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้รถยนต์ของส่วนราชการ และฐานะการเงินของกองทุนฯ ที่มีสภาพคล่องดีแล้ว จึงเห็นชอบการเปลี่ยนแปลงการใช้เงินจากกองทุนฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอมาในข้อ 3 .4 และให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณาต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ภายใต้ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" และ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" เปลี่ยนแปลงเป็น "เงินให้เปล่า" แทน "เงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย ที่ต้องคืนกองทุนฯ ภายใน 10 ปี โดยใช้คืนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของวงเงินภายในปีที่ 5 และคืนส่วนที่เหลือภายในปีที่ 10" ทั้งนี้ สนพ. และกรมธุรกิจพลังงาน ไม่ต้องตั้งรายจ่ายในงบประมาณแผ่นดินประจำปี เพื่อนำมาชำระคืนกองทุนฯ ทั้ง 2 โครงการ
2. อนุมัติให้เปลี่ยนชื่อ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" ที่กรมธุรกิจพลังงานได้รับอนุมัติจัดสรรเงินไว้แล้วจากมติคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 โดยเปลี่ยนชื่อเป็น "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" และให้กรมธุรกิจพลังงาน ปรับแผนงานโครงการฯ ให้สอดรับกับการดำเนินงานสนับสนุนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการ แบบให้เปล่า
เรื่องที่ 3 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า พพ. เสนอขอรับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 เพิ่มเติม ในวงเงิน 119,000,000 บาท (หนึ่งร้อยสิบเก้าล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2549 เคยมีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้ พพ. ไปดำเนินการจัดหา ติดตั้ง กังหันลมระบบมีเกียร์ เพื่อสาธิตการผลิตไฟฟ้า ขนาด 1.5 MW บริเวณพื้นที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช โดยมีเงื่อนไขที่สำคัญ ให้ พพ. ทำการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากโครงการและพพ. จะต้องจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับทุนจากกองทุนฯ
พพ. ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในวงเงิน 498,000 บาท ศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และได้ส่งรายงานฉบับสมบูรณ์แล้วเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2549 สรุปได้ ดังนี้
(1) ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางกายภาพทางด้านลบในระดับ "น้อย" ขณะที่คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์และคุณค่าต่อคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับ "มาก"
(2) จัดรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่ มีผู้เข้าร่วม 113 คน โดยร้อยละ 98.7 เห็นด้วยเพราะเห็นว่าจะเป็นแหล่งพลังงาน แหล่งท่องเที่ยวใหม่และช่วยนำรายได้เข้าสู่ท้องถิ่น ส่วนร้อยละ 1.3 มีความกังวลในเรื่องเสียงรบกวน ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และผลกระทบต่อการทำมาหากิน (ผลกระทบกับนกนางแอ่น ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจประจำท้องถิ่น)
