กอ. ครั้งที่ 42 - วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2549

มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 42)
วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2549 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
3. โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV
4. ข้อเสนอขอปรับโครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ
5. ขออนุมัติโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม 2 โครงการ
7. โครงการรณรงค์ประหยัดพลังงานในหน้าร้อน
8. ขออนุมัติโครงการทีมเทคนิคและอาชีวศึกษาเพื่อการประหยัดพลังงาน
รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) กระทรวงพลังงาน ผู้เข้าร่วมประชุม
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบรับรองงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2547 และ 2546 เรียบร้อยแล้ว โดย สตง. มีข้อสังเกตว่าสินทรัพย์ถาวรที่จัดซื้อจากเงินกองทุนฯ ยังไม่ได้บันทึกเป็นสินทรัพย์ของส่วนราชการที่จัดซื้อ ซึ่งไม่เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 สตง. ได้เสนอแนะให้กองทุนฯ ประสานงานกับส่วนราชการ (หน่วยผู้เบิก) ให้สำรวจและจัดทำทะเบียนคุมทรัพย์ให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อให้ส่วนราชการดังกล่าวนำไปบันทึกเป็นสินทรัพย์ ในบัญชีชุดส่วนราชการต่อไป
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ ได้แจ้งให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานและกรมบัญชีกลางทราบและถือปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของ สตง. โดยเคร่งครัดต่อไปแล้ว
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ได้เห็นชอบการปรับเปลี่ยนแนวทางในการติดตามประเมินผลใหม่ โดยการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 (2548 - 2554) จะใช้แนวทางการติดตามและประเมินผลแบบมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นการประเมินที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับเจ้าของโครงการ ผู้ร่วมโครงการและผู้ประเมินผลได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการประเมิน และเป็นการประเมินผลโครงการอย่างต่อเนื่องทั้งโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ (Ongoing Evaluation) และโครงการที่เสร็จสิ้นแล้ว (Post Evaluation) ซึ่งจะทำให้สามารถนำผลการประเมินไปปรับปรุงการดำเนินโครงการและแผนงานได้อย่างทันท่วงที โดยการประเมินผลในระดับแผนงาน จะนำผลการประเมินระดับโครงการมาเป็นข้อมูลวิเคราะห์และประเมินผล โดยจะพิจารณาประเด็น4 ด้าน คือ ด้านพันธกิจ ด้านกลุ่มเป้าหมาย ด้านการบริหารจัดการ และด้านการเรียนรู้และพัฒนา
2. การติดตามประเมินผลปี 2548 เป็นการติดตามประเมินผลโครงการทั้งหมดภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 3 ปีงบประมาณ 2548 มีทั้งสิ้น 84 โครงการ งบประมาณรวม 1,571.92 ล้านบาท โดยที่ปรึกษาได้แบ่งกลุ่มโครงการเพื่อการติดตามและประเมินผลออกเป็น 4 กลุ่มเพื่อให้สอดคล้องตามดัชนีชี้วัดของโครงการ ดังนี้
2.1 โครงการภายใต้แผนงานพลังงานทดแทน (กลุ่มงานวิจัยและสาธิต)
2.2 โครงการภายใต้แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (กลุ่มงานวิจัยและสาธิต)
2.3 โครงการภายใต้แผนงานบริหารเชิงกลยุทธ์
2.4 โครงการกลุ่มประชาสัมพันธ์และบุคลากรภายใต้แผนงานพลังงานทดแทนและแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
3. สรุปผลการติดตามประเมินผล : การดำเนินงานติดตามและประเมินผลที่ผ่านมามีความคืบหน้าไปด้วยดี โดย ณ สิ้นเดือนมกราคม 2549 สถานะการประเมินผลโครงการมีรายระเอียดดังนี้คือ
โครงการอยู่ระหว่างขอข้อมูลโครงการ จำนวน 1 โครงการ
โครงการอยู่ระหว่างการพัฒนาดัชนีชี้วัดรายโครงการ จำนวน 13 โครงการ
โครงการที่สรุปดัชนีชี้วัด และกำลังพัฒนาเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล จำนวน 47 โครงการ
อยู่ในขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล จำนวน 18 โครงการ
อยู่ในขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูล จำนวน 1 โครงการ
อยู่ในขั้นตอนการสรุปผลการประเมิน และจัดทำข้อเสนอแนะ จำนวน 4 โครงการ
โดยคาดว่าจะสามารถสรุปผลการประเมินโครงการและแผนงานทั้งหมดภายในเดือนพฤษภาคม 2549 นี้
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2548 ได้พิจารณาโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ตามที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เสนอ และได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ จำนวน 2,000 ล้านบาท จากแผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2549 ให้ ปตท. เพื่อนำไปใช้ในโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV โดยมีเงื่อนไขให้ ปตท. จัดทำรายละเอียดของโครงการฯ เสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณา เช่น การเบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ เท่าที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละช่วงเวลา ระยะเวลาการส่งเงินคืนกองทุนฯ และอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น และเมื่อ ปตท. ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขดังกล่าว และได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบ ต่อไป
2. ปตท.ได้เสนอสาระสำคัญและขั้นตอน วิธีการดำเนินโครงการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสรุปได้ ดังนี้
2.1 ปตท. จัดตั้งกองทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV เพื่อขยายการใช้ NGV จำนวน 5,000 ล้านบาท และเงินทุนจากกองทุนฯ สมทบกองทุนหมุนเวียนฯ อีกจำนวน 2,000 ล้านบาท ปตท. จะเบิกเงินเป็นรายเดือนตามรายละเอียดการจ่ายจริง
2.2 ปตท. เชิญธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ เข้าร่วมในโครงการให้สินเชื่อแก่เจ้าของยานยนต์ ซึ่งมีความประสงค์ที่จะดัดแปลง และ/หรือ ติดตั้งอุปกรณ์ใช้ NGV โดย ปตท. จะนำเงินเข้าฝากในบัญชีที่ ปตท. เปิดไว้กับแต่ละธนาคารและสถาบันการเงินให้เพียงพอกับวงเงินสินเชื่อที่ธนาคาร/สถาบันการเงินนั้นปล่อยกู้เพื่อโครงการ ฯ
2.3 ปตท. เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อร่วมกับธนาคาร/สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
2.4 ปตท. จะทำการลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) กับธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ
2.5 ปตท. โอนเงินไปฝากไว้ในบัญชีให้แต่ละธนาคาร/สถาบันการเงินตามที่ธนาคาร/สถาบันการเงินแจ้งประมาณการปล่อยสินเชื่อ
2.6 ธนาคาร/สถาบันการเงิน จะดำเนินการปล่อยสินเชื่อตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ได้ตกลงกับ ปตท.
2.7 ปตท. จัดทำรายละเอียดการเบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ พร้อมทั้งรายงานความก้าวหน้าการปล่อยสินเชื่อโครงการให้แก่ สนพ. ทราบทุกไตรมาส
2.8 ปตท. จะชำระคืนเงินกองทุนฯ เป็นรายไตรมาส พร้อมอัตราดอกเบี้ย 0.50% ต่อปี
ทั้งนี้ การเบิกจ่ายเงิน และการคืนเงินกองทุนฯ เป็นการประมาณการ โดยอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ตามการเบิกจ่ายจริง
3. คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2549 ได้พิจารณาแล้วมีมติดังนี้
3.1 เห็นชอบในรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงานของโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ตามข้อเสนอโครงการที่ ปตท. เสนอ ทั้งนี้ หากกองทุนฯ มีปัญหาในเรื่องสภาพคล่องทางด้านการเงินในปีแรก ปตท. จะต้องจ่ายเพิ่มให้เพียงพอกับความต้องการใช้เงินของธนาคารด้วย
3.2 เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำโครงการดังกล่าว เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไป
3.3 กองทุนฯ ต้องไม่มีความเสี่ยงใดๆ ในการปล่อยกู้ หากมีหนี้สูญ ปตท. จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอง
3.4 มอบหมายให้ ปตท. สนพ. และกรมบัญชีกลางหารือเรื่องรายละเอียดการเบิกจ่ายเงิน และการส่งเงินคืนกองทุนฯ โดยให้คำนึงถึงสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนฯ ด้วย
3.5 มอบหมายให้ สนพ. ศึกษาความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศในระยะยาวหากมีการส่งเสริมให้มีการใช้ NGV อย่างแพร่หลาย
4. ผู้แทน ปตท. ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่าสำหรับประเด็นที่อนุกรรมการฯ ได้ให้ข้อสังเกตไว้นั้น ปตท. ได้ร่วมหารือกับ สนพ. แล้ว และ ปตท. สามารถดำเนินการได้ตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบมติคณะอนุกรรมการฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
เรื่องที่ 4 ข้อเสนอขอปรับโครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 40) เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2548 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ จำนวน 110 ล้านบาท จากแผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2548 ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อนำไปใช้ในโครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ โดยมีจำนวนรถที่สนใจเข้าร่วมโครงการ จากหน่วยงานราชการต่างๆ จำนวน 21 กระทรวง เป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,708 คัน โดยให้ ปตท. เป็นผู้จัดหาอุปกรณ์ NGV กรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้จัดทำแผนการติดตั้ง และมีหน่วยงานทหารและสถาบันอาชีวศึกษาต่างๆ จำนวน 15 แห่ง เป็นผู้ติดตั้ง
2. ผลการดำเนินโครงการ ปรากฏว่าการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ของหน่วยงานราชการตามข้อมูล ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2549 มีรถราชการติดตั้งอุปกรณ์ NGV แล้ว จำนวนทั้งสิ้น 314 คัน โดยการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถราชการไม่เป็นไปตามแผนที่กรมธุรกิจพลังงานได้กำหนด เนื่องจาก จำนวนรถที่หน่วยงานราชการแต่ละหน่วยงานยืนยันเข้าร่วมโครงการ ได้มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งบางหน่วยงานมีจำนวนรถลดลง ปตท. จึงได้มีหนังสือที่ 71063000/329/2549 ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2549 เพื่อขอปรับรายละเอียดในโครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซ NGV ในรถราชการ ดังนี้
2.1 ขอปรับรายงานความก้าวหน้าและรายงานการเงิน โดยรวมส่งรายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 ซึ่งเป็นการรายงานความก้าวหน้าการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถราชการ จำนวน 500 คัน และ 1,000 คันตามลำดับ เป็นรายงานฉบับเดียวกัน โดยขอส่งรายงานความก้าวหน้า ณ สิ้นเดือนที่ 8 (พฤษภาคม 2549) และขอรวมการเบิกเงินตามรายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 เป็นครั้งเดียวกันจำนวนทั้งสิ้น 75,500,000 บาท เมื่อรายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 1 ได้รับความเห็นชอบจาก สนพ.
2.2 ขอเพิ่มเติมรถยนต์ราชการที่สามารถเข้าร่วมโครงการจากเดิม เฉพาะเครื่องยนต์เบนซิน เป็นเครื่องยนต์เบนซิน หรือดีเซล
2.3 ขออนุมัติถัวจำนวนรถยนต์ในโครงการระหว่างหน่วยงานราชการต่างๆ รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,708 คัน
2.4 ขอเพิ่มหน่วยงานราชการอื่นที่ไม่ได้แจ้งความจำนงไว้ ตั้งแต่เริ่มโครงการแต่ได้ยื่นความจำนงเพิ่มเติมในภายหลัง โดย ปตท. จะทำการติดตั้งอุปกรณ์ให้กับหน่วยงานที่ได้ยื่นความจำนงไว้ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการก่อนเป็นลำดับแรก หากติดตั้งแล้วเสร็จทั้งหมด แต่จำนวนรถราชการที่ติดตั้งยังไม่ครบจำนวน 1,708 คัน และหรืองบประมาณยังคงเหลือ ปตท. จะแจ้งให้หน่วยงานที่แจ้งความจำนงภายหลัง นำรถของหน่วยงานมาติดตั้งอุปกรณ์ NGV
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ ปตท. ปรับโครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ตามรายละเอียดที่เสนอในข้อ 2 และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการต่อไป
เรื่องที่ 5 ขออนุมัติโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม 2 โครงการ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 8/2547 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2547 ได้อนุมัติข้อเสนอของ 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่ได้ยื่นขอทุนจากกองทุนฯ เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการสาธิตการใช้พลังงานลมเพื่อผลิตไฟฟ้าจ่ายขนานเข้าระบบจำหน่าย รวม 3 โครงการ โดย พพ. กฟผ. และ กฟภ. จะติดตั้งกังหันลมหน่วยงานละ 1 ชุด เพื่อเก็บสถิติข้อมูลจากการใช้งานจริง โดยแต่ละระบบมีความแตกต่างกันในด้านขนาดกำลังการผลิต เทคโนโลยี และสถานที่ติดตั้ง ดังนี้
| หน่วยงาน | สถานที่ติดตั้ง | กำลังการผลิต | ขอทุน (ล้านบาท) |
ร่วมลงทุน (ล้านบาท) |
รวมทั้งสิ้น (ล้านบาท) |
| (1) พพ. | ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช |
900 kW | 50.000 | - | 50.000 |
| (2) กฟภ. | ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย อ.สทิงพระ จ.สงขลา |
600 kW | 41.108 | 13.980 | 55.088 |
| (3) กฟผ. | ชายฝั่งทะเลอันดามัน แหลมพรหมเทพ จ.ภูเก็ต |
600 kW | 31.037 | 13.302 | 44.339 |
| รวมทั้งสิ้น | 2,100 kW | 122.145 | 27.282 | 149.427 | |
2. พพ. ได้มีหนังสือที่ พน.0506/31097 ลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2548 เพื่อขอเปลี่ยนแปลงการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามนโยบายกระทรวงพลังงาน จากวิธีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายบางส่วนให้กับแต่ละหน่วยงานโดยตรงเพื่อดำเนินการติดตั้งระบบสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เป็น พพ. กฟภ. และ กฟผ.ร่วมดำเนินการโครงการฯ โดยเปิดให้เอกชนลงทุน จัดตั้งกังหันลมเพื่อขายไฟฟ้าที่ผลิตได้ให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย และนำเงินที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว รวมทั้งสิ้น 122,145,194 บาท มาจัดทำ "โครงการสนับสนุนการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานลม" เพื่อเปิดให้เอกชนลงทุนเพื่อติดตั้งระบบสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม โดยให้เงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าส่วนเพิ่มไม่เกินหน่วยละ 8 บาท มีระยะเวลาการรับเงินชดเชย 5 ปี
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 1) เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2548 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วมีความเห็นว่าเนื่องจากการจัดทำโครงการพลังงานลม 3 โครงการเดิมนั้น มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิจัย พัฒนาและสาธิต เทคโนโลยีที่ยังไม่มีในประเทศ ดังนั้นควรเป็นการสาธิตกังหันขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อการวิจัยพัฒนาในอนาคตมากกว่า โดยควรสาธิตที่ขนาด 1.5 MW ขึ้นไป และเพื่อไม่ให้กระทบต่อวงเงินเดิมที่ได้อนุมัติไว้ จึงเห็นควรให้มีการปรับลดหน่วยงานที่ดำเนินการจากเดิม ลงเหลือ 2 แห่ง คือ พพ. และ กฟภ. ซึ่งที่ประชุมได้มีมติในเรื่องดังกล่าว ดังนี้
(1) เห็นควรสนับสนุนให้มีการส่งเสริมและสาธิตการผลิตไฟฟ้าโดยมอบหมายให้ พพ. และ กฟภ. ดำเนินโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมโดยปรับเปลี่ยนจากการดำเนินงาน 3 โครงการ เหลือ 2 โครงการ และแต่ละโครงการมีขนาดติดตั้ง 1.5 MW ขึ้นไป และเสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
(2) เห็นชอบให้ กฟผ. กฟภ. และ พพ. ปิดบัญชีโครงการเดิม และส่งเงินที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยคืนกองทุนฯ โดยให้แต่ละหน่วยงานสามารถหักรายจ่ายที่เกิดขึ้นจากดำเนินโครงการได้ตามที่เกิดขึ้นจริง
4. พพ. และ กฟภ. ได้จัดทำข้อเสนอโครงการตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว โดยจะติดตั้งกังหันลมหน่วยงานละ 1 ชุด เพื่อเก็บสถิติข้อมูลจากการใช้งานจริง สรุปได้ดังนี้
| หน่วยงาน | สถานที่ติดตั้ง | กำลังผลิต | ขอทุน (ล้านบาท) |
ร่วมลงทุน (ล้านบาท) |
รวมทั้งสิ้น (ล้านบาท) |
เทคโนโลยี |
| พพ. | ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช |
1.5 MW | 87.000 | - | 87.000 | Gear Box |
| กฟภ. | ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย อ.สทิงพระ จ.สงขลา |
1.5 MW | 76.828 | 24.552 | 101.380 | Gearless |
| รวมทั้งสิ้น | 3.0 MW | 163.828 | 188.380 | |||
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. กฟภ. และ กฟผ. ยกเลิกการดำเนินโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากลม ทั้ง 3 หน่วยงาน ตามที่คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุม เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2547 ได้อนุมัติไว้ และให้ พพ. กฟภ. และ กฟผ. ทำการปิดโครงการฯ พร้อมทั้งคืนเงินส่วนที่เหลือทั้งหมดต่อกองทุนฯ
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้แก่ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ในวงเงิน 87,000,000 บาท (แปดสิบเจ็ดล้านบาทถ้วน) ทั้งนี้ พพ. จะต้องดำเนินการจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับทุนจากกองทุนฯ โดยให้ พพ. จะต้องพิจารณาเลือกชนิด ขนาด เทคโนโลยีของกังหันลมให้มีความสอดคล้องกับศักยภาพของพลังลมในพื้นที่ที่จะติดตั้ง และควรคำนึงถึงความสามารถในการผลิตไฟฟ้าของกังหันลมด้วย
3. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้แก่ กฟภ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้าจ่ายขนานเข้าระบบจำหน่าย ในวงเงิน 76,828,000 บาท (เจ็ดสิบหกล้านแปดแสนสองหมื่นแปดพันบาทถ้วน) ทั้งนี้ กฟภ. จะต้องดำเนินการจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับทุนจากกองทุนฯ โดยให้ กฟภ. จะต้องพิจารณาเลือกชนิด ขนาด เทคโนโลยีของกังหันลมให้มีความสอดคล้องกับศักยภาพของพลังลมในพื้นที่ที่จะติดตั้ง และควรคำนึงถึงความสามารถในการผลิตไฟฟ้าของกังหันลมด้วย
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอขอความเห็นชอบ ปรับเปลี่ยนค่าผ่านทางของ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) สำหรับรถยนต์ที่มีล้อไม่เกิน 4 ล้อ เป็น 20 บาทต่อคัน ตลอดทั้งสาย และลดค่าผ่านทางสำหรับรถยนต์ที่มีล้อเกินกว่า 4 ล้อ ลงเหลือไม่เกิน 50 บาทต่อคัน ในช่วงทดลองเป็นระยะเวลา 3 เดือน ในกรณีรายได้จากค่าผ่านทางที่บริษัทฯ เก็บได้ลดลงต่ำกว่าวันละ 3.3 ล้านบาท รัฐจะต้องชดเชยในส่วนต่างให้กับบริษัทฯ ร้อยละ 80 ของส่วนต่าง โดยให้กองทุนฯ จัดสรรเงินชดเชยให้ ส่วนกรณีรายได้สูงกว่า 3.3 ล้านบาท ก็เห็นควรแบ่งรายได้กันฝ่ายละครึ่ง ซึ่งคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2547 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการ แนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิต ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ แต่เนื่องจากการจัดสรรเงิน กองทุนฯ เพื่อชดเชยค่าผ่านทางในส่วนต่างให้แก่บริษัทฯ เป็นอำนาจของคณะกรรมการกองทุนฯ ตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535 จึงให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง คือการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการฯ ดังกล่าวด้วย
2. บริษัทฯ ได้ปรับลดค่าผ่านทางของทางยกระดับอุตราภิมุขตลอดสายตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2547 - 21 มีนาคม 2548 เป็นระยะเวลา 3 เดือนแล้ว กรมทางหลวง ได้ทำการตรวจสอบรายได้ หลังจากทดลองปรับลดค่าผ่านทาง สรุปผลได้ดังนี้ รายได้ค่าผ่านทางตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2547 - 21 มีนาคม 2548 เป็นเงิน 258,408,950 บาท ซึ่งต่ำกว่ารายได้ของบริษัทฯ ก่อนปรับลดค่าผ่านทาง คือ 297,000,000 บาท ดังนั้น กรมทางหลวง จึงมีหนังสือที่ คค 0637/ฝส./10614 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2548 ขอให้ สนพ. ดำเนินการ ในส่วนที่รัฐต้องชดเชยค่าผ่านทางร้อยละ 80 ของส่วนต่าง เป็นจำนวน 30,603,845 บาท ให้กับบริษัทฯ ตามมติคณะรัฐมนตรี
3. ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรให้จ่ายค่าชดเชยให้กับบริษัทฯ เป็นจำนวนเงิน 30,603,845 บาท เนื่องจากเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี และผลจากการดำเนินการดังกล่าวนั้น คาดว่าจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคขนส่ง
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2549 ในวงเงิน 30,603,845 บาท ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทาง ในส่วนต่างให้แก่ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2547
2. การเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทางในส่วนต่างให้แก่ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2547 โดยมอบหมายให้กรมทางหลวง รวบรวมเอกสาร หลักฐาน การเบิกจ่ายเงิน ให้ครบถ้วนตามจำนวนเงิน 30,603,845 บาท แล้วจัดส่งให้ สนพ. เพื่อใช้เป็นเอกสาร หลักฐาน การเบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ พร้อมทั้งตรวจสอบผลประหยัดที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการในช่วงดังกล่าวส่งให้ฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อประเมินความคุ้มค่าของโครงการต่อไปด้วย
เรื่องที่ 7 โครงการรณรงค์ประหยัดพลังงานในหน้าร้อน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (สอศ.) ประสานและหารือมายังกระทรวงพลังงาน (พน.) ถึงแนวทางความร่วมมือในการดำเนินงานด้านพลังงานทั้งในระยะสั้น และระยะยาว เพื่อให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือ และเกิดผลในการปฏิบัติโดยเร็ว ดังนั้น พน. จึงได้จัดให้มีการประชุมเพื่อพิจารณาแนวทางความร่วมมือร่วมกันระหว่าง พน. และ สอศ. ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบให้เร่งดำเนินงานในระยะสั้น โดยการจัดกิจกรรมการรณรงค์ประหยัดพลังงานในหน้าร้อน คือ โครงการล้างแอร์ และโครงการตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ทั่วประเทศ
2. พน. ได้จัดทำโครงการประหยัดพลังงานหน้าร้อนเพื่อให้เกิดผลในทุกภาคส่วน โดยดำเนินกิจกรรมล้างแอร์และตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ ร่วมกับ สอศ. พร้อมกับประสานขอความร่วมมือกับพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ บมจ. กฟผ. จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) บริษัทผู้ให้บริการล้างเครื่องปรับอากาศ บริษัทน้ำมัน และกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้บริการแก่ประชาชน ซึ่ง พน. จำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการร่วมกับ สอศ. ในการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ และการประชาสัมพันธ์ในพื้นที่ภูมิภาค ดังนี้
2.1 โครงการล้างแอร์ลดค่าไฟหน้าร้อน เพื่อลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าในช่วงหน้าร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศ โดยสนับสนุนให้ สอศ. ล้างเครื่องปรับอากาศสำหรับภาคราชการ จำนวน 20,000 เครื่อง ในวงเงิน 10,000,000 บาท และในภาคประชาชน/เอกชน ไม่ต่ำกว่า 20,000 เครื่อง (ไม่รวมเป้าหมายจากพันธมิตร เช่น กฟน. ร่วมให้บริการในพื้นที่ของ กฟน. จำนวน 10,000 เครื่อง บริษัทน้ำมันต่างๆ ร่วมล้างเครื่องปรับอากาศในร้านสะดวกซื้อและสำนักงานทั่วประเทศ) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้ไฟฟ้าหน่วยงานราชการ ประชาชน และภาคธุรกิจ ไม่ต่ำกว่า 4,500,000 หน่วย คิดเป็นเงิน 13,500,000 บาท/เดือน ลดการใช้น้ำมันเตาในการผลิตไฟฟ้าในช่วง Peak ไม่ต่ำกว่า 19,485,000 บาท
2.2 โครงการตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ (Tune up) เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำมันในช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเดินทางไปต่างจังหวัด เพื่อพักผ่อนและเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ โดยความร่วมมือระหว่างกองทุนฯ ผู้ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายจำนวน 4,886,400 บาท ร่วมกับ สอศ. และบริษัทเชลล์ ออร์โตเซิร์ฟ สนับสนุนด้านบุคลากรในการปรับแต่งเครื่องยนต์ กรมการขนส่งทางบก และบริษัทน้ำมันต่างๆ อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด บริษัท น้ำมันคาลเท็กซ์ (ไทย) จำกัด และบริษัท คอนอโค (ประเทศไทย) จำกัด สนับสนุนในการจัดพื้นที่ให้บริการ สนพ. สนับสนุนงานด้านการประชาสัมพันธ์โครงการ โดยมีระยะเวลาการดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 1-10 เมษายน 2549 จำนวน 200 แห่ง ทั่วประเทศ มีเป้าหมายเพื่อให้มีการปรับแต่งเครื่องยนต์สำหรับรถยนต์ทั่วไป จำนวน 25,000 คัน คาดว่าประหยัดน้ำมันเบนซิน 190,000 ลิตร/เดือน และประหยัดน้ำมันดีเซล 72,000 ลิตร/เดือน คิดเป็นผลประหยัด 6.55 ล้านบาท/เดือน
2.3 การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ โครงการ "พลังไทย ฉลาดใช้พลังงาน...หน้าร้อน" เพื่อสร้างกระแสให้กลุ่มเป้าหมายทุกภาคส่วนลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันในช่วงฤดูร้อน และเพื่อรณรงค์ประหยัดพลังงาน ด้วยการกระตุ้นและจูงใจให้กลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งสามารถเห็นผลการประหยัดไฟฟ้า และน้ำมันได้อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้การประชาสัมพันธ์ยังเป็นการให้คำแนะนำถึงวิธีการปฏิบัติ หรือวิธีการดูแลและรักษาเครื่องปรับอากาศ และเครื่องยนต์อย่างถูกวิธีที่กลุ่มเป้าหมายสามารถนำไปปฏิบัติให้เคยชินเป็นนิสัย ซึ่งจะลดค่าใช้จ่ายให้กับตนเองได้ โดยขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 27,855,000 บาท ซึ่ง สนพ. ใช้งบประมาณประจำปี 2549 ที่กองทุนฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว จำนวนเงิน 20,245,000 บาท และขออนุมัติเพิ่มเติมอีกจำนวน 7,610,000 บาท โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือประชาชนทั่วไป หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ บริษัทเอกชน และภาคอุตสาหกรรมต่างๆ
2.4 ค่าใช้จ่ายในการติดต่อประสานงานกับหน่วยราชการในจังหวัดและการดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์ เพื่อสนับสนุนโครงการนี้ในระดับจังหวัดของสำนักงานพลังงานภูมิภาค ในสังกัดของสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน จำนวน 600,000 บาท
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2549 ให้สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา ในวงเงิน 14,184,400 บาท ( สิบสี่ล้านหนึ่งแสนแปดหมื่นสี่พันสี่ร้อยบาทถ้วน) โดยแบ่งเป็น โครงการล้างแอร์ลดค่าไฟหน้าร้อน จำนวน 9,298,000 บาท (เก้าล้านสองแสนเก้าหมื่นแปดพันบาทถ้วน) และ โครงการตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ จำนวน 4,886,400 บาท (สี่ล้านแปดแสนแปดหมื่นหกพันสี่ร้อยบาทถ้วน)
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2549 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เพิ่มเติมอีกในวงเงิน 7,610,000 บาท (เจ็ดล้านหกแสนหนึ่งหมื่นบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการรณรงค์ประหยัดพลังงานในหน้าร้อน ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ
3. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2549 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) ในวงเงิน 600,000 บาท (หกแสนบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการรณรงค์ประหยัดพลังงานในหน้าร้อน ในส่วนที่ สป.พน. รับผิดชอบ
เรื่องที่ 8 ขออนุมัติโครงการทีมเทคนิคและอาชีวศึกษาเพื่อการประหยัดพลังงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ โดยให้แต่งตั้งคณะกรรมการประสานการรณรงค์ และติดตามการประหยัดพลังงาน เพื่อทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาและแนะนำการประหยัดพลังงานกับทุกภาคส่วน
2. ประธานคณะกรรมการฯ (นายเชิดพงษ์ สิริวิชช์) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านเทคนิคเพื่อการประหยัดพลังงาน เพื่อทำหน้าที่ในการประสานและให้คำแนะนำด้านเทคนิคและแนวทางปฏิบัติในการประหยัดพลังงานในทุกภาคส่วน จากการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการด้านเทคนิคฯ ที่ผ่านมา ได้มีการจัดตั้ง ทีมเทคนิคเพื่อการประหยัดพลังงาน ซึ่งประกอบไปด้วยทีมวิศวกรของ พพ. กฟน. กฟภ. และ กฟผ. ประมาณ 80 ทีม โดย พพ. กฟน. และ กฟผ. รับผิดชอบอาคารในเขตกรุงเทพฯ สมุทรปราการ และนนทบุรี ส่วน กฟภ. รับผิดชอบอาคารในภูมิภาค 73 จังหวัด ซึ่งในช่วงระยะเวลา 10 เดือนที่ผ่านมา (มิถุนายน 2548 - กุมภาพันธ์ 2549) พพ. กฟผ. กฟน. และ กฟภ. ได้จัดส่งทีมเทคนิคไปยังหน่วยงานต่างๆ ดังนี้
2.1 พพ. ได้จัดส่งทีมเทคนิคไปฝึกอบรมให้ความรู้กับหน่วยงานของรัฐ จำนวน 39 แห่ง รวมทั้งได้มีการบรรยายข้าราชการไทยลดใช้พลังงาน ให้กับกลุ่มหน่วยงานราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค อีก 5 ครั้ง
2.2 กฟผ. ได้จัดส่งทีมเทคนิคไปฝึกอบรมให้ความรู้กับหน่วยงานของรัฐ จำนวน 56 แห่ง มีผู้เข้าร่วมสัมมนาจำนวนมากกว่า 3,745 คน
2.3 กฟน. ได้จัดส่งทีมเทคนิคไปฝึกอบรมให้ความรู้กับหน่วยงานต่างๆ จำนวน 56 แห่ง มีผู้เข้าร่วมสัมมนาจำนวน 5,732 คน
2.4 กฟภ. ได้จัดส่งทีมเทคนิคไปฝึกอบรมให้ความรู้กับหน่วยงานต่างๆ จำนวน 128 แห่ง มีผู้เข้าร่วมสัมมนาจำนวน 8,355 คน
3. ปัญหาและอุปสรรคการดำเนินงานทีมเทคนิคเพื่อการประหยัดพลังงาน สรุปได้ ดังนี้
3.1 การประสานงาน: ในการเข้าไปประสานงานกับหน่วยงานราชการบางแห่ง ผู้ประสานงานของหน่วยงานยังไม่เข้าใจหน้าที่ของตน ที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามมติ ครม. ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ จะต้องชี้แจงเพิ่มเติมทางโทรศัพท์ เพื่อให้ผู้ประสานงานของหน่วยงานเข้าใจเรื่องดังกล่าว
3.2 งบประมาณ: เนื่องจากการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ และทีมเทคนิคเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ไม่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้ จึงมีอุปสรรคในด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ เช่น การจัดทำสื่อที่ใช้ประชาสัมพันธ์ การจัดฝึกอบรม เป็นต้น
4. แผนการดำเนินงานทีมเทคนิคเพื่อการประหยัดพลังงานในปี 2549: จากความสำเร็จในการดำเนินงานที่ผ่านมาในช่วงระยะเวลา 10 เดือน (มิถุนายน 2548 - กุมภาพันธ์ 2549) กระทรวงพลังงานมีนโยบายในการขยายการทำงานของทีมเทคนิค โดยจะร่วมมือกับ สอศ. เพื่อเพิ่มศักยภาพและสร้างเครือข่ายการทำงานของทีมเทคนิคเพื่อการประหยัดพลังงาน โดยให้นักศึกษาและคณาจารย์ที่มีความรู้ความเข้าใจทางด้านเทคนิคเข้ามาช่วยสนับสนุนการทำงานของทีมเทคนิคที่จะช่วยเหลือโรงงานอุตสาหกรรม/อาคารในด้านการประหยัดพลังงาน ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการทีมเทคนิคและอาชีวศึกษาเพื่อการประหยัดพลังงานในปี 2549 จำนวน 15,000,000 บาท
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้ พพ. ในวงเงิน 15 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการทีมเทคนิคและอาชีวศึกษาเพื่อการประหยัดพลังงาน
อนุ กอ. ครั้งที่ 2 - วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2549

มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 2)
วันที่ 6 มีนาคม 2549 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิติพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2548 ได้พิจารณาโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ตามที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เสนอ และได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 2,000 ล้านบาท (สองพันล้านบาท) จากแผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2549 ให้ ปตท. เพื่อนำไปใช้ในโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV โดยมีเงื่อนไขให้ ปตท. จัดทำรายละเอียดของโครงการฯ เสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณา เช่น การเบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ เท่าที่จำเป็นต้องใช้แต่ละช่วงเวลา ระยะเวลาการส่งเงินคืนกองทุนฯ และอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น และเมื่อ ปตท. ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขดังกล่าว และได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบ ต่อไป
2. ปตท. ได้เสนอสาระสำคัญและขั้นตอนวิธีการดำเนินโครงการฯ ตามมติของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว ซึ่งสรุปได้ดังนี้
2.1 ปตท. จัดตั้งกองทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV เพื่อขยายการใช้ NGV จำนวน 5,000 ล้านบาท และเงินทุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสมทบกองทุนหมุนเวียนฯ อีกจำนวน 2,000 ล้านบาท ปตท.จะเบิกเงินเป็นรายเดือนตามรายละเอียดการจ่ายจริง
2.2 ปตท. เชิญธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ เข้าร่วมในโครงการให้สินเชื่อแก่เจ้าของยานยนต์ซึ่งมีความประสงค์ที่จะดัดแปลง และ/หรือ ติดตั้งอุปกรณ์ใช้ NGV โดย ปตท. จะนำเงินเข้าฝากในบัญชีที่ปตท.เปิดไว้กับแต่ละธนาคารและสถาบันการเงินให้เพียงพอกับวงเงินสินเชื่อที่ ธนาคาร/สถาบันการเงิน นั้นปล่อยกู้เพื่อโครงการ NGV
2.3 ปตท. กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อร่วมกับธนาคาร/สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
2.4 ทำการลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) ในการเข้าร่วมโครงการ
2.5 ปตท. โอนเงินไปฝากไว้ในบัญชีให้แต่ละธนาคาร/สถาบันการเงินตามที่ธนาคาร/สถาบันการเงินแจ้งประมาณการปล่อยสินเชื่อ
2.6 ธนาคาร/สถาบันการเงินจะดำเนินการปล่อยสินเชื่อตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ได้ตกลงกับ ปตท.