2. พพ. ไม่สามารถดำเนินการจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปีได้ จึงนำโครงการดังกล่าว เสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 1/2550 (ครั้งที่ 8) เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2550 เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ อีกครั้ง เพราะจากการดำเนินการจัดหาผู้ติดตั้งระบบฯ ตามขั้นตอนของระเบียบพัสดุด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามประกาศลงวันที่ 11 กันยายน 2549 กำหนดให้ยื่นเอกสารวันที่ 21 กันยายน 2549 ปรากฏว่ามีผู้ยื่นข้อเสนอเพียง 1 ราย พพ. จึงยกเลิกการจัดหาเมื่อ 26 กันยายน 2549 เป็นเหตุให้ พพ. ไม่สามารถจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี แต่การดำเนินงานของโครงการในกิจกรรมอื่น มีความก้าวหน้าไปพอสมควรแล้ว และได้รับความร่วมมือจากท้องถิ่นเป็นอย่างดี เพื่อให้มีทางเลือกในการนำพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่ตามธรรมชาติมาใช้ทดแทนพลังงานสิ้นเปลือง พพ. จึงเสนอขอที่จะดำเนินการโครงการดังกล่าวต่อ โดยใช้เงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ในวงเงิน 119 ล้านบาท ซึ่ง พพ. จะดำเนินการติดตั้งกังหันลม 1 ชุด จะเสียค่าใช้จ่าย Overhead ไม่ต่างกับการติดตั้ง Wind Farm (ตั้งแต่ 5 ชุดขึ้นไป)
3. มติคณะอนุกรรมการฯ 1/2550 และ 2/2550
คณะอนุกรรมการฯ ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติม ในวงเงิน 119 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม"
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติม ในวงเงิน 119,000,000 บาท (หนึ่งร้อยสิบเก้าล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ตามรายละเอียดที่ปรากฎในเอกสารประกอบวาระ 3.3
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้ ขอให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 จำนวน 11 ผลิตภัณฑ์" เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 18.8 ล้านบาท (สิบแปดล้านแปดแสนบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนินงานโครงการดังกล่าว สรุปได้ดังนี้
1) วัตถุประสงค์และสาระสำคัญ
ในช่วงปี 2543-2548 พพ. ได้จัดทำร่างกฎกระทรวงฯ จำนวน 11 ผลิตภัณฑ์ไว้แล้ว คือ กระจก ตู้แช่ เตารีดไฟฟ้า เครื่องซักผ้า เตาไฟฟ้า เตาอบไมโครเวฟ กาต้มน้ำร้อนไฟฟ้า ฉนวนใยแก้ว เครื่องอบผ้า เตาอบไฟฟ้า และเครื่องทำน้ำเย็น แต่เนื่องจากร่างกฎกระทรวงดังกล่าวได้จัดทำไว้หลายปีแล้วโดยอาศัยข้อมูลจากเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์ ณ เวลานั้น ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีของแต่ละผลิตภัณฑ์ได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว จึงจำเป็นต้องทบทวนร่างกฎกระทรวงฯ ให้เหมาะสมกับสภาวะปัจจุบัน เพื่อประกาศใช้ในการส่งเสริมการผลิตและจำหน่าย ตลอดจนจัดทำร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ประสิทธิภาพขั้นต่ำ) เพื่อส่งให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดำเนินการต่อไป
2) งบประมาณรายจ่ายของโครงการฯ ขอรับสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงินรวม 18.8 ล้านบาท แบ่งเป็น
| ค่าใช้จ่าย | จำนวน |
| 1. ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร | 6,337,550 บาท |
| 2. ค่าใช้จ่ายประชุม-สัมมนา | 1,450,000 บาท |
| 3. ค่าใช้จ่ายทดสอบผลิตภัณฑ์ | 4,950,000 บาท |
| 4. ค่าใช้จ่ายประชาสัมพันธ์ | 5,092,100 บาท |
| 5. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ | 972,100 บาท |
| รวม | 18,801,650 บาท |
| * ขอสนับสนุนจากกองทุนฯ | 18,800,000 บาท |
3) ประโยชน์ที่มีต่อการประหยัดพลังงาน : ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน คาดว่าการออกกฎกระทรวงของอุปกรณ์ 11 ประเภท จะช่วยให้เกิดการประหยัดพลังงานได้ 90 ktoe/ปี
เห็นระหว่างกันเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเห็นว่ารายละเอียดในข้อเสนอของ พพ. ยังขาดข้อมูลในประเด็นสำคัญ คือ2. สนพ. ได้ประเมินคุณภาพของข้อเสนอฯ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย 1) ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ 2) ศ.ดร.จุลละพงษ์ จุลละโพธิ และ 3) รศ.ดร.อภิชิต เทอดโยธิน ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความ
(1) การทบทวนงานที่หน่วยงานต่างๆ รวมถึง พพ. ที่ได้ดำเนินการศึกษาไว้แล้ว เพื่อศึกษาแนวทาง กระบวนการที่จะผลักดันให้งานจัดทำมาตรฐานประสิทธิภาพ ประสพความสำเร็จ
(2) การทบทวนผลการดำเนินงานศึกษาร่างกฎกระทรวงที่ พพ. ดำเนินการผ่านมา เพื่อบ่งชี้ให้เห็นปัญหาอุปสรรคที่ พพ. ไม่สามารถนำร่างกฎกระทรวงของอุปกรณ์ที่ได้ศึกษาไว้ทั้ง 24 ชนิด มาประกาศใช้ และระบุกระบวนการหรือแนวทางที่จะเชื่อมั่นได้ว่าการศึกษาครั้งนี้ จะผ่านอุปสรรคเดิมและสามารถประกาศกฎกระทรวงได้
(3) การอ้างอิงถึงกระบวนการพิจารณาถึงความเหมาะสมที่แจ้งว่าผลการศึกษาเดิม (ปี 2543-2548) ไม่เป็นปัจจุบัน จำเป็นต้องศึกษาใหม่ ทั้ง 11 อุปกรณ์
(4) เหตุผลที่ต้องศึกษาเพื่อกำหนดค่ามาตรฐานโดยแยกเป็นรายอุปกรณ์ เพราะอุปกรณ์บางชนิดไม่มีความซับซ้อนและเทคโนโลยีไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงเร็ว เช่น กระติกน้ำร้อน กาต้มน้ำร้อน เตาอบไมโครเวฟ เป็นต้น หรือความจำเป็นที่ต้องกำหนดมาตรฐานในอุปกรณ์บางชนิดที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ออกรุ่นใหม่ๆ มาเสมอ เช่น เครื่องซักผ้า และมีแนวทางจะกำหนดมาตรฐานอย่างไรกับอุปกรณ์ลักษณะนี้
(5) ความจำเป็นที่ต้องจ้างที่ปรึกษาเข้ามาดำเนินการแทนในทุกรายการ เพราะการทบทวนกฎกระทรวงฯ ไม่น่าจะจำเป็นที่ต้องจ้างที่ปรึกษามาให้ความเห็นทุกอุปกรณ์ บุคลากรของหน่วยงานเจ้าของโครงการ น่าจะดำเนินการเองได้ เพราะต้องมีความชำนาญการในเรื่องนี้มากกว่าที่ปรึกษาเพื่อการกำกับดูแลคุณภาพงานจะได้เป็นไปด้วยความครบถ้วน
(6) ที่มาของผลการประหยัดพลังงานที่ระบุไว้ หากมีการประกาศใช้กฎกระทรวงของ 11 ผลิตภัณฑ์ จะช่วยให้เกิดการประหยัดพลังงานได้ 90 ktoe/ปี
(7) ยังไม่ควรดำเนินการประชาสัมพันธ์ เพราะเป้าหมายของโครงการฯ เป็นเรื่องทางเทคนิคที่ยังไม่มีผลเป็นนามธรรมหรือจับต้องได้
โดยคณะผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่า พพ. ควรจัดทำข้อเสนอใหม่ โดยเพิ่มเติมข้อมูลที่สำคัญในประเด็น ตามที่มีความเห็นไว้ข้างต้น ประกอบกับในช่วงนี้กระทรวงพลังงานจะทำงบประมาณปี 2551 เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา และงานที่ พพ. มีอยู่เดิมและต้องดำเนินการในปีงบประมาณ 2550 มีปริมาณมากอยู่แล้ว จึงเห็นควรให้ พพ. จัดทำรายละเอียดและปรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ให้เรียบร้อย และยื่นเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในปีงบประมาณ 2551 ต่อไป
3. มติคณะอนุกรรมการกองทุนฯ
ด้วยเรื่องดังกล่าวมีความจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้เครื่องจักรอุปกรณ์และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยเร็ว พพ. จึงได้จัดทำข้อเสนอฯ ที่ได้ปรับปรุงตามความเห็นของคณะผู้ทรงคุณวุฒิตามข้อ 2 เสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 3/2550 (ครั้งที่ 9) เมื่อ 11 มิถุนายน 2550 ซึ่งเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป โดยให้ พพ. ปรับลดงบประมาณในการประชาสัมพันธ์ให้เน้นเพียงการสร้างความเข้าใจกับผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเท่านั้น เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีความจำเป็นและสามารถจัดทำการประชาสัมพันธ์พร้อมกันได้เมื่อประกาศใช้กฎกระทรวงแล้ว
พพ. ได้ดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการฯ เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยการปรับลดงบประมาณในการประชาสัมพันธ์ให้เน้นเพียงการสร้างความเข้าใจกับผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเท่านั้น พร้อมทั้งปรับลดวงเงินงบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงิน 15,700,00 บาท ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา ตามรายละเอียดที่ปรากฏเอกสารประกอบวาระ 3.4.