2.7 ปตท. จัดทำรายละเอียดการเบิกจ่ายเงินจากกองทุนพร้อมทั้งรายงานความก้าวหน้าการปล่อยสินเชื่อโครงการให้แก่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานทราบทุกไตรมาส
2.8 ปตท. จะชำระคืนเงินกองทุนเป็นรายไตรมาส พร้อมอัตราดอกเบี้ย 0.50% ต่อปี
ทั้งนี้ การเบิกจ่ายเงิน และการคืนเงินกองทุนฯ เป็นการประมาณการ โดยอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ตามการเบิกจ่ายจริง
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงานของโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ตามข้อเสนอโครงการที่ ปตท. เสนอ ทั้งนี้ หากกองทุนฯ มีปัญหาในเรื่องสภาพคล่องทางด้านการเงินในปีแรก ปตท. จะต้องจ่ายเพิ่มให้เพียงพอกับความต้องการใช้เงินของธนาคาร ด้วย
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำโครงการดังกล่าว เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไป
3. กองทุนฯ ต้องไม่มีความเสี่ยงใดๆ ในการปล่อยกู้ หากมีหนี้สูญ ปตท. จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเองทั้งหมด
4. มอบหมายให้ ปตท. สนพ. และกรมบัญชีกลางหารือเรื่องรายละเอียดการเบิกจ่ายเงิน และการส่งเงินคืนกองทุนฯ โดยให้คำนึงถึงสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนฯ ด้วย
5. มอบหมายให้ สนพ. ศึกษาความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศในระยะยาวหากมีการส่งเสริมให้มีการใช้ NGV อย่างแพร่หลาย
กอ. ครั้งที่ 41 - วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2548

มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 41)
วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2548 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
2. คำสั่งแต่งตั้ง "คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3. ผลการประชุมคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
5. การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกรมบัญชีกลาง
6. โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV
7. การยื่นแบบและรับชำระภาษีผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ผู้เข้าร่วมประชุม
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานงบการเงินที่กรมบัญชีกลางได้ส่งให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบ ประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2547 ซึ่งมีหนี้สินและส่วนของทุน รวมทั้งสิ้น 10,599 ล้านบาท และรายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2547 - 30 มิถุนายน 2548 โดยมีเงินคงเหลือ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2548 รวมทั้งสิ้น 7,827 ล้านบาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 คำสั่งแต่งตั้ง "คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน"
ฝ่ายเลขานุการฯ แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 40) เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 1/2547 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2547 และเห็นชอบให้แต่งตั้ง "คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ขึ้นแทน เพื่อทำหน้าที่ ในการพิจารณาหรือปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ มอบหมาย โดยประธานคณะกรรมการกองทุนฯ (นายวิษณุ เครืองาม) ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกองทุนฯ เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2548 โดยองค์ประกอบ "คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" มีดังนี้
| 1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน | ประธานอนุกรรมการ |
| 2. ปลัดกระทรวงพลังงาน | อนุกรรมการ |
| 3. อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | อนุกรรมการ |
| 4. ผู้แทนกรมบัญชีกลาง | อนุกรรมการ |
| 5. ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย | อนุกรรมการ |
| 6. นายปิยะวัติ บุญ-หลง | อนุกรรมการ |
| 7. นายพรายพล คุ้มทรัพย์ | อนุกรรมการ |
| 8. ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | อนุกรรมการและเลขานุการ |
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ผลการประชุมคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ได้ประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ช่วงปี 2543 - 2547 และได้นำผลการประเมิน ไปจัดสัมมนาระดมความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว และเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบความเห็นและข้อเสนอของคณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ดังต่อไปนี้
1. การพัฒนาพลังงานทดแทน
การติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้า ไม่คุ้มค่าเชิงพาณิชย์ จึงควรสนับสนุน เป็นทางเลือกสุดท้าย ยกเว้นโครงการเพื่อการศึกษาวิจัยที่มีจุดประสงค์ชัดเจนเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านพลังงานทดแทน
ควรมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ให้เกิดเอกภาพในการดำเนินการพัฒนาพลังงานทดแทน
การพัฒนาพลังงานทดแทนที่สำคัญและเร่งด่วน ควรเน้น 4 เรื่อง ได้แก่ Gasohol NGV Biodiesel และกังหันลมขนาดใหญ่
2. การประหยัดพลังงาน
ควรดำเนินการให้มีการกำหนดค่ามาตรฐานการประหยัดพลังงานในอาคารมีผลในทางปฏิบัติ
การเก็บภาษีรถยนต์ ควรพิจารณาจากเกณฑ์การประหยัดพลังงาน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการอนุรักษ์พลังงาน
3. การวิจัยและพัฒนา
ควรส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาในโครงการที่มีความเสี่ยงน้อย มีศักยภาพ และมีผลกระทบสูง
งานศึกษาวิจัยและพัฒนา ต้องมีการศึกษาวิจัยเชิงนโยบายก่อน เพื่อให้สามารถจัดสรรงบประมาณได้อย่างสอดคล้องชัดเจน
4. การพัฒนาบุคลากร
งบประมาณในการพัฒนาบุคลากรมีวงเงินสูง จึงควรกำหนดคุณสมบัติของผู้รับเงินสนับสนุนให้เป็นไปอย่างเหมาะสม
5. การบริหารงานกองทุนฯ
การกำหนดเป้าหมายของแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ควรให้มีการปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์
เป้าหมายของโครงการที่ขอรับการสนับสนุน ควรระบุได้ชัดเจนว่าสามารถตอบสนองต่อเป้าหมายของแผนอนุรักษ์ฯ ได้อย่างไร
ควรกำหนดเกณฑ์ความคุ้มค่าเชิงพาณิชย์ของโครงการให้ชัดเจนเหมาะสม เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกโครงการ
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบผลการประเมินฯ โดยที่ประชุมได้มีข้อสังเกต ดังนี้
1. การติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้ายังคงเป็นทางเลือกในการใช้พลังงาน เพราะยังมีความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม สิ่งแวดล้อม รวมทั้งความความมั่นคง ซึ่งควรแยกให้ละเอียดว่า เหมาะสมกับระดับไหน และไม่เหมาะสมระดับไหน นอกจากนี้ การสรุปผลควรคำนึงถึงการให้กำลังใจกับภาคเอกชนที่เข้ามาลงทุนสร้างโรงงานในประเทศไทย เพื่อจะได้มีความต่อเนื่องในระยะยาวด้วย
2. การส่งเสริมบุคลากร โดยการให้ทุนเรียนทั้งในและต่างประเทศ ควรมีการกำหนดคุณสมบัติ ให้เหมาะสมและรัดกุม ไม่ควรให้ความสำคัญอันดับแรกกับหน่วยงาน ซึ่งอาจจะได้บุคคลที่ไม่เหมาะสม
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอที่ประชุมพิจารณางบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2549 ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามลำดับดังนี้
1. สถานภาพของกองทุนฯ ประมาณการ ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 สรุปได้ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
| ยอดเงินคงเหลือยกมา ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2547 | 9,856.20 |
| บวก ประมาณการรายรับ ถึงเดือน 30 กันยายน 2548 บวก ประมาณการรายรับ จากเงินทุนหมุนเวียน |
2,103.66 240.00 |
| รวมเป็นเงิน (ก่อนหักรายจ่าย) | 12,199.71 |
| หัก รายจ่าย ณ เดือน 30 กันยายน 2548 | 4,749.57 |
|
|
| รวมเงินคงเหลือในบัญชี ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 | 7,350.18 |
| บวก เงินสดในมือ (สนพ. 583 +พพ. 610) | 1,193.00 |
| รวมเงินคงเหลือทั้งสิ้น ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 | 8,543.18 |
| รายได้ รอรับคืน (เงินหมุนเวียน 2 ระยะ และ NGV ราชการ) | 3,820.00 |
| รายจ่าย ค้างจ่าย (ผูกพันตามแผนงานฯ ปี 2538-2539) | 8,860.00 |
2. รายจ่ายผูกพันตามแผนฯ ปี 2538-2548 จำแนกตามแผนงาน ได้ดังนี้
หน่วย: ล้านบาท
| ปีงบประมาณ | 2549 | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | รวม |
| แผนงานภาคบังคับ | 980 | 980 | 980 | - | - | - | 2,940 |
| แผนงานสนับสนุน | 272 | 137 | 137 | - | - | - | 546 |
| แผนงานภาคความร่วมมือ | 1,383 | 403 | 496 | 194 | 56 | 5 | 2,537 |
| รวมผูกพันจากปี 38-47 | 2,635 | 1,520 | 1,613 | 194 | 56 | 5 | 6,023 |
| แผนพลังงานทดแทน | 285 | - | - | - | - | - | 285 |
| แผนเพิ่มประสิทธิภาพ | 435 | - | - | - | - | - | 435 |
| แผนบริหารทางกลยุทธ์ | 218 | - | - | - | - | - | 218 |
| เงินทุนหมุนเวียนระยะที่ 2 | 800 | 600 | 600 | - | - | - | 2,000 |
| รวมผูกพันปี 48 | 937 | - | - | - | - | - | 937 |
| รวมผูกพันทั้งสิ้น | 4,272 | 2,120 | 2,213 | 194 | 56 | 5 | 8,860 |
3. นโยบายการจัดสรรเงินกองทุนฯ ตามที่ คณะกรรมการกองทุนฯ (กทอ.) เห็นชอบเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 และ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2547 โดยให้ กทอ. สามารถพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ ส่วนที่เกินจากประมาณการรายจ่ายล่วงหน้า (ในวงเงิน 1,300 ล้านบาท) ได้ในวงเงิน 700 ล้านบาท (ตามระดับรายรับต่อปีของกองทุนฯ) หรือมากกว่านั้น สามารถสรุปได้ดังนี้

วัตถุประสงค์ของการจัดทำนโยบายการจัดสรรเงินกองทุนฯ
เพื่อควบคุมการใช้จ่ายเงินไม่สูงกว่ารายรับที่มีอยู่ โดยรายได้เฉลี่ยกองทุนฯ ประมาณ 2,000 ล้านบาท/ปี และเดิมกองทุนฯ มีรายจ่ายเฉลี่ย 1,847 ล้านบาท/ปี จึงมีการกำหนดขอบเขตการใช้จ่ายประมาณ 70% ของรายจ่ายเฉลี่ยเดิม หรือ 1,300 ล้านบาท เพื่อให้มีจำนวนเงินคงเหลือไว้ดำเนินการหากรัฐบาลมีนโยบายเพิ่มเติมในปีนั้นๆ ให้สามารถเพิ่มเติมรายจ่ายรายปีเกิน 1,300 ล้านบาท ได้ในวงเงิน 700 ล้านบาท หรือมากกว่านั้น ตามความจำเป็นและความเหมาะสม
เพื่อกำหนดทิศทางการใช้จ่ายให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์และเป้าหมายของรัฐบาล โดยกำหนดสัดส่วนวงเงินใช้จ่ายในแต่ละแผนงานเป็นการจัดสรร ซึ่ง ณ ปี 2548 เน้นที่การพัฒนาพลังงานทดแทน 50% เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 35% และงานบริหารทางกลยุทธ์ 15%
โดย กพช. กำหนดให้ กทอ. มีอำนาจปรับปรุงแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข ลำดับความสำคัญ และการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
4. การจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2548 ได้มีการจัดสรรทั้งสิ้น 4 ครั้ง รวมเป็นวงเงิน 1,901.49 ล้านบาท ตามรายละเอียดดังนี้
| แผนงาน | กรอบเงิน | ร้อยละ | อนุมัติ | ร้อยละ |
| 1. แผนพลังงานทดแทน | 650.00 | 50.00 | 586.50 | 30.80 |
| 1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 422.00 | 65.00 | 230.00 | 39.20 |
| 1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 130.00 | 20.00 | 239.00 | 40.80 |
| 1.3 งานพัฒนาบุคลกรและประชาสัมพันธ์ | 65.00 | 10.00 | 85.00 | 14.50 |
| 1.4 งานบริหารแผนงาน (พพ.) | 33.00 | 5.00 | 32.5 | 5.50 |
| 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 455.00 | 35.00 | 869.92 | 45.70 |
| 2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 137.00 | 30.00 | 28.00 | 3.20 |
| 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 205.00 | 45.00 | 547.20 | 62.90 |
| 2.3 งานพัฒนาบุคลกรและประชาสัมพันธ์ | 91.00 | 20.00 | 147.22 | 16.90 |
| PR เพิ่มเติม (Kick-off, ลดผลกระทบราคาน้ำมัน) | - | 125.00 | 14.40 | |
| 2.4 งานบริหารแผนงาน (พพ.) | 22.00 | 5.00 | 22.50 | 2.60 |
| 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | 195.00 | 15.00 | 445.07 | 23.40 |
| 3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 65.00 | 33.00 | 250.50 | 56.30 |
| 3.2 งานบริหารจัดการ (สนพ.+บก.) | 65.00 | 33.00 | 62.57 | 14.10 |
| 3.3 งานอื่นๆ (บรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมัน) | 65.00 | 34.00 | 132.00 | 29.70 |
| รวมงบประมาณปี 2548 | 1,300 | 100 | 1,901.49 | 100 |
* * โดยให้สามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในแผนงานเดียวกันได้
การจัดสรรเงินกองทุนฯ ในปีงบประมาณ 2548 ไม่เป็นไปตามกรอบจัดสรรนั้น เนื่องมาจากกรอบนโยบายเดิมมุ่งเน้นสร้างงานวิจัยด้านพลังงานเพื่อเป็นองค์ความรู้ เมื่อนำกรอบมาปฏิบัติในปีงบประมาณ 2548 พบว่า สัดส่วนการจัดสรรเงินกองทุนฯ ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมดังตารางข้างต้น เนื่องจาก ปี 2548 ประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตด้านราคาน้ำมัน จึงต้องเน้นการแก้ปัญหาระยะสั้น ทำให้งานด้านการลดใช้พลังงานของประเทศ เป็นงานสำคัญเร่งด่วน โดยคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ได้เห็นชอบยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศและได้กำหนดให้การประหยัดการใช้พลังงานและการใช้ไฟฟ้า เป็นวาระแห่งชาติ
5. แผนอนุรักษ์พลังงานปี 2549
ในปี 2549 ประเทศยังประสบปัญหาวิกฤตด้านราคาน้ำมันอยู่ ทำให้การดำเนินงานในปีงบประมาณ 2549 ยังเน้นที่การแก้ไขปัญหาระยะสั้น คือ การเน้นงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ดังนั้นกรอบแผนงาน/โครงการ ในปี 2549 สรุปได้ดังนี้
5.1 เพิ่มประสิทธิภาพ ภาคขนส่ง (สนพ.) 40 ล้านบาท
ลดปัญหาจราจร และ Taxi วิ่งเที่ยวเปล่า (10 ล้านบาท)
ร่วมมือกับ กทม. จัดจุดจอด Taxi และระบบรับส่ง ผู้โดยสารในศูนย์การค้า โรงพยาบาล หน่วยราชการ
Park & ride (30 ล้านบาท)
ลดปริมาณรถเข้าเมือง โดยสร้าง Park & ride ชานเมือง (รถบุคคล / car pool รถโรงเรียน/รถหมู่บ้าน) นำร่อง 1 แห่ง พร้อมจัดระบบ Feeder
ปรับปรุง Park & ride ที่บางซื่อ เพื่อเป็นจุดเชื่อมต่อ รถขนส่งสาธารณะต่างจังหวัด และรถขนส่งพนักงานองค์กรขนาดใหญ่ กับระบบขนส่งสายหลัก
5.2 เพิ่มประสิทธิภาพ อุตสาหกรรม/อาคาร/บ้านอยู่อาศัย (พพ.) 653 ล้านบาท
การอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม (313 ล้านบาท)
สิทธิประโยชน์ทางภาษี
Tax Incentive (100 ล้านบาท)
สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้จากกรมสรรพากร (100 ล้านบาท)
สนับสนุนการดำเนินงานตาม พรบ. (50 ล้านบาท)
การบริหารงานโครงการเงินทุนหมุนเวียน (10 ล้านบาท)
ศึกษาเกณฑ์การใช้พลังงานในอุตสาหกรรมและอาคารต่างๆ (SEC) (40 ล้านบาท)
การศึกษาจัดทำแผนการส่งเสริมเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (3.5 ล้านบาท)
การจัดตั้งเครือข่ายศูนย์ทดสอบวัสดุอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (6.5 ล้านบาท)
ศึกษาจัดทำเกณฑ์การสนับสนุนและดำเนินการส่งเสริมการจำหน่ายเครื่องปรับอากาศและตู้เย็น Premium เบอร์ 5 (10 ล้านบาท)
นำร่องปรับปรุงบ้านพักอาศัยเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (20 ล้านบาท)
5.3 ใช้พลังงานทดแทน 497.14 ล้านบาท
5.3.1 ส่วนของ พพ. 492.1 ล้านบาท
ส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวมวล/ชีวภาพ 60.5 ล้านบาท
ส่งเสริมก๊าซชีวภาพในโรงงานอุตสาหกรรม (15 ล้านบาท)
ส่งเสริมก๊าซชีวภาพจากขยะระดับชุมชน (30 ล้านบาท)
พัฒนา/สาธิตระบบผลิตพลังงานจากชีวมวลชุมชน (7 ล้านบาท)
พัฒนาเตาเผาก๊าซชีวมวลในอุตสาหกรรมเซรามิค (1.5 ล้านบาท)
ศึกษาเทคโนโลยีการผลิตก๊าซเชื้อเพลิงถ่านหิน (7 ล้านบาท)
ส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ / ลม 60 ล้านบาท
พัฒนาเซลแสงแดดสู่ความเป็นเลิศ (30 ล้านบาท)
พัฒนามาตรฐานและทดสอบระบบเซลแสงอาทิตย์ (30 ล้านบาท)
ส่งเสริมเชื้อเพลิง ไบโอดีเซล/เอทานอล 95.64 ล้านบาท
ส่งเสริมไบโอดีเซลชุมชน (51 ล้านบาท)
ส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลใน กทม. และ เชียงใหม่ (30 ล้านบาท)
กำหนดคุณสมบัติแก๊สโซฮอล์ที่เหมาะสมหลังปี 2550 (6.4 ล้านบาท)
วงจรชีวิตการผลิตและใช้เอทานอลจากมันสำปะหลังและอ้อย (8.24 ล้านบาท)
ส่งเสริมพลังงานทดแทนอื่นๆ 276 ล้านบาท
ฐานข้อมูลการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนใน SME (5 ล้านบาท)
สาธิตเซลเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า SOFC (25 ล้านบาท)
สาธิตผลิตไฮโดรเจนจากขบวนการความร้อนทางเคมี (6 ล้านบาท)
พัฒนาระบบติดตาม / สำรวจการใช้พลังงานทดแทน (15 ล้านบาท)
พัฒนาศูนย์รวมองค์ความรู้พลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (19 ล้านบาท)
ปรับปรุงระเบียบเพื่อการพัฒนาการผลิตการใช้พลังงาน (2 ล้านบาท)
ประเมินศักยภาพแหล่งน้ำพุร้อนในประเทศไทย (4 ล้านบาท)
วิจัยพัฒนาการใช้ Vanadium แบตเตอรี่ -พพ. (200 ล้านบาท)
5.3.2 ส่วนของ สนพ. 5 ล้านบาท
ส่งเสริมพลังงานทดแทนอื่นๆ 5 ล้านบาท
ติดตามประเมินผล วิจัยพัฒนาการใช้ Vanadium -สนพ. (5 ล้านบาท)
5.4 ใช้เชื้อเพลิงทางเลือก (สนพ.) 40.5 ล้านบาท
ส่งเสริมการใช้ NGV ด้วยระบบสินเชื่อ (22 ล้านบาท)
เรือประมงเล็ก 100 ลำ และรถส่วนบุคคล 10,000 คัน
สร้างความเชื่อมั่น NGV กับเครื่องยนต์ดีเซลโดยทดสอบชุด Kit แต่ละเทคโนโลยีกับเครื่องยนต์แต่ละประเภทของรถปิคอัพและรถตู้ (10 ล้านบาท)
พัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพในภาคเหนือ (โครงการต่อเนื่องปี 2) (8.5 ล้านบาท)
5.5 การดำเนินการเชิงนโยบาย (สนพ.) 34 ล้านบาท
ศึกษา/จัดทำ/ปรับปรุงนโยบายให้สอดคล้องสถานการณ์พลังงานโลก (20 ล้านบาท)
ศึกษานโยบาย เทคโนโลยีด้านพลังงานและด้านทางการจัดการปัญหาราคาน้ำมันของประเทศที่ประสบความสำเร็จ เพื่อนำมาปรับใช้กับประเทศไทย
บูรณาการแผนพลังงานกับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด (24 ล้านบาท)
5.6 รณรงค์การเปลี่ยนพฤติกรรมให้ประหยัดพลังงาน(สนพ.) 127 ล้านบาท
กระทรวงพลังงานจับมือพันธมิตร (50 ล้านบาท)
อสมท. กระทรวงวัฒนธรรม อาชีวศึกษา (Fix it Center) กระทรวงศึกษาธิการ (ต่อยอด MOU) กระทรวงคมนาคม บริษัทไปรษณีย์ไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
Energy Fantasia ระยะที่ 2 (30 ล้านบาท)
บ้านประหยัดพลังงานร่วมกับธุรกิจบ้านจัดสรร (25 ล้านบาท)
PR ตามสถานการณ์ + ผลิตสื่อสนับสนุนอื่นๆ + ประเมินผล (22 ล้านบาท)
5.7 รณรงค์การใช้พลังงานทดแทนน้ำมัน (สนพ.) 45 ล้านบาท
สร้างความรู้ความเข้าใจการใช้ NGV (15 ล้านบาท)
เผยแพร่ความสำเร็จของการใช้พลังงานทดแทน (30 ล้านบาท)
5.8 การสร้างทรัพยากรบุคลากรด้านพลังงาน (สนพ.) 104 ล้านบาท
ให้ทุนการศึกษาใน+ต่างประเทศ (ข้าราชการ) ระดับ ตรี-โท-เอก
ให้ทุนวิจัย ทุนดูงาน/ฝึกอบรม (หน่วยงานต่างๆ)
อบรมข้าราชการไทย ลดใช้พลังงาน
อบรมอาชีวศึกษา Fix it center
อบรมบุคลากรเรื่องบูรณาการการเรียนการสอนด้านพลังงานระดับประถมและมัธยมศึกษา
5.9 พัฒนาบุคลากรด้านพลังงาน (พพ.) 54.55 ล้านบาท
พัฒนาหลักสูตรอนุรักษ์พลังงาน/พลังงานทดแทน (10 ล้านบาท)
เอกสารเผยแพร่การอนุรักษ์พลังงาน (0.8 ล้าน)
อบรมและพัฒนาคุณภาพผู้รับผิดชอบด้านพลังงาน (23.25 ล้านบาท)
อบรมเทคนิคพลังงานสำหรับราชการ (3 ล้านบาท)
จัดทำโปรแกรมจำลอง Mini Plant (3.5 ล้านบาท)
เผยแพร่เทคโนโลยีของอาคารอนุรักษ์พลังงานเฉลิมพระเกียรติ (3 ล้านบาท)
อบรม/ดูงาน/ประชาสัมพันธ์ความรู้ด้านเชื้อเพลิงชีวภาพ (7 ล้านบาท)
อบรมสร้างจิตสำนึก การใช้พลังงานอาคารราชการ (4 ล้านบาท)
5.10 ประชาสัมพันธ์ (พพ.) 103.8 ล้านบาท
Feedback Report สำหรับโรงงาน/อาคารควบคุม (5 ล้านบาท)
รายงานสถานภาพการใช้พลังงานและผลการดำเนินงาน ของ พพ. (3.5 ล้านบาท)
ประกวดโรงงาน/อาคาร/บุคลากรด้านพลังงาน (9 ล้านบาท)
จัดกิจกรรมอนุรักษ์พลังงาน (9.5 ล้านบาท)
ประชาสัมพันธ์อนุรักษ์พลังงาน (10 ล้านบาท)
ศูนย์ปรึกษาการประหยัดพลังงาน (8 ล้านบาท)
พัฒนาหน่วยลูกค้าสัมพันธ์ (15 ล้านบาท)
ประชาสัมพันธ์พลังงานทดแทน (25 ล้านบาท)
เผยแพร่การอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน (10 ล้านบาท)
ค่าสมาชิกเว็บไซต์ (0.3 ล้านบาท)
จัดทำแผนและบริหารงานวิชาการด้านเพิ่มประสิทธิภาพและพลังงานทดแทน (8.5 ล้านบาท)
5.11 งานบริหารจัดการ/บริหารแผนงาน 126.63 ล้านบาท
พพ. (55 ล้านบาท)
สนพ. (68.5 ล้านบาท)
บก. (3.13 ล้านบาท)
6. ผลประโยชน์ที่จะได้รับถึงปี 2549
เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (ขนส่ง อุตสาหกรรม บ้าน) 2,975 ktoe คิดเป็นมูลค่าประมาณ 47,600 ล้านบาท
ใช้พลังงานหมุนเวียน (เอทานอล ชีวมวล ฯลฯ) 1,402 ktoe ใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 2,258 ktoe ทดแทนการนำเข้าพลังงาน 58,560 ล้านบาท
7. สรุปงบประมาณการรายจ่ายตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ประจำปี 2549
หน่วย : ล้านบาท
| แผนงาน | สนพ. | พพ. | บก. | รวม* | ร้อยละ |
| 1. แผนพลังงานทดแทน | 100.00 | 579.44 | 0.00 | 679.44 | 36.80 |
| 1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 5.00 | 260.00 | 0.00 | 265.00 | 39.00 |
| 1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 0.00 | 232.14 | 0.00 | 232.14 | 34.17 |
| 1.3 งานพัฒนาบุคลากร | 50.00 | 11.00 | 0.00 | 61.00 | 8.98 |
| และประชาสัมพันธ์ | 45.00 | 43.80 | 0.00 | 88.80 | 13.07 |
| 1.4 งานบริหารจัดการ (พพ.) ** | 0.00 | 32.50 | 0.00 | 32.50 | 4.78 |
| 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน | 191.00 | 779.05 | 0.00 | 970.05 | 52.55 |
| 2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 0.00 | 60.00 | 0.00 | 60.00 | 6.19 |
| 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 0.00 | 593.00 | 0.00 | 593.00 | 61.13 |
| 2.3 งานพัฒนาบุคลากร | 54.00 | 43.55 | 0.00 | 97.55 | 10.06 |
| และประชาสัมพันธ์ | 137.00 | 60.00 | 0.00 | 197.00 | 20.30 |
| 2.4 งานบริหารจัดการ (พพ.) | 0.00 | 22.50 | 0.00 | 22.50 | 2.32 |
| 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | 193.50 | 0.00 | 3.13 | 196.63 | 10.65 |
| 3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 125.00 | 0.00 | 0.00 | 125.00 | 63.57 |
| 3.2 งานบริหารจัดการ (สนพ.+บก.) ** | 68.50 | 0.00 | 3.13 | 71.63 | 36.43 |
| 3.3 งานอื่นๆ | 0.00 | 0.00 | 0.00 | 0.00 | 0.00 |
| รวมงบประมาณปี 2549 | 484.50 | 1,358.49 | 3.13 | 1,846.12 | 100.00 |
หมายเหตุ :
* โดยให้สามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในแผน/งานเดียวกัน ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
** ให้มีผลบังคับใช้และสามารถเบิกจ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมพิจารณากลั่นกรองแผนงานปี 2549 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2548 ในโครงการ Vanadium Battery วงเงินงบประมาณ 205 ล้านบาทนั้น บัดนี้ พพ. ยังไม่สามารถลงนามในข้อผูกพันกับ สวทช. ได้ทันในปีงบประมาณ 2548 ซึ่งปัญหาเกิดจากขั้นตอน การเจรจาตกลงเรื่องสิทธิประโยชน์ ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอขอคณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติใช้เงินปีงบประมาณ 2549 แทน โดยมีเงื่อนไขคือ หาก พพ.ไม่สามารถตกลงและลงนามในสัญญากับ สวทช.ได้ทันภายในเดือนธันวาคม 2548 ก็เห็นควรยกเลิกการสนับสนุนโครงการนี้ ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบในเงื่อนไขที่นำเสนอ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สนพ. ในวงเงินรวม 479,500,000 บาท (สี่ร้อยเจ็ดสิบเก้าล้านห้าแสนบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2549 ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ โดยแยกรายจ่ายตามแผน/งาน ได้ดังนี้
| 1. แผนพลังงานทดแทน | |
| 1.1 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 95,000,000 บาท |
| 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | |
| 2.1 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 191,000,000 บาท |
| 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | |
| 3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 125,000,000 บาท |
| 3.2 งานบริหารจัดการ | 68,500,000 บาท |
| รวมทั้งสิ้น | 479,500,000 บาท |
* โดยให้สามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในแผนงาน/งานเดียวกัน ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
ทั้งนี้ สำหรับรายจ่ายงานบริหารจัดการ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548 โดยให้ สนพ. สามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในหมวดต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ พพ. ในวงเงินรวม 1,158,490,000 บาท (หนึ่งพันหนึ่งร้อยห้าสิบแปดล้านสี่แสนเก้าหมื่นบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2549 ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ โดยแยกรายจ่ายตามแผน/งาน ได้ดังนี้
| งาน | แผนพลังงานทดแทน | แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน |
| งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 60,000,000 บาท | 60,000,000 บาท |
| งานส่งเสริมและสาธิต | 232,140,000 บาท | 593,000,000 บาท |
| งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 54,800,000 บาท | 103,550,000 บาท |
| งานบริหารแผนงาน | 32,500,000 บาท | 22,500,000 บาท |
| รวมทั้งสิ้น | 379,440,000 บาท | 779,050,000 บาท |
* โดยให้สามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในแผนงาน/งานเดียวกัน ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
ทั้งนี้ สำหรับรายจ่ายงานบริหารแผนงานพลังงานทดแทน และงานบริหารแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548 โดย พพ. สามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในหมวดต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
3. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ งานบริหารจัดการ ให้กรมบัญชีกลาง ในวงเงินรวม 3,130,000 บาท (สามล้านหนึ่งแสนสามหมื่นบาทถ้วน) ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2548 โดยกรมบัญชีกลางสามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในหมวดต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
4. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow สำหรับการลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด การผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก รถประจำทางไฟฟ้า และเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท" ในวงเงินรวม 200 ล้านบาท (สองร้อยล้านบาทถ้วน) ทั้งนี้ หากไม่สามารถดำเนินการได้ภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2548 ก็ให้ยกเลิกการสนับสนุนโครงการนี้
5. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้ สนพ. ในวงเงิน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการติดตามประเมินผล โครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow สำหรับการลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด การผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก รถประจำทางไฟฟ้า และเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท" ทั้งนี้ หาก พพ. ไม่สามารถดำเนินโครงการฯ ได้ภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2548 ก็ให้ยกเลิกรายจ่ายโครงการนี้
เรื่องที่ 5 การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกรมบัญชีกลาง
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า กระทรวงการคลังจะมีคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนเข้ามาประเมินผลกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยเริ่มตั้งแต่ ปีบัญชี 2549 เป็นต้นไป โดยเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2548 กรมบัญชีกลาง และ สนพ. ได้ประชุมหารือกรอบแนวทาง วิธีการ และขั้นตอนในการจัดทำร่างบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ซึ่งมีหลายหน่วยงานที่มี ส่วนเกี่ยวข้องในการใช้จ่ายเงินจากกองทุนฯ แล้ว และเห็นควรจัดตั้ง "คณะทำงานเตรียมการเพื่อดำเนินการตามระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน" และให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ รายงานเรื่องดังกล่าว ให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบด้วย
2. เพื่อให้การจัดทำวิสัยทัศน์ ภารกิจหลัก และวัตถุประสงค์หลักของกองทุนฯ รวมทั้งการจัดทำเกณฑ์วัดผลการดำเนินงาน ตัวชี้วัด และเป้าหมายในการดำเนินงานของกองทุนฯ ตอบสนองต่อการดำเนินงานของกองทุนฯ และเป็นไปตามข้อกำหนดในการจัดทำบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้มีการแต่งตั้ง "คณะทำงานเตรียมการเพื่อดำเนินการตามระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน" เพื่อทำหน้าที่ดังกล่าว โดยมีปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานคณะทำงาน และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินกองทุนฯ เป็นคณะทำงาน และผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นคณะทำงานและเลขานุการ
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้แต่งตั้ง "คณะทำงานเตรียมการเพื่อดำเนินการตามระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน" ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ และให้แต่งตั้ง นายพรายพล คุ้มทรัพย์ และ นายอัศวิน คงสิริ เป็นคณะทำงานในชุดดังกล่าวด้วย
2. เมื่อคณะทำงานเตรียมการเพื่อดำเนินการตามระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ดำเนินการยกร่างบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบก่อนเสนอประธานกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว
เรื่องที่ 6 โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งรัดการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เพื่อเป็นทางออกให้กับประเทศในการแก้ไขปัญหาและบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชนที่มีภาระในการใช้น้ำมันในราคาสูงเนื่องจากก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่สามารถใช้ทดแทนน้ำมันได้ทั้งหมด ก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศสูง ในขณะที่เชื้อเพลิงชีวภาพเป็นการทดแทนเพียงบางส่วนเท่านั้น ประมาณ 10% อีกทั้งระยะเวลาในการจัดหา และเตรียมเชื้อเพลิงสั้นกว่า เนื่องจากไม่ต้องรอระยะเวลาในการปลูกพืช ดังนั้น มาตรการหลักที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาทั้งในภาคประชาชน ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ภาคการขนส่งทางบก ทางรถไฟ ทางน้ำ เป็นต้น ซึ่งจากนโยบายดังกล่าว รัฐจึงได้ขยายเป้าหมาย การส่งเสริม NGV มาเป็นลำดับดังนี้
| เป้าหมาย | มติ ครม. 6 ม.ค.48 |
มติ ครม. 17 พ.ค. 48 |
29 ก.ย. 48 (รอนำเสนอ ครม. ) |
| สถานี NG (แห่ง) | 180 | 240 | 740 |
| รถยนต์ (คัน) | 61,000 | 180,000 | 500,000 |
2. รัฐบาลมอบหมายให้ ปตท. เป็นหน่วยงานหลักในการทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการให้นโยบายที่กำหนดไว้เกิดผลในทางปฏิบัติโดยเร็วที่สุด ซึ่งทำให้ ปตท. มีภาระทางการเงินอย่างสูงในการลงทุน ทั้งด้านการสร้างสถานีบริการ การจัดซื้ออุปกรณ์ การสร้างแรงจูงใจให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาใช้ก๊าซธรรมชาติ เช่น รถ Taxi รถยนต์ส่วนบุคคล รถเมล์ รถบรรทุก รถขยะ เรือประมง รถไฟ ภาคอุตสาหกรรม District cooling CHP ในอุตสาหกรรม เป็นต้น ดังนั้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้ ปตท. สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่ขยายตัวไปอย่างมาก ปตท. จึงขอรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนฯ ในรูปเงินยืมเพื่อนำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียน สร้างแรงจูงใจ ให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาติดตั้งอุปกรณ์ โดยมีแนวทางดำเนินการดังนี้
| วงเงินทุนหมุนเวียน | 7,000 ล้านบาท โดยมีแหล่งเงินสนับสนุนจาก - ปตท. 5,000 ล้านบาท - กองทุนฯ 2,000 ล้านบาท |
| วัตถุประสงค์ | เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนให้เจ้าของยานยนต์ใช้ในการดัดแปลง และ/หรือติดตั้งชุด Kit NGV รวมถึงค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มในการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ |
| การเรียกเก็บคืน | เพิ่มจากราคาจำหน่าย NGV 5 บาท/กก. โดยมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เทียบเท่าธนาคารอื่นๆ ที่ให้สินเชื่อ NGV |
| ระยะเวลาเก็บคืน | เฉลี่ย 2-3 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทรถ การดัดแปลง และระยะการใช้งาน |
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ให้ ปตท. ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน สำหรับยานยนต์ NGV โดยมีเงื่อนไขให้ ปตท. จัดทำรายละเอียดของโครงการฯ เสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณา เช่น การเบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ เท่าที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละช่วงเวลา ระยะเวลาการส่งเงินคืนกองทุนฯ และ อัตราดอกเบี้ย เป็นต้น
2. เมื่อ ปตท. ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขดังกล่าวและได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบ ต่อไป
เรื่องที่ 7 การยื่นแบบและรับชำระภาษีผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า กรมสรรพสามิตแจ้งว่าเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบอุตสาหกรรมน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันในการชำระภาษีสรรพสามิต กรมจึงมีนโยบายที่จะเพิ่มวิธีการนำส่งเงินค่าภาษีและการนำเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยจะให้ผู้เสียภาษีสามารถชำระค่าภาษีผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตและสามารถโอนเงินเข้าบัญชีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานโดยโอนผ่านทางธนาคารพาณิชย์ของรัฐหรือธนาคารพาณิชย์อื่นด้วยระบบอัตโนมัติ (Automatic Sweep) จึงขอให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์อื่นที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่เป็นของรัฐเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับวิธีการยื่นแบบและชำระภาษีสรรพสามิตประเภทสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของผู้มีหน้าที่ เสียภาษี ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะทำให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้รับเงินเข้ากองทุนเร็วขึ้น (ภายในวันเดียวกันกับวันที่ผู้ประกอบการชำระเงิน) จากเดิมที่กองทุนจะได้รับเงินที่นำเข้าบัญชีโดยกรมสรรพสามิต ในวันที่ 2 นับจากวันที่ผู้ประกอบการน้ำมันนำเงินมาชำระ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้กรมบัญชีกลาง (กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน) เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์อื่นที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่เป็นของรัฐที่ได้รับมอบหมายจากกรมสรรพสามิตให้เป็นผู้ดำเนินโครงการรับชำระภาษีน้ำมันผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
2. มอบอำนาจให้กรมบัญชีกลาง (กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน) เข้าไปดูยอดเงินฝากจากบัญชีเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานที่ฝากไว้ที่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้ดำเนินการโครงการรับชำระภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้
3. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเรื่องการขอเปิดบัญชีกับธนาคารพาณิชย์อื่นที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่เป็นของรัฐเสนอขอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินของกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 6
กอ. ครั้งที่ 39 - วันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2547

มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2547 (ครั้งที่ 39)
วันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2547 เวลา 14.00 น.