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 13,700,000 บาท (สิบสามล้านเจ็ดแสนบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนินงาน "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2" ตามรายละเอียดที่ปรากฏเอกสารประกอบวาระ 3.4 โดยให้ประสานสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในการดำเนินการด้วย
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้ ขอให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก" เสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 22 ล้านบาท (ยี่สิบสองล้านบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนินงานโครงการ สรุปได้ดังนี้
1) วัตถุประสงค์และสาระสำคัญ
โรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กทั่วประเทศ มีประมาณ 36,000 แห่ง ที่ต้องการความรู้ความเข้าใจวิธีการอนุรักษ์พลังงานอย่างถูกต้องและเป็นระบบ ในช่วงปี 2548 และ 2549 พพ. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเข้าไปดำเนินการโครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กแล้ว 700 แห่ง เกิดผลประหยัดพลังงาน 8.366 ktoe และเพื่อให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่อง พพ. จึงจะว่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินการต่อในปี 2550 อีก 100 แห่ง
2) งบประมาณรายจ่ายของโครงการฯ ขอสนับสนุนจากกองทุนฯ 22 ล้านบาท แบ่งเป็น
| ค่าใช้จ่ายต่อกลุ่ม (กลุ่มละ 25 แห่ง) | จำนวน |
| 1. ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร | 3,306,000 บาท |
| 2. ค่าใช้จ่ายอื่น | 1,835,250 บาท |
| 3. ภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 | 359,888 บาท |
| รวม | 5,501,138 บาท |
| ขอตั้งงบประมาณ ต่อกลุ่ม | 5,500,000 บาท |
| รวมงบประมาณ 100 แห่ง (แบ่ง 4 กลุ่มๆ ละ 25 แห่ง) | 22,000,000 บาท |
3) ประโยชน์ที่มีต่อการประหยัดพลังงาน : ระยะเวลา 8 เดือน คาดว่าจะมีผลประหยัดพลังงานเฉลี่ยต่อแห่งไม่ต่ำกว่า 5 toe/ปี หรือเมื่อจบโครงการแล้วจะเกิดผลประหยัดรวมไม่น้อยกว่า 500 toe/ปี ระยะเวลาคืนทุนเฉลี่ยไม่เกิน 2 ปี
2. สนพ. ได้ประเมินคุณภาพของข้อเสนอฯ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย 1) ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ 2) ศ.ดร.จุลละพงษ์ จุลละโพธิ และ 3) รศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกันเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเห็นว่ารายละเอียดในข้อเสนอของ พพ. ยังขาดข้อมูลในประเด็นสำคัญ คือ
(1) การทบทวนการทำงานโครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม ที่ พพ. ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2545 การที่บ่งชี้ถึงสิ่งที่ พพ. ได้เรียนรู้จากประสบการณ์การทำงาน จำแนกกลุ่มของสถานประกอบการที่เข้าไปดำเนินการมาแล้ว แสดงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทั้งด้านพลังงานและมาตรการที่เกิดขึ้น ระบุประเด็นปัญหาหรือข้อจำกัด ที่นำมาสู่การทำโครงการตามที่เสนอมาในครั้งนี้ โดยระบุให้ชัดเจนว่าจะเลือกเข้าไปดำเนินการกับกลุ่มเป้าหมายใน sector ใดบ้าง ด้วยเหตุผลอะไร