ณ ห้อง 603 อาคาร 7 กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
4. รายงานผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2538-2547
5. สรุปประเมินผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน
10. ขอรับการสนับสนุนโครงการปรับปรุงเครื่องปรับอากาศเก่าในอาคารของรัฐเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
รองนายกรัฐมนตรี (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ผู้เข้าร่วมประชุม
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานประจำไตรมาสที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2547 ถึง 30 กันยายน 2547 ว่ามีเงินคงเหลือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2547 เป็นจำนวนเงิน 9,856.20 ล้านบาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองเสร็จเรียบร้อยแล้ว มาเพื่อโปรดทราบ รวม 2 ฉบับ คือ รายงานงบการเงินประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 และ 2544 และ รายงานงบการเงินประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 และ 2545
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
1. ฝ่ายเลขานุการได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุม ครั้งที่ 1/2547 (ครั้งที่ 38) เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2547 ได้มีมติอนุมัติในหลักการให้แก้ไขระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ในหมวด 1 เรื่อง การรับเงินกองทุน เพื่อให้กองทุนฯ สามารถนำเงินจำนวนหนึ่งให้ "สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์กรมหาชน)" กู้ในอัตราดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่าผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยลงได้ และขณะเดียวกันกองทุนฯ ก็จะได้รับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในการแก้ไขระเบียบดังกล่าว จะต้องขอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังด้วย
2. กรมบัญชีกลาง ได้นำเรื่องดังกล่าวหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และได้รับแจ้งผลการพิจารณาสรุปได้ว่า กระทรวงการคลังในฐานะผู้เก็บรักษาเงินหรือทรัพย์สินของกองทุนฯ ไม่มีอำนาจนำเงินกองทุนฯ ออกให้ "สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" กู้ยืม เนื่องจากการใช้จ่ายเงินดังกล่าวไม่ได้อยู่ในขอบเขตตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 2535 ด้วยเหตุผลดังกล่าว กระทรวงการคลังจึงไม่สามารถให้ความเห็นชอบระเบียบดังกล่าวได้
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 รายงานผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2538-2547
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการดำเนินตามแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2538-2547 ว่าได้ใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ไปรวมทั้งสิ้น 23,776 บาท แบ่งเป็นงบลงทุน 16,778 ล้านบาท ค่าพัฒนาบุคลากร 2,054 ล้านบาท ค่าประชาสัมพันธ์ 1,701 ล้านบาท และค่าบริหารจัดการฯ 3,243 ล้านบาท ผลงานโดยรวมเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยเกิดผลลดความต้องการพลังไฟฟ้าลง 883 MW ทดแทนพลังงานไฟฟ้าได้ 5,447 ล้านหน่วยต่อปี ทดแทนพลังงานเชื้อเพลิง 430 ล้านลิตรน้ำมันดิบต่อปี คิดเป็นความสามารถในการอนุรักษ์พลังงาน 20,891 ล้านบาท/ปี สรุปได้ดังนี้
1. ผลการดำเนินงานตามแผนงานภาคบังคับ
1.1 กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) มีแผนงานที่จะดำเนินการให้โรงงานและอาคารที่เข้าข่ายควบคุม มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง โดยในช่วงปี 2538-2547 พพ. ได้ประมาณการงบลงทุนในอาคารของรัฐ อาคารควบคุม โรงงานควบคุม และโรงงาน/อาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ในวงเงินรวม 34,033 ล้านบาท เพื่อก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน โดยมีเป้าหมายที่จะลดความต้องการพลังไฟฟ้าลง 626 MW ทดแทนพลังงานไฟฟ้าได้ 2,540 ล้านหน่วยต่อปี ทดแทนพลังงานเชื้อเพลิง 391 ล้านลิตรน้ำมันดิบต่อปี หรือคิดเป็นความสามารถในการอนุรักษ์พลังงาน 7,719 ล้านบาท/ปี โดย พพ. มีค่าบริหารจัดการตามแผนงานฯ ตลอดระยะเวลา 10 ปี ในวงเงิน 3,432 ล้านบาท
1.2 เมื่อสิ้นสุดแผนฯ ในปี 2547 พพ. ได้ใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ไปรวมทั้งสิ้น 10,541 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนให้กับอาคาร/โรงงาน 8,476 ล้านบาท และค่าบริหารจัดการฯ 2,064 ล้านบาท มีผลงานไม่ถึงเป้าหมาย ที่กำหนดไว้ โดยเกิดผลลดความต้องการพลังไฟฟ้าลง 232 MW ทดแทนพลังงานไฟฟ้าได้ 656.11 ล้านหน่วยต่อปี ทดแทนพลังงานเชื้อเพลิง 48.48 ล้านลิตรน้ำมันดิบต่อปี คิดเป็นความสามารถในการอนุรักษ์พลังงาน 1,809.46 ล้านบาท/ปี
2. ผลการดำเนินงานตามแผนงานภาคความร่วมมือ
2.1 สนพ. มีแผนงานที่จะส่งเสริมและร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐและเอกชน ที่จะมีผลทำให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีการนำพลังงานหมุนเวียนที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย มาใช้อย่างแพร่หลาย โดยในช่วงปี 2538-2547 สนพ. ได้ประมาณการงบลงทุนในส่วนแผนงานภาคความร่วมมือไว้ในวงเงินรวม 9,203 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายจะลดความต้องการพลังไฟฟ้าลง 29 MW ทดแทนพลังงานไฟฟ้าได้ 4,482 ล้านหน่วยต่อปี ทดแทนพลังงานเชื้อเพลิง 93 ล้านลิตรน้ำมันดิบต่อปี คิดเป็นความสามารถในการอนุรักษ์พลังงาน 5,151 ล้านบาท/ปี โดย สนพ. มีค่าบริหารจัดการตามแผนงานภาคความร่วมมือ (รวมถึงการบริหารแผนงานสนับสนุนภายใต้โครงการพัฒนาบุคลากร และโครงการประชาสัมพันธ์ด้วย) ตลอดระยะเวลา 10 ปี ในวงเงินรวม 1,285 ล้านบาท
2.2 เมื่อสิ้นสุดแผนฯ ในปี 2547 สนพ. ได้ใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ไปรวมทั้งสิ้น 9,474 ล้านบาท แบ่งเป็นงบส่งเสริมและร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐและเอกชน รวม 304 โครงการ (เฉพาะเจ้าของโครงการไม่รวมเอกชนผู้เข้าร่วมโครงการ) รวมเป็นเงิน 8,302 ล้านบาท และค่าบริหารจัดการฯ 1,172 ล้านบาท โดยก่อให้เกิดผลงานลดใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ โดยสามารถทดแทนพลังงานไฟฟ้าได้ 4,791 ล้านหน่วย/ปี คิดเป็นเงิน 13,945 ล้านบาท/ปี และทดแทนเชื้อเพลิงชนิดต่างๆ คิดเป็นเงิน 5,137 ล้านบาท/ปี นอกจากนี้ยังสามารถลดความต้องการพลังไฟฟ้าได้ 651 MW โดยผลจากการดำเนินงานตามแผนดังกล่าวก่อให้เกิดผลงานลดใช้พลังงานเชิงพาณิชย์คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 19,082 ล้านบาท/ปี
3. ผลการดำเนินงานตามแผนงานสนับสนุน
3.1 โครงการพัฒนาบุคลากร
สนพ. มีแผนงานที่จะสนับสนุนบุคลากรของหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ รวมถึงบุคคลทั่วไป ให้มีความรู้ มีความเข้าใจ ด้านพลังงาน มีการพัฒนาทักษะเพิ่มขีดความสามารถ ก่อเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาพลังงานของประเทศ โดยในช่วงปี 2538-2547 สนพ. ได้ประมาณการงบพัฒนา บุคลากรของประเทศไว้ ในวงเงินรวม 3,012 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ พพ. จะนำไปจัดทำคู่มือและฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของโรงงาน/อาคาร 440 ล้านบาท และ สนพ. จะนำงบส่วนที่เหลือ 2,572 ล้านบาท ไปสนับสนุนหน่วยงานต่างๆ เพื่อพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน โดยครอบคลุมตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงอุดมศึกษา รวม 3 หลักสูตร และช่วยสนับสนุนเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ให้กับบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานหมุนเวียน ด้วยการฝึกอบรม สัมมนาและการดูงานทั้งในและต่างประเทศ และยังมีเป้าหมายในการช่วยส่งเสริมการสร้างทรัพยากรบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทำงานด้านพลังงานให้มีวุฒิการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรี โท และ เอก ประมาณ 45 ทุนต่อปี โดยเมื่อสิ้นสุดแผนฯ ในปี 2547 สนพ. ได้ใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ภายใต้โครงการพัฒนาบุคลากร ไปรวมทั้งสิ้น 2,054 ล้านบาท
3.2 โครงการประชาสัมพันธ์
(1) สนพ. มีแผนงานที่จะประชาสัมพันธ์ไปที่สาธารณชนทั่วไป ให้เกิดความรู้สึกมีส่วนร่วมในแผนอนุรักษ์พลังงาน ด้วยการรณรงค์ ปลูกจิตสำนึก ถ่ายทอดความรู้ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพลังงาน ผ่านสื่อต่างๆ เพื่อให้ทราบถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการอนุรักษ์พลังงานเกิดการใช้อย่างรู้คุณค่า และเห็นถึงความสำคัญที่รัฐพยายามที่จะส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในช่วงปี 2538-2547 สนพ. ได้ประมาณการที่จะใช้เงินกองทุนฯ สำหรับการทำประชาสัมพันธ์ไว้ 1,431 ล้านบาท โดยกำหนดเป็นปีแห่งบ้านประหยัดพลังงาน ปีสนับสนุนการใช้อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง ปีแห่งการรณรงค์ประหยัดพลังงานในภาคขนส่ง ปีแห่ง Reuse และ Recycle และปีแห่งการเลือกใช้อุปกรณ์ที่ติดฉลากประหยัดพลังงาน
โดยเมื่อสิ้นสุดแผนฯ ในปี 2547 สนพ. ได้ใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ภายใต้โครงการประชาสัมพันธ์ รวมทั้งสิ้น 1,409 ล้านบาท
(2) พพ. มีแผนงานที่จะประชาสัมพันธ์ไปที่กลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องกับแผนอนุรักษ์พลังงานโดยตรง ได้แก่ เจ้าของและผู้รับผิดชอบด้านพลังงานของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ผู้ผลิตอุปกรณ์ เครื่องจักรและวัสดุที่ใช้ในการอนุรักษ์พลังงาน จัดประกวดองค์กรดีเด่นด้านการอนุรักษ์พลังงาน และการจัดสัมมนาต่างๆ เพื่อให้เกิดจิตสำนึกในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในโรงงานและอาคาร โดยในช่วงปี 2538-2547 พพ. ได้ประมาณการที่จะใช้เงินกองทุนฯ สำหรับการทำประชาสัมพันธ์ไว้ 840 ล้านบาท
โดยเมื่อสิ้นสุดแผนฯ ในปี 2547 พพ. ได้ใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ภายใต้โครงการประชาสัมพันธ์ รวมทั้งสิ้น 257 ล้านบาท นอกจากนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการประชาสัมพันธ์ด้วย โดยใช้เงินจากกองทุนฯ 35 ล้านบาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และเห็นชอบผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2538-2547
เรื่องที่ 5 สรุปประเมินผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า สนพ. ได้ว่าจ้าง "บริษัท คอนซัลแทนท์ ออฟ เทคโนโลยี จำกัด" ทำการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2545-2547 สำหรับผลการประเมินแผนอนุรักษ์พลังงานครั้งล่าสุด คือในช่วงปีงบประมาณ 2543-2544 ที่คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ได้มอบหมายให้กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา คือ บริษัท คอนซัลแทนท์ ออฟ เทคโนโลยี จำกัด และบริษัท แม็กซิม ยูนิกรุ๊ป จำกัด เป็นผู้ดำเนินการนั้น โดยใช้วิธีวิเคราะห์เชิงระบบตามรูปแบบของ CIPPA MODEL และเป็นแบบ Bottom-up Evaluation with Objective Benchmarking มีผลสรุปที่เป็นประเด็นสำคัญและนำไปสู่การปรับกระบวนทัศน์ของแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2538-2554 ดังนี้
(1) อาคาร/โรงงาน และอาคารของรัฐ ควรเกิดผล โดยมีข้อมูลมาตรฐานในการวิเคราะห์ความคุ้มค่าการลงทุน
(2) พลังงานหมุนเวียน ควรได้รับการสนับสนุนการวิจัยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงาน
(3) ขนส่ง อุตสาหกรรม ควรเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญ
(4) ฐานข้อมูล ควรจัดทำขึ้น เพื่อพัฒนาพลังงานแต่ละสาขา
(5) การพัฒนาพลังงาน เลือกที่มีศักยภาพสูงและพร้อมใช้งานจริง เป็นลำดับแรก
(5) มาตรฐานประสิทธิภาพขั้นต่ำสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้งาน เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งกำหนด
(6) มาตรฐานการประหยัดพลังงาน ควรเร่งศึกษาและมีห้องทดสอบ และเร่งรัดการใช้ฉลากประหยัดพลังงานเป็นมาตรฐานเดียว
(7) เร่งรัดงานวิจัยสนับสนุนการผลิตเครื่องมือ/อุปกรณ์ภายในประเทศ โดยรัฐอุดหนุนบางส่วนเพื่อลดต้นทุนการผลิต สร้างแรงจูงใจทั้งด้านการผลิตและการใช้พลังงาน
(8) จัดทำดัชนี Energy Intensity ทั้งระดับภาพรวมของประเทศและระดับรายภาคเศรษฐกิจ
2. กระบวนการดำเนินงานโดยรวม ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และผลกระทบค่อนข้างดี แต่ประสิทธิผลด้านการทดแทนเชื้อเพลิงและลดใช้พลังงานค่อนข้างต่ำ โดยมีแนวทางการปรับปรุงแผนอนุรักษ์พลังงาน ดังนี้
(1) ปรับแนวทางดำเนินงานโดยเน้นผลลัพธ์มากกว่าขั้นตอนกระบวนการ
(2) ให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมทั้งด้านปฏิบัติงาน สนับสนุน ส่งเสริมโดยรัฐเป็นผู้ชี้นำผลักดัน
(3) กำหนดประเภทโครงการที่จะให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ
(4) ผลักดันให้เกิดธุรกิจด้านอนุรักษ์พลังงานอย่างครบวงจร
(5) พัฒนาบุคลากรในทุกระดับให้พอกับความต้องการของแผนงาน
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและเห็นชอบผลการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2545-2547
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณา กรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 เนื่องจากแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ซึ่งดำเนินการมาในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ตามที่ กพช. ได้เห็นชอบไว้เมื่อเดือนกันยายน 2542 ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2547 โดยสรุปได้ดังนี้
1. หลักการและเหตุผล : การจัดทำเป้าหมายและกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 มีหลักการดังนี้
1.1 กำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล (ด้านพลังงาน) ที่ต้องการให้การใช้พลังงานของประเทศได้มีการพัฒนาการใช้โดยมีประสิทธิภาพ สมดุลกับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ และลดการพึ่งพาแหล่งพลังงานจากต่างประเทศ ซึ่งคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2546 ได้มีมติเห็นชอบเป้าหมายและยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานของประเทศตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยในปี 2550 กำหนดเป้าหมายที่จะควบคุมสัดส่วนความต้องการใช้พลังงานต่อรายได้ประชาชาติ (GDP) ให้ลดลง จาก 1.4 : 1 เหลือ 1 : 1 และในปี 2554 จะพัฒนาพลังงานทดแทนให้มีสัดส่วนการใช้เพิ่มขึ้น จากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 8
1.2 การจัดทำกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 เป็นการประมาณการภาพรวมของภาระงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ระยะ 3-7 ปี มีลักษณะเป็น Rolling Plan ปรับแผนงาน/โครงการและประมาณการรายจ่ายทุกปี เนื่องจากอาจมีการเปลี่ยนแปลงในปัจจัยต่างๆ เช่น นโยบาย/ยุทธศาสตร์ใหม่ที่รัฐบาลกำหนด สภาพการณ์ทาง เศรษฐกิจและสังคม ผลการดำเนินงาน เป็นต้น แผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ประกอบด้วย 3 แผนงาน และมีลำดับความสำคัญดังนี้
| แผนงาน | งาน |
| 1. แผนพลังงานทดแทน 50% | 1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค 70% 1.2 งานส่งเสริมและสาธิต 20% 1.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ 10% |
| 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพ 35% การใช้พลังงาน |
2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค 30% 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต 50% 2.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ 20% |
| 3. แผนงานบริหาร 15% ทางกลยุทธ์ |
3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ 33% 3.2 งานบริหารจัดการ 33% 3.3 งานอื่นๆ 34% |
1.3 เนื่องจาก ได้มีการจัดตั้ง "กระทรวงพลังงาน" ขึ้น ในเดือนตุลาคม 2545 ดังนั้น เพื่อให้ "กระทรวงพลังงาน" ได้มีบทบาทในการบริหารงานกองทุนฯ จึงเสนอขอยกเลิก "คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" และขอตั้ง "คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน มีบทบาทในการตัดสินใจระดับนโยบายและให้คำแนะนำที่จะช่วยให้การบริหารจัดการแผนอนุรักษ์พลังงานเป็นไปตามทิศทางที่สอดคล้องกับนโยบายและแผนพัฒนาประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานให้ดียิ่งขึ้น มีการวางแผนและการจัดลำดับความสำคัญของงาน/โครงการภายใต้เป้าหมายยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยรายงานผลเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ ทราบเป็นรายไตรมาส
2. เป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2548-2554
2.1 เป้าหมาย
(1) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยลดใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ ณ ปี 2554 จาก 91,877 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ เหลือ 81,523 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือลดการใช้พลังงานโดยไม่เกิดประโยชน์ได้ประมาณ 12.7 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 10,354 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ
(2) พัฒนาพลังงานทดแทนให้มีสัดส่วนการใช้เพิ่มขึ้น โดย ณ ปี 2554 จะมีการใช้พลังงานอื่นๆ ในสัดส่วน 9.2% ของความต้องการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย หรือทดแทนการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ประมาณ 7,530 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ
2.2 องค์ประกอบของแผนอนุรักษ์พลังงาน ประกอบด้วย 3 แผนงาน
(1) แผนพลังงานทดแทน เป็นแผนงานเกี่ยวกับ
งานศึกษา วิจัยพัฒนา และส่งเสริมเพื่อก่อให้เกิดการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้นในการผลิตไฟฟ้า ความร้อน และเชื้อเพลิงชีวภาพ เพื่อใช้ในภาคคมนาคมขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม บ้านอยู่อาศัย ได้แก่ แสงอาทิตย์ น้ำ ลม ชีวมวล ชีวภาพ เอทานอล ไบโอดีเซล เซลล์เชื้อเพลิง ฯลฯ
งานสร้างและพัฒนาศักยภาพของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานด้านพลังงานทดแทน ได้แก่ การประชุมเชิงวิชาการ สัมมนา ฝึกอบรม ดูงาน ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี โท เอก
งานเผยแพร่ข้อมูล สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนทั่วไป เพื่อรู้จักพลังงานทดแทนและสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐ
(2) แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เป็นแผนงานเกี่ยวกับ
งานศึกษา วิจัยพัฒนา และส่งเสริมเพื่อก่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในภาคคมนาคมขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจ บริการ เกษตรกรรม และภาคบ้านอยู่อาศัย
งานสร้างและพัฒนาศักยภาพของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ได้แก่ การประชุมเชิงวิชาการ สัมมนา ฝึกอบรม ดูงาน ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี โท เอก
งานสร้างความรู้ความเข้าใจเพื่อให้มีการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า
(3) แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ เป็นแผนงานเกี่ยวกับ
งานศึกษาวิจัยเชิงนโยบายเพื่อเป็นข้อเสนอแนะ ทางเลือก หรือภาพรวมของสถานการณ์ที่ผสมผสานทั้งมิติด้าน การผลิตและการใช้พลังงาน ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สำหรับใช้ประกอบการตัดสินใจพัฒนาแผนพลังงานทดแทน หรือแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ให้เหมาะสม ทันต่อสถานการณ์ เป็นเครื่องมือนำทางสำหรับจัดลำดับความสำคัญของงานและการจัดสรรงบประมาณ
งานด้านบริหารเพื่อจัดการให้แผนอนุรักษ์พลังงานดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
งานช่วยเหลือส่งเสริมการดำเนินงานอื่นๆ เป็นเรื่องเฉพาะกิจ ที่สำคัญหรือมีความเร่งด่วน
2.3 หลักเกณฑ์ แนวทาง เงื่อนไข และการจัดลำดับความสำคัญของแผนอนุรักษ์พลังงาน
(1) หลักเกณฑ์สนับสนุน
ผู้มีสิทธิที่จะได้รับการสนับสนุน เป็นส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษาหรือองค์กรเอกชนที่ไม่มุ่งค้ากำไร ตามเจตนาของ พรบ.ฯ มาตรา 25 และ 26
การสนับสนุนค่าใช้จ่าย
เป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าเพื่อการศึกษา วิจัย พัฒนา หรือการสาธิตขนาดเล็ก
เป็นเงินสนับสนุนงานวิจัยพัฒนาให้กับหน่วยงานรัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน ในลักษณะร่วมทุน (Co-Funding หรือ Venture Funding) ในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ จะกำหนดข้อตกลงในสิทธิการแบ่งผลประโยชน์ที่เกิดจากผลงานวิจัย
เป็นเงินอุดหนุนภาระดอกเบี้ยจากการลงทุน สำหรับ "ผู้ร่วมโครงการ" เพื่อให้ผลตอบแทนทางการเงิน (Financial Internal Rate of Return, FIRR) ของแต่ละมาตรการเพิ่มขึ้นจนเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำสุดสำหรับลูกค้ารายย่อยของธนาคารกรุงไทย (Minimum Retail Rate, MRR ของธนาคารกรุงไทย เฉลี่ยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา) + 5%
(2) แนวทางและเงื่อนไข
สนพ. ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ ร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะจัดทำเป้าหมายและรายละเอียดแผนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อแสดงภาพให้เห็นถึงภาระงานในอนาคต 3-7 ปีข้างหน้า ทั้งแผนพลังงานทดแทน แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และแผนงานบริหารทางกลยุทธ์ พร้อมแสดงตัวเลขประมาณการรายจ่ายล่วงหน้าของแต่ละแผนงาน ภายใต้งบประมาณที่มีจำกัดในวงเงินที่คณะกรรมการบริหารฯ (กบอ.) เห็นสมควร
กบอ. จะพิจารณาความเหมาะสม ความสำคัญ และอนุมัติงบประมาณสำหรับปีเดียว ซึ่งจะต้องมีการปรับประมาณการรายจ่ายล่วงหน้าทุกปี เมื่อเริ่มต้นจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีของปีถัดไป โดยสามารถตัดสินใจเพิ่มหรือลดวงเงินงบประมาณในแต่ละปีให้สอดคล้องกับเป้าหมาย
หน่วยงานที่รับจัดสรรเงินไปจากกองทุนฯ จะทำสัญญาหรือหนังสือยืนยันกับ สนพ. เพื่อเป็นข้อผูกพันที่จะดำเนินงานให้ได้ผลตามเป้าหมายที่ กบอ. กำหนด และ สนพ. มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหากหน่วยงานนั้นไม่สามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย
กรณีที่แผนงานใดเปิดโอกาสให้ผู้มีสิทธิรับเงินช่วยเหลือ หรืออุดหนุน ตามมาตรา 25 ที่ พรบ. กำหนดไว้ สามารถยื่นคำร้องขอการสนับสนุนได้ และอยู่ในกรอบแผนงานที่ กบอ. กำหนด มอบให้หัวหน้าหน่วยงานที่รับจัดสรรเงินนั้นเป็นผู้พิจารณาในวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และมอบให้คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนฯ เป็นผู้พิจารณาในวงเงินเกิน 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท และมอบให้ กบอ. เป็นผู้พิจารณาในวงเงินเกิน 50 ล้านบาท ขึ้นไป รวมถึงงาน/โครงการที่ไม่อยู่ในกรอบแผนงานที่กำหนดไว้ด้วย
กรณีที่ผู้มีสิทธิรับเงินช่วยเหลือ หรืออุดหนุน ตามมาตรา 25 ยื่นคำร้องขอสนับสนุนซึ่งไม่อยู่ในกรอบที่ กบอ. กำหนดไว้ ให้ สนพ. พิจารณาให้ความเห็นและเสนอ กบอ. พิจารณาเป็นรายๆ
สนพ. ติดตามผลการดำเนินงานของโครงการ และรายงาน กพช. กทอ. และ กบอ. เป็นประจำทุกไตรมาส
2.4 ประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงานอนุรักษ์พลังงาน
การดำเนินงานให้สำเร็จลงตามเป้าหมายและกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 คาดว่าอาจต้องใช้เงินลงทุนเกือบ 133,488 ล้านบาท (ร้อยละ 98 เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งมวลชน) โดยกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานอาจต้องช่วยเหลือสนับสนุนด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งจากการประมาณการรายรับของกองทุนฯ ในอนาคต คาดว่าจะมีรายรับประมาณ 2,000-2,800 ล้านบาท/ปี และจากสถิติการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ที่ผ่านมา อยู่ในวงเงินเฉลี่ยประมาณ 1,300-1,700 ล้านบาท/ปี เมื่อนำมาเป็นพื้นฐานการจัดทำงบประมาณรายจ่ายของกองทุนฯ ล่วงหน้าแต่ละปี ในระยะเวลา 7 ปี โดยพิจารณาจากประมาณการรายได้ ประมาณการภาระหนี้ และด้วยนโยบายงบประมาณเกินดุล จึงสรุปแนวทางจัดสรรเงินกองทุนฯ และกรอบการใช้เงินจากกองทุนฯ ตามลำดับความสำคัญดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
| ปีงบประมาณ | 2548 | 2549 | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | รวม |
| 1. เงินคงเหลือยกมาต้นปี | 9,856 | 7,064 | 6,536 | 6,261 | 6,774 | 9,467 | 10,818 | 9,856 |
| 2. ประมาณการรายรับล่วงหน้า | 2,089 | 2,293 | 2,269 | 2,354 | 2,501 | 2,652 | 2,811 | 16,970 |
| 3. เงินทุนหมุนเวียนรอรับคืนจาก พพ. | - | - | - | - | 2,000 | - | - | 2,000 |
| รวมรับ | 11,945 | 9,357 | 8,805 | 8,615 | 11,275 | 12,119 | 13,629 | 28,826 |
| 4. รายจ่าย ประกอบด้วย | ||||||||
| 4.1 รายจ่ายผูกพัน ปี 2538-2547 | 3,581 | 1,521 | 1,244 | 541 | 509 | - | - | 7,397 |
| 4.2 ประมาณการรายจ่ายล่วงหน้า | 1,300 | 1,300 | 1,300 | 1,300 | 1,300 | 1,300 | 1,300 | 9,100 |
| รวมจ่าย | 4,881 | 2,821 | 2,544 | 1,841 | 1,809 | 1,300 | 1,300 | 16,497 |
| 5. เงินคงเหลือปลายปี ยกไป | 7,064 | 6,536 | 6,261 | 6,774 | 9,467 | 10,818 | 12,329 | 12,329 |
| ประมาณการรายจ่าย 1,300 ล้านบาทต่อปี ตามข้อ 2.4 ประกอบด้วย (: ล้านบาท) | |
| (1) แผนพลังงานทดแทน 50% | 650 |
| 1) งานศึกษาวิจัยเชิงเทคนิคและวิชาการ 70% | |
| (เชื้อเพลิงชีวภาพ แสงอาทิตย์ ลม น้ำ ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ และอื่นๆ) | |
| 2) งานพัฒนาและสาธิตเทคโนโลยี 20% | |
| 3) งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ 10% | |
| (2) แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 35% | 455 |
| 1) งานศึกษาวิจัยเชิงเทคนิคและวิชาการ 30% | |
| (ขนส่ง อุตสาหกรรม บ้านอยู่อาศัย และอื่นๆ) | |
| 2) งานพัฒนาและสาธิตเทคโนโลยี 50% | |
| 3) งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ 20% | |
| (3) แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ 15% | 195 |
| 1) งานศึกษาเชิงนโยบายและกลยุทธ์ 33% | |
| 2) งานบริหารจัดการ 33% | |
| 3) งานอื่นๆ 33% | |
2.5 สรุปผลที่คาดว่าจะได้รับ
(1) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยลดใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ ณ ปี 2554 จาก 91,877 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ เหลือ 81,523 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือลดการใช้พลังงานโดยไม่เกิดประโยชน์ได้ประมาณ 12.7 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 10,354 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ จำแนกเป็นภาคคมนาคมขนส่ง 21% ภาคอุตสาหกรรม 9% ภาคบ้านอยู่อาศัย 4%
(2) พัฒนาพลังงานทดแทนให้มีสัดส่วนการใช้เพิ่มขึ้น โดย ณ ปี 2554 จะมีการใช้พลังงานอื่นๆ เพิ่มขึ้น 9.2% ของความต้องการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย หรือทดแทนการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ประมาณ 7,530 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ จำแนกเป็น ภาคคมนาคมขนส่ง ภาคอุตสาหกรรมและบ้านอยู่อาศัย มีการใช้พลังงานทดแทน 8% 14% และ 2% ตามลำดับ โดยใช้ Biodiesel แทนน้ำมันดีเซล ใช้ Ethanol แทน Gasoline ใช้ชีวมวล น้ำท้ายเขื่อนชลประทาน แสงอาทิตย์ แรงลม และพลังงานทดแทนอื่นๆ ในการผลิตไฟฟ้า และทำความร้อน
(3) มีผู้จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น 400 คน ช่วยเสริมการทำงานด้านพลังงาน มีการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนด้านพลังงานในโรงเรียนระดับประถมและมัธยมทั่วประเทศ อย่างน้อย 30,000 โรงเรียน มีการพัฒนาหลักสูตรอุดมศึกษาที่ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมโดยมีเป้าหมายในการผลิตบุคลากรที่มีทักษะด้านพลังงานในภาคอุตสาหกรรม จำนวน 1,400 คน ผู้ชำนาญการด้านพลังงานสาขาต่างๆ ในระดับท้องถิ่นได้รับการพัฒนาทักษะ 500 คน
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2538-2547 และผลประเมินการดำเนินงานภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงานตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ และรับทราบวงเงินของกองทุนฯ ที่เป็นภาระผูกพันต้องดำเนินการเบิกจ่ายเงินกับโครงการฯ ตามสัญญาหรือหนังสือยืนยัน ในวงเงินรวมประมาณ 7,397 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งจะได้รับคืนเนื่องจากเป็นทุนหมุนเวียน 2,000 ล้านบาท โดยในส่วนเงินผูกพันภายใต้แผนงานภาคบังคับ ที่เป็นเงินลงทุนกับหน่วยงานภาครัฐและยังไม่ได้มีการลงทุนภายในระยะเวลาที่ พพ. กำหนด ที่ประชุมมีมติให้ยกเลิกการสนับสนุน
2. เห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน แนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอตามข้อ 1 และ ข้อ 2 โดยให้มีผู้แทนภาคเอกชนร่วมอยู่ในคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ด้วย เพื่อเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในการเสนอแนะแนวทางดำเนินงานอนุรักษ์พลังงาน
3. เห็นชอบการจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับใช้จ่ายตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) ภายในวงเงินรวม 28,826 ล้านบาท และให้คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ มีอำนาจปรับปรุงแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ และการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในวงเงินรวมดังกล่าว
4. เพื่อให้การเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้กับผู้ได้รับจัดสรรเงินไปแล้วภายใต้ แผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน และยังมีภาระผูกพันตามสัญญาหรือหนังสือยืนยันที่กองทุนฯ ต้องดำเนินการเบิกจ่ายเงินกับโครงการฯ อยู่เป็นจำนวนมาก จึงให้ความเห็นชอบดังต่อไปนี้
ค. การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือแผนงานของโครงการใดๆ ภายใต้แผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือและแผนงานสนับสนุน กรณีเกิน 10 ล้านบาท และมีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและ/หรือทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง ให้ "คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบ สำหรับกรณีวงเงินต่ำกว่า 10 ล้านบาท ให้อยู่ในความเห็นชอบของผู้อำนวยการ สนพ. หรือ อธิบดี พพ. ตามประเภทโครงการ
ข. ให้อธิบดี พพ. เป็นผู้พิจารณาเห็นชอบการปรับปรุงข้อเสนอ รวมถึงสามารถอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือแผนงานของโครงการใดๆ ภายใต้แผนงานภาคบังคับ ได้ตามที่มีผู้ได้รับจัดสรรเงินขอเปลี่ยนแปลง โดยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและ/หรือทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง ทั้งนี้ จนกว่าโครงการนั้นจะเสร็จสมบูรณ์
ก. ให้ผู้อำนวยการ สนพ. เป็นผู้พิจารณาเห็นชอบการปรับปรุงข้อเสนอ รวมถึงอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือแผนงานของโครงการใดๆ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือหรือแผนงานสนับสนุน ตามที่มีผู้ได้รับจัดสรรเงินขอเปลี่ยนแปลง โดยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและ/หรือทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง ทั้งนี้ จนกว่าโครงการนั้นจะเสร็จสมบูรณ์
- 5. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอแผนอนุรักษ์พลังงาน แนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) เสนอ กพช. เพื่อพิจารณา
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานที่ประชุมว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการบริหารงานตามกฎหมาย ให้ 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย สนพ. พพ. และกรมบัญชีกลาง (บก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในระหว่างปีงบประมาณ 2543-2547 ในวงเงินรวม 3,024.15 ล้านบาท ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
| หมวดรายจ่าย | 2543 | 2544 | 2545 | 2546 | 2547 | รวม |
| สนพ. | ||||||
| - ค่าจ้างชั่วคราว | 2.63 | 3.54 | 4.09 | 4.01 | 4.48 | 18.75 |
| - ตอบแทนใช้สอย วัสดุ | 10.54 | 8.64 | 13.34 | 10.82 | 18.14 | 61.48 |
| - ค่าสาธารณูปโภค | 2.42 | 2.07 | 2.98 | 2.50 | 2.00 | 11.97 |
| - ค่าครุภัณฑ์ | 6.13 | 7.42 | 5.10 | 3.10 | 2.44 | 24.19 |
| - รายจ่ายอื่น | 90.33 | 121.74 | 124.30 | 78.43 | 126.88 | 541.68 |
| รวมงบจัดสรร-สนพ. | 112.05 | 143.41 | 149.81 | 98.86 | 153.94 | 658.07 |
| รวมรายจ่ายจริง-สนพ. | 101.57 | 123.89 | 83.81 | 69.13 | 81.80 | 460.20 |
| พพ. | ||||||
| - ค่าจ้างชั่วคราว | 21.04 | 23.86 | 24.62 | 25.55 | 25.44 | 120.51 |
| - ตอบแทนใช้สอย วัสดุ | 23.85 | 29.15 | 25.71 | 28.93 | 35.51 | 143.15 |
| - ค่าสาธารณูปโภค | 5.24 | 5.37 | 5.90 | 7.75 | 8.10 | 32.36 |
| - ค่าครุภัณฑ์ | 20.80 | 18.40 | 16.45 | 24.61 | 22.53 | 102.79 |
| - รายจ่ายอื่น | 413.18 | 481.85 | 332.85 | 324.20 | 411.52 | 1,963.60 |
| รวมงบจัดสรร-พพ. | 484.11 | 558.63 | 405.53 | 411.04 | 503.10 | 2,362.41 |
| รวมรายจ่ายจริง-พพ. | 409.08 | 369.51 | 257.95 | 271.77 | 343.52 | 1,651.83 |
| บก. | ||||||
| - ค่าจ้างชั่วคราว | 0.46 | 0.46 | 0.41 | 0.49 | 0.33 | 2.15 |
| - ตอบแทนใช้สอย วัสดุ | 0.16 | 0.18 | 0.42 | 0.15 | 0.14 | 1.05 |
| - ค่าครุภัณฑ์ | 0.12 | - | 0.14 | - | 0.21 | 0.47 |
| รวมงบจัดสรร-บก. | 0.74 | 0.64 | 0.97 | 0.64 | 0.68 | 3.67 |
| รวมรายจ่ายจริง-บก. | 0.61 | 0.51 | 0.67 | 0.61 | 0.57 | 2.97 |
| รวมงบจัดสรรทั้งสิ้น | 596.90 | 702.68 | 556.31 | 510.54 | 657.72 | 3,024.15 |
| รวมรายจ่ายจริงทั้งสิ้น | 511.26 | 493.91 | 342.43 | 341.51 | 425.89 | 2,115.00 |
2. สนพ. และ บก. ได้จัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2548 เรียบร้อยแล้ว รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 62,568,020 บาท สรุปได้ดังนี้
หน่วย : บาท
| หมวดรายจ่าย | สนพ. | บก. | รวม | ร้อยละ |
| 1. ค่าจ้างชั่วคราว | 4,481,400 | 552,600 | 5,034,000 | 8% |
| 2. ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ | 11,581,390 | 340,630 | 11,922,020 | 19% |
| 3. ค่าสาธารณูปโภค | 920,000 | - | 920,000 | 1% |
| 4. ค่าครุภัณฑ์ | 1,754,000 | 300,000 | 2,054,000 | 3% |
| 5. รายจ่ายอื่น | 40,638,000 | 2,000,000 | 42,638,000 | 68% |
| รวม | 59,374,790 | 3,193,230 | 62,568,020 | 100% |
| ร้อยละ | 95% | 5% | 100% |
3. พพ. ได้จัดทำงบค่าใช้จ่ายในการบริหารงานปีงบประมาณ 2548 ทั้งในส่วนกลางและสำนักงานเขต 12 เขตในภูมิภาค เรียบร้อยแล้ว รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 55 ล้านบาท
หมายเหตุ
(1) ให้ สนพ. บก. สามารถถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้
(2) รายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวด
ไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท
ส่วนของ สนพ. และ บก. ให้เสนอผู้อำนวยการ สนพ. พิจารณาอนุมัติ
ส่วนของ พพ. ให้เสนออธิบดี พพ. พิจารณาอนุมัติ
เกินรายการละ 10 ล้านบาท แต่ไม่เกินรายการละ 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการบริหารฯ พิจารณาอนุมัติ
เกินรายการละ 50 ล้านบาท ขึ้นไป ให้เสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2548 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ ของ สนพ. ในวงเงิน 59,374,790 บาท (ห้าสิบเก้าล้านสามแสนเจ็ดหมื่นสี่พันเจ็ดร้อยเก้าสิบบาทถ้วน) โดยเบิกจ่ายจาก งานบริหารกองทุน แผนงานบริหารทางกลยุทธ์
2. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2548 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการแผนงานบริหารทางกลยุทธ์ ของ บก. ในวงเงิน 3,193,230 บาท (สามล้านหนึ่งแสนเก้าหมื่นสามพันสองร้อยสามสิบบาทถ้วน) โดยเบิกจ่ายจาก งานบริหารกองทุน แผนงานบริหารทางกลยุทธ์
3. อนุมัติงบค่าใช้จ่ายในการบริหารงานปีงบประมาณ 2548 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานจัดการของ พพ. ในวงเงิน 55,000,000 บาท (ห้าสิบห้าล้านบาทถ้วน) โดยเบิกจ่ายจาก งานบริหารแผนงาน แผนพลังงานทดแทน ในวงเงิน 32,500,000 บาท (สามสิบสองล้านห้าแสนบาทถ้วน) และเบิกจ่ายจาก งานบริหารแผนงาน แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ในวงเงิน 22,500,000 บาท (ยี่สิบสองล้านห้าแสนบาทถ้วน)
โดยให้ทั้ง 3 หน่วยงาน สามารถถัวจ่ายรายการต่างๆ ได้ตามที่เสนอมาในข้อ 2 และข้อ 3 ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2547 โดยให้เบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ ได้ ภายหลังที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2548-2554 แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า พพ. ได้ยื่นข้อเสนอ "โครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow สำหรับการลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด การผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก รถประจำทางไฟฟ้า และเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท" เพื่อขอรับสนับสนุนทุนวิจัยจากกองทุนฯ ในวงเงิน 200 ล้านบาท เพื่อการวิจัยเชิงประยุกต์ของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ Vanadium Redox Flow เทคโนโลยีการเก็บสำรองพลังงานไฟฟ้าด้วยเซลล์ไฟฟ้าเคมี ที่บริษัท เซลเลนเนียม (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทเอกชนของไทยเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อให้ทราบถึงปัญหาอุปสรรคด้านเทคนิคและต้นทุน การยอมรับจากผู้ใช้ และแนวทางพัฒนาในเชิงพาณิชย์และการผลิตในระบบอุตสาหกรรมต่อไป โดยทำงานวิจัยภายในเวลา 1 ปี 2 เดือน และแบ่งออก เป็น 4 โครงการย่อย ได้แก่
(1) งานวิจัยพัฒนาการสร้างแบตเตอรี่ขนาด 1-3 kW 3-10 kW 30 kW และ 100 kW และสร้างระบบลดกำลังไฟฟ้าสูงสุดขนาด 100 kw ที่จัดเก็บและจ่ายไฟฟ้าจากระบบสายส่งได้ 100 kw-1 ชม. พร้อมทั้งทดสอบติดตั้งใช้งานจริงในอาคารมหานครยิปซั่ม ที่ตั้งของบริษัทเซลเลนเนียม กทม. (ขอรับการสนับสนุน 100% ในวงเงิน 60 ล้านบาท)
(2) งานวิจัยพัฒนาและสร้างเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท ที่ทำงานร่วมกับ Vanadium Electrolyte ขนาด 100 W ที่เปลี่ยนน้ำตาลสำเร็จรูป (refined suger) เป็นไฟฟ้าโดยตรง โดยประสิทธิภาพที่ 40% เพื่อศึกษาขบวนการทำงาน ปัญหาอุปสรรค สำหรับการพัฒนาขั้นต่อไป (ขอรับการสนับสนุน 100% ในวงเงิน 65 ล้านบาท)
(3) งานวิจัยพัฒนาและสร้างแบตเตอรี่ขนาด 10 kW พร้อมระบบ Inductionless inverter ที่เป็นนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า inverter มาตรฐาน รับไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่ที่ความถี่ที่แตกต่างกันได้ และจ่ายไฟฟ้าออกจากแบตเตอรี่ที่ความถี่คงที่ 50 Hz นำระบบดังกล่าวติดตั้งทดสอบใช้งานกับเครื่องยนต์ดีเซลผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (5 kW) เพื่อแสดงการปรับปรุงประสิทธิภาพและทดสอบการใช้งานที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี วิทยาเขตบางขุนเทียน (ขอรับการสนับสนุน 50% ในวงเงิน 20 ล้านบาท) เริ่มโครงการหลังจากพัฒนาแบตเตอรี่ขนาด 30 kW ในโครงการ (1) เรียบร้อยแล้ว
(4) งานวิจัยพัฒนาและสร้างแบตเตอรี่ขนาด 30 kW ทดสอบใช้งานกับรถประจำทางไฟฟ้าผสมผสานที่พัฒนาไว้เดิมแล้ว โดยกรมควบคุมมลพิษ ใช้ในเขต กทม. คาดว่าสามารถวิ่งได้ที่ความเร็วสูงถึง 60 กม./ชม. และระยะทางที่วิ่งได้ต่อครั้งของการประจุไฟฟ้าให้เป็นแบตเตอรี่คือ 100 กม. (ขอรับการสนับสนุน 50% ในวงเงิน 30 ล้านบาท) เริ่มโครงการหลังจากพัฒนาแบตเตอรี่ ขนาด 30 kW ในโครงการ (1) เรียบร้อยแล้ว
โดย พพ. จะร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) และผู้ชำนาญการจากสถาบันการศึกษาในประเทศไทยที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่ติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการวิจัย (โดยมีค่าใช้จ่ายในการติดตามผลที่จะขอสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 30 ล้านบาท) ทั้งนี้ ผลประโยชน์ที่เกิดจากการพัฒนาการวิจัยภายใต้โครงการดังกล่าวที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ จะได้สิทธิประโยชน์ จากบริษัทเซลเลนเนียม (ประเทศไทย) จำกัด ในรูปของสัดส่วนหุ้นคืนกลับสู่กองทุนฯ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์สำหรับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอื่นๆ ต่อไป ดังนี้
ได้รับหุ้น 4.7% ของบริษัท เซลเลนเนียม (ประเทศไทย) จำกัด
ได้รับหุ้น 5% ของบริษัท เซลเลนเนียม USA
ได้รับหุ้น 3% ของบริษัท สคเวอเร็ล โฮลดิ้งส์
2. ผู้ทรงคุณวุฒิที่ร่วมวิเคราะห์โครงการฯ เพื่อให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์สำหรับใช้ประกอบการพิจารณาให้การสนับสนุนโครงการนี้ ประกอบด้วย ศ.ดร.นักสิทธิ์ คูวัฒนาชัย จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ศ.ดร.ถิรพัฒน์ วิลัยทอง จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ดร.วเรศ วีระสัย จากมหาวิทยาลัยมหิดล ได้มีการประชุมพิจารณาโครงการฯ รวม 2 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2547 และวันที่ 15 กันยายน 2547 สรุปว่า เห็นควรสนับสนุนโครงการ โดย พพ. ควรปรับรายละเอียดข้อเสนอโครงการฯ ให้ชัดเจนดังนี้
(1) ปรับปรุงโครงการย่อยที่ (2) จากงานวิจัยพื้นฐานการสร้างเซลล์เชื้อเพลิงที่ทำงานร่วมกับ Vanadium Electrolyte ขนาด 100 W ให้เป็นงานวิจัยต่อเนื่องไปจนถึงงานวิจัยเชิงประยุกต์ และนำไปสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์ รวมทั้งเพิ่ม Literature Review State of Arts Propose Design ผู้ทำการวิจัย และ Track Record ของ ผู้ทำการวิจัยด้วย
(2) ควรให้มีการใช้บุคลากรภายในประเทศให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดองค์ความรู้และพัฒนาบุคลากรในเทคโนโลยีดังกล่าวในประเทศ
(3) ควรเพิ่มส่วนการประเมินผลภาพรวมของโครงการแยกจากส่วนการติดตามตรวจสอบและประเมินผลเดิม โดยให้ สนพ. จ้างผู้ประเมินภาพรวมดังกล่าว ในวงเงิน 5 ล้านบาท
3. คณะอนุกรรมการฯ ได้ประชุมพิจารณาโครงการฯ รวม 2 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2547 และเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2547 และมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุน "โครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow สำหรับการลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด การผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก รถประจำทางไฟฟ้า และเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท" ตามที่ พพ. เสนอในวงเงินรวม 200,000,000 บาท และ เห็นชอบให้ สนพ. จ้างผู้ประเมินภาพรวมโครงการฯ ในวงเงิน 5 ล้านบาท รวมถึงรับทราบแนวทางการจัดการผลประโยชน์ที่ได้จากบริษัทฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ รายงาน ดังนี้
(1) กองทุนฯ สามารถรับผลประโยชน์/ทรัพย์สินจากเอกชนได้ ตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535 มาตรา 24 (5)
(2) กองทุนฯ สามารถรับบริจาคทรัพย์สินในรูปหุ้นได้ในกรณีที่มีการชำระมูลค่าเต็มแล้ว (หุ้นบริจาคเป็นหุ้นที่มีการชำระมูลค่าหุ้นแล้ว) โดยการบริจาคทรัพย์สินดังกล่าวต้องบริจาคให้กับกระทรวงการคลัง (กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน) โดยแยกบัญชีไว้เป็นการเฉพาะ และควรมีการทำสัญญา Share holder agreement ด้วยว่าบริษัทฯ จะไม่เรียกร้องค่าเสียหายจากกระทรวงการคลัง (กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน) ในฐานะผู้ถือหุ้นส่วนที่บริจาคแต่อย่างใด ในกรณีที่บริษัทฯ เกิดความเสียหาย
(3) การบริหารจัดการผลประโยชน์ที่ได้จากบริษัทฯ ตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 28 ได้มีการกำหนดอำนาจหน้าที่ให้คณะกรรมการกองทุนฯ ตามข้อ (10) จะอนุโลมใช้เกี่ยวกับการบริหารจัดการผลประโยชน์/ทรัพย์สินที่กองทุนรับเข้ามาไว้ได้ ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ สามารถเสนอมอบอำนาจให้มีผู้ดูแลบริหารจัดการได้โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง เช่น สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน เป็นต้น อย่างไรก็ดีตามประเด็นดังกล่าวข้างต้นนี้ยังไม่ชัดเจน เห็นควรให้ พพ. หารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ชัดเจน
(4) การมอบหุ้นให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (กระทรวงการคลัง) นั้น ควรเป็นการบริจาคหุ้นโดยสมัครใจแบบไม่มีเงื่อนไข ไม่ใช่เป็นไปในลักษณะของการบริจาคตามเงื่อนไขของกองทุนที่ให้เงินสนับสนุนดำเนินโครงการ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ ให้ สนพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการติดตามประเมินโครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow สำหรับการลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด การผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก รถประจำทางไฟฟ้า และเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท" ในวงเงินรวม 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) ดังรายละเอียดและขอบเขตงานจ้างที่ปรึกษาที่เสนอมา โดย สนพ. สามารถปรับรายละเอียดและขอบเขตงานจ้างที่ปรึกษาให้เหมาะสมมากขึ้นได้ โดยเบิกจ่ายจาก "งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค แผนพลังงานทดแทน"
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow สำหรับการลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด การผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก รถประจำทางไฟฟ้า และเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท" ในวงเงินรวม 200,000,000 บาท (สองร้อยล้านบาทถ้วน) โดยเบิกจ่ายจาก "งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค แผนพลังงานทดแทน" และมีเงื่อนไขให้ พพ. ดำเนินการตามที่ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีความเห็นไว้
3. ให้การอนุมัติตามข้อ 1 และ 2 มีผลบังคับใช้เมื่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2548-2554 แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานว่า คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการประชุม ครั้งที่ 5/2546 (ครั้งที่ 37) เมื่อวันอังคารที่ 2 ธันวาคม 2546 ได้พิจารณาเรื่องการขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลม ของบริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด ในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2545 เป็นจำนวนเงิน 12,329,978.04 บาท ซึ่งที่ประชุมได้มีมติดังนี้
(1) เห็นชอบให้ สนพ. ประสานงานกับบริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เพื่อขอหลักฐานและรายละเอียดการใช้จ่ายเงินเพิ่มเติม และเจรจาต่อรองกับบริษัทฯ ให้ปรับลดค่าใช้จ่ายที่จะขอรับจากกองทุนฯ ตามข้อเสนอแนะของกรรมการกองทุนฯ แล้วส่งให้กระทรวงการคลังพิจารณายกเว้นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุในการจ้างบริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เป็นกรณีพิเศษ
(2) เห็นชอบให้ สนพ. อาศัยข้อกำหนดแห่งระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 4 "... ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการได้ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง" ในการดำเนินการจัดจ้าง และการจ่ายเงินค่าจัดจ้างให้บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลม ของ บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด ในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2545
2. สนพ. ได้มีหนังสือถึงบริษัทฯ เพื่อขอหลักฐานเอกสารเพิ่มเติมประกอบการพิจารณาเบิกจ่ายเงินในการจัดกิจกรรมต่างๆ บนถนนสีลมในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2545 และมีหนังสือถึงการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อขอข้อมูลรายละเอียดกิจกรรมและค่าใช้จ่ายที่เบิกจ่ายให้กับบริษัทฯ ในการดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลมตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ธันวาคม 2545 เพื่อนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบ ดูความเหมาะสมกับค่าใช้จ่ายที่บริษัทฯ แจ้งขอรับการสนับสนุน ซึ่งผลการตรวจสอบพบว่า ค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมใกล้เคียงกัน ดังนี้
(1) กิจกรรมปกติ มีค่าใช้จ่ายตามใบแจ้งหนี้ของบริษัทฯ โดยเฉลี่ยสัปดาห์ละ 502,365 บาท สูงกว่า ค่าใช้จ่ายที่ ททท. จ่ายให้บริษัทเฉลี่ยสัปดาห์ละ 487,524 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.95
(2) กิจกรรมพิเศษ มีค่าใช้จ่ายตามใบแจ้งหนี้ของบริษัทฯ เฉลี่ยสัปดาห์ละ 2,381,565 บาท ต่ำกว่า ค่าใช้จ่ายที่ ททท. จ่ายให้บริษัทเฉลี่ยสัปดาห์ละ 2,436,390 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.25
สนพ. มีความเห็นว่า ค่าใช้จ่ายตามใบแจ้งหนี้ที่บริษัทฯ ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ อยู่ในระดับที่เหมาะสม จะมีความแตกต่างกันบ้างขึ้นอยู่กับรายละเอียดปลีกย่อยของการจัดกิจกรรมในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งก็จะไม่แตกต่างกันมากนัก
3. สนพ. ได้มีหนังสือถึง นายประสาน หวังรัตนปราณี ที่ปรึกษาของอดีตรองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) เพื่อขอความเห็นและคำรับรองการดำเนินกิจกรรมของบริษัทฯ ในช่วงตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม - 28 เมษายน 2545 เนื่องจากเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในคณะทำงานบริหารจัดการโครงการปิดถนนสีลม และได้ตรวจสอบควบคุมดูแลการดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลมในทุกๆ สัปดาห์ ซึ่งได้ให้คำรับรองว่ามีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เป็นประจำทุกสัปดาห์จริง
4. สนพ. ได้มีหนังสือถึงกระทรวงการคลัง เพื่อขอความเห็นชอบยกเว้นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษในการจัดจ้างและจ่ายเงินให้บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เป็นกรณีพิเศษ โดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการจัดจ้างและคณะกรรมการตรวจรับ และให้ใช้ใบแจ้งหนี้ของบริษัท เป็นหลักฐานในการจ่ายเงิน ซึ่งกระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว เห็นชอบให้ สนพ. ดำเนินการได้ตามที่ขอ โดยให้ใช้หลักฐานการจ่ายเงินที่บริษัทฯ ได้ใช้จ่ายไปเพื่อการดำเนินกิจกรรมในช่วงตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม - 28 เมษายน 2545 ที่คณะทำงานบริหารจัดการโครงการปิดถนนสีลมได้รับรองรายการค่าใช้จ่ายเป็นหลักฐานประกอบใบแจ้งหนี้ที่บริษัทฯ ขอรับเงินจากกองทุนฯ
เนื่องจากคณะทำงานบริหารจัดการโครงการปิดถนนสีลมได้ถูกยกเลิกไปแล้วตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2545 จึงไม่สามารถรับรองค่าใช้จ่ายตามความเห็นของกระทรวงการคลังได้ สนพ. จึงได้มีหนังสือถึงกระทรวงการคลังขอความเห็นชอบสำหรับการจ่ายเงินให้บริษัทฯ ตามจำนวนเงินที่คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นสมควรอนุมัติ และให้ใช้ใบแจ้งหนี้ของบริษัทฯ และมติคณะกรรมการกองทุนฯ เป็นหลักฐานในการจ่ายเงิน ซึ่งกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นควรให้ สนพ. จัดให้มี การตรวจสอบรายการและหลักฐานการจ่ายเงินที่บริษัทฯ นำมาใช้ประกอบการขอรับเงิน ตามใบแจ้งหนี้บริษัทฯ ในวงเงินที่คณะกรรมการกองทุนฯ จะพิจารณาอนุมัติ
5. บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด ได้ร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมาธิการการพลังงาน และนายแพทย์ สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร ได้มีหนังสือคณะกรรมาธิการการพลังงาน ที่พิเศษ/2547 ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2547 ขอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ เชาว์วิศิษฐ) พิจารณาเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาการเบิกจ่ายเงินค่าดำเนินโครงการปิดถนนสีลมของบริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เพราะเป็นเรื่องภายในที่สามารถแก้ไขได้ไม่จำเป็นต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการ เพราะจะทำให้มีปัญหาบานปลายตามมามากมาย อาจจะเป็นผลเสียต่อภาครัฐ
รองนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ เชาว์วิศิษฐ) ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ดำเนินการ ซึ่ง รมว.พน. ได้สั่งการให้ สนพ. นำเรื่องดังกล่าวบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
6. สนพ. ได้พิจารณาเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายที่บริษัทฯ แจ้งขอรับการสนับสนุนกับค่าใช้จ่ายที่ ททท. จ่ายให้บริษัทฯ ในการดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลมแล้ว เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่ขอรับการสนับสนุนมีความเหมาะสม และกระทรวงการคลังก็ได้เห็นชอบให้ยกเว้นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ โดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการจัดจ้างและคณะกรรมการตรวจรับ โดยจำนวนเงินที่จะจ่ายให้บริษัทฯ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นสมควรอนุมัติ และให้ใช้ใบแจ้งหนี้ของบริษัทและมติคณะกรรมการกองทุนฯ เป็นหลักฐานในการจ่ายเงินต่อไป
สนพ. จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติให้ สนพ. เบิกจ่ายเงินจาก "หมวดพัฒนาบุคลากรระยะสั้นในประเทศ" ปีงบประมาณ 2548 เป็นจำนวนเงิน 12,329,978.04 บาท (สิบสองล้านสามแสนสองหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเจ็ดสิบแปดบาทสี่สตางค์) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด สำหรับเป็นค่าดำเนินกิจกรรม "โครงการปิดถนนสีลมเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษและส่งเสริมการท่องเที่ยว" ในช่วงตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม - 28 เมษายน 2545
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ หมวดงานอื่นๆ ปีงบประมาณ 2548 ให้ สนพ. เป็นจำนวนเงิน 12,329,978.04 บาท (สิบสองล้านสามแสนสองหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเจ็ดสิบแปดบาทสี่สตางค์) เพื่อนำไปจ่ายให้กับบริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เป็นค่าดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลม ในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2545 โดยยกเว้นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นกรณีพิเศษ ในการจัดจ้างและจ่ายเงินให้บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด โดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการจัดจ้างและคณะกรรมการตรวจรับ และให้ใช้หลักฐานการจ่ายเงินที่บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด ได้ใช้จ่ายไปเพื่อการดำเนินกิจกรรมในช่วงตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม - 28 เมษายน 2545 เป็นหลักฐานประกอบใบแจ้งหนี้
เรื่องที่ 10 ขอรับการสนับสนุนโครงการปรับปรุงเครื่องปรับอากาศเก่าในอาคารของรัฐเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่าประธานกรรมการกองทุนฯ (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน) ได้มีหนังสือ ที่ นร 0411/ลร6/16498 ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ถึง สนพ. เพื่อเสนอโครงการปรับปรุงเครื่องปรับอากาศเก่าในอาคารของรัฐเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยจะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ เป็นวงเงิน 25 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวสามารถสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. ความเป็นมา
ปัจจุบันเครื่องปรับอากาศเป็นอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในหน่วยงานต่างๆ ที่มีอัตราส่วนมากถึง 70-80% ของค่าไฟฟ้าของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งการใช้เครื่องปรับอากาศนับวันจะเพิ่มปริมาณขึ้นเนื่องจากภาวะอากาศของประเทศไทยที่ร้อนขึ้นเป็นลำดับ ปัจจุบันได้มีเทคโนโลยีของการควบคุมเครื่องปรับอากาศด้วยอินเวอร์เตอร์ที่สามารถประยุกต์ใช้กับเครื่องปรับอากาศที่ติดตั้งใช้งานอยู่แล้ว ซึ่งจะสามารถลดการใช้พลังงาน ไฟฟ้าลงได้ 30-40% จากการใช้งานปกติของเครื่องปรับอากาศ
2. เทคโนโลยีการควบคุมด้วยอินเวอร์เตอร์ของเครื่องปรับอากาศ
ระบบการควบคุมของเครื่องปรับอากาศที่ใช้ในปัจจุบันจะใช้การควบคุมแบบตัดต่อ (On-Off Control) ซึ่งจะต่อคอมเพรสเซอร์เมื่ออุณหภูมิห้องสูงกว่าอุณหภูมิที่ตั้งไว้ที่เทอร์โมสตัดและจะตัดการทำงานของคอมเพรสเซอร์เมื่ออุณหภูมิห้องต่ำกว่าอุณหภูมิที่ตั้งไว้ที่เทอร์โมสตัด การควบคุมโดยใช้เทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์จะเป็นการปรับอัตราการไหลของสารทำความเย็นให้เหมาะสมกับการระบายความร้อนของห้องตลอดเวลา โดยการควบคุมความเร็วรอบของคอมเพรสเซอร์แทนการควบคุมแบบตัดต่อ ซึ่งวิธีการควบคุมความเร็วรอบของคอมเพรสเซอร์นี้จะสามารถปรับการใช้พลังงานไฟฟ้าลดลงเมื่อเทียบกับแบบเดิมที่ใช้การควบคุมแบบตัดต่อได้ถึง 30-40%
นอกจากนี้ระบบการควบคุมเครื่องปรับอากาศด้วยอินเวอร์เตอร์ยังสามารถควบคุมอุณหภูมิได้แม่นยำกว่าแบบใหม่นี้อยู่ในช่วงบวกลบ 0.2 องศา เมื่อเทียบกับระบบเดิมจะอยู่ในช่วงบวกลบ 2 องศา
3. การขอรับการสนับสนุนโครงการ
เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าในเครื่องปรับอากาศที่ติดตั้งแล้วอย่างเป็นธรรม ทางโครงการขอรับการสนับสนุนเป็นโครงการนำร่องในการปรับปรุงเครื่องปรับอากาศเก่าในอาคารของรัฐโดยจะขอติดตั้งกับอาคารของรัฐในส่วนราชการของศาลากลางจังหวัดทั้ง 4 ภาค จำนวน 7 จังหวัด และหน่วยงานกรมการพลังงานทหารกระทรวงกลาโหม เพื่อให้มีความหลากหลายกับสภาวะของอากาศในแต่ละภูมิภาคโดยแต่ละหน่วยงานมีเครื่องปรับอากาศ 200 เครื่อง อินเวอร์เตอร์ ราคาประมาณ 15,000 บาท/เครื่อง รวม 1,600 เครื่อง เป็นเงินทั้งสิ้น 24 ล้านบาท คาดว่าจะประหยัดพลังงานได้ 30% คิดเป็น 12,856,320 บาท/ปี
มติที่ประชุม
มอบหมายให้ พพ. ประสานงานกับบริษัทเพื่อทำการทดสอบเทคโนโลยีดังกล่าว และรายงานผลการประหยัดพลังงานให้กรรมการกองทุนฯ รับทราบ ต่อไป
อนุ กอ. ครั้งที่ 1 - วันอังคารที่ 27 กันยายน 2548
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 1)
วันอังคารที่ 27 กันยายน 2548 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 11 อาคาร 6 กระทรวงพลังงาน
1. คำสั่งแต่งตั้ง "คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน"
2. ขอความเห็นชอบในการจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ปีงบประมาณ 2549
3. ขอความเห็นชอบเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม 3 โครงการ
4. ขอความเห็นชอบการปรับแผนของโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานภายใต้ความรับผิดชอบของ สนพ.