(2) ปรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ที่ไม่ใช่การดำเนินการผ่านระบบที่ปรึกษา แต่ควรมุ่งเน้นกระบวนการที่จะก่อให้เกิดความยั่งยืนโดยปลูกฝังพัฒนาไว้ที่บุคลากรของสถานประกอบการ เช่น การนำองค์ความรู้ที่ได้จากการดำเนินงานที่ผ่านมาที่ พพ. จัดทำไว้ในรูปแบบเอกสารเผยแพร่ หรือ VDO อยู่มากนั้น ไปขยายผลด้วยวิธีที่เข้าถึงสถานประกอบการที่ยังไม่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานกว่า 20,000 แห่ง ได้เร็วขึ้น รวมถึงการใช้ทรัพย์สินที่ลงทุนไว้แล้ว เช่น ศูนย์ให้คำปรึกษา ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น หรือหากต้องการให้มีที่ปรึกษาเข้าไปช่วยให้คำแนะนำ ก็ควรให้เจ้าของสถานประกอบการนั้นออกค่าใช้จ่ายด้วยส่วนหนึ่ง
(3) พิจารณาปรับตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ จากที่จะประหยัดพลังงานเฉลี่ยต่อแห่งไม่ต่ำกว่า 5 toe/ปี โดยน่าจะเพิ่มการวัดผลที่ความยั่งยืนที่สถานประกอบการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่องด้วย
โดยคณะผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่า พพ. ควรจัดทำข้อเสนอใหม่ โดยเพิ่มเติมข้อมูลที่สำคัญในประเด็น ตามที่มีความเห็นไว้ข้างต้น ประกอบกับในช่วงนี้กระทรวงพลังงานจะทำงบประมาณปี 2551 เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา และงานที่ พพ. มีอยู่เดิมและต้องดำเนินการในปีงบประมาณ 2550 มีปริมาณมากอยู่แล้ว จึงเห็นควรให้ พพ. จัดทำรายละเอียดและปรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ให้เรียบร้อย และยื่นเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในปีงบประมาณ 2551 ต่อไป
3. มติคณะอนุกรรมการกองทุนฯ
ด้วยเรื่องดังกล่าวมีความจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อช่วยผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ประกอบกับ พพ.ได้จัดทำข้อเสนอที่ปรับปรุงตามความเห็นของคณะผู้ทรงคุณวุฒิตามข้อ 2 เสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2550 (ครั้งที่ 9) เมื่อ 11 มิถุนายน 2550 ได้พิจารณาแล้ว มีมติชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป ตามรายละเอียดปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 3.5
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 22 ล้านบาท (ยี่สิบสองล้านบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนิน "โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก" ตามรายละเอียดปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 3.5 ทั้งนี้ก่อนดำเนินโครงการให้ พพ. พิจารณาปรับข้อเสนอโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะในรายงานของคณะอนุกรรมการประเมินผลโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ด้วย
เรื่องที่ 6 ขอคืนหลักประกันซอง โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอให้ที่ประชุมได้พิจารณาเกี่ยวกับการขอคืนหลักประกันซองโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ที่ไม่ได้ทำสัญญาขอรับการสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าส่วนเพิ่มกับ กฟผ. รวม 6 ราย คือ
(1) อุตสาหกรรมโคราช จำกัด จ.นครราชสีมา
(2) ไฟฟ้าชนบท จำกัด จ.ลพบุรี
(3) น้ำตาลตะวันออก จำกัด จ.สระแก้ว
(4) ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) จ.ลพบุรี