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 คำสั่งแต่งตั้ง "คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน"
ที่ประชุมได้รับทราบเรื่องที่ฝ่ายเลขนุการฯ แจ้งให้ทราบว่า คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 40) เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2548 2548 ได้มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 1/2547 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ลงวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2547 และเห็นชอบให้แต่งตั้ง "คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ขึ้นแทน เพื่อทำหน้าที่ในการพิจารณาหรือปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ มอบหมาย โดยประธานคณะกรรมการกองทุนฯ (นายวิษณุ เครืองาม) ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกองทุนฯ เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2548 โดยองค์ประกอบ "คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" มีดังนี้
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานอนุกรรมการ
2. ปลัดกระทรวงพลังงาน อนุกรรมการ
3. อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน อนุกรรมการ
4. ผู้แทนกรมบัญชีกลาง อนุกรรมการ
5. ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย อนุกรรมการ
6. นายปิยะวัติ บุญ-หลง อนุกรรมการ
7. นายพรายพล คุ้มทรัพย์ อนุกรรมการ
8. ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน อนุกรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอที่ประชุมพิจารณางบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2549 ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามลำดับดังนี้
1. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ งบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2548 ให้ 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย สนพ. พพ. และกรมบัญชีกลาง ในวงเงินรวม 1,821.32 ล้านบาท
2. สถานภาพของกองทุนฯ ประมาณการ ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 สรุปได้ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
| ยอดเงินคงเหลือยกมา ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2547 | 9,856.20 |
| บวก ประมาณการรายรับ ถึงเดือน 30 กันยายน 2548 บวก ประมาณการรายรับ จากเงินทุนหมุนเวียน |
2,103.66 240.00 |
| รวมเป็นเงิน (ก่อนหักรายจ่าย) | 12,199.71 |
| หัก รายจ่าย ณ เดือน 30 กันยายน 2548 | 4,849.57 |
| - รายจ่าย ตามแผน 38-47 3,958.57 - รายจ่าย ตามแผน 48 891.00 |
|
| รวมเงินคงเหลือในบัญชี 30 กันยายน 2548 | 7,350.18 |
| บวก เงินสดในมือ (สนพ. 583 +พพ. 610) | 1,193.00 |
| รวมเงินคงเหลือทั้งสิ้น ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 | 8,543.18 |
| (ก่อน หัก รายจ่ายผูกพันตามแผนฯ ค้างจ่าย | (6,960.00) |
3. รายจ่ายผูกพันตามแผนฯ ค้างจ่าย 6,960 ล้านบาท จำแนกตามแผนงาน ได้ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
| ปีงบประมาณ | 2549 | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | รวม |
| แผนงานภาคบังคับ | 980 | 980 | 980 | - | - | - | 2,940 |
| แผนงานสนับสนุน | 272 | 137 | 137 | - | - | - | 546 |
| แผนงานภาคความร่วมมือ | 1,383 | 403 | 496 | 194 | 56 | 5 | 2,537 |
| รวมผูกพันจากปี 38-47 | 2,635 | 1,520 | 1,613 | 194 | 56 | 5 | 6,023 |
| แผนพลังงานทดแทน | 285 | - | - | - | - | - | 285 |
| แผนเพิ่มประสิทธิภาพ | 435 | - | - | - | - | - | 435 |
| แผนบริหารทางกลยุทธ์ | 217 | - | - | - | - | - | 217 |
| รวมผูกพันปี 48 | 937 | - | - | - | - | - | 937 |
| รวมผูกพันทั้งสิ้น | 3,572 | 1,520 | 1,613 | 194 | 56 | 5 | 6,960 |
4. ผลการดำเนินงานตามแผนฯ ปี 2548
(1) ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ
- ได้รับจัดสรรงบประมาณรวม 790.37 ล้านบาท ใช้และผูกพันรวม 699.52 ล้านบาท
- ใช้เงินกองทุนฯ สนับสนุนหน่วยงานต่างๆ รวม 24 หน่วยงาน เช่น สภาอุตสาหกรรม (กลุ่มยานยนต์) บริษัท ปตท. (มหาชน) จำกัด มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา สถาบันอาชีวศึกษา ฯลฯ
- ดำเนินงานด้านอนุรักษ์พลังงานรวม 37 โครงการ ตลอดจนสนับสนุนทุนการศึกษาข้าราชการในหน่วยงานต่างๆ 16 ทุน และทุนวิจัยระดับอุดมศึกษา 52 ทุน
- ก่อให้เกิดผลประหยัดพลังงาน 1,025 ktoe เมื่อได้ดำเนินโครงการเสร็จเรียบร้อยในปี 2549 โดยได้ผลมากกว่าที่เสนอกองทุนฯ ไว้
- สรุปผลการดำเนินงานในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ตามเอกสารที่แจกให้ที่ประชุมทราบ
(2) ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ
- ได้รับจัดสรรงบประมาณรวม 1,072.91 ล้านบาท ใช้และผูกพันรวม 878.81 ล้านบาท
- พพ. ได้รายงานผลการดำเนินงานในปี 2548 ให้ที่ประชุมทราบดังนี้
- งานด้านเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ในส่วนการศึกษาวิจัย พพ. ได้กำหนดมาตรฐานการจัดการพลังงานในโรงงานอุตสาหกรรม กำหนดเกณฑ์การใช้พลังงานในอาคาร และจัดทำ ร่างกฎกระทรวง Compressor ประสิทธิภาพสูง สำหรับการส่งเสริมและสาธิต พพ. ได้ดำเนินมาตรการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และมาตรการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมในโรงงานและอาคารทุกระดับ
- งานด้านพลังงานทดแทน พพ. ได้ดำเนินการศึกษาวิจัยและส่งเสริม/สาธิต หลายโครงการ เช่น วิจัยเซลล์แสงแดดไทยสู่ความเป็นเลิศ จัดตั้งศูนย์พัฒนามาตรฐานและทดสอบ Solar Cell วิจัยการใช้ไบโอดีเซลในเครื่อง Commonrail ปรับปรุงเครื่องคาบิวเรเตอร์เพื่อใช้แก๊สโซฮอล์ จัดระบบรวบรวม/ขนส่ง เอทานอล สาธิตการใช้ถังหมักก๊าซจากขยะ/มูลสัตว์ ขนาดเล็ก ศึกษาผลิตไบโอดีเซลจากสบู่ดำ และศึกษามาตรการ CDM ด้านพลังงาน เป็นต้น
- งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ พพ. ได้ดำเนินการอบรมให้ความรู้ในการอนุรักษ์พลังงานแก่บุคลกรของอุตสาหกรรม พัฒนาหลักสูตร Energy Audit จัดเสวนา ESCO และประกวดโรงงาน/อาคาร อนุรักษ์พลังงาน ฯลฯ
(3) ในส่วนที่ บก. รับผิดชอบ
- ได้รับจัดสรรงบประมาณรวม 3.19 ล้านบาท ใช้และผูกพันรวม 0.6 ล้านบาท
5. แผนอนุรักษ์พลังงานปี 2549
5.1 เพิ่มประสิทธิภาพ ภาคขนส่ง (สนพ.) 40 ล้านบาท
- ลดปัญหาจราจร และ Taxi วิ่งเที่ยวเปล่า (10 ล้านบาท)
- ร่วมมือกับ กทม. จัดจุดจอด Taxi และระบบรับส่ง ผู้โดยสารในศูนย์การค้า โรงพยาบาล หน่วยราชการ
- Park & ride (30 ล้านบาท)
- ลดปริมาณรถเข้าเมือง โดยสร้าง Park & ride ชานเมือง (รถบุคคล / car pool รถโรงเรียน/รถหมู่บ้าน) นำร่อง 1 แห่ง พร้อมจัดระบบ Feeder
- ปรับปรุง Park & ride ที่บางซื่อ เพื่อเป็นจุดเชื่อมต่อ รถขนส่งสาธารณะต่างจังหวัด และรถขนส่งพนักงานองค์กรขนาดใหญ่ กับระบบขนส่งสายหลัก
5.2 เพิ่มประสิทธิภาพ อุตสาหกรรม/อาคาร/บ้านอยู่อาศัย (พพ.) 653 ล้านบาท
- การอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม (313 ล้านบาท)
- สิทธิประโยชน์ทางภาษี
- Tax Incentive (100 ล้านบาท)
- สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้จากกรมสรรพากร (100 ล้านบาท)
- สนับสนุนการดำเนินงานตาม พรบ. (50 ล้านบาท)
- การบริหารงานโครงการเงินทุนหมุนเวียน (10 ล้านบาท)
- ศึกษาเกณฑ์การใช้พลังงานในอุตสาหกรรมและอาคารต่างๆ (SEC) (40 ล้านบาท)
- การศึกษาจัดทำแผนการส่งเสริมเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (3.5 ล้านบาท)
- การจัดตั้งเครือข่ายศูนย์ทดสอบวัสดุอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (6.5 ล้านบาท)
- ศึกษาจัดทำเกณฑ์การสนับสนุนและดำเนินการส่งเสริมการจำหน่ายเครื่องปรับอากาศและตู้เย็น Premium เบอร์ 5 (10 ล้านบาท)
- นำร่องปรับปรุงบ้านพักอาศัยเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (20 ล้านบาท)
5.3 ใช้พลังงานทดแทน (พพ.) 497.14 ล้านบาท
- ส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวมวล/ชีวภาพ 60.5 ล้านบาท
- ส่งเสริมก๊าซชีวภาพในโรงงานอุตสาหกรรม(15 ล้านบาท)
- ส่งเสริมก๊าซชีวภาพจากขยะระดับชุมชน (30 ล้านบาท)
- พัฒนา/สาธิตระบบผลิตพลังงานจากชีวมวลชุมชน (7 ล้านบาท)
- พัฒนาเตาเผาก๊าซชีวมวลในอุตสาหกรรมเซรามิค (1.5 ล้านบาท)
- ศึกษาเทคโนโลยีการผลิตก๊าซเชื้อเพลิงถ่านหิน (7 ล้านบาท)
- ส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ / ลม 60 ล้านบาท
- พัฒนาเซลแสงแดดสู่ความเป็นเลิศ (30 ล้านบาท)
- พัฒนามาตรฐานและทดสอบระบบเซลแสงอาทิตย์ (30 ล้านบาท)
- ส่งเสริมเชื้อเพลิง ไบโอดีเซล/เอทานอล 95.64 ล้านบาท
- ส่งเสริมไบโอดีเซลชุมชน (51 ล้านบาท)
- ส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลใน กทม. และ เชียงใหม่ (30 ล้านบาท)
- กำหนดคุณสมบัติแก๊สโซฮอล์ที่เหมาะสมหลังปี 2550 (6.4 ล้านบาท)
- วงจรชีวิตการผลิตและใช้เอทานอลจากมันสำปะหลังและอ้อย (8.24 ล้านบาท)
- ส่งเสริมพลังงานทดแทนอื่นๆ 281 ล้านบาท
- ฐานข้อมูลการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนใน SME (5 ล้านบาท)
- สาธิตเซลเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า SOFC (25 ล้านบาท)
- สาธิตผลิตไฮโดรเจนจากขบวนการความร้อนทางเคมี (6 ล้านบาท)
- พัฒนาระบบติดตาม / สำรวจการใช้พลังงานทดแทน (15 ล้านบาท)
- พัฒนาศูนย์รวมองค์ความรู้พลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (19 ล้านบาท)
- ปรับปรุงระเบียบเพื่อการพัฒนาการผลิตการใช้พลังงาน (2 ล้านบาท)
- ประเมินศักยภาพแหล่งน้ำพุร้อนในประเทศไทย (4 ล้านบาท)
- วิจัยพัฒนาการใช้ Vanadium แบตเตอรี่ -พพ. (200 ล้านบาท)
- ติดตามประเมินผล วิจัยพัฒนาการใช้ Vanadium -สนพ. (5 ล้านบาท)
5.4 ใช้เชื้อเพลิงทางเลือก (สนพ.) 40.5 ล้านบาท
- ส่งเสริมการใช้ NGV ด้วยระบบสินเชื่อ (22 ล้านบาท)
- เรือประมงเล็ก 100 ลำ และรถส่วนบุคคล 10,000 คัน
- สร้างความเชื่อมั่น NGV กับเครื่องยนต์ดีเซลโดยทดสอบชุด Kit แต่ละเทคโนโลยีกับเครื่องยนต์แต่ละประเภทของรถ ปิคอัพและรถตู้ (10 ล้านบาท)
- เพิ่มพื้นที่ปลูกพืชน้ำมันในภาคเหนือ (โครงการต่อเนื่องปี2) (8.5 ล้านบาท)
5.5 การดำเนินการเชิงนโยบาย (สนพ.) 34 ล้านบาท
- ศึกษา/จัดทำ/ปรับปรุงนโยบายให้สอดคล้องสถานการณ์พลังงานโลก (20 ล้านบาท)
- บูรณาการแผนพลังงานกับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด (24 ล้านบาท)
5.6 รณรงค์การเปลี่ยนพฤติกรรมให้ประหยัดพลังงาน (สนพ.) 127 ล้านบาท
- กระทรวงพลังงานจับมือพันธมิตร (50 ล้านบาท)
- อสมท. กระทรวงวัฒนธรรม อาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงคมนาคม บริษัทไปรษณีย์ไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
- Energy Fantasia ระยะที่ 2 (30 ล้านบาท)
- บ้านประหยัดพลังงานร่วมกับธุรกิจบ้านจัดสรร (25 ล้านบาท)
- PR ตามสถานการณ์ + ผลิตสื่อสนับสนุนอื่นๆ + ประเมินผล (22 ล้านบาท)
5.7 รณรงค์การใช้พลังงานทดแทนน้ำมัน (สนพ.) 45 ล้านบาท
- สร้างความรู้ความเข้าใจการใช้NGV (15 ล้านบาท)
- เผยแพร่ความสำเร็จของการใช้พลังงานทดแทน (30 ล้านบาท)
5.8 การสร้างทรัพยากรบุคลากรด้านพลังงาน (สนพ.) 104 ล้านบาท
- ให้ทุนการศึกษาใน+ต่างประเทศ (ข้าราชการ) ระดับ ตรี-โท-เอก
- ให้ทุนวิจัย ทุนดูงาน/ฝึกอบรม (หน่วยงานต่างๆ)
- อบรมข้าราชการไทย ลดใช้พลังงาน
- อบรมอาชีวศึกษา Fix it center
- อบรมบุคลากรเรื่องบูรณาการการเรียนการสอนด้านพลังงานระดับประถมและมัธยมศึกษา
5.9 พัฒนาบุคลากรด้านพลังงานและประชาสัมพันธ์ (พพ.) 158 ล้านบาท
- Feedback Report สำหรับโรงงาน/อาคารควบคุม (5 ล้านบาท)
- รายงานสถานภาพการใช้พลังงานและผลการดำเนินงาน ของ พพ. (3.5 ล้านบาท)
- ประกวดโรงงาน/อาคาร/บุคลากรด้านพลังงาน (9 ล้านบาท)
- จัดกิจกรรมอนุรักษ์พลังงาน (9.5 ล้านบาท)
- พัฒนาหลักสูตรอนุรักษ์พลังงาน/พลังงานทดแทน (10 ล้านบาท)
- อบรมและพัฒนาคุณภาพผู้รับผิดชอบด้านพลังงาน (23.25 ล้านบาท)
- อบรมเทคนิคพลังงานสำหรับราชการ (3 ล้านบาท)
- อบรมสร้างจิตสำนึก (4 ล้านบาท)
- จัดทำโปรแกรมจำลอง Mini Plant (3.5 ล้านบาท)
- ศูนย์ปรึกษาการประหยัดพลังงาน (8 ล้านบาท)
- ลูกค้าสัมพันธ์ (15 ล้านบาท)
- ประชาสัมพันธ์อนุรักษ์พลังงาน (10 ล้านบาท)
- ประชาสัมพันธ์พลังงานทดแทน (25 ล้านบาท)
- เผยแพร่เทคโนโลยีของอาคารอนุรักษ์พลังงานเฉลิมพระเกียรติ (3 ล้านบาท)
- เผยแพร่การอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน (10 ล้านบาท)
- อบรม/ดูงาน/ประชาสัมพันธ์ความรู้ด้านเชื้อเพลิงชีวภาพ (7 ล้านบาท)
- จัดทำแผนและบริหารงานวิชาการ (8.5 ล้านบาท)
- จัดทำเอกสารเผยแพร่การอนุรักษ์พลังงานและค่าสมาชิกเว็บไซต์ (1.1 ล้านบาท)
5.10 งานบริหารจัดการ 126.63 ล้านบาท
- พพ. (55 ล้านบาท)
- สนพ. (68.5 ล้านบาท)
- บก. (3.13 ล้านบาท)
6. ผลประโยชน์ที่จะได้รับถึงปี 2549
- เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน(ขนส่ง อุตสาหกรรม บ้าน) 2,975 ktoe คิดเป็นมูลค่าประมาณ 47,600 ล้านบาท
- ใช้พลังงานหมุนเวียน (เอทานอล ชีวมวล ฯลฯ) 1,402 ktoe ใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 2,258 ktoe ทดแทนการนำเข้าพลังงาน 58,560 ล้านบาท
7. สรุปงบประมาณการรายจ่ายแผนอนุรักษ์พลังงาน ประจำปี 2549
หน่วย: ล้านบาท
| แผนงาน | สนพ. | พพ. | บก. | รวม | ร้อยละ |
| 1. แผนพลังงานทดแทน | 100.00 | 579.44 | 0.00 | 679.44 | 36.80 |
| 1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 5.00 | 260.00 | 0.00 | 265.00 | 39.00 |
| 1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 0.00 | 232.14 | 0.00 | 232.14 | 34.17 |
| 1.3 งานพัฒนาบุคลากร | 50.00 | 54.80 | 0.00 | 104.80 | 15.42 |
| และประชาสัมพันธ์ | 45.00 | 0.00 | 45.00 | 6.62 | |
| 1.4 งานบริหารจัดการ (พพ.) | 0.00 | 32.50 | 0.00 | 32.50 | 4.78 |
| 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน | 191.00 | 779.05 | 0.00 | 970.05 | 52.55 |
| 2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 0.00 | 60.00 | 0.00 | 60.00 | 6.19 |
| 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 0.00 | 593.00 | 0.00 | 593.00 | 61.13 |
| 2.3 งานพัฒนาบุคลากร | 54.00 | 103.55 | 0.00 | 157.55 | 16.24 |
| และประชาสัมพันธ์ | 137.00 | 0.00 | 137.00 | 14.12 | |
| 2.4 งานบริหารจัดการ (พพ.) | 0.00 | 22.50 | 0.00 | 22.50 | 2.32 |
| 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | 193.50 | 0.00 | 3.13 | 196.63 | 10.65 |
| 3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 125.00 | 0.00 | 0.00 | 125.00 | 63.57 |
| 3.2 งานบริหารจัดการ (สนพ.+บก.) | 68.50 | 0.00 | 3.13 | 71.63 | 36.43 |
| 3.3 งานอื่นๆ | 0.00 | 0.00 | 0.00 | 0.00 | 0.00 |
| รวมงบประมาณปี 2549 | 484.50 | 1,358.49 | 3.13 | 1,846.12 | 100.00 |
หมายเหตุ: โดยให้สามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในแผนงานเดียวกันได้
มติที่ประชุม
1. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ปรับรายละเอียดแผนงานอนุรักษ์พลังงานปีงบประมาณ 2549 ตามที่คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้ความเห็นไว้ และเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ แสดงเหตุผลให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาเรื่องการจัดสรรเงินรวมสูงกว่า 1,300 ล้านบาท และสัดส่วนการใช้เงินของแผนด้านพลังงานทดแทน และแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานต่างไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดกรอบไว้ด้วย
2. เห็นชอบการจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงินรวม 1,846.12 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในปีงบประมาณ 2549 ดังนี้
(1) ให้ พพ. ในวงเงิน 1,358.49 ล้านบาท ตามเอกสารประกอบวาระ 3.1.1-3.1.2 และ 3.1.4
(2) ให้ สนพ. ในวงเงิน 484.50 ล้านบาท ตามเอกสรประกอบวาระ 3.1.3
(3) ให้ บก. ในวงเงิน 3.13 ล้านบาท ตามเอกสารประกอบวาระ 3.1.3
ทั้งนี้ ให้สามารถถัวจ่ายภายในแผนงานเดียวกันได้
โดยให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาหลังจากคณะกรรมการเห็นชอบการปรับกรอบสัดส่วนการใช้เงินตามข้อ 1 แล้ว และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548 โดยให้แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายรายการต่างๆ ได้
3. หากคณะกรรมการกองทุนฯ ไม่เห็นชอบตามข้อ 1 เห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติแผนงานบริหารทางกลยุทธ์งานบริหารจัดการ ซึ่งเป็นงบประมาณเกี่ยวกับค่าจ้างบุคลากรและค่าใช้จ่ายสำนักงานได้เท่าที่จ่ายจริงไปก่อนมีการปรับประมาณการ
4. เห็นควรให้ปรับหัวข้อการวิจัยในแผนอนุรักษ์พลังงาน ปี 2549 ให้สอดคล้องกับผลการศึกษาของ สกว. เรื่องมาตรการเชิงนโยบายที่สำคัญและกรอบการวิจัยด้านพลังงานหมุนเวียนและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเบื้องต้น สำหรับปี 2549
เรื่องที่ 3 ขอความเห็นชอบเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม 3 โครงการ
1. คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 8/2547 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2547 ได้อนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้ 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสาธิตการใช้พลังงานลมเพื่อผลิตไฟฟ้าจ่ายขนานเข้าระบบจำหน่าย รวม 3 โครงการ โดย พพ. กฟผ. และ กฟภ. จะติดตั้งกังหันลมหน่วยงานละ 1 ชุด เพื่อเก็บสถิติข้อมูลจากการใช้งานจริง โดยแต่ละระบบ มีความแตกต่างกันในด้านขนาดกำลังการผลิต เทคโนโลยี สถานที่ติดตั้ง ดังนี้
| หน่วยงาน | สถานที่ติดตั้ง | กำลังการผลิต | ขอทุน (บาท) |
| (1) พพ. | ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช | 900 kW | 50,000,000 |
| (2) กฟภ. | ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ที่ อ.สทิงพระ จ.สงขลา | 600 kW | 31,037,194 |
| (3) กฟผ. | ชายฝั่งทะเลอันดามัน ที่ แหลมพรหมเทพ จ.ภูเก็ต | 600 kW | 41,108,000 |
| รวมทั้งสิ้น | 2,100 kW | 122,145,194 | |
2. พพ. ได้มีหนังสือที่ พน.0506/31097 ลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2548 ขอเปลี่ยนแปลงวิธีดำเนินการของทั้ง 3 โครงการ จากการสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้กับแต่ละหน่วยงาน เป็นให้ พพ. กฟภ. และ กฟผ. ร่วมกันดำเนินการ โดยนำเงินกองทุนฯ ที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว 122,145,194 บาท ทำเป็นเงินสนับสนุนค่ารับซื้อพลังงานไฟฟ้าส่วนเพิ่มให้กับเอกชนที่จะเข้ามาลงทุนติดตั้งกังหันลมเพื่อผลิตไฟฟ้าและขายให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ตามจำนวนหน่วยที่ผลิตและขายจริง เป็นระยะเวลา 5 ปี ไม่เกินหน่วยละ 8 บาท โดยมอบหมายให้ กฟภ. เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานและเริ่มโครงการในเดือนกันยายน 2548
3. ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรสนับสนุนการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินโครงการฯ ตามที่ พพ. เสนอมา ซึ่งนอกจากกองทุนฯ ไม่ต้องจ่ายสนับสนุนทั้งหมดทันทีเพื่อลงทุนในการจัดซื้อกังหันลมผลิตไฟฟ้า แต่เพียงทยอยจ่ายเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าส่วนเพิ่มในระยะเวลา 5 ปี เท่านั้นแล้ว ยังไม่มีภาระผูกพันใน การบำรุงรักษา อุปกรณ์ รวมถึงรับความเสี่ยงการลงทุนในกรณีที่ผลิตพลังงานไฟฟ้าไม่ได้ตามที่กำหนดไว้ด้วย
4. สนพ. ได้เบิกจ่ายเงินงวดแรก ให้ กฟผ. กฟภ. และ พพ. ไปแล้วรวม 19,662,439 บาท ซึ่ง กฟผ. ได้ดำเนินโครงการฯ ตามแผนเดิมถึงขึ้นตอนการเปิดประกาศประกวดราคานานาชาติไปแล้ว แต่ได้ประกาศยกเลิกประกวดราคาดังกล่าว ภายหลังจากทราบนโยบายของกระทรวงพลังงานตามที่ พพ. แจ้ง ซึ่ง กฟผ. ได้จ่ายเงินที่ได้รับจากกองทุนฯ ไปแล้ว 420,000 บาท ในการนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอต่อที่ประชุม หากเห็นควรปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินโครงการฯ ใคร่ขอให้ถือว่ารายจ่ายที่ กฟผ. ได้จ่ายไปแล้ว 420,000 บาท ดังกล่าว เป็นรายจ่ายตามแผนงานฯ ด้วย
5. ให้ กฟผ. กฟภ. และ พพ. ปิดบัญชีโครงการเดิม และส่งเงินที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยคืน สนพ. เพื่อส่งคืนกองทุนฯ ต่อไป
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ พพ. และ กฟภ. ดำเนินโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม หน่วยงานละ 1 โครงการ โดยแต่ละโครงการมีขนาดติดตั้ง 1.5 MW ขึ้นไป
2. เห็นชอบให้ กฟผ. กฟภ. และ พพ. ปิดบัญชีโครงการเดิม และส่งเงินที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยคืนกองทุนฯ โดยให้หักรายจ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานของ กฟผ. ไปแล้ว จำนวน 420,000 บาท ได้
ผ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. การพิจารณาอนุมัติในการเปลี่ยนแปลง กิจกรรมหรือแผนงานโครงการใดๆ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ แผนงานสนับสนุน และ/หรือแผนงานภาคบังคับ ในช่วงที่ผ่านมานั้น คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการฯ และ/หรือผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (ผอ.สนพ.) และ/หรืออธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (อพพ.) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน
2. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้แจ้งให้ สนพ. ทราบว่าในประเด็นของการขออนุมัติเปลี่ยนแปลงกิจกรรมและแผนงานโครงการที่ได้อนุมัติไว้แล้ว เป็นอำนาจของคณะกรรมการกองทุนฯ โดยเฉพาะ คณะกรรมการกองทุนฯ ไม่สามารถมอบหมายให้อนุกรรมการฯ และ/หรือบุคคลใดทำการแทนได้ ดังนั้นในการที่หน่วยงานต่างๆ ที่ได้รับทุนจากกองทุนฯ หากขอเปลี่ยนแปลงกิจกรรมและแผนงานโครงการที่ได้อนุมัติไว้แล้ว จะต้องนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
3. มีหน่วยงานที่ได้รับทุนจากกองทุนฯ ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ได้ขอปรับแผนงาน รวม 10 โครงการ ดังนี้
(1) โครงการสวนพลังงานแสงอาทิตย์ ระยะที่ 2 ของมหาวิทยาลัยนเรศวร
(2) โครงการใช้แสงธรรมชาติผ่านแผงควบคุมช่องเปิดด้านบน ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น
(3) โครงการศึกษาการจัดทำกรอบแผนยุทธศาสตร์พลังงานระดับจังหวัดแบบบูรณาการ สำนักงานพลังงานภูมิภาคที่ 10-ปี 2548 ของสำนักงานพลังงานภูมิภาคที่ 10
(4) โครงการวิจัยและสาธิตการผลิตและการใช้ไบโอดีเซลเป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์รับจ้างสองแถวในจังหวัดเชียงใหม่ ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
(5) โครงการห้องปฏิบัติการทดสอบบัลลาสต์ ของการไฟฟ้านครหลวง
(6) โครงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการผลิตมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
(7) โครงการประหยัดพลังงานด้วยการควบคุมการระบายอากาศภายในอาคารที่เหมาะสม ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
(8) โครงการศึกษาการจัดทำกรอบแผนยุทธศาสตร์พลังงานระดับจังหวัดแบบบูรณาการ สำนักงานพลังงานภูมิภาคที่ 4-ปี 2548 ของสำนักงานพลังงานภูมิภาคที่ 4
(9) โครงการประหยัดพลังงานในการบ่มใบยาสูบ ระยะที่ 3 ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(10) โครงการแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซ NGV จำนวน 7,000 คัน ของบริษัท ปตท. จำกัด
การขอปรับแผนงานฯ ของ 10 โครงการ แบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้
(1) ขอปรับเปลี่ยนรายละเอียดงบประมาณ 4 โครงการ (ลำดับที่ 1-4)
(2) ขอขยายระยะเวลาการดำเนินงาน 2 โครงการ (ลำดับที่ 5-6)
(3) ขอเปลี่ยนแปลงบุคลากรของโครงการ 1 โครงการ (ลำดับที่ 7)
(4) ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในการดำเนินงาน 3 โครงการ (ลำดับที่ 8-10)
มติที่ประชุม
ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เพิ่มเติมเหตุผลที่แต่ละโครงการจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้ ให้ชัดเจน แล้วให้เวียนขอความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ ก่อนเวียนขอความเห็นชอบคณะกรรมการกองทุนฯ
กอ. ครั้งที่ 40 - วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม 2548

มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 40)
วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม 2548 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
2. โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 3
3. โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ
4. การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดคุณลักษณะภายนอกของโคมไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงตามแผนอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุม
รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ผู้เข้าร่วมประชุม
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า การบริหารงานของแผนอนุรักษ์พลังงาน ในระยะที่ 3 (ช่วงปี 2548-2554) ได้ดำเนินการโดยคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (กบอ.) ในการทำหน้าที่พิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ และบริหารจัดการแผนอนุรักษ์พลังงานให้เป็นไปตามกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบไว้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา กบอ. มีการประชุมไปแล้ว จำนวน 3 ครั้ง โดยได้พิจารณาอนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้แก่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานใน ปีงบประมาณ 2548 เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1,458.92 ล้านบาท โดยสรุปได้ ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
| แผนงาน | กรอบเงิน | กบอ. อนุมัติจัดสรรแล้ว | ||
| พพ. | สนพ. | รวมทั้งสิ้น | ||
| 1. แผนพลังงานทดแทน | 650.00 | 192.00 | 49.00 | 241.00 |
| 1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 422.00 | 30.00 | - | 30.00 |
| 1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 130.00 | 129.00 | - | 129.00 |
| 1.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 65.00 | 33.00 | 49.00 | 82.00 |
| 1.4 งานบริหารจัดการ (พพ.) | 33.00 | - | - | - |
| 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 455.00 | 645.92 | 201.50 | 847.42 |
| 2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 137.00 | 28.00 | - | 28.00 |
| 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 205.00 | 547.20 | - | 547.20 |
| 2.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 91.00 | 70.72 | 201.50 | 272.22 |
| 2.4 งานบริหารจัดการ (พพ.) | 22.00 | - | - | - |
| 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | 195.00 | - | 370.50 | 370.50 |
| 3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 65.00 | - | 250.50 | 250.50 |
| 3.2 งานบริหารจัดการ (สนพ. +บก.) | 65.00 | - | - | - |
| 3.3 งานอื่นๆ | 65.00 | - | 120.00 | 120.00 |
| รวมงบประมาณปี 2548 | 1,300.00 | 837.92 | 621.00 | 1,458.92 |
หมายเหตุ : ทั้งนี้ให้สามารถถัวจ่ายรายการต่างๆ ในแผนงานเดียวกันได้
2. ในการประชุม กบอ. เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2548 ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ได้ให้ข้อสังเกตว่าการแต่งตั้ง กบอ. ให้ทำหน้าที่แทนคณะกรรมการกองทุนฯ ในหลักการไม่น่าจะกระทำได้ เนื่องจากพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 34 กำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการมอบหมายเท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้ทุกมติของ กบอ. และ การเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เป็นไปด้วยความถูกต้อง ที่ประชุมจึงให้ฝ่ายเลขานุการฯ หารือเรื่องดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามข้อสังเกตของกรมบัญชีกลาง
3. สนพ. มีหนังสือถึงเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อหารือเรื่องการแต่งตั้ง กบอ. ตามข้อสังเกตของกรมบัญชีกลางแล้ว และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้แจ้งผลการหารือ สรุปได้ดังนี้
3.1 ในประเด็นชื่อ กบอ. คณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเห็นว่าคณะกรรมการกองทุนฯ สามารถแต่งตั้ง กบอ. แทนชื่อคณะอนุกรรมการได้ เพื่อทำหน้าที่สนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการกองทุนฯ ในด้านต่างๆ เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน และถือได้ว่าเป็นคณะอนุกรรมการของคณะกรรมการกองทุนฯ แม้จะใช้ชื่อว่าเป็นคณะกรรมการ
3.2 ในประเด็นของมติ กบอ. ทุกมติที่แจ้งไปแล้ว จะมีผลประการใด คณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเห็นว่า มติของ กบอ. ในส่วนที่เป็นการทำหน้าที่แทนคณะกรรมการกองทุนฯ ได้แก่ 1) การพิจารณาจัดสรรและการพิจารณาอนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ และ 2) การพิจารณาอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงกิจกรรมและแผนงานโครงการที่ได้อนุมัติไว้แล้ว ซึ่งเป็นอำนาจของคณะกรรมการกองทุนฯ โดยเฉพาะนั้น คณะกรรมการกองทุนฯ ไม่สามารถมอบหมายให้ กบอ. มีอำนาจกระทำการแทนได้ ดังนั้น มติของ กบอ. เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับจนกว่าคณะกรรมการกองทุนฯ จะพิจารณาและมีมติยืนยันในเรื่องดังกล่าว
4. เพื่อดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ฝ่ายเลขานุการฯ ใคร่ขอเสนอระบบการบริหารงานกองทุนฯ เพื่อพิจารณาตามแนวทาง ดังต่อไปนี้
4.1 นำงบประมาณที่ กบอ. อนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้แก่ สนพ. และ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานในปีงบประมาณ 2548 มาขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ อีกครั้งหนึ่ง
4.2 นำโครงการภายใต้แผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือและแผนงานสนับสนุน ที่อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (อพพ.) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผน (ผอ.สนพ.) ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับการขอเปลี่ยนแปลงกิจกรรมและแผนงานโครงการไปแล้ว ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มอบอำนาจให้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว เสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ เป็นผู้อนุมัติงบประมาณ และการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมและแผนงานโครงการที่อนุมัติไว้แล้ว ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา
4.3 เพื่อให้การบริหารงานของคณะกรรมการกองทุนฯ เกิดความคล่องตัว และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ให้สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขานุการฯ จึงขอเสนอภารกิจของคณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการกองทุนฯ ให้มีความชัดเจน ทั้งนี้ เพื่อให้การปฏิบัติงานมีการประสานสอดคล้องกัน ในภารกิจ ดังนี้
(1) ภารกิจที่จะต้องดำเนินการโดยประจำของคณะกรรมการกองทุนฯ
(2) ภารกิจที่ดำเนินการโดยการประชุมอนุกรรมการกองทุนฯ และเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
(3) ภารกิจที่ดำเนินการโดยการประชุมคณะอนุกรรมการกองทุนฯ และเสนอเวียนให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
(4) ภารกิจที่ดำเนินการโดยการประชุมคณะอนุกรรมการกองทุนฯ
นอกจากนี้ เพื่อให้การปฏิบัติงานของคณะกรรมการกองทุนฯ และอนุกรรมการกองทุนฯ เป็นไปตามระบบการบริหารงานกองทุนฯ ตามภารกิจดังกล่าว และสอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 1/2547 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ลงวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2547 และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานมาทำหน้าที่แทน
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามที่คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (กบอ.) ได้มีมติอนุมัติไปแล้ว ของแผนและงานต่างๆ ยกเว้นงานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ในส่วนของงานประชาสัมพันธ์ อนุมัติเฉพาะรายการที่มีการก่อหนี้ผูกพันไปแล้วก่อนวันที่ 25 สิงหาคม 2548 โดยมีวงเงินที่อนุมัติรวมทั้งสิ้น 1,431,368,113 บาท (หนึ่งพันสี่ร้อยสามสิบเอ็ดล้านสามแสน หกหมื่นแปดพันหนึ่งร้อยสิบสามบาทถ้วน) แยกเป็นให้ พพ. จำนวน 814,911,021 บาท (แปดร้อยสิบสี่ล้านเก้าแสนหนึ่งหมื่นหนึ่งพันยี่สิบเอ็ดบาทถ้วน) และ สนพ. จำนวน 616,457,092 บาท (หกร้อยสิบหกล้านสี่แสนห้าหมื่นเจ็ดพันเก้าสิบสองบาทถ้วน) ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ กบอ. ได้มีมติอนุมัติงบประมาณดังกล่าว โดยให้ พพ. และ สนพ. สามารถถัวจ่ายรายการต่างๆ ในแผนงานเดียวกันได้ โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
1.1 วงเงินงบประมาณของ สนพ. ที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติตามที่ กบอ. อนุมัติจัดสรรไว้ ดังนี้
หน่วย : บาท
| แผนงาน | กบอ. อนุมัติจัดสรรให้ | คณะกรรมการกองทุนฯอนุมัติ |
| 1. แผนพลังงานทดแทน | ||
| 1.1 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | ||
| (1) งานพัฒนาบุคลากร | 49,000,000 | 49,000,000 |
| 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | ||
| 2.1 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | ||
| (1) งานพัฒนาบุคลากร | 42,500,000 | 42,500,000 |
| (2) งานประชาสัมพันธ์ | 159,000,000 | 154,457,092 |
| 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | ||
| 3.1 งานบริหารเชิงนโยบายและวิชาการ | 250,500,000 | 250,500,000 |
| 3.2 งานอื่นๆ | 120,000,000 | 120,000,000 |
| รวมเป็นเงิน | 621,000,000 | 616,457,092 |
1.2 วงเงินงบประมาณของ พพ. ที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติตามที่ กบอ. อนุมัติจัดสรรไว้ ดังนี้
หน่วย : บาท
| แผนงาน | กบอ. อนุมัติจัดสรรให้ | คณะกรรมการกองทุนฯอนุมัติ |
| 1. แผนพลังงานทดแทน | ||
| 1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 30,000,000 | 30,000,000 |
| 1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 129,000,000 | 129,000,000 |
| 1.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | ||
| (1) งานพัฒนาบุคลากร | 3,000,000 | 3,000,000 |
| (1) งานประชาสัมพันธ์ | 30,000,000 | 11,184,500 |
| 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | ||
| 2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 28,000,000 | 28,000,000 |
| 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 547,200,000 | 547,200,000 |
| 2.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | ||
| (1) งานพัฒนาบุคลากร | 25,020,000 | 25,020,000 |
| (2) งานประชาสัมพันธ์ | 45,700,000 | 41,506,521 |
| รวมเป็นเงิน | 837,920,000 | 814,911,021 |
2. สำหรับงานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ในส่วนของงานประชาสัมพันธ์ที่ได้รับอนุมัติจัดสรรจาก กบอ. ไว้แล้ว แต่ยังมิได้มีการก่อหนี้ผูกพันไว้ก่อนวันที่ 25 สิงหาคม 2548 หากมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ
3. เห็นชอบการปรับแผนของโครงการภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือและแผนงานสนับสนุน ตามที่ ผอ.สนพ. ได้มีมติเห็นชอบไว้แล้ว ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ผอ.สนพ. ได้มีมติอนุมัติให้ปรับแผนของโครงการดังกล่าว ดังรายละเอียดตามเอกสารประกอบวาระ 4.1.3
4. เห็นชอบระบบการบริหารงานกองทุนฯ ให้สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ดังรายละเอียดตามเอกสารแนบ 4.1.5
5. เห็นชอบยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 1/2547 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ลงวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2547 และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานคณะหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่แทน ดังรายละเอียดตามเอกสารแนบ 4.1.6
เนื่องจากประธานฯ จะต้องไปปฏิบัติภารกิจเร่งด่วน จึงมอบหมายให้ปลัดกระทรวงพลังงาน ทำหน้าที่เป็นประธานฯ ในที่ประชุมต่อไป
เรื่องที่ 2 โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 3
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติให้มีการดำเนินโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ไปแล้ว 2 ระยะ ซึ่ง สนพ. การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นผู้ดำเนินโครงการ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและติดเป็นนิสัย ด้วยการให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าแก่ทุกครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยครัวเรือนที่สามารถประหยัดหน่วยไฟฟ้าลงได้ตั้งแต่ 10% ขึ้นไป จะได้รับรางวัลเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าอีก 20% ของหน่วยไฟฟ้าที่ประหยัดได้ในเดือนนั้น โดยกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สนับสนุน "ส่วนลด ค่าไฟฟ้า" ซึ่งผลการดำเนินงานของโครงการฯ สรุป ได้ดังนี้
(1) ระยะที่ 1 ดำเนินการระหว่างเดือนกันยายน 2544 ถึง สิงหาคม 2545 มีจำนวนครัวเรือนที่ได้รับส่วนลด 5 ล้านครัวเรือน ประหยัดไฟฟ้าได้ 3,067 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 9,089 ล้านบาท โดยกองทุนฯ จ่าย "ส่วนลดค่าไฟฟ้า" รวมทั้งสิ้น 1,679 ล้านบาท ( ผ่าน กฟน. 556 ล้านบาทและ กฟภ. 1,123 ล้านบาท)
(2) ระยะที่ 2 ดำเนินการระหว่างเดือนมิถุนายน 2547 ถึง พฤษภาคม 2548 มีจำนวนครัวเรือนที่ได้รับส่วนลด 4 ล้านครัวเรือน ประหยัดไฟฟ้าได้ 3,456 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 10,748 ล้านบาท โดยกองทุนฯ จ่าย "ส่วนลดค่าไฟฟ้า" รวมทั้งสิ้น 1,499 ล้านบาท (ผ่าน กฟน. 501 ล้านบาท และ กฟภ. 998 ล้านบาท)
2. ผลประเมินโครงการฯ ระยะที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้สำรวจความเห็นจาก 3,000 ตัวอย่าง ทั่วประเทศ มีผลดังนี้
(1) การรับรู้ : 92% ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารโครงการฯ และ 76% ที่ได้รับข้อมูลข่าวสารจากโครงการฯ เห็นว่ามีผลต่อการกระตุ้นให้ได้รับส่วนลดมาก
(2) ความเข้าใจ : พบว่า ผู้ที่มีความเข้าใจในรายละเอียดขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการฯ จะประสบความสำเร็จในการได้รับส่วนลดมาก
3. เพื่อให้การลดใช้พลังงานในส่วนของภาคประชาชน เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ (ร้อยละ 10 ของปริมาณการใช้ในปีที่ผ่านมา) และเพื่อจูงใจให้ประชาชนไม่ลืมพฤติกรรมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นจุดเปลี่ยนให้เป็นพฤติกรรมถาวร สนพ. จึงเห็นควรดำเนินงาน "โครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ระยะที่ 3" ให้มีความต่อเนื่อง โดยมีรูปแบบแนวทางดำเนินงาน ดังนี้
(1) คงลักษณะกิจกรรมไว้เช่นเดียวกับโครงการฯ ระยะที่ 2 ระยะเวลาดำเนินการรวม 12 เดือน เริ่มตั้งแต่ เดือนกันยายน 2548 ถึงเดือนสิงหาคม 2549
(2) การให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าคงเป็นไปตามโครงการฯ ระยะที่ 2 "ประหยัดได้อย่างน้อยร้อยละ 10 ของปริมาณการใช้ไฟฟ้าของเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา จะได้รับส่วนลดค่าไฟฟ้า ร้อยละ 20 ของจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ลดลงได้แต่ละเดือน" และเพื่อขจัดปัญหาเรื่องการจ่ายเงินค่าส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับบ้านที่ไม่มีผู้อยู่อาศัยจริงในช่วงนั้น จึงจำกัดผลประหยัดสูงสุดที่จะได้รับส่วนลดค่าไฟฟ้า ไม่เกินร้อยละ 40 โดยมีข้อความแสดงความยินดีที่ได้รับส่วนลด และกระตุ้นให้ผู้ใช้ไฟฟ้าพยายามประหยัดการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในกรณีที่ไม่ได้รับส่วนลด ซึ่งจะปรากฏอยู่ที่หน้าซองแจ้งค่าไฟฟ้า
(3) กฟน. และ กฟภ. ได้ประมาณการค่าใช้จ่าย "โครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ระยะที่ 3" เสนอขอสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นจำนวนเงิน 1,770.9 ล้านบาท และจำแนกได้ดังนี้
| "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ระยะที่ 3" | กฟน. | กฟภ. |
| กลุ่มเป้าหมาย "ประเภทบ้านอยู่อาศัย" | 580,950 ครัวเรือน | 3,294,634 ครัวเรือน |
| คิดเป็นร้อยละของผู้ใช้ไฟฟ้า | 28.2 % | 26.7 % |
| ประมาณการเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ | 496.02 ล้านบาท | 1,274.88 ล้านบาท |
| - เงินส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า | 493.92 ล้านบาท | 1,271.78 ล้านบาท |
| - เงินค่าประชาสัมพันธ์และฝึกอบรมพนักงาน | 2.10 ล้านบาท | 3.10 ล้านบาท |
และเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนได้รับทราบถึงนโยบายและเข้าใจรายละเอียดการเข้าร่วมโครงการฯ ก่อให้เกิดพฤติกรรมการประหยัดไฟอย่างจริงจัง และให้โครงการเป็น Theme เดียวกัน สนพ. จะเป็นผู้ผลิตสัญลักษณ์โครงการฯ เอกสารเผยแพร่ สารคดี จัดรายการพิเศษ กิจกรรมอื่นๆ เพื่อแนะนำวิธีประหยัดไฟฟ้า ผ่านสื่อต่างๆ โดยขออนุมัติใช้เงินจากกองทุนฯ ดำเนินการภายใต้ "โครงการประชาสัมพันธ์ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ระยะที่ 3" ในวงเงิน 55 ล้านบาท
4. เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ซ้ำซ้อน ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้ว เห็นควรปรับลดค่าใช้จ่ายงานประชาสัมพันธ์ของ กฟภ. และ กฟน. ในรายการ (1) ค่าครุภัณฑ์ในการจัดซื้อ Note book (2) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานด้านข้อมูล
มติที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการของโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 3 โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำรายละเอียดงบประมาณของโครงการฯ โดยเฉพาะในส่วนของการประชาสัมพันธ์โครงการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 3 โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาพลังงานของประเทศ โดยได้มีการกำหนดแนวทางในการส่งเสริมการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล และคณะกรรมการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง ได้มีการประชุมปรับเป้าหมายและวิธีการดำเนินงานขยายจำนวนรถ NGV ในปี 2548 จำนวนทั้งสิ้น 16,920 คัน และสถานีบริการ NGV ทั้งสิ้น 60 สถานี