(5) ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (เขื่อนเจ้าพระยา) จ.ชัยนาท
(6) ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (เขื่อนคลองท่าด่าน) จ.นครนายก
2. การคืนหนังสือค้ำประกันซองให้กับ 6 หน่วยงาน สนพ. ได้พิจารณาตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ใน "เอกสารเชิญชวนเพื่อยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" ตามที่แจ้งแล้วในข้อ 1.1 และสรุปผลการพิจารณาได้ดังนี้
2.1 รายที่ 1 บริษัท อุตสาหกรรมโคราช จำกัด สนพ. ได้คืนหนังสือค้ำประกันซองให้บริษัทฯ แล้ว เมื่อ 18 พฤษภาคม 2548 เนื่องจาก เป็นไปตามข้อ 1.1 (3) บริษัทฯ ไม่ผ่านการพิจารณาตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กของการไฟฟ้า เพราะ ไม่สามารถจัดหาเชื้อเพลิงได้สม่ำเสมอและเพียงพอต่อการขายไฟฟ้าตามสัญญา Firm อันเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาอ้อยและน้ำตาล ซึ่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในคราวการประชุมครั้งที่ 2/2547 เมื่อ 28 กรกฎาคม 2547 ได้มีมติเห็นชอบให้ บริษัท อุตสาหกรรมโคราชฯ ยกเลิกคำร้องการขายไฟฟ้าประเภทสัญญา Firm ได้
2.2 รายที่ 2 และ 3 สนพ. จะไม่คืนหนังสือค้ำประกันซองให้ เพราะไม่เข้าลักษณะข้อหนึ่งข้อใดตามที่ปรากฏในข้อ 1.1 (1) - (3) แต่เข้าลักษณะของการริบหลักประกันซองในกรณีบริษัทฯ ผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ที่ สนพ. กำหนด แต่ไม่ไปทำสัญญาขอรับเงินสนับสนุนฯ กับ กฟผ. ภายในเวลาที่กำหนด
2.3 รายที่ 4 ถึง 6 ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้งกับ กฟผ. เพื่อจัดทำโรงไฟฟ้าขนาดเล็กท้ายเขื่อนชลประทาน บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมในทุกด้านเพื่อการลงนามในสัญญากับ กฟผ. แล้ว แต่คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อ 9 ธันวาคม 2546 ได้มีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กท้ายเขื่อนชลประทาน และให้กระทรวงพลังงานเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านเทคนิค จึงเป็นเหตุที่ทำให้บริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินโครงการดังกล่าวได้
สนพ. เห็นว่า กฟผ. ได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะดำเนินโรงไฟฟ้าขนาดเล็กท้ายเขื่อนชลประทานทั้ง 3 แห่ง ทั้งด้านเทคนิค สังคมและสิ่งแวดล้อม แต่เหตุที่ทำให้บริษัทฯ ไม่สามารถทำสัญญาขอรับการสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าส่วนเพิ่มกับ กฟผ. ได้ทันภายในเวลาที่กำหนดเกิดจากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
กรณีที่เกิดขึ้นข้างต้นไม่ได้ระบุไว้ในเอกสารเชิญชวนฯ สนพ. จึงอาศัยข้อความที่ระบุไว้ในเอกสารเชิญชวนฯ ข้อ 10 "ในกรณีที่ข้อความในเอกสารเชิญชวนฯ ไม่ชัดเจน......ให้คำวินิจฉัยของ สนพ. ถือเป็นเด็ดขาด" จึงเห็นว่าควรจะคืนหนังสือค้ำประกันซองให้บริษัทฯ ทั้ง 3 ราย อย่างไรก็ตามโครงการสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนนี้ ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สนพ. จึงเสนอต่อฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ โปรดพิจารณาเรื่องการคืนหลักประกันซอง ตามที่ สนพ. เสนอมา
มติที่ประชุม
ให้ สนพ. เป็นผู้ดำเนินการในการพิจารณาเรื่องดังกล่าว