2. เพื่อให้การดำเนินงานส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่งบรรลุตามเป้าหมาย ภาครัฐควรมีมาตรการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติให้เป็นตัวอย่างแก่ภาคเอกชน โดยการปรับเปลี่ยนรถยนต์ราชการจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นใช้ก๊าซ NGV ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐให้การสนับสนุนมาตรการดังกล่าว โดยให้กระทรวงการคลังกำหนดระเบียบการผ่อนจ่ายค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้กับ รถยนต์ราชการ เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2548 โดย ปตท. จะติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้ก่อน และให้ผ่อนจ่ายคืนโดยบวกเพิ่มในราคาก๊าซฯ ที่เติมแต่ละครั้ง ซึ่งมีหน่วยงานต่างๆ แจ้งความประสงค์ต่อ สนพ. ขอติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้กับรถยนต์ของหน่วยงาน เป็นจำนวน 1,708 คัน
3. จากผลการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ NGV สำหรับรถยนต์ของหน่วยงานราชการ มีปัญหาในการดำเนินงาน 2 ประเด็น คือ หน่วยงานไม่มีงบประมาณที่จะนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์ NGV และปัญหาจากระเบียบการเบิกจ่ายวัสดุ (เชื้อเพลิง) ยังไม่เอื้อในกรณีติดตั้งอุปกรณ์ไปก่อนและผ่อนจ่ายคืนทีหลัง จึงได้ข้อสรุปว่า สนพ. ควรจัดหาแหล่งเงินทุนสนับสนุนเพื่อผลักดันโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ดังนั้น เพื่อให้มาตรการดังกล่าวดำเนินการไปได้โดยไม่หยุดชะงัก จึงเห็นควรขอรับการสนับสนุนทางด้านการเงินจากกองทุนฯ ในรูปของเงินยืมเป็นเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย และจัดสรรให้แต่ละหน่วยงานตามที่ได้แจ้งความประสงค์ไว้กับ สนพ. โดยให้ บริษัท ปทต. มหาชน (จำกัด) เป็นผู้ดำเนินโครงการดังกล่าว
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 110 ล้านบาท จากแผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2548 ให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อนำไปใช้ในโครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ โดยให้ สนพ. ปตท. และ กรมบัญชีกลางร่วมกันหารือในรายละเอียด เพื่อกำหนดเป็นระเบียบเกี่ยวกับวิธีการเบิกจ่ายเงินและการเรียกเก็บเงินคืนกองทุนฯ โดยเร็วต่อไป
2. ในกรณีที่วิธีการเบิกจ่ายเงินและการเรียกเก็บเงินคืนกองทุนฯ ตามข้อ 1 ไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2548 และวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 มอบให้ สนพ. นำเรื่องเข้า ครม. เพื่อพิจารณาอนุมัติ ต่อไป
เรื่องที่ 3 ขออนุมัติโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 2
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุม เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 เห็นชอบให้ พพ. จัดตั้ง "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน" เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงาน และเพื่อสร้างความมั่นใจและความคุ้นเคยให้แก่สถาบันการเงินในการกู้ยืมเพื่อโครงการอนุรักษ์พลังงาน และอนุมัติให้ พพ. ใช้เงินจากโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมนำไปใช้ในการอนุรักษ์พลังงานในอัตราดอกเบี้ยต่ำ รวมถึงโรงงานและอาคารนอกข่ายควบคุมและบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO) ได้ โดยสถาบันการเงินจะต้องปล่อยเงินกู้ภายในระยะเวลา 3 ปี (และมีการขยายระยะเวลาโครงการถึงวันที่ 30 มกราคม 2549)
2. ผลการดำเนินงานในช่วงโครงการเงินหมุนเวียนฯ ระยะที่ 1 สรุปได้ดังนี้
(1) ผลการอนุรักษ์พลังงาน : การดำเนินงานโครงการเงินหมุนเวียนฯ ระยะที่ 1 (ข้อมูล ณ 17 ส.ค. 2548) พพ. ได้อนุมัติข้อเสนอโครงการจำนวนทั้งสิ้น 74 ข้อเสนอ ประกอบด้วย อาคารจำนวน 11 ข้อเสนอ โรงงาน 62 ข้อเสนอ และบริษัทจัดการพลังงาน 1 ข้อเสนอ จำนวนเงินที่ พพ. อนุมัติคิดเป็นเงิน 1,814 ล้านบาท (เงินลงทุน 3,002 ล้านบาท) ประเมินศักยภาพผลการอนุรักษ์พลังงานที่ประเทศชาติจะได้รับคิดเป็นการประหยัดพลังงาน ดังนี้
| ประเภท | จำนวน (แห่ง) |
เงินลงทุน (ล้านบาท) |
วงเงินสนับสนุนที่ พพ. อนุมัติ (ล้านบาท) |
ผลประหยัดไฟฟ้า (ล้านหน่วย/ปี) |
ผลประหยัดเชื้อเพลิง (ล้านลิตร/ปี) |
รวมผลประหยัด (ล้านบาท/ปี) |
| โรงงาน | 62 | 2,751 | 1,680 | 164 | 84 | 1,209 |
| อาคาร | 11 | 85 | 84 | 7.7 | 0.9 | 28 |
| ESCO | 1 | 166 | 50 | 10 | 8.2 | 103 |
| รวม | 74 | 3,002 | 1,814 | 182 | 93.1 | 1,340 |
การประเมินศักยภาพผลการอนุรักษ์พลังงานที่ประหยัดได้ตลอดอายุอุปกรณ์ สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ 2,514 ล้านหน่วย (คิดเป็นเงิน 6,284 ล้านบาท) ประหยัดน้ำมันได้ 1,218 ล้านลิตรเทียบเท่าน้ำมันเตา (คิดเป็นเงิน 11,573 ล้านบาท) รวมประหยัดได้ 17,857 ล้านบาท หรือ 1,361 ktoe
(2) การเบิกจ่ายและการคืนเงินกองทุนฯ : ณ วันที่ 17 สิงหาคม 2548 ผู้บริหารเงินหมุนเวียน ได้ขอเบิกเงินกองทุนฯ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 854,528,662 บาท พพ. ได้รับการชำระคืนเงินแล้ว เป็นจำนวนเงิน 141,423,387 บาท
(3) สรุปภาพรวมความสำเร็จของโครงการ ระยะที่ 1
ได้ส่งเสริมผลักดันให้เกิดการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานเป็นจำนวนกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งก่อให้เกิดผลประหยัดพลังงานมากกว่า 1,340 ล้านบาทต่อปี โดยทางภาครัฐมีค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนที่ต่ำมาก คือค่าเสียโอกาสจากดอกเบี้ยเงินฝากและค่าใช้จ่ายในการบริหารประมาณ 20-25 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ยังเกิดผลประโยชน์ต่อเนื่องอื่นๆ เช่น ผลประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม การชะลอการลงทุนเพื่อสร้างโรงไฟฟ้า การลดการนำเข้าน้ำมัน และการขาดดุลการค้า ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
ได้สร้างความมั่นใจและความคุ้นเคยให้แก่สถาบันการเงินซึ่งสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 6 แห่ง ได้เห็นความสำคัญและโอกาสทางการตลาดของการปล่อยสินเชื่อเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน และมีประสบการณ์ในการให้สินเชื่อในโครงการฯ มากกว่า 3,000 ล้านบาท ในกว่า 80 โครงการ
3. จากการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน และการประชุมร่วมระหว่างกระทรวงพลังงานและสมาคมธนาคารไทย ภาคเอกชนและภาคการเงินมีความเห็นว่า การให้การสนับสนุนในลักษณะของแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเป็นประโยชน์และช่วยให้เกิดการดำเนินการเพื่อการอนุรักษ์พลังงานอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับมาตรการพลังงานทดแทนต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง จึงจำเป็นต้องให้การสนับสนุนทางด้านดอกเบี้ยอัตราต่ำ แต่สามารถลดการนำเข้าน้ำมันได้อย่างมาก อีกทั้งการสนับสนุนของโครงการเงินหมุนเวียนนี้นอกจากจะเกิดผลสัมฤทธิ์ที่สูงแล้ว ยังเป็นการใช้เงินของภาครัฐ ที่ต่ำมากเนื่องจากเงินที่ใช้ทั้งหมดจะกลับคืนเข้ากองทุนฯ เมื่อสิ้นสุดโครงการ ดังนั้น เพื่อให้เกิดการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง พพ. จึงขออนุมัติเงินกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อดำเนินโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน ในระยะที่ 2 จำนวน 2,000 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาการปล่อยกู้ 3 ปี และมีระยะเวลาการส่งคืนเงินกลับเข้ากองทุนฯ 10 ปี นับจากวันที่ พพ. ทำสัญญากับสถาบันการเงิน โดยจะมี ขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ ในการให้การสนับสนุนเหมือนกับโครงการเงินหมุนเวียนฯ ในระยะที่ 1
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 2,000 ล้านบาท เพื่อให้ พพ. ดำเนินโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน ในระยะที่ 2 โดยใช้เงินจากแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2549 เพื่อให้สถาบันการเงินที่ผ่านการคัดเลือกของ พพ. นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้แก่โรงงาน อาคาร และบริษัทจัดการพลังงาน นำไปใช้ในการอนุรักษ์พลังงานในอัตราดอกเบี้ยต่ำโดยสถาบันการเงินนั้น จะต้องปล่อยกู้ภายในระยะเวลา 3 ปี และ ส่งเงินคืนกองทุนฯ ผ่าน พพ. ในเวลา 10 ปี นับจากวันที่ พพ. ทำสัญญากับสถาบันการเงิน โดยจะมี ขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ ในการให้การสนับสนุนเหมือนกับโครงการเงินหมุนเวียนฯ ในระยะที่ 1
2. ให้ พพ. ดำเนินการเจรจากับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้จ่ายดอกเบี้ยคืนกองทุนฯ ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 0.5 ของเงินกองทุนฯ ที่สถาบันการเงินนำไปปล่อยให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อเป็นค่าเสียโอกาสในส่วนของดอกเบี้ยเงินฝากที่กองทุนฯ ได้รับเป็นประจำ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบและอนุมัติค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนเงินช่วยเหลือให้เปล่า เพื่อปรับปรุงอุปกรณ์ของอาคารควบคุมตามแผนอนุรักษ์พลังงานไปให้แก่อาคารควบคุมตามแผนอนุรักษ์พลังงานนั้น อาคารควบคุมได้จัดทำหนังสือยืนยันกับ พพ.ตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้ในระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการขอจัดสรร ขอเงินช่วยเหลือหรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุนฯ ซึ่งถือเสมือนเป็นสัญญาข้อตกลงระหว่างผู้ให้การสนับสนุนกับผู้ที่ได้รับการสนับสนุนต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไข ได้แก่ ผู้ให้การสนับสนุนตกลงให้การสนับสนุนด้านการเงินตามข้อกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานที่ได้รับไว้ในแผนอนุรักษ์พลังงาน
2. การดำเนินการจัดหาอุปกรณ์ตามแผนอนุรักษ์พลังงานเป็นหน้าที่ของอาคารควบคุมที่ต้องดำเนินการเอง และต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบราชการกำหนด โดย พพ. มีนิติสัมพันธ์กับอาคารควบคุมด้วยหนังสือยืนยัน และอาคารควบคุมมีนิติสัมพันธ์กับผู้รับจ้างด้วยหนังสือสัญญาว่าจ้างจัดหาและติดตั้งอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน
3. ด้วยมีอาคารควบคุมจำนวน 13 แห่ง ได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ ได้แก่ ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง โดยจะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
(1) คุณลักษณะภายนอกของโคม "ตัวโคมผลิตจากแผ่นเหล็กที่มีความหนาไม่น้อยกว่า 0.6 มม. พับขึ้นเป็นรูปตัวโคมด้วยแผ่นเหล็กชิ้นเดียวตลอดหรือประกอบส่วนหัวท้ายด้วยการเชื่อมแบบเป็นจุด (Spot Welding) หรือใช้สลักย้ำ (Rivet) ผ่านกรรมวิธีกำจัดไขมันและสนิม และป้องกันการผุกร่อนด้วยกรรมวิธีการเคลือบฟอสเฟตของโลหะ"
(2) คุณสมบัติของแผ่นสะท้อนแสง กล่าวถึงความหนาของแผ่นสะท้อนแสง การผ่านมาตรฐานเกี่ยวกับการป้องกันความหมอง ความชื้น ค่าสัมประสิทธิ์การสะท้อนแสง
(3) การกำหนดค่าประสิทธิภาพของโคมไฟฟ้า (Luminaire Efficiency) เช่น ต้องไม่ต่ำกว่า 80% สำหรับโคมไฟฟ้าชนิดตะแกรง
4. หลังจากที่อาคารทั้ง 13 แห่ง ได้ทำสัญญาว่าจ้างจัดซื้อและได้ติดตั้งอุปกรณ์ตามแผนอนุรักษ์พลังงานแล้ว อาคารควบคุมได้มีหนังสือขอเบิกเงินงวดมาที่ พพ. โดยผลการตรวจเอกสารหลักฐานต่างๆ พบว่า โคมไฟฟ้าชนิดติดเพดาน/ติดลอย/ติดแขวนที่อาคารติดตั้งมีคุณลักษณะภายนอกของตัวโคมไม่เป็นไปตามข้อกำหนด คือ ใช้แผ่นเหล็ก 9 ชิ้น ประกอบขึ้นรูปเป็นตัวโคม แต่ทั้งนี้คุณสมบัติของโคมไฟฟ้าในด้านอื่นๆ รวมทั้งค่าประสิทธิภาพของโคมไฟฟ้าเป็นไปตามข้อกำหนดทุกประการ พพ. จึงไม่สามารถเบิกจ่ายเงินสำหรับ ค่าอุปกรณ์โคมไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงได้ จนกว่าอาคารจะได้ดำเนินการเปลี่ยนอุปกรณ์ให้เป็นไปตามคุณลักษณะอุปกรณ์ที่กำหนดก่อน จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผู้รับจ้างตามสัญญาว่าจ้างร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาและกระทรวงพลังงาน เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีที่ พพ. ไม่จ่ายเงินค่าอุปกรณ์ดังกล่าวให้ในฐานะผู้รับโอนสิทธิการรับเงินจากอาคารควบคุม
5. กระทรวงพลังงานได้มีหนังสือหารือกรมบัญชีกลาง กรณีผู้รับจ้างได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญาแล้ว แต่ไม่เป็นไปตามรายละเอียดข้อกำหนดของ พพ. เพื่อจะขอแก้ไขสัญญา ซึ่งกรมบัญชีกลางได้แจ้งผลการหารือว่า หลังจากที่มหาวิทยาลัยได้รับอนุมัติเงินลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานจากคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว จะต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนตามเงื่อนไขของโครงการฯ จึงจะสามารถเบิกเงินได้
6. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ในขณะนั้น ได้ให้ความเห็นว่า ถ้าคุณภาพไม่ครบถ้วนควรปรับลดราคาลงให้ได้คุณภาพที่ต้องการ ซึ่ง พพ. ได้คำนวณเปรียบเทียบราคาตามคุณภาพที่กำหนดกับราคาตามคุณภาพของโคมไฟฟ้าที่อาคารควบคุมติดตั้ง โดยต้องปรับลดราคาลงเป็น ดังนี้
(1) โคม 1 x 18 วัตต์ ลด 10 บาทต่อโคม
(2) โคม 2 x 18 วัตต์ ลด 12 บาทต่อโคม
(3) โคม 1 x 36 วัตต์ ลด 7 บาทต่อโคม
(4) โคม 2 x 36 วัตต์ ลด 9 บาทต่อโคม
7. จากปัญหาการติดตั้งอุปกรณ์โคมไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงของอาคารควบคุมทั้ง 13 แห่ง ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดนั้น พพ. พิจารณาแล้วและมีความเห็นซึ่งสรุปได้ดังนี้
(1) โคมไฟฟ้าที่ติดตั้ง มีค่าประสิทธิภาพของโคมไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 80 % ตามที่คุณลักษณะเฉพาะอุปกรณ์โคมไฟฟ้ากำหนด
(2) โคมดังกล่าวได้ผ่านการทดสอบความแข็งแรงทางกลตามมาตรฐาน มอก. ซึ่งมีความแข็งแรงเทียบเท่ากับโคมไฟฟ้าตามข้อกำหนดของ พพ. แต่มีรูปลักษณะภายนอกไม่ตรงกับข้อกำหนดเท่านั้น ซึ่งหากให้อาคารควบคุมเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะภายนอกของโคมไฟฟ้าที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ก็จะไม่ทำให้วงเงินที่ได้รับอนุมัติเพิ่มขึ้น และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลงแต่ประการใด
(3) หากให้อาคารควบคุมเปลี่ยนโคมไฟฟ้าใหม่ จะทำให้เสียโอกาสและเวลาในการประหยัดพลังงาน
(4) หาก พพ. ไม่เบิกจ่ายเงินให้กับอาคารควบคุม ก็จะเป็นภาระกับอาคารควบคุมในการจัดหางบประมาณมาจ่ายให้กับผู้รับจ้างในฐานะคู่สัญญากัน
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้อาคารควบคุมทั้ง 13 แห่ง เปลี่ยนแปลงคุณลักษณะภายนอกของโคมไฟฟ้าจากตัวโคมพับขึ้นรูปด้วยแผ่นเหล็กชิ้นเดียวตลอด หรือประกอบส่วนหัวท้ายด้วยการเชื่อมเป็นจุด หรือใช้สลักย้ำ เป็นการใช้แผ่นเหล็ก 9 ชิ้นประกอบขึ้นรูปแทน โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้วงเงินที่ได้รับอนุมัติเพิ่มขึ้น และผลตอบแทนของโครงการไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด
2. เห็นชอบให้ พพ. ทำการปรับลดราคาโคมไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงแบบติดเพดานหรือติดลอยที่อาคารได้ทำสัญญาจ้างไปแล้ว โดยลดราคาลงเป็น ดังนี้
(1) โคม 1 x 18 วัตต์ ลด 10 บาทต่อโคม
(2) โคม 2 x 18 วัตต์ ลด 12 บาทต่อโคม
(3) โคม 1 x 36 วัตต์ ลด 7 บาทต่อโคม
(4) โคม 2 x 36 วัตต์ ลด 9 บาทต่อโคม
กอ. ครั้งที่ 38 - วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2547

มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2547 (ครั้งที่ 38)
วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2547 เวลา 14.00 น
ณ ห้อง 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
3. ขออนุมัติโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ระยะที่ 2
4. ขออนุมัติวงเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานให้กับอาคารควบคุม
5. ขอปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
7. ขอปรับปรุงโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน
รองนายกรัฐมนตรี (ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ผู้เข้าร่วมประชุม
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนฯ ว่ามีเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคาร ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2547 จำนวน 11,187.90 ล้านบาท และได้รายงานงบการเงินที่กรมบัญชีกลางส่งให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบ ประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 ว่ามี หนี้สินและเงินทุน จำนวน 11,925,041,828.02 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันอังคารที่ 21 กันยายน 2542 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานและอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ในวงเงินรวม 750 ล้านบาท และในการประชุมเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2545 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการประชาสัมพันธ์ ให้ สนพ. เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2546 ในวงเงิน 200 ล้านบาท โดย สนพ. ได้ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ฯ ปีงบประมาณ 2546 ไปแล้ว 9 กิจกรรม โดยใช้จ่ายเงินไปรวม 104,219,881.40 บาท และมีงบประมาณคงเหลือ 95,780,118.60 บาท
2. สนพ. ได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเมินผลงานโครงการประชาสัมพันธ์ฯ ปีงบประมาณ 2546 สรุปได้ว่ากิจกรรมรณรงค์ภายใต้โครงการรวมพลังหารสองผ่านสื่อประเภทต่างๆประสบความสำเร็จในการสร้างนิสัยประหยัดพลังงานให้กับคนไทยและควรดำเนินการต่อไป โดยที่ปรึกษาฯ ได้มีข้อเสนอแนะที่สำคัญของการประเมินในครั้งนี้คือ การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคต ควรเน้นเนื้อหาการปลูกจิตสำนึกในการใช้พลังงานอย่างประหยัด สร้างความรู้สึกให้เห็นคุณค่าในการอนุรักษ์และรักษาสิ่งแวดล้อมโดยเนื้อหาที่นำเสนอผ่านสื่อต่างๆ ควรเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน หรืออาจจัดทำเป็นเพลงโฆษณาประหยัดพลังงานเปิดตามสถานีวิทยุและโทรทัศน์เป็นประจำ และควรมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพิ่มเวลาและความถี่ในการออกอากาศเพื่อดึงดูดให้ประชาชนหันมาให้ความสนใจการประหยัดพลังงาน
3. สนพ. ได้จัดทำ "แผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2547" และนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 4/2547 (ครั้งที่ 11) เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2547 เพื่อขออนุมัติจัดสรรงบประมาณในการดำเนินงานตามแผน ในวงเงิน 310 ล้านบาท (สามร้อยสิบล้านบาทถ้วน) โดยคณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นว่า มีบางกิจกรรมที่เริ่มดำเนินการในช่วงปีงบประมาณ 2548 ซึ่งเกินกว่าระยะเวลาการใช้จ่ายเงินตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนด คณะอนุกรรมการฯ จึงเห็นควรให้ สนพ. ปรับแผนงานโดยเป็นแผนงานเฉพาะที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ 2547 แล้วเวียนให้คณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบก่อนเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา ซึ่ง สนพ. ได้ดำเนินการตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว โดยปรับลดงบประมาณค่าใช้จ่ายคงเหลือเพียงในวงเงิน 261 ล้านบาท (จากเดิม 310 ล้านบาท) และเวียนขอความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ เรียบร้อยแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณา "แผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2547" โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
3.1 แผนประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในปี 2547 มีเป้าประสงค์ตามยุทธศาสตร์ของกระทรวงพลังงาน ที่จะลดสัดส่วนอัตราเติบโตของการใช้พลังงานต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ จาก 1.4 : 1 เป็น 1:1 ภายในปี พ.ศ. 2551 โดยมุ่งเน้นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารกับกลุ่มเป้าหมาย และประชาชนทั่วประเทศกว่า 60 ล้านคน ภายใต้แนวคิด "60 ล้านไทย ลดใช้พลังงาน" โดยมีประเด็นหลักในการสื่อสาร คือ
(1) ความสำคัญของการร่วมกันประหยัดพลังงานของคนไทยทั่วประเทศกว่า 60 ล้านคน ที่สามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน ด้วยวิธีง่ายๆ โดยพร้อมเพรียงกันและต่อเนื่อง จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและช่วยเศรษฐกิจของตนเอง ของชุมชน และของประเทศชาติ ได้อย่างมีนัยสำคัญ
(2) "กระทรวงพลังงาน" เป็นองค์กรที่ดูแลรับผิดชอบในด้านพลังงานของชาติ เป็น "พลังที่อยู่คู่คนไทยทุกเวลา" สร้างประโยชน์สูงสุดให้ประชาชน พัฒนาพลังงาน ก้าวไปข้างหน้า สร้างประเทศไทยเป็นผู้นำด้านพลังงานในอาเซียน ซึ่งเป็น "พลังขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทย"
3.2 แนวทางดำเนินงาน เพื่อสร้างกระแสอย่างต่อเนื่องและก่อให้เกิดการตระหนักถึงการประหยัดพลังงานอย่างกว้างขวางพร้อมกันทั่วประเทศ มีดังนี้
(1) สร้างกระแสการประหยัดพลังงานทั่วประเทศ ทั้งในระดับครอบครัว ชุมชน และจังหวัด โดยกระตุ้นให้ประชาชนเกิดความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน
(2) เน้นการประชาสัมพันธ์กลุ่มเป้าหมาย ในภาคอุตสาหกรรม การขนส่ง บ้านที่อยู่อาศัย และทำการประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มเยาวชนอย่างต่อเนื่อง
(3) ประชาสัมพันธ์ผลงานของกองทุนฯ ที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงพลังงาน
(4) จัดกิจกรรมที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อต่างๆ อาทิ สื่อโทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ และสื่อสนับสนุนอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง
3.3 รูปแบบการดำเนินงาน
| ลำดับ | กิจกรรมและรายละเอียด | (ล้านบาท) |
| 1. | โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้น และปลูกจิตสำนึก 1.1 กิจกรรม "ผู้ว่า CEO กับบทบาทการอนุรักษ์พลังงาน" (ระยะที่ 1) เป็นการสร้างกระแสเพื่อกระตุ้นและเตรียมความพร้อมให้จังหวัดต่างๆ เข้าร่วมกิจกรรมแข่งขันประหยัดไฟฟ้าและน้ำ ระหว่างจังหวัด โดยคาดว่าจะมีจังหวัดเข้าร่วมโครงการฯ อย่างน้อย 20 จังหวัด - แคมเปญประชาสัมพันธ์ เพื่อรณรงค์สร้างกระแสและเผยแพร่ข้อมูล - จัดกิจกรรมเสริมเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย อาทิ นิทรรศการสัญจรให้ความรู้เกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน 1.2 กิจกรรมบ้านประหยัดพลังงาน - แคมเปญประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร - จัดกิจกรรม "สัปดาห์บ้านประหยัดพลังงาน" 1.3 กิจกรรมลดใช้รถ ลดใช้น้ำมัน - แคมเปญประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เพื่อบอกวิธีขับรถประหยัดพลังงาน - จัดสัมมนาเกี่ยวกับการขับรถอย่างถูกวิธี เพื่อประหยัดพลังงาน "Smart Drive" |
115 |
| 2. | กิจกรรมประชาสัมพันธ์ (PR Event) 2.1 กิจกรรมเยาวชน (1) ระดับประถมศึกษา-มัธยมศึกษา เข้าถึง 100,000 คนทั่วประเทศ - กิจกรรมละคร Edutainment - กิจกรรมค่ายครึ่งวัน (Half day camp) (2) ระดับอุดมศึกษา กิจกรรมช่วงปิดเทอม อาทิ กิจกรรมล้างแอร์ 2.2 กิจกรรมความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนในภาคคมนาคม อุตสาหกรรมและที่อยู่อาศัย 2.3 กิจกรรมตามวันสำคัญของชาติ และสอดคล้องกับสถานการณ์ |
28 |
| 3. | โครงการประชาสัมพันธ์โดยศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหารสอง | 7 |
| 4. | กิจกรรมประชาสัมพันธ์อื่นๆ เพื่อสนับสนุนโครงการ 4.1 ผลิตและเผยแพร่สื่อสนับสนุน - เผยแพร่บทความผ่านสื่อสิ่งพิมพ์อย่างต่อเนื่อง - ผลิตและเผยแพร่สื่อสนับสนุนอาทิ คู่มือเอกสารเผยแพร่ ของที่ระลึก ฯลฯ |
8 |
| 5. | การประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดการรักษ์พลังงานของชาติ 5.1 แคมเปญประชาสัมพันธ์ เพื่อแนะนำและสร้างความน่าสนใจในการประชาสัมพันธ์ 5.2 สารคดี นำเสนอในเชิงสาระความรู้ ชวนให้ติดตามชม 5.3 งานข่าว ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารผ่านเครือข่ายของสำนักข่าวไทยของ อ.ส.ม.ท. |
100 |
| 6. | การประเมินผลกิจกรรมประชาสัมพันธ์ | 3 |
| รวมงบประมาณทั้งสิ้น | 261 | |
หมายเหตุ : โดยประเด็นที่จะสื่อสารในปี 2547 สนพ. ได้มีการปรับปรุงโดยคำนึงถึง นโยบายของรัฐ แผนยุทธศาสตร์กระทรวงฯ กระแสสังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจของประเทศ พฤติกรรมการเปิดรับสื่อของกลุ่มเป้าหมายผลการประเมินในปีที่ผ่านมา และความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณราชการสูงสุด
3.4 ผลที่คาดว่าจะได้รับ
(1) เกิดกระแสการมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงานทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อช่วย เศรษฐกิจของตนเองและประเทศ
(2) เกิดความร่วมมือและมีส่วนร่วมของชุมชนและจังหวัดในการประหยัดพลังงาน
(3) ปลูกฝังความรู้พื้นฐานด้านพลังงานแก่เยาวชน สามารถนำความรู้ที่ได้ไปปฎิบัติได้จริง
(4) ประชาชนรับรู้ผลงานของรัฐและกองทุนฯ อย่างทั่วถึง
(5) เกิดการลดใช้พลังงานของประเทศ โดยเฉพาะในภาคคมนาคมขนส่ง อุตสาหกรรมและ บ้านอยู่อาศัย อย่างต่อเนื่อง และขยายผลไปสู่การประหยัดพลังงานในด้านอื่นๆ
(6) เกิดแนวทางในการบูรณาการยุทธศาสตร์ด้านพลังงานกับยุทธ์ศาสตร์จังหวัดทั่วประเทศเพื่อ ความยั่งยืน
4. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ไว้ในวงเงินรวม 750 ล้านบาท สนพ. ได้มีการใช้จ่ายเงินไปแล้วรวมทั้งสิ้น 707,153,607.97 บาท และมีวงเงินคงเหลือเพื่อใช้ประชาสัมพันธ์ในปี 2547 เป็นเงินจำนวน 42,846,392.03 บาท แต่ในปี 2547 ตามแผนงานที่ สนพ. เสนอจำเป็นต้องใช้งบประชาสัมพันธ์ เป็นเงินจำนวน 310,000,000 บาท ดังนั้น สนพ. จำเป็นต้องขอขยายวงเงินประชาสัมพันธ์ปี 2547 เป็นเงินจำนวน 267,153,607.97 บาท โดยขอโอนเงินในกรอบของแผนงานภาคบังคับมาสมทบ 267,153,607.97 บาท เนื่องจากแผนภาคงานบังคับ มีวงเงินงบประมาณคงเหลืออยู่ในกรอบของโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในส่วนของการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุม และคาดว่า พพ. จะใช้ไม่ทันภายในปีงบประมาณ 2547 สนพ. จึงขอโอนเงินดังกล่าว จำนวน 218,153,607.97 บาท มาสมทบวงเงินคงเหลือ (จำนวน 42.8 ล้านบาท) ในแผนงานสนับสนุนโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2547 และให้ สนพ. ดำเนินการจัดจ้างผู้ที่จะรับทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ต่อไป
มติที่ประชุม
1. รับทราบผลการดำเนินงานโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2546 โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 104,219,881.40 บาท ตามรายงานผลการดำเนินงานของ สนพ. ที่เสนอ
2. อนุมัติแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2547 และงบประมาณในการดำเนินงานตามแผน ในวงเงิน 261 ล้านบาท (สองร้อยหกสิบเอ็ดล้านบาทถ้วน) โดยเบิกจ่ายจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2547 และอนุมัติให้ สนพ. ดำเนินการจัดจ้างผู้ที่จะรับทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535
3. อนุมัติให้โอนเงินในกรอบของแผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในส่วนของการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุม จำนวน 218,153,607.97 บาท เพื่อนำมาสมทบวงเงินคงเหลือ (จำนวน 42.8 ล้านบาท) ในแผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2547
เรื่องที่ 3 ขออนุมัติโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ระยะที่ 2
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะอนุกรรมการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า คาดว่าปริมาณการใช้ไฟในปี 2547 นี้ จะอยู่ที่ระดับ 126,811 ล้านหน่วย และมีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak) อยู่ที่ระดับ 19,600 เมกะวัตต์ โดยสาเหตุหลักนอกจากอากาศจะร้อนแล้ว ยังเกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอีกด้วย ในขณะที่ปริมาณสำรองไฟฟ้าอยู่ในสัดส่วน 24% กระทรวงพลังงานจึงเห็นสมควรนำโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" มาดำเนินการอีกครั้ง เพื่อจูงใจประชาชนทุกครัวเรือนอนุรักษ์พลังงานภายในครัวเรือน
สนพ. จึงได้จัดประชุมหารือกับผู้แทนจาก กฟน. และ กฟภ. เพื่อประสานความร่วมมือดำเนินโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 ซึ่งที่ประชุมได้นำด้านดีและด้านเสียของการดำเนินโครงการฯ ในช่วงเดือนกันยายน 2544 ถึงสิงหาคม 2545 มาพิจารณา แล้วเห็นว่าการกำหนดฐานคำนวณจากการเฉลี่ยหน่วยไฟฟ้าในเดือนมิถุนายน 2544 ถึงสิงหาคม 2544 นั้นยังไม่สะท้อนต่อพฤติกรรมการประหยัดไฟฟ้าได้อย่างแท้จริง เนื่องจากมีผลของการเปลี่ยนแปลงของปริมาณการใช้ไฟฟ้าตามฤดูกาลเข้ามาเกี่ยวข้อง และเห็นว่าหากจะดำเนินโครงการฯ ในระยะต่อไป ควรใช้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าของเดือนที่จะเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในปีที่ผ่านมาเป็นฐานการคิดส่วนลด ส่วนในกิจกรรมอื่นๆ นั้น ที่ประชุมเห็นว่าควรให้คงลักษณะเดิมไว้ โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี ในช่วงเดือนมิถุนายน 2547-พฤษภาคม 2548 พร้อมทั้งให้ กฟน. และ กฟภ. เร่งจัดทำข้อเสนอและประมาณการค่าใช้จ่าย ยื่นไว้กับ สนพ. เพื่อนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามขั้นตอนต่อไป
2. กฟน. และ กฟภ. ได้จัดทำข้อเสนอโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 เสนอต่อ สนพ. เรียบร้อยแล้ว โดยสรุปได้ดังนี้
| "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 | กฟน. | กฟภ. |
| กลุ่มเป้าหมาย "ประเภทบ้านอยู่อาศัย" | 688,400 ครัวเรือน | 3,394,305 ครัวเรือน |
| คิดเป็นร้อยละของผู้ใช้ไฟฟ้า | 35 % | 30 % |
| ประมาณการเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ | 544 ล้านบาท | 1,306 ล้านบาท |
| - เงินส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า | 538 ล้านบาท | 1,300 ล้านบาท |
| - เงินค่าประชาสัมพันธ์และฝึกอบรมพนักงาน | 6 ล้านบาท | 6 ล้านบาท |
3. เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนทั่วประเทศได้รับทราบถึงนโยบายและเข้าใจรายละเอียดการเข้าร่วมโครงการฯ โดยทั่วถึง ก่อให้เกิดพฤติกรรมการประหยัดไฟอย่างจริงจัง สนพ. จึงได้เสนอที่จะจัดทำ โครงการประชาสัมพันธ์ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 เพื่อแนะนำวิธีประหยัดไฟหลากหลายวิธี ด้วยวิธีง่ายๆ ผ่านสื่อต่างๆ โดยผลิตและเผยแพร่สารคดี จัดรายการพิเศษ ทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ผลิตและแจกเอกสารแนะนำวิธีการประหยัดไฟให้กลุ่มเป้าหมายได้รับทราบ จัดทีมรณรงค์ออกไปเผยแพร่ โดยขออนุมัติใช้เงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 55 ล้านบาท
4. สนพ. ได้นำโครงการดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2547 (ครั้งที่ 11) เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2547 เพื่อพิจารณา และที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการดังกล่าว และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ ในประเด็นดังนี้
4.1 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ กฟน. นำไปเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2-ส่วนที่ กฟน. รับผิดชอบ ในวงเงิน 600.83 ล้านบาท
4.2 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ กฟภ. นำไปเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2-ส่วนที่ กฟภ. รับผิดชอบ ในวงเงิน 1,286.24 ล้านบาท
4.3 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สนพ. นำไปเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการประชาสัมพันธ์ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 ในวงเงิน 55,000,000 บาท
4.4 อนุมัติโอนเงินในกรอบของแผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในส่วนของการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุม จำนวน 942.07 ล้านบาท เพื่อนำมาสมทบ ในแผนงานภาคความร่วมมือ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 ในวงเงินรวม 1,942.07 ล้านบาท ตามข้อ 4.1-4.3
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ใช้เงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อให้ กฟน. นำไปเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2-ส่วนที่ กฟน. รับผิดชอบ ในวงเงิน 600.83 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น (1) ส่วนลดค่าไฟฟ้า ในวงเงิน 594.83 ล้านบาท และ (2) ส่วนการประชาสัมพันธ์ ในวงเงิน 6 ล้านบาท
2. อนุมัติให้ใช้เงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อให้ กฟภ. นำไปเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2-ส่วนที่ กฟภ. รับผิดชอบ ในวงเงิน 1,286.24 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น (1) ส่วนลดค่าไฟฟ้า ในวงเงิน 1280.24 ล้านบาท และ (2) ส่วนการประชาสัมพันธ์ ในวงเงิน 6 ล้านบาท
3. อนุมัติให้ใช้เงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อให้ สนพ. นำไปเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการประชาสัมพันธ์ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 ในวงเงิน 55,000,000 บาท และอนุมัติให้ สนพ. ดำเนินการจัดจ้างผู้ที่จะรับทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535
4. อนุมัติโอนเงินในกรอบของแผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในส่วนของการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุม จำนวน 942.07 ล้านบาท เพื่อนำมาสมทบ ในแผนงานภาคความร่วมมือ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 ในวงเงินรวม 1,942.07 ล้านบาท ตามข้อ 1-3 ของมติที่ประชุม ในวงเงินรวม 1,942,070,000 บาท
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้รับข้อเสนอโครงการจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความประสงค์จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยอาคารทั้ง 2 ราย ได้ดำเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียด และการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีผลการศึกษาระดับการใช้พลังงานในส่วนของระบบการถ่ายเทความร้อนรวม ระบบแสงสว่าง และระบบปรับอากาศ เมื่อเปรียบเทียบกับกับเกณฑ์มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ตามกฎกระทรวงแล้ว มีศักยภาพที่จะปรับปรุงให้ระดับการใช้พลังงานมีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิมและอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
2. พพ. ได้วิเคราะห์และกลั่นกรองมาตรการอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุมทั้ง 2 ราย ที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้ว และเห็นควรให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานของแต่ละมาตรการ ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 186,986,787 บาท (หนึ่งร้อยแปดสิบหกล้านเก้าแสนแปดหมื่นหกพันเจ็ดร้อยแปดสิบเจ็ดบาทถ้วน) โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
| หน่วยงาน/มาตรการ | เงินลงทุนที่เห็นควรให้การสนับสนุน จากกองทุนฯ (บาท) | |
| 1. | มหาวิทยาลัยขอนแก่น สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยขอนแก่น | 117,742,879 |
| 1.1 มาตราการที่ต้องปรับปรุงตามกฎกระทรวง | ||
| (1) การบุฉนวนใต้หลังคา | 415,222 | |
| (2) การใช้เครื่องปรับอากาศชนิดประสิทธิภาพสูง | 48,568,959 | |
| (3) การปรับปรุงระบบแสงสว่าง | 3,967,057 | |
| 1.2 มาตรการปรับปรุงระดับการใช้พลังงานที่มีศักยภาพในการอนุรักษ์พลังงาน | ||
| (1) การปรับปรุงระบบแสงสว่าง | 64,791,641 | |
| 2. | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำหรับอาคารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อาคารฝั่งตะวันออก) | 69,243,908 |
| 2.1 มาตราการที่ต้องปรับปรุงตามกฎกระทรวง | ||
| (1) การปรับปรุงฉนวนหลังคา | 24,977,628 | |
| (2) การใช้หลอด Compact Flurescent | 86,355 | |
| (3) การใช้แผ่นเคลือบสารสะท้อนแสง | 3,082,240 | |
| (4) การใช้บัลลาสต์ Low Watt Loss | 6,932,250 | |
| (5) การใช้เครื่องปรับอากาศชนิดประสิทธิภาพสูง | 27,465,500 | |
| 2.2 มาตรการปรับปรุงระดับการใช้พลังงานที่มีศักยภาพในการอนุรักษ์พลังงาน | ||
| (1) การใช้หลอด Compact Flurescent | 276,735 | |
| (2) การใช้แผ่นเคลือบสารสะท้อนแสง | 845,600 | |
| (3) การใช้บัลลาสต์ Low Watt Loss | 5,577,600 | |
| รวมเงินลงทุนเงินลงทุนที่เห็นควรให้การสนับสนุน แก่อาคารทั้ง 2 ราย | 186,986,787 | |
3. พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อ คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ในการประชุมครั้งที่ 1/2547 (ครั้งที่ 8) เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2547 และได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2547 ให้ พพ. เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการทั้ง 2 อาคาร เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 186,986,787 บาท (หนึ่งร้อยแปดสิบหกล้านเก้าแสนแปดหมื่นหกพันเจ็ดร้อยแปดสิบเจ็ดบาทถ้วน) ตามรายละเอียดที่ปรากฏในตารางในข้อ 2
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2547 ให้ พพ. เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการทั้ง 2 อาคาร เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 186,986,787 บาท (หนึ่งร้อยแปดสิบหกล้านเก้าแสนแปดหมื่นหกพันเจ็ดร้อยแปดสิบเจ็ดบาทถ้วน) ตามรายละเอียดที่ปรากฏในตารางในข้อ 2 ตามที่คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้มีมติเห็นชอบ
2. สำหรับอาคารราชการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการลงทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว พพ. ควรประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อหาแนวทางในการปรับลดงบประมาณในส่วนของค่าสาธารณูปโภคลง
3. พพ. ต้องดำเนินการติดตามประเมินผลการประหยัดพลังงานของอาคารดังกล่าวที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ไปแล้ว อาคารดังกล่าวสามารถลดการใช้พลังงานได้ตามที่กำหนดไว้ในข้อเสนอมากน้อยเพียงไร แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
4. พพ. ควรจะพิจารณาทบทวนถึงแหล่งที่มาของเงินลงทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จากเดิมที่ใช้เงินกองทุนฯ นั้นควรจะเปลี่ยนไปใช้เงินจากงบประมาณประจำปี ของสำนักงบประมาณ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าขอถอนเรื่องที่ 4.4 เรื่อง ขออนุมัติโครงการพัฒนาศูนย์วิจัยและอบรมการออกแบบอาคารราชการและ เอกชนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน และเรื่องที่ 4.8 เรื่อง ขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลมของ บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด ในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2545 ฝ่ายเลขานุการฯ ออกจากการพิจารณาในการประชุมครั้งนี้
เรื่องที่ 5 ขอปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2541 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันพุธที่ 14 ตุลาคม 2541 ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อทำหน้าที่ในการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนเพื่อใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลการดำเนินงานของโครงการที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ตามหลักเกณฑ์และวงเงินที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนด พร้อมทั้งประเมินผลการดำเนินงานโครงการและเสนอข้อพิจารณาประกอบรายงานการประเมินผล แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
2. ประธานกรรมการกองทุนฯ (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ได้มีคำสั่งคณะกรรมการกองทุนฯ ที่ 4/2545 ลงวันที่ 2 กันยายน 2545 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งมีนายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ เป็นประธานอนุกรรมการดังกล่าว และเนื่องจาก ศ.ดร. เทียนฉาย กีระนันทน์ มีภารกิจมากไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในคณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ได้อย่างเต็มที่ จึงขอลาออกจากการเป็นอนุกรรมการฯ
นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ ประธานอนุกรรมการประเมินผลฯ ได้เสนอให้เรียนเชิญผู้ทรงคุณวุฒิด้านพลังงานและด้านเศรษฐศาสตร์เข้าร่วมในคณะอนุกรรมการฯ เพิ่มเติมจำนวน 2 ท่าน ได้แก่ ศ.ดร. จุลละพงษ์ จุลละโพธิ และ รศ.ดร. ธีระพงษ์ วิกิตเศรษฐ์ โดยให้คงอำนาจและหน้าที่ของคณะอนุกรรมการฯ ไว้คงเดิม โดยมีองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ คือ นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ เป็นประธานอนุกรรมการฯ นายปิยะวัติ บุญ-หลง นายมานิจ ทองประเสริฐ นายศุภชาติ จงไพบูลย์พัฒนะ นายธีระพงษ์ วิกิตเศรษฐ์ เป็นอนุกรรมการ และมีผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ตามที่คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ เสนอในข้อ 2 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำคำสั่งแต่งตั้งเสนอประธานกรรมการกองทุนฯ ลงนามต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า ปัจจุบันกรมบัญชีกลางเป็นผู้เก็บรักษาเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยฝากเงินไว้กับธนาคารกรุงไทย ซึ่งได้ดอกเบี้ยจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในอัตราร้อยละ 0.75 บาท และบัญชีเงินฝากประจำ 3 เดือน ในอัตราร้อยละ 1.00 บาท ขณะนี้มีเงินคงเหลือตามประมาณการจำนวน 9,223.12 ล้านบาท ดังนั้นสถาบันบริหารกองทุนพลังงานได้เสนอความเห็นว่าหากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสามารถนำเงินจำนวนหนึ่งให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน เพื่อส่งมอบให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก็จะทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในด้านดอกเบี้ยลงได้ และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานก็จะได้รับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่เพิ่มขึ้น โดยอาจใช้ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลเป็นอัตราอ้างอิง
2. ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรขอแก้ไขระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ใน ข้อ 6 กำหนดให้ กรมบัญชีกลางเปิดบัญชีเงินฝาก "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ประเภทเงินฝากกระแสรายวัน เงินฝากออมทรัพย์ หรือเงินฝากประจำกับสถาบันการเงินที่เป็นของรัฐหรือธนาคารพาณิชย์ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นสมควร โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง โดยเพิ่มข้อความ "และให้สามารถนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ไปหาประโยชน์ในรูปอื่นๆ ได้มากขึ้น โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกองทุนฯ" เพื่อ เปิดโอกาสให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสามารถนำเงินกองทุนฯ ไปให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานกู้ยืมได้ เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในรูปดอกเบี้ยและในส่วนของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานก็จะได้รับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่เพิ่มขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ในการแก้ไขระเบียบดังกล่าว คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจในการดำเนินการได้ตามข้อ 4 ซึ่งกำหนดว่า หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในเรื่องการเก็บรักษาเงิน การเบิกจ่ายและการพัสดุที่มิได้กำหนดไว้ในระเบียบนี้ ให้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งของทางราชการโดยอนุโลม ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการได้ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
มติที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการที่จะให้แก้ไขระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ตามที่ ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยให้กรมบัญชีกลางร่วมกับฝ่ายเลขานุการฯ ไปดำเนินการยกร่างการแก้ไขระเบียบดังกล่าว ในแต่ละประเด็นที่ต้องการแก้ไขให้มีความชัดเจน แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
เรื่องที่ 7 ขอปรับปรุงโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน
1. ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 มีมติให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ดำเนินการ "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน" ภายในวงเงิน 2,000 ล้านบาท โดยให้ พพ.ปรับปรุงวิธีการปฏิบัติในการใช้เงินหมุนเวียนและมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่าควรนำหลักเกณฑ์เงินหมุนเวียนไปใช้สนับสนุนกับโรงงานและอาคารที่สนใจจะลงทุนทางด้านอนุรักษ์พลังงาน แต่มิได้เป็นโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมด้วย
2. เมื่อ พพ. เปิดตัวโครงการฯ มีโรงงานควบคุม/อาคารควบคุมให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการฯ มากกว่า 300 ราย โดยติดต่อสอบถามข้อมูลผ่านทางสถาบันการเงินทั้ง 6 แห่ง และ พพ. โดยมีโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมได้ส่งข้อเสนอโครงการฯ มาจำนวน 29 แห่ง สถาบันวิจัยพลังงานและ พพ. ได้ดำเนินการพิจารณาข้อเสนอโครงการดังกล่าว นำเสนออธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาและได้อนุมัติเงินให้การสนับสนุนแล้ว จำนวน 26 แห่ง ในวงเงิน 567,128,938 บาท โดยสามารถประหยัดพลังงานได้รวมเป็นเงิน 311,826,420 บาทต่อปี
3. เนื่องจากสถาบันการเงินและผู้ประกอบการด้านอนุรักษ์พลังงาน ได้แจ้งว่ามีผู้สนใจที่ไม่ได้เป็นโรงงาน/อาคารควบคุม ต้องการจะขอเข้าร่วมโครงการฯ โดยแบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ กรณีที่ 1 โรงงานและอาคารนอกข่ายควบคุม พพ. และกรณีที่ 2 บริษัทจัดการพลังงาน (ESCO) และนักพัฒนาโครงการ (Project Developers) เป็นบุคคลอื่นที่ไม่ได้เป็นเจ้าของโรงงาน/อาคาร แต่เป็นผู้ลงทุนดำเนินการติดตั้งมาตราการ/เทคโนโลยีอนุรักษ์ พลังงานให้แก่เจ้าของโรงงานและอาคาร ซึ่งตามหลักเกณฑ์การดำเนินงานโครงการเงินหมุนเวียนฯ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ แล้วนั้น สถาบันการเงินจะต้องปล่อยกู้ให้แก่โรงงานควบคุม/อาคารควบคุม โดยเจ้าของโรงงานควบคุม/อาคารควบคุมเป็นผู้กู้ ทำให้ผู้ต้องการลงทุนอนุรักษ์พลังงานทั้ง 2 กรณี ดังกล่าวไม่สามารถขอรับการสนับสนุนจากโครงการฯ นี้ได้ ทั้งๆ ที่การอนุรักษ์พลังงานทั้ง 2 กรณี เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและควรได้รับการสนับสนุนเหมือนกับการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ซึ่งลงทุนโดยเจ้าของโรงงาน/อาคารเอง
4. พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อ คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 4/2547 (ครั้งที่ 11) เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2547 ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอของ พพ. แล้ว เห็นว่า การขยายขอบเขตโครงการฯ เป็นการเปิดกว้างกลุ่มเป้าหมายและวิธีการการสนับสนุนให้แก่ภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26) ในการนำหลักเกณฑ์เงินหมุนเวียนไปใช้กับโรงงานและอาคารที่สนใจ แต่มิได้เป็นโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมด้วย อีกทั้งการขยายขอบเขตการสนับสนุน เป็นการพัฒนารูปแบบการสนับสนุนการอนุรักษ์พลังงาน (Model Development) ซึ่งอาจจะเป็นรูปแบบการสนับสนุนที่ยั่งยืนของกองทุนฯ ต่อไป จึงมีมติเห็นชอบ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. ขยายขอบเขตโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ได้ให้ความเห็นชอบในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26) โดยให้ พพ. สนับสนุนแก่โรงงานและอาคารนอกข่ายควบคุมตามกรณีที่ 1 และบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO) และนักพัฒนาโครงการ (Project Developers) ตามกรณีที่ 2 รวมทั้งให้ครอบคลุมการให้การสนับสนุนแก่โครงการชีวมวลผลิตพลังงานและการใช้พลังงานทดแทนจากวัตถุดิบการเกษตรเพื่อผลิตพลังงาน ด้วย
2. อนุมัติให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน มีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติเงิน โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน สนับสนุนให้แก่โรงงานและอาคารนอกข่ายควบคุม บริษัทจัดการพลังงาน (ESCO) และนักพัฒนาโครงการ (Project Developers) โดยใช้หลักเกณฑ์และวิธีการให้การสนับสนุนเช่นเดียวกับโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และเมื่ออนุมัติแล้วให้รายงานคณะอนุกรรมการฯ ทราบเป็นคราวๆ ไป
กอ. ครั้งที่ 37 - วันอังคารที่ 2 ธันวาคม 2546

มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 5/2546 (ครั้งที่ 37)
วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2546 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 603 ชั้น 6อาคาร 7
อาคารกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน
1. รายงานผลการประชุมเรื่องการนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน
2. รายงานการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 ช่วงปีงบประมาณ 2543-2544
6. ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการ ภายใต้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ผู้เข้าร่วมประชุม
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่ กระทรวงการคลัง (กค.) ได้แจ้งให้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำทุนหมุนเวียนส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน ซึ่งประกอบด้วยกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 1,000 ล้านบาท และกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม จำนวน 100 ล้านบาท และ สนพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 35) เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2546 ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้มีมติมอบหมายให้ปลัดกระทรวงพลังงาน หารือกับปลัดกระทรวงการคลังในกรณีข้างต้น
2. ปลัดกระทรวงพลังงาน ได้ประชุมหารือกับรองปลัดกระทรวงการคลัง (นายสมหมาย ภาษี) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุมกรมบัญชีกลาง ซึ่งสรุปผลการประชุมหารือ ได้ดังนี้
2.1 การนำส่งเงินเข้ารายได้แผ่นดินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 1,000 ล้านบาท ตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 มาตรา 13 กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจออกข้อบังคับว่าด้วยการจ่ายเงินการเก็บรักษาเงินและการนำทุนหรือผลกำไรส่งเข้าบัญชีคงคลังบัญชีที่ 1 เพื่อให้ส่วนราชการเจ้าของทุนหมุนเวียน นำทุนหมุนเวียนหรือผลกำไร เข้าบัญชีคงคลังบัญชีที่ 1 ได้นั้น แต่อย่างไรก็ดีในปัจจุบันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังมิได้ออกข้อบังคับดังกล่าวข้างต้น ดังนั้น รองปลัดกระทรวงการคลัง จึงมอบหมายให้กลุ่มงานพัฒนาเงินนอกงบประมาณ กรมบัญชีกลาง พิจารณาจัดทำข้อบังคับเรื่องการให้ส่วนราชการนำเงินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเสนอรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป และพิจารณาจัดทำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการนำเงินทุนหมุนเวียนส่งเข้าเป็นเงินรายได้แผ่นดินไปในแนวทางและมาตรฐานเดียวกันโดยให้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการบริหารกองทุน เป็น 3 เรื่อง คือ (1) กองทุนที่จัดตั้งขึ้นใหม่ (2) กองทุนที่ดำเนินการอยู่และยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการต่อไป และ (3) กองทุนที่หมดความจำเป็นแล้ว
2.2 สำหรับการนำส่งเงินเข้ารายได้แผ่นดินของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม จำนวน 100 ล้านบาท นั้น เนื่องจากเงินกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมเป็นเงินบริจาคที่ต้องใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค ซึ่งเงินกองทุนมีจำนวน 350 ล้านบาท และใช้ได้เฉพาะดอกผล โดยขณะนี้มีดอกผลที่สามารถนำไปใช้จ่ายได้ จำนวน 38 ล้านบาท ที่ประชุมจึงมีมติให้ สนพ. เก็บเงินไว้ใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคเงินดังกล่าว
3. สนพ. ได้พิจารณาเห็นว่ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานยังมีความจำเป็นจะต้องใช้เงินกองทุนฯ ในการดำเนินโครงการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งในขณะนี้กองทุนฯ มีภาระผูกพันเงินกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2538-2546 อยู่จำนวน 7,309.58 ล้านบาท และหากกองทุนฯ ยังมีแผนความต้องการในการใช้จ่ายเงินอยู่ต่อไปอีกในอนาคต โดยไม่มีการเพิ่มอัตราการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ก็จะทำให้กองทุนฯ มีเงินไม่พอจ่ายตามแผนในอนาคต รวมทั้งในส่วนของการพัฒนาด้านการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศต่อไป จะเห็นได้จากประมาณการรับ-จ่ายเงินงบประมาณ พ.ศ. 2547 กองทุนฯ มีเงินคงเหลือสุทธิ ณ วันที่ 30 กันยายน 2547 เท่ากับ 89.61 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอในการนำเงินกองทุนฯ ส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน จำนวน 1,000 ล้านบาท ดังนั้น จึงเห็นควรที่จะชะลอการนำส่งเงินเข้ารายได้แผ่นดินออกไปอีกระยะหนึ่งจนกว่ากองทุนฯ จะมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะนำส่งเข้ารายได้แผ่นดินได้
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และเห็นชอบให้ สนพ. ยังไม่ต้องนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดินในขณะนี้ จนกว่ากระทรวงการคลังจะออกข้อบังคับ
เรื่องที่ 2 รายงานการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 ช่วงปีงบประมาณ 2543-2544
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่ คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2541 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2541 ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อทำหน้าที่ประเมินผลโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
2. คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2544ได้มีมติเห็นชอบให้ สนพ. ดำเนินการว่าจ้างบริษัทคอนซัลแทนท์ ออฟ เทคโนโลยี จำกัด และบริษัทแม็กซิม ยูนิกรุ๊ป จำกัด เป็นที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 ในวงเงิน 39,632,265 บาท โดยที่ปรึกษาจะต้องทำการประเมินผลโครงการที่ได้รับการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ หรือมีผลดำเนินงานในช่วงปีงบประมาณ 2543-2544 และที่ปรึกษาได้นำเสนอรายงานฉบับสมบูรณ์การติดตามประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 ให้คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ พิจารณาแล้ว ในการประชุมครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 16) เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2546 และที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบตามที่เสนอ และเห็นชอบให้ที่ปรึกษานำผลการประเมินแผนอนุรักษ์พลังงานดังกล่าว เสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ
3 . ที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า การประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 เป็นการประเมินผลครึ่งแผนของแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 (ปีงบประมาณ 2543-2547) เป็นการประเมินผลโครงการที่อยู่ภายใต้แผนงานรองทั้ง 3 แผนงาน คือ แผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน ที่อยู่ระหว่างดำเนินการหรือเห็นผลดำเนินการในช่วงปีงบประมาณ 2543-2544 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์กระบวนการดำเนินการ ผลการดำเนินการ ประสิทธิภาพ (Efficiency) ประสิทธิผล (Effectiveness) ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินโครงการต่างๆ ทั้งทางเทคนิค การใช้งบประมาณ และทรัพยากรในการดำเนินงาน รวมถึงเสนอทางเลือกในการดำเนินการ (Alternative Method) เพื่อนำไปพัฒนาปรับปรุงแผนงานในระยะต่อไป และเพื่อประเมินผลกระทบของการดำเนินโครงการทั้งทางด้านพลังงาน เศรษฐศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ซึ่งสามารถสรุปผลได้ดังนี้
3.1 แผนงานภาคบังคับ
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เป็นผู้รับผิดชอบโครงการภายใต้แผนงานนี้ พบว่า การดำเนินงานด้านกระบวนการดี เมื่อพิจารณาจากศักยภาพของโครงการประสิทธิภาพของแผนงานค่อนข้างดี ประสิทธิผลค่อนข้างต่ำ และมีผลกระทบในด้านบวก เนื่องจากโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ที่กำลังใช้งาน ซึ่งเป็นโครงการที่มีสัดส่วนด้านการอนุรักษ์พลังงานมากแต่มีประสิทธิผลอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ดังนั้น จึงทำให้ภาพรวมของแผนงานภาคบังคับมีประสิทธิผลอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ จึงไม่สามารถตอบสนองต่อเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานที่กำหนดไว้ในแผนงานภาคบังคับได้
3.2 แผนงานภาคความร่วมมือ
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เป็นผู้รับผิดชอบโครงการภายใต้แผนงานนี้ พบว่า การดำเนินงานด้านกระบวนการ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และผลกระทบค่อนข้างดี แต่เมื่อพิจารณาประสิทธิผลการบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานในภาพรวมของแผนงานภาคความร่วมมือแล้ว พบว่า ประสิทธิผลค่อนข้างต่ำ เนื่องจากวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการย่อยต่างๆ สนองตอบต่อเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานของแผนงานได้น้อย อีกทั้งโครงการที่ดำเนินการส่วนใหญ่เป็นโครงการศึกษาวิจัย พัฒนาและสาธิต ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลทางด้านการทดแทนพลังงานไฟฟ้า/เชื้อเพลิง และความต้องการพลังงานไฟฟ้าได้ทันที
3.3 แผนงานสนับสนุน
สนพ. เป็นผู้รับผิดชอบโครงการภายใต้แผนงานนี้ พบว่า การดำเนินงานด้านกระบวนการ ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลค่อนข้างดี ส่วนผลกระทบนั้นยังไม่ชัดเจน เนื่องจากการดำเนินงานอยู่ในลักษณะการให้การสนับสนุนช่วยเหลือ จึงไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการประหยัดพลังงานโดยตรงหรือทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการพัฒนาบุคลากร ซึ่งต้องรอเวลาให้ผู้ที่ได้รับการพัฒนาแล้วปฏิบัติงานต่อไปภายหลังจากเสร็จสิ้นโครงการแล้ว และโครงการที่เสร็จสิ้นแล้วมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถดำเนินการให้ยั่งยืนต่อเนื่องได้
3.4 สรุปผลการประเมินในภาพรวม
พบว่าการดำเนินงานด้านกระบวนการ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลค่อนข้างดี และผลกระทบค่อนข้างดี แต่เมื่อประเมินผลโดยยึดเอาเป้าหมายด้านการทดแทนและประหยัดพลังงานของแผนอนุรักษ์พลังงานแล้ว พบว่าการดำเนินงานด้านกระบวนการ ประสิทธิภาพ และผลกระทบค่อนข้างดี ส่วนประสิทธิผลค่อนข้างต่ำ เนื่องจากแผนงานภาคบังคับเป็นแผนงานที่ส่งผลกระทบถึงเป้าหมายของการอนุรักษ์พลังงานโดยตรงที่สำคัญที่สุด และแผนงานภาคความร่วมมือที่มีเป้าหมายการทดแทนพลังงานไฟฟ้าและเชื้อเพลิงมีประสิทธิผลการอนุรักษ์พลังงานอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
3.5 ข้อเสนอแนะ
ที่ปรึกษาประเมินผลมีข้อเสนอแนะที่สำคัญในการดำเนินการแผนอนุรักษ์พลังงานต่อไป ดังนี้
(1) การบูรณาการแผนงานรองทั้ง 3 แผนงาน
(2) ปรับปรุงแนวทางในการสนับสนุนโครงการในแผนงานภาคความร่วมมือ
(3) การจัดทำดัชนีเกี่ยวกับ Energy Intensity เพื่อใช้สำหรับการวางแผนเชิงนโยบาย และการกำหนดแนวทางของมาตรการเพื่ออนุรักษ์พลังงาน
(4) การปรับปรุงแผนอนุรักษ์พลังงานในเชิงนโยบาย เช่น แผนงานภาคบังคับ ควรมีการพิจารณาปรับเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ปรับแนวทางการดำเนินงานโดยเน้นผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการ ทบทวนมาตรการการให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ เช่น
แผนงานภาคบังคับ : การปรับเป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงานให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ปรับแนวทางการดำเนินงานโดยเน้นผลลัพธ์มากกว่าขั้นตอนกระบวนการ การทบทวนมาตรการการให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ ในการทำรายงานฯ ทบทวนบทบาทให้ความสำคัญแก่ภาคเอกชนในการมีส่วนร่วมมากขึ้นทั้งในด้านการปฎิบัติงาน สนับสนุน ส่งเสริม โดยรัฐเป็นผู้ชี้นำและผลักดัน เป็นต้น
แผนงานภาคความร่วมมือ : ควรมีการกำหนดประเภทโครงการที่จะให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ ผลักดันให้เกิดธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงานอย่างครบวงจร
แผนงานสนับสนุน : ควรเน้นการพัฒนาบุคลากรในทุกระดับตามความต้องการของทั้งแผนงานภาคบังคับและแผนงานภาคความร่วมมือ เป็นต้น
3.6 ข้อเสนอแนะในการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานครั้งต่อไป
ที่ปรึกษาประเมินผลได้มีข้อเสนอแนะสำหรับแนวทางการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานในครั้งต่อไป โดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน และประสบการณ์จากการประเมินผลในครั้งนี้ จึงได้เสนอแนวทางการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานในครั้งต่อไปเป็น 2 ระดับ และในการติดตามประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ควรมีการพัฒนาระบบจัดการฐานข้อมูลที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการติดตามประเมินผลโครงการได้อย่างต่อเนื่อง แนวทางการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน 2 ระดับ มีดังนี้
(1) การประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนอนุรักษ์พลังงาน ควรดำเนินการประเมินผลในช่วงที่มีการดำเนินการไปแล้วครึ่งหนึ่งของแผนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อติดตามประเมินผลและให้ข้อเสนอแนะสำหรับการปรับปรุงแผนในระยะเวลาที่เหลือ และเมื่อสิ้นสุดการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยการติดตามตรวจสอบสถานภาพแผนงานรองทั้ง 3 แผน ประกอบด้วย จำนวน งบประมาณ ประมาณการประหยัดพลังงานและการทดแทนพลังงานของทุกโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุน เป็นต้น ประเมินผลโครงการโดยการสำรวจภาคสนาม โดยการจำแนกกลุ่มและคัดเลือกตามหลักสถิติ และติดตามตรวจสอบ (Follow Up) การดำเนินงานต่อเนื่องของโครงการที่เสร็จสิ้นแล้วที่ได้ผ่านการประเมินในครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2
(2) การติดตามประเมินผลรายโครงการ ซึ่งสามารถดำเนินการติดตามและประเมินผลได้ตลอดเวลาตั้งแต่ก่อนเริ่มโครงการ กำลังดำเนินการ และเสร็จสิ้นโครงการ การพิจารณาเลือกติดตามและประเมินผลโครงการใดๆ นั้น ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการประเมิน หรือ ความสำคัญของโครงการ เช่น พิจารณาจากโครงการที่มีศักยภาพด้านการอนุรักษ์พลังงานสูง หรือ โครงการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ที่ต้องประเมินทันที เมื่อโครงการเสร็จสิ้นเพื่อทราบกระบวนการ ประสิทธิผล ประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นจากโครงการอย่างแท้จริง เป็นต้น
มติที่ประชุม
รับทราบและเห็นชอบผลการประเมินแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 ตามที่บริษัทที่ปรึกษานำเสนอ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ในปี 2544 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุนฯ ในขณะนั้น ให้ทำกิจกรรมการรณรงค์ให้ประชาชนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน และเนื่องจากเห็นว่ามาตรการปิดถนนบางส่วนในบางช่วงเวลาในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นมาตรการที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามามีส่วนร่วมและสามารถลดการใช้พลังงานลงได้ สนพ. จึงได้เชิญผู้เชี่ยวชาญและผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อหารือและพิจารณาถึงความเป็นไปได้และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากมีการปิดถนนบางส่วนในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เป็นผู้จัดทำแผนการดำเนินงานและให้มีการจัดตั้ง "คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษและส่งเสริมการท่องเที่ยว" เพื่อทำหน้าที่ในการพิจารณารายละเอียดการดำเนินงานของโครงการฯ และกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างรัดกุมและคุ้มค่ากับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุม ครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน ปีงบประมาณ 2545 ให้ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของโครงการดังกล่าว ภายใต้ชื่อว่า "7 มหัศจรรย์ที่สีลม" ในวงเงิน 33,073,000 บาท (สามสิบสามล้านเจ็ดหมื่นสามพันบาทถ้วน) โดย มจธ. ได้จ้าง บริษัท เจเอส แอล จำกัด เป็นผู้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ และ บริษัทแอคทวิน เอเซีย จำกัด เป็นผู้รับจ้างช่วงจาก บริษัท เจเอส แอล จำกัด
3. หลังจากกิจกรรม "7 มหัศจรรย์ที่สีลม" เสร็จสิ้นลงเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2544 คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ ได้มีมติให้ดำเนินโครงการปิดถนนสีลมต่อไปเพื่อให้ถนนสีลมเป็นถนนคนเดิน ที่ยั่งยืนและมีความต่อเนื่อง โดยเน้นการจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น และใช้งบประมาณของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2545 ได้อนุมัติงบประมาณ "โครงการเที่ยวทั่วไทยไปได้ทุกเดือน" โดยมีงบประมาณที่จะใช้ใน "โครงการปิดถนนสีลมฯ" รวมอยู่ด้วยในจำนวนเงิน 26 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่าย เป็นเวลา 52 สัปดาห์ ของปี 2545 โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2545 เป็นต้นมา และเพื่อมิให้เกิดความล่าช้าและเกิดภาวะชะงักงัน ซึ่งจะมีผลให้โครงการขาดความต่อเนื่อง คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ จึงเห็นชอบและมอบหมายให้ บริษัทแอคทวิน เอเซีย จำกัด ดำเนินกิจกรรม "โครงการปิดถนนสีลมฯ" ต่อไป โดยให้บริษัทฯ สำรองจ่ายค่าใช้จ่ายในการดำเนินการไปก่อน
4. คณะทำงานบริหารจัดการโครงการปิดถนนสีลม ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะอนุกรรมการอำนวยการโครงการปิดถนนฯ ในการประชุมครั้งที่ 7/2545 เมื่อวันศุกร์ที่ 26 เมษายน 2545 ได้พิจารณาเรื่องการเบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายโครงการปิดถนนสีลม ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2545- 21 เมษายน 2545 คืนให้กับ บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด แต่ปรากฏว่า ททท. ยังไม่สามารถดำเนินการจัดจ้างและเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวคืนให้บริษัทฯ ได้ และคณะทำงานฯ จึงได้มีมติให้ประธานคณะทำงานฯ (นางจุฑามาศ ศิริวรรณ) พิจารณานำเรื่องเสนอ "คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย" เพื่อพิจารณานำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พิจารณาอนุมัติให้ ททท. ทำการว่าจ้างบริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เป็นผู้รับจ้างจัดกิจกรรมต่างๆ บนถนนสีลมทุกอาทิตย์ ก่อนได้รับเงินงวด พร้อมทั้งขออนุมัติให้มีผลการจ้างตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2545
5. ททท. ได้มีหนังสือแจ้งให้คณะทำงานฯ ทราบว่า ททท. ไม่สามารถดำเนินการตามมติคณะทำงานฯ ที่ให้ ททท. นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติจ้างบริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด โดยให้มีผลการจ้างตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2545 ได้ เนื่องจากขัดต่อข้อบังคับของ ททท. ว่าด้วยการพัสดุ ซึ่งกำหนดว่าการจัดจ้างต้องดำเนินการแล้วเสร็จก่อนงานเริ่ม แต่อย่างไรก็ตาม ททท. ได้ดำเนินการจัดจ้าง บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด แล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2545 โดยมีระยะเวลาดำเนินกิจกรรมจนถึงธันวาคม 2545
6. บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด ได้มีหนังสือลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2546 ถึง รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เพื่อขอให้พิจารณาเรื่องการเบิกค่าจ้างดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลม ในช่วงวันที่ 6 มกราคม - 28 เมษายน 2545 เป็นจำนวนเงิน 12,329,978.04 บาท ซึ่งสรุปได้ดังนี้
| 1. ค่าใช้จ่ายเดือนมกราคม 2545 (รวม 4 สัปดาห์) | 1,848,960.00 บาท |
| 2. ค่าใช้จ่ายเดือนกุมภาพันธ์ 2545 (รวม 4 สัปดาห์) | 4,118,574.45 บาท |
| 3. ค่าใช้จ่ายเดือนมีนาคม 2545 (รวม 5 สัปดาห์) | 2,471,914.00 บาท |
| 4. ค่าใช้จ่ายเดือนเมษายน 2545 (รวม 4 สัปดาห์) | 3,890,529.59 บาท |
| รวมค่าใช้จ่ายที่บริษัทจ่ายไปล่วงหน้า | 12,329,978.04 บาท |
7. รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ได้มีบัญชาให้ สนพ. ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำร้องขอของ บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด ตามข้อ 2 โดย สนพ. ได้พิจารณาแล้วและนำมาสรุปความเห็นได้ดังนี้
(1) บริษัทแอคทวิน เอเซีย จำกัด ได้ดำเนินกิจกรรม "โครงการปิดถนนสีลมฯ" ตามมติและความเห็นที่คณะอนุกรรมการฯ ได้มอบหมายให้ดำเนินการ ซึ่งบริษัทฯ รับทราบว่าภายหลังจากที่ ททท. ได้รับโอนเงินงบประมาณเรียบร้อยแล้ว จะมีการชำระคืนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ โดยการดำเนินกิจกรรมของบริษัทฯ ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น มีผลงานเป็นที่ปรากฏและรับทราบโดยประชาชนทั่วไป ซึ่งคณะทำงานฯ และคณะอนุกรรมการฯ ก็ได้รับทราบความก้าวหน้าของงานทั้งจากการไปร่วมกิจกรรมบนถนนสีลมที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกวันอาทิตย์ และรับทราบจากที่ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานต่อที่ประชุมแต่ละครั้ง
(2) ททท. หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณจากคณะรัฐมนตรี เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการนี้ ไม่มีเจตนาที่จะไม่จ่ายเงินค่าจ้างให้กับบริษัทฯ แต่เนื่องจากมีข้อบังคับด้านพัสดุ จึงทำให้ไม่สามารถจัดจ้าง บริษัทแอคทวิน เอเซีย จำกัด ในช่วงเดือนมกราคม 2545- เมษายน 2545 และส่งผลให้ ททท. ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินค่าจ้างจำนวนดังกล่าว คืนให้บริษัทฯ ได้
จากข้อ 7 จะเห็นได้ว่าเหตุแห่งความเสียหายที่บริษัทฯ ได้รับ มิได้เกิดจากเจตนาของบริษัทฯ หากแต่เป็นการดำเนินการตามที่ภาครัฐได้มอบหมาย ประกอบกับจากการที่กองทุนฯ เป็นผู้สนับสนุนและก่อให้เกิด "โครงการปิดถนนสีลมฯ" ในช่วงต้น และอาศัยข้อกำหนดแห่งระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 4 "---ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการได้ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง" สนพ. จึงมีความเห็นว่า หากคณะกรรมการกองทุนฯ เห็นควรแก้ไขปัญหาดังกล่าว อาจจำเป็นต้องใช้เงินจากกองทุนฯ จ่ายคืนให้กับบริษัทฯ และเนื่องจากโครงการนี้ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว คณะกรรมการกองทุนฯ คงต้องอนุมัติให้ สนพ. ยกเว้นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ เพื่อสามารถจัดจ้าง บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เป็นกรณีพิเศษ คือ ไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการจัดจ้างและคณะกรรมการตรวจรับ และให้ สนพ. ใช้ใบแจ้งหนี้ของบริษัทเป็นหลักฐานในการจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ สนพ. ประสานงานกับบริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เพื่อขอหลักฐานและรายละเอียดการใช้จ่ายเงินเพิ่มเติม และเจรจาต่อรองกับบริษัทฯ ให้ปรับลดค่าใช้จ่ายที่จะขอรับจากกองทุนฯ ตามข้อเสนอแนะของกรรมการกองทุนฯ แล้วส่งให้กระทรวงการคลังพิจารณายกเว้นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ ในการจัดจ้าง บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เป็นกรณีพิเศษ
2. เห็นชอบให้ สนพ. อาศัยข้อกำหนดแห่งระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 4 "---ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการได้ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง" ในการดำเนินการจัดจ้าง และการจ่ายเงินค่าจัดจ้างให้ บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลม ของ บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด ในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2545
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2542 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ในช่วง ปีงบประมาณ 2543-2547 ให้ พพ. และ สนพ. ใช้เป็นเป็นแนวทางดำเนินการเพื่อก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงระยะเวลาดำเนินการตามแผนงาน 5 ปี ดังกล่าว คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบให้ พพ. และ สนพ. ใช้เงินจากกองทุนฯ ภายในกรอบวงเงิน 29,110.61 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ และโครงการบริหารงานตามกฎหมายส่วนของ สนพ. ที่บรรจุอยู่ในแผนอนุรักษ์พลังงานดังกล่าว ได้รับการจัดสรรวงเงินไว้จำนวน 552.15 ล้านบาท ซึ่งเมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณ 2546 ปรากฏว่ามีการจัดสรรเงินกองทุนฯ โครงการบริหารงานตามกฎหมาย ตั้งแต่ปี 2543-2546 รวมทั้งสิ้นเป็นจำนวนเงิน 390.95 ล้านบาท และมีงบประมาณคงเหลือประมาณ 161.20 ล้านบาท
2. คณะอนุกรรมการการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 7/2546 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 ได้พิจารณาคำของบประมาณโครงการบริหารงานตามกฎหมายของ สนพ. ซึ่งขอความเห็นชอบงบประมาณในวงเงิน 153.94 ล้านบาท และที่ประชุมมีความเห็นว่า งบประมาณรวมของโครงการบริหารงานตามกฎหมายยังมีเงินคงเหลืออยู่เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 161.20 ล้านบาท ประกอบกับแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณโครงการบริหารงานตามกฎหมาย ปี 2547 ประมาณการไว้เพียง 120.65 ล้านบาท ดังนั้น เงินงบประมาณโครงการบริหารงานตามกฎหมายจึงมีจำนวนเพียงพอที่จะนำมาจัดสรรให้ สนพ. เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายดังกล่าว ได้อยู่แล้ว ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
3. คณะกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ 4/2546 (ครั้งที่ 36) เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2546 ได้พิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2547 โครงการบริหารงานตามกฎหมายของ สนพ. พพ. และ บก. และที่ประชุมได้มีมติให้ สนพ. และ พพ. ดำเนินการปรับปรุงประมาณการค่าใช้จ่ายให้ชัดเจน โดยให้มีตัวชี้วัดผลงานหลักประกอบการพิจารณาคำขอตั้งงบประมาณ และมอบหมายให้คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน คือ นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ นายพรายพล คุ้มทรัพย์ และ นายอัศวิน คงสิริ ร่วมให้คำปรึกษาแนะนำการจัดทำงบประมาณของ สนพ. และ พพ. ด้วย
4. คณะอนุกรรมการฯ และคณะทำงานซึ่งเป็นคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ร่วมพิจารณาคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2547 โครงการบริหารงานตามกฎหมายของ สนพ. และ พพ. ในการประชุมครั้งที่ 7/2546 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน 2546 โดยได้พิจารณาตามหมวดค่าใช้จ่ายทั้ง 5 หมวด โดยเฉพาะหมวดรายจ่ายอื่นได้พิจารณาถึงผลการดำเนินงานมีตัวชี้วัดผลงานหลักประกอบการพิจารณาแล้ว เห็นชอบตามที่เสนอ และเนื่องจาก สนพ. และ พพ. มีความจำเป็นเร่งด่วนต้องใช้งบประมาณรายจ่ายบางรายการในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2547 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 ดังนั้นประธานกรรมการกองทุนฯ จึงเห็นชอบให้สนพ. ดำเนินการทำหนังสือเวียนคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2547 โครงการบริหารงานตามกฎหมายของ สนพ. และ พพ. ในหมวดรายจ่ายค่าจ้างชั่วคราว หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ และหมวดค่าสาธารณูปโภค เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ สนพ. ในวงเงิน 24,784,120 บาท และ พพ. ในวงเงิน 69,411,380 บาท ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติแล้วตามหนังสือคณะกรรมกรกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ด่วนที่สุด ที่ พน 0603.3/ว 3156 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2546
โดยให้ถัวจ่ายรายการต่าง ๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานพิจารณาอนุมัติและรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ใคร่ขอนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา งบประมาณฯ สำหรับหมวดค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง และหมวดรายจ่ายอื่น ดังต่อไปนี้
หน่วย : บาท
| หมวดรายจ่าย | สนพ. | พพ. | รวม |
| 1. ค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง | 2,272,000.00 | 22,157,455.00 | 24,429,455.00 |
| 2. รายจ่ายอื่น | 126,882,110.00 | 411,525,000.00 | 538,407,110.00 |
| รวม | 129,154,110.00 | 433,682,455.00 | 562,836,565.00 |
โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานพิจารณาอนุมัติและรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2547 โครงการบริหารงานตามกฎหมาย รวม 2 หมวดรายจ่าย ในวงเงิน 129,154,110 บาท (หนึ่งร้อยยี่สิบเก้าล้านหนึ่งแสนห้าหมื่นสี่พันหนึ่งร้อยสิบบาทถ้วน) โดยขยายกรอบวงเงินงบประมาณ ปี 2547 จากเดิมที่ได้จัดสรรไว้ 120.65 ล้านบาท เป็น 153.94 ล้านบาท (153,938,230 บาท) ซึ่งอยู่ภายในวงเงินที่อนุมัติในกรอบของแผนอนุรักษ์พลังงานปีงบประมาณ 2543 - 2547 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ สนพ. ในการบริหารงานตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานพิจารณาอนุมัติ และรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
2. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2547 โครงการบริหารงานตามกฎหมายเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ของ พพ. รวม 2 หมวดรายจ่าย ในวงเงิน 433,682,455 บาท (สี่ร้อยสามสิบสามล้านหกแสนแปดหมื่นสองพันสี่ร้อยห้าสิบห้าบาทถ้วน) ในการบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 โดยให้ถัวจ่ายรายการต่าง ๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน พิจารณาอนุมัติและรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
3. โดยให้มีผลการเบิก - จ่าย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 เป็นต้นไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2542 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 และได้เห็นชอบให้ พพ. และ สนพ. ใช้เงินจากกองทุนฯ ภายในกรอบวงเงิน 29,110.61 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนดังกล่าว ซึ่งโครงการพัฒนาบุคลากรเป็นหนึ่งโครงการที่บรรจุอยู่ในแผนดังกล่าว ได้รับการจัดสรรวงเงินไว้ 1,688 ล้านบาท แบ่งการจัดสรรออกเป็น ปีงบประมาณ 2543 ในวงเงิน 316 ล้านบาท และตั้งแต่ปีงบประมาณ 2544-2547 ได้รับจัดสรรปีละ 343 ล้านบาท ซึ่งเมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณ 2546 ปรากฏว่ามีการจัดสรรเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากร ตั้งแต่ปี 2543-2546 รวมทั้งสิ้นเป็นจำนวนเงิน 1,331.04 ล้านบาท และมีงบประมาณคงเหลือประมาณ 504.31 ล้านบาท
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2545 ได้อนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2546 ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ "โครงการก่อสร้างศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน" ขึ้น ณ อาคารอนุรักษ์พลังงานเฉลิมพระเกียรติ บริเวณเทคโนธานี จ.ปทุมธานี ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 147,446,000 บาท ประกอบด้วย "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงาน" ในวงเงิน 12,446,000 บาท และค่าใช้จ่ายในกิจกรรม "โครงการก่อสร้างศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน" ในวงเงิน 135 ล้านบาท
3. พพ. ได้ดำเนินการทำสัญญาว่าจ้างที่ปรึกษาคุมงานก่อสร้าง ในวงเงิน 12,440,000 บาท แล้ว เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2546 แต่สำหรับการคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมาดำเนินการก่อสร้างศูนย์ฯ นั้นมีความล่าช้าไปจากกำหนดเดิม เนื่องจากจำเป็นต้องมีการปรับปรุงรายละเอียดคุณสมบัติของอุปกรณ์ 54 เทคโนโลยี ที่จะนำมาติดตั้งสาธิตและจัดแสดงเกี่ยวกับเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานในศูนย์ฯ ให้ทันสมัย ซึ่ง พพ. เพิ่งจะจัดทำข้อกำหนด (TOR) เสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์เมื่อเดือนกันยายน 2546 จึงเป็นเหตุให้ พพ. ไม่สามารถทำข้อผูกพันได้ทันภายในปีงบประมาณ 2546 และตามข้อ 2 คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติกรอบการใช้เงิน "โครงการก่อสร้างศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน" ไว้ในโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 ประกอบกับจากเหตุผลตามข้อ 2 ทำให้ พพ. ไม่สามารถทำข้อผูกพันกับผู้รับจ้างได้ทันภายในปีงบประมาณ 2546 และเนื่องจากกรมบัญชีกลางได้มีความเห็นว่า ตามกรอบงบประมาณ 2546 ไม่ได้รวมถึงค่ากิจกรรมโครงการก่อสร้างศูนย์ฯ ไว้ด้วย จึงไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้ พพ. ได้
4. พพ. จึงได้มีหนังสือที่ พน 0503/11683 ลงวันที่ 9 กันยายน 2546 เพื่อขอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ พพ. ดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานได้ในปีงบประมาณ 2547 สนพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 7/2546 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว มีความเห็นว่าเนื่องจากงบประมาณรวมของโครงการพัฒนาบุคลากรยังมีเงินคงเหลืออยู่เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 504.31 ล้านบาท ประกอบกับแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2547 ประมาณการไว้เพียง 343 ล้านบาท ดังนั้นเงินงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากรจึงมีจำนวนเพียงพอที่จะนำมาจัดสรรให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการ ดังกล่าวได้อยู่แล้ว ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ สนพ. ดำเนินการตามแผนงานโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2547 โดยให้ขยายกรอบวงเงินงบประมาณปี 2547 จากเดิม ที่ได้จัดสรรไว้ 343 ล้านบาท (สามร้อยสี่สิบสามล้านบาทถ้วน) เป็น 478 ล้านบาท (สี่ร้อยเจ็ดสิบแปดล้านบาทถ้วน) โดยงบประมาณที่ขยายเพิ่มขึ้น 135 ล้านบาท (หนึ่งร้อยสามสิบห้าล้านบาทถ้วน) นั้น ให้ใช้สำหรับกิจกรรม "โครงการก่อสร้างศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน" ตามข้อเสนอของ พพ. ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบไว้แล้วในการประชุมเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2545
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2546 (ครั้งที่ 33) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2546 พิจารณาว่าเพื่อให้การบริหารงานกองทุนฯ และการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานเป็นเอกภาพ มีความคล่องตัว ที่ประชุมจึงได้มมติมอบอำนาจปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการกองทุนฯ และ/หรือคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ให้ อพพ. และ ผอ.สนพ.
2. ในการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่ 7/2546 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 ผู้แทนกรมบัญชีกลางได้ขอหารือเพื่อซ้อมความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันในเรื่องขอบเขตอำนาจที่ อพพ. และ ผอ.สนพ. ซึ่งได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการกองทุนฯ กรณี "การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือแผนการงานของโครงการใดๆ" ปรากฏตามข้อความดังต่อไปนี้ "
(1) การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือแผนการงานของโครงการใดๆ ภายใต้แผนงานภาคบังคับ ตามที่มีผู้ได้รับจัดสรรเงินขอเปลี่ยนแปลง ให้นำเสนอผู้มีอำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้
อพพ. กรณีไม่เกิน 10 ล้านบาท หรือเกิน 10 ล้านบาท แต่ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
คณะอนุกรรมการฯ กรณีเกิน 10 ล้านบาท และมีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและ/หรือทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
(2) การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือแผนการงานของโครงการใดๆ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือและแผนงานสนับสนุน ตามที่มีผู้ได้รับจัดสรรเงินขอเปลี่ยนแปลง ให้นำเสนอผู้มีอำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้
ผอ.สนพ. กรณีไม่เกิน 10 ล้านบาท หรือเกิน 10 ล้านบาท แต่ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
คณะอนุกรรมการฯ กรณีเกิน 10 ล้านบาท และมีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและ/หรือทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง"
โดยผู้แทนกรมบัญชีกลางได้มีความเห็นว่า ข้อความ "การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือแผนการงานของโครงการใดๆ" นั้น น่าจะไม่ครอบคลุมถึงการโอนเปลี่ยนแปลงเงินจากหมวดรายจ่ายหนึ่งไปใช้ในอีกหมวดรายจ่ายหนึ่งด้วย คณะอนุกรรมการฯ ได้รับทราบข้อหารือเพื่อซ้อมความเข้าใจตามที่ผู้แทนกรมบัญชีกลางนำเสนอแล้ว และที่ประชุมเห็นสมควรเสนอประเด็นดังกล่าวให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
มติที่ประชุม
คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบในการมอบอำนาจปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการกองทุนฯ และ/หรือคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้ คณะอนุกรรมการฯ และ/หรือ ผอ.สนพ และ/หรือ อพพ. เพิ่มเติม ในกรณีการพิจารณาอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลง กิจกรรมหรือแผนงานโครงการใดๆ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ แผนงานสนับสนุน และ/หรือแผนงานภาคบังคับ ที่ผู้ได้รับการจัดสรรเงินขอเปลี่ยนแปลง ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2546 (ครั้งที่ 33) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 254 ได้มีมติเห็นชอบไปแล้วนั้น ให้ครอบคลุมถึงการมีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติการโอนเปลี่ยนแปลงเงินจากหมวดรายจ่ายหนึ่งไปใช้ในอีกหมวดรายจ่ายหนึ่ง ภายใต้แผนงานเดียวกัน และภายในวงเงินตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มอบอำนาจไว้ตามหนังสือที่อ้างถึงดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ ให้มตินี้มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2546
กอ. ครั้งที่ 36 - วันจันทร์ที่ 29 กันยายน 2546

มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 4/2546 (ครั้งที่ 36)
วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2546 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมธำรงนาวาสวัสดิ์ ชั้น 3
อาคารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานฐานะเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
3. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ 1
6. มอบอำนาจในการพิจารณาขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เกิน 3 เดือนหลังสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายเชิดพงษ์ สิริวิชช์) กรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ผู้เข้าร่วมประชุม
เรื่องที่ 1 รายงานฐานะเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนฯ ซึ่งได้มีการรับ-จ่ายเงินกองทุนฯ ประจำไตรมาสที่ 3 ตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายน 2546 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2546 มีเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคาร ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2546 เป็นเงิน 11,084,789,080.14 บาท
2. เงินกองทุนฯ ตามประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ตั้งแต่ ปี 2543 ถึง ปี 2547 เป็นจำนวน 29,110.61 ล้านบาท คณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาอนุมัติโครงการแล้ว จำนวน 20,356.85 ล้านบาท มีเงินคงเหลืออีก 8,753.76 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 แผนงาน ได้แก่ แผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน สรุปได้ดังนี้
(1) แผนงานภาคบังคับ โดย พพ. เป็นผู้รับผิดชอบบริหารการใช้จ่ายสำหรับโครงการต่างๆ รวม 4 โครงการ ได้แก่ โครงการอาคารของรัฐ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง โครงการประชาสัมพันธ์ ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติเป็นจำนวน 8,906.80 ล้านบาท และได้ดำเนินการเบิกจ่าย ผูกพันและคาดว่าจะผูกพัน ไปแล้วจำนวน 8,764.01 ล้านบาท คงเหลือจำนวน 142.79 ล้านบาท
(2) แผนงานภาคความร่วมมือ โดย สนพ. เป็นผู้รับผิดชอบบริหารการใช้จ่ายเงินสำหรับโครงการต่างๆ รวม 5 โครงการ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา โครงการโรงงานและอาคารทั่วไปที่กำลังใช้งาน ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติเป็นจำนวน 4,325.69 ล้านบาท และได้ดำเนินการเบิกจ่ายและผูกพันไปแล้วจำนวน 3,653.40 ล้านบาท คงเหลือจำนวน 672.29 ล้านบาท
(3) แผนงานสนับสนุน โดย สนพ. เป็นผู้รับผิดชอบบริหารการใช้จ่ายเงินสำหรับโครงการพัฒนาบุคลากร โครงการประชาสัมพันธ์ และโครงการบริหารงานตามกฎหมาย เป็นจำนวน 7,124.36 ล้านบาท ดำเนินการเบิกจ่ายและผูกพันไปแล้ว จำนวน 5,700.75 ล้านบาท คงเหลือจำนวน 1,423.02 ล้านบาท
(4) สรุปฐานะเงินกองทุนฯ ตั้งแต่ปี 2543 - 2547
หน่วย : ล้านบาท
| รายการ | อนุมัติกรอบ | อนุมัติ | จ่ายจริง +ผูกพัน +คาดว่าจะผูกพัน |
คงเหลือ |
| แผนงานภาคบังคับ* | 17,021.30 | 8,906.80 | 8,764.01 | 142.79 |
| แผนงานภาคความร่วมมือ | 6,422.00 | 4,325.69 | 3,653.40 | 672.29 |
| แผนงานสนับสนุน** | 5,667.31 | 7,124.36 | 5,700.75 | 1,423.02 |
| รวม | 29,110.61 | 20,356.85 | 18,118.16 | 2,238.10 |
หมายเหตุ
* พพ. คาดว่าจะผูกพันเป็นจำนวน 6,084.11 ล้านบาท
** พพ. มีประมาณการคาดว่าจะผูกพัน จำนวน 634.59 ล้านบาท
3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ได้ให้ข้อสังเกตว่า การรายงาน การรับ-จ่ายเงิน ควรมีรูปแบบที่มีรายละเอียดของแต่ละโครงการ ของแต่ละแผนงานให้ชัดเจนว่าได้รับอนุมัติเงินจากองทุนฯ ตามมติเท่าใด เบิกจ่ายเท่าใด ผูกพันเท่าใด คงเหลือเท่าใด เพื่อคณะกรรมการกองทุนฯ จะได้รับทราบถึงฐานะการเงินของกองทุนฯ และใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้สนับสนุนโครงการต่างๆ
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและให้ฝ่ายเลขานุการฯ ปรับรูปแบบของรายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนฯ ให้มีรายละเอียดการใช้จ่ายเงินของแต่ละโครงการที่ชัดเจน ตามข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เรื่องที่ 2 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 35) เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2546 ได้พิจารณาข้อเสนอของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก จำนวน 6 โครงการ ที่ได้ยื่นข้อเสนอขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน โดยที่ประชุมได้มีมติให้ สนพ. จัดทำข้อมูลด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กทั้ง 6 โครงการ ที่มีรายละเอียดเพียงพอต่อการพิจารณาตัดสินใจ แล้วเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง โดยผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก 6 รายมีรายชื่อดังต่อไปนี้
| เจ้าของโครงการ | สถานที่ตั้ง | เชื้อเพลิง พลังงาน |
พลังไฟฟ้าเฉลี่ยเข้าระบบ (MW) |
อัตราขอรับเงินสนับสนุน (บาท/kwh) |
เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ (บาท) |
|
| (1) บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด | ต.บางปะกง อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา | แกลบ | 1.6 | 0.1812 | 12,037,478.80 | |
| (2) บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด | ต.บางสมัคร อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา | แกลบ เปลือกไม้ กะลาปาล์ม | 2.0 | 0.181 | 15,030,240.00 | |
| (3) บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด | ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสาราคาม จ.ฉะเชิงเทรา | แกลบ เปลือกไม้ | 16.0 | 0.183 | 119,111,040.00 | |
| (4) บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) | ต.ลำภูรา อ.ห้วยยอด จ.ตรัง | เศษไม้ยางพารา กะลาปาล์ม | 20.0 | 0.180 | 126,144,000.00 | |
| (5) บริษัท น้ำตาลสระบุรี จำกัด | ต.คำพราน อ.วังม่วง จ.สระบุรี | ชานอ้อย | 4.0 | 0.140 | 9,979,200.00 | |
| (6) บริษัท น้ำตาลตะวันออก จำกัด | ต.ห้วยโจด อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว | ชานอ้อย |
5.6 |
0.120 | 9,630,720.00 | |
2. ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กทั้ง 6 ราย ได้ส่งข้อมูลเพิ่มเติมให้ สนพ. เรียบร้อยแล้ว และสรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของแต่ละรายโดยเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด ได้ดังนี้
(1) โรงไฟฟ้าของบริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) อ.ห้วยยอด จ.ตรัง (RFP 00019) เป็นโรงไฟฟ้าใหม่ และ "เข้า" เกณฑ์ต้องทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) แต่รายงานที่จัดส่งให้ สนพ. ยังไม่ได้รับการเห็นชอบจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)
(2) โรงไฟฟ้าของบริษัท ไทยเพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา (RFP 00012) เป็นโรงไฟฟ้าที่มีการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิตจน "เข้า" เกณฑ์ต้องทำรายงาน EIA รายงานที่จัดส่งให้ สนพ. เป็นรายงาน EIA เดือนกรกฎาคม 2545 ถึง มิถุนายน 2546 ได้รับการเห็นชอบจาก สผ. แล้ว
(3) โรงไฟฟ้าของบริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา (RFP 00010) เป็นโรงไฟฟ้าที่มีการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต แต่ "ไม่เข้า" เกณฑ์ต้องจัดทำรายงาน EIA รายงานที่จัดส่งให้ สนพ. เป็นผลการวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพสิ่งแวดล้อมทั้งก่อนและหลังการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต ปรากฏว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด
(4) โรงไฟฟ้าของบริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา (RFP 00011) เป็นโรงไฟฟ้าที่มีการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต แต่ "ไม่เข้า" เกณฑ์ต้องจัดทำรายงาน EIA รายงานที่จัดส่งให้ สนพ. เป็นผลการวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพสิ่งแวดล้อมทั้งก่อนและหลังการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต ปรากฏว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด
(5) โรงไฟฟ้าของบริษัท น้ำตาลสระบุรี จำกัด อ.วังม่วง จ.สระบุรี (RFP 00031) เป็นโรงไฟฟ้าที่มีการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต แต่ "ไม่เข้า" เกณฑ์ต้องจัดทำรายงาน EIA รายงานที่จัดส่งให้ สนพ. เป็นผลการวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพสิ่งแวดล้อมทั้งก่อนและหลังการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต ปรากฏว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด ประกอบกับจากการสอบถามประชาชนในพื้นที่โดยเจ้าหน้าที่ของศูนย์ประสานงานโครงการฯ ของสนพ. ได้รับการยืนยันว่าหลังจากบริษัทฯ ปรับปรุงบ่อน้ำทิ้งแล้วก็ไม่พบปัญหาน้ำล้นจากระบบในฤดูการผลิตที่ผ่านมา
(6) โรงไฟฟ้าของบริษัท น้ำตาลตะวันออก จำกัด อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว (RFP 00067) เป็นโรงไฟฟ้าที่มีการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต แต่ "ไม่เข้า" เกณฑ์ต้องจัดทำรายงาน EIA รายงานที่จัดส่งให้ สนพ. เป็นผลการวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพสิ่งแวดล้อมทั้งก่อนและหลังการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต ปรากฏว่าคุณภาพน้ำในบ่อน้ำทิ้งมีค่าสูงเกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดมาก จากการสอบถามประชาชนในพื้นที่โดยเจ้าหน้าที่ของศูนย์ประสานงานโครงการฯ ของ สนพ. ได้รับข้อมูลว่า ในอดีตที่ผ่านมา ช่วงเวลาที่มีน้ำหลากมาก บริษัทฯ จะปล่อยน้ำทิ้งออกจากโรงงาน แต่ในปี 2546 บริษัทฯ เพิ่งทำการปรับปรุงบ่อน้ำทิ้งและระบบบำบัดเสร็จสมบูรณ์ จึงยังไม่มีข้อมูลรองรับว่าบริษัทฯ จะไม่มีการระบายน้ำทิ้งออกไปสู่สิ่งแวดล้อมอีกในช่วงที่น้ำมาก
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กฟผ. เพิ่มเติม ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 165,788,678.40 บาท (หนึ่งร้อยหกสิบห้าล้านเจ็ดแสนแปดหมื่นแปดพันหกร้อยเจ็ดสิบแปดบาทสี่สิบสตางค์) เพื่อนำไปจ่ายให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก จำนวน 5 โครงการ ที่ทำสัญญากับ กฟผ. ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กเรียบร้อยแล้ว ตามหน่วยไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ กฟผ. ในอัตรา (บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง) ที่ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละรายได้เสนอไว้ โดยกองทุนฯ จะสนับสนุนผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละราย เป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กเริ่มต้นขายและส่งมอบไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ตามปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ได้ตกลงกันไว้ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โดยผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก จำนวน 5 โครงการ มีรายชื่อดังต่อไปนี้
| เจ้าของโครงการ | สถานที่ตั้ง | เชื้อเพลิง พลังงาน |
พลังไฟฟ้าเฉลี่ยเข้าระบบ (MW) |
อัตราขอรับเงินสนับสนุน (บาท/kwh) |
เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ (บาท) |
|
| (1) บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด | ต.บางปะกง อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา | แกลบ | 1.6 | 0.1812 | 12,037,478.80 | |
| (2) บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด | ต.บางสมัคร อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา | แกลบ เปลือกไม้ กะลาปาล์ม | 2.0 | 0.181 | 15,030,240.00 | |
| (3) บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด | ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสาราคาม จ.ฉะเชิงเทรา | แกลบ เปลือกไม้ | 16.0 | 0.183 | 119,111,040.00 | |
| (4) บริษัท น้ำตาลสระบุรี จำกัด | ต.คำพราน อ.วังม่วง จ.สระบุรี | ชานอ้อย | 4.0 | 0.140 | 9,979,200.00 | |
| (5) บริษัท น้ำตาลตะวันออก จำกัด | ต.ห้วยโจด อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว | ชานอ้อย | 5.6 | 0.120 | 9,630,720.00 | |
| รวม 5 โครงการ | 165,788,678.80 | |||||
2. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กฟผ. เพิ่มเติม ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 11,605,207.49 บาท (สิบเอ็ดล้านหกแสนห้าพันสองร้อยเจ็ดบาทสี่สิบเก้าสตางค์) เพื่อนำไปเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมูลค่ารายจ่ายที่เกิดจากการนำเงินกองทุนฯ ไปจ่ายสนับสนุนฯ ให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละราย รวมจำนวน 5 โครงการ ตามรายชื่อในข้อ 1 ของมติที่ประชุม
3. เห็นชอบให้ สนพ. ใช้เงินจากจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพิ่มเติม ในวงเงิน 22,500,000 บาท (ยี่สิบสองล้านห้าแสนบาทถ้วน) เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการไตรภาคี ที่ได้รับอนุมัติเพิ่มเติมอีก 5 คณะ ตามรายชื่อในข้อ 1 ของมติที่ประชุม โดยค่าใช้จ่ายประกอบด้วย
| (1) ค่าตอบแทน ค่าใช้สอยและค่าวัสดุ ในการจัดประชุมคณะกรรมการไตรภาคี 5 คณะ ตลอดระยะเวลา 5 ปี (ประมาณ 100,000 บาทต่อคณะต่อปี) |
2,500,000 บาท |
| (2) ค่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินการเก็บข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ของคณะกรรมการไตรภาคี 5 คณะ ตลอดระยะเวลา 5 ปี (ประมาณ 800,000 บาทต่อคณะต่อปี) รวมเป็นเงินจำนวน 22,500,000 บาท |
20,000,000 บาท |
โดยให้ สนพ. จัดทำรายละเอียดพร้อมทั้งแผนการใช้จ่ายเงินตามข้อ 3 (1) และ (2) เสนอ ผู้อำนวยการ สนพ. อนุมัติเป็นรายปี และรายงานความเป็นไปให้คณะกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง
เรื่องที่ 3 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ 1
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 5,188,500 บาท ให้การเคหะแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามมาตรการประหยัดพลังงานสำหรับโครงการบ้านเอื้ออาทรระยะที่ 1 จำนวน 4,175 หน่วย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้สั่งการให้ พพ. เป็นผู้พิจารณาดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ซึ่ง พพ. ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว มีความเห็นว่า เห็นควรให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ ให้แก่การเคหะแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสำหรับโครงการเอื้ออาทร ระยะที่ 1 ดังนั้น พพ. จึงได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อให้พิจารณาเสนอโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ 1 ต่อคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อพิจารณา อนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุน
2. คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 3) เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2546 ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว ในหลักการเห็นควรให้การสนับสนุนโครงการ และมีข้อเสนอแนะว่า โครงการดังกล่าวควรขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ จากแผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างออกแบบและก่อสร้าง จากเดิมที่เป็นโครงการอาคารของรัฐ แต่เนื่องจากในปีงบประมาณ 2546 คณะกรรมการกองทุนฯ ไม่ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของโครงการดังกล่าว ที่ประชุมจึงเห็นควรให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติโอนเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการอาคารของรัฐ รายการค่าใช้จ่ายสมทบเพื่อปรับปรุงอาคาร ปีงบประมาณ 2546 จำนวน 5,188,500 บาท มาเข้าโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างออกแบบและก่อสร้าง เพื่อให้ พพ. นำไปจัดสรรให้แก่การเคหะแห่งชาติ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ 1 ต่อไป
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการอาคารของรัฐ รายการค่าใช้จ่ายสมทบเพื่อปรับปรุงอาคาร ปีงบประมาณ 2547 จำนวน 5,188,500 บาท (ห้าล้านหนึ่งแสนแปดหมื่นแปดพันห้าร้อยบาทถ้วน) ให้ พพ. นำไปจัดสรรให้แก่การเคหะแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ 1
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้รับข้อเสนอโครงการจากมหาวิทยาลัยมหิดล ประสงค์จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารโรงพยาบาลศิริราช ในวงเงิน 99,455,822 บาท โดยอาคารดังกล่าวได้ดำเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียด และการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีผลการศึกษาระดับการใช้พลังงานในส่วนของระบบการถ่ายเทความร้อนรวม ระบบแสงสว่าง และระบบปรับอากาศ เมื่อเปรียบเทียบกับกับเกณฑ์มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ตามกฎกระทรวงแล้ว มีศักยภาพที่จะปรับปรุงให้ระดับการใช้พลังงานมีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิมและอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
2. พพ. ได้วิเคราะห์และกลั่นกรองมาตรการอนุรักษ์พลังงานของอาคารโรงพยาบาลศิริราช ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้ว สรุปได้ดังนี้
(1) มาตรการต่างๆ ที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อทำการลงทุนปรับปรุงฯ มีศักยภาพที่จะประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 8,242,874 หน่วย/ปี คิดเป็นเงินประมาณ 22,140,389 บาทต่อปี สามารถลดความต้องการพลังไฟฟ้าได้ประมาณ 3,497 kW และประหยัดพลังงานอื่นๆ ได้ประมาณ 312,308 บาท/ปี
(2) ผลตอบแทนการลงทุนทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริงของแต่ละมาตรการเกินกว่าร้อยละ 9
(3) ค่าใช้จ่ายในการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานของแต่ละมาตรการ ที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 91,455,822 บาท (เก้าสิบเอ็ดล้านสี่แสนห้าหมื่นห้าพันแปดร้อยยี่สิบสองบาทถ้วน) ตามรายละเอียดดังนี้
| มาตรการ | เงินลงทุนที่เห็นควรให้การสนับสนุน จากกองทุนฯ (บาท) |
||
| (1) | มาตราการที่ต้องปรับปรุงตามกฎกระทรวง | 67,519,707 | |
| (1.1) การติดฉนวนความร้อนที่ฝ้าเพดาน | 972,285 | ||
| (1.2) การติดฟิล์มกรองแสง | 10,213,202 | ||
| (1.3) การใช้บัลลาสต์สำหรับหลอดฟลูออเรสเซนต์ | 14,250 | ||
| (1.4) การใช้โคมประสิทธิภาพการสะท้อนแสงสูงขนาด 1´36 วัตต์ | 230,950 | ||
| (1.5) การใช้เครื่องปรับอาคารชนิดประสิทธิภาพสูง | 56,089,020 | ||
| (2) | มาตรการปรับปรุงระดับการใช้พลังงานที่มีศักยภาพในการอนุรักษ์พลังงาน |
23,936,115 |
|
| (2.1) การใช้หลอดประหยัดพลังงาน | 110,376 | ||
| (2.2) การใช้บัลลาสต์สำหรับหลอดฟูลออเรสเซนต์ | 2,421,000 | ||
| (2.3) การใช้โคมไฟชนิดประสิทธิภาพการสะท้อนแสงสูง | 21,168,200 | ||
| (2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้เชื้อเพลิงเหลว | 105,000 | ||
| (2.5) การหุ้มฉนวนความร้อนหม้อไอน้ำ | 56,779 | ||
| (2.6) การติดตั้ง STEAM TRAP | 74,760 | ||
|
รวมเงินลงทุนในแต่ละมาตรการที่เห็นควรให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ |
91,455,822 |
||
3. คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 5/2546 (ครั้งที่ 5) เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2546 ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว และได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2547 ให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดล สำหรับอาคารโรงพยาบาลศิริราช เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 91,455,822 บาท (เก้าสิบเอ็ดล้านสี่แสนห้าหมื่นห้าพันแปดร้อยยี่สิบสองบาทถ้วน) ตามรายละเอียดที่ปรากฏในตารางในข้อ 2
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2547 ให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดล สำหรับอาคารโรงพยาบาลศิริราช เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 91,455,822 บาท (เก้าสิบเอ็ดล้านสี่แสนห้าหมื่นห้าพันแปดร้อยยี่สิบสองบาทถ้วน) ตามรายละเอียดที่ปรากฏในตารางข้อ 2
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 4/2542 เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2542 มีมติให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดสรรเงินกองทุนสำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2543–2547 มีวงเงินรวม 29,110.61 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้โดยให้สอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ โดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้อนุมัติวงเงินโครงการบริหารงานตามกฎหมายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานสำหรับ สนพ. พพ. และ บก. สรุปได้ดังนี้
| หน่วย : ล้านบาท | ||||||
| งบประมาณที่ได้รับอนุมัติตามแผนอนุรักษ์พลังงาน | ||||||
| หน่วยงาน | 2543 | 2544 | 2545 | 2546 | 2547 | รวม |
| สนพ. | 112.05 | 100.00 | 105.95 | 113.50 | 120.65 | 552.15 |
| พพ. | 484.12 | 569.27 | 555.89 | 529.19 | 534.08 | 2,672.55 |
| บก. | 0.75 | 0.92 | 0.98 | 0.98 | 0.98 | 4.61 |
| รวมเป็นเงิน | 596.92 | 670.19 | 662.82 | 643.67 | 655.71 | 3,229.31 |
2. คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 6/2546 (ครั้งที่ 6 ) เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2546 ได้มีมติเห็นชอบเงินงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายประจำปีงบประมาณ 2547 สำหรับ สนพ. พพ. และบก. โดยสรุปดังนี้
| หมวดรายจ่าย | สนพ. | พพ. | บก. | รวม |
| 1.ค่าจ้างชั่วคราว | 4,477,920 | 25,438,320 | 334,320 | 30,250,560 |
| 2.ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ | 18,306,200 | 35,879,560 | 144,628 | 54,330,388 |
| 3.ค่าสาธารณูปโภค | 2,000,000 | 8,093,500 | - | 10,093,500 |
| 4.ค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง | 2,272,000 | 22,157,455 | 206,500 | 24,635,955 |
| 5.รายจ่ายอื่น | 121,882,110 | 350,025,000 | - | 471,907,110 |
| รวมเป็นเงิน | 148,938,230 | 441,593,835 | 685,448 | 591,217,513 |
โดยให้แต่ละหน่วยงาน ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานพิจารณาอนุมัติ และรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 50 ล้านบาทให้เสนอคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2547 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ บก. ในวงเงิน 685,448 บาท (หกแสนแปดหมื่นห้าพันสี่ร้อยสี่สิบแปดบาทถ้วน) ตามรายละเอียดปรากฏในเอกสารแนบ 4.5.1 โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานพิจารณาอนุมัติ และอนุมัติให้ บก. เบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2547 เพื่อการบริหารงานตามกฎหมายได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546
2. ให้ สนพ. และ พพ. ดำเนินการปรับปรุงงบประมาณค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมาย ประจำปีงบประมาณ 2547 ตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ โดยจะต้องกำหนดตัวชี้วัดผลงานหลัก (Key Performance Indicator) ประกอบคำชี้แจง คำขอตั้งงบประมาณรายจ่าย ให้ชัดเจน แล้ว นำเสนอต่อ ศ.ดร.ปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ รศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ และนายอัศวิน คงสิริ พิจารณาให้ความเห็น ก่อนนำเสนอต่อ คณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 16 ระบุว่า "ให้ผู้เบิกเงินกองทุนใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันตามประมาณการรายจ่ายประจำปีได้ภายในวงเงินและปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ กรณีผู้เบิกเงินกองทุนก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณแต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณนั้นๆ ให้ขยายเวลาการเบิกจ่ายรายการนั้นๆ ต่อไปได้ภายในสามเดือนนับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา"
2. สนพ. และ พพ. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ ให้เป็นผู้เบิกเงินกองทุนฯ จากกรมบัญชีกลาง และนำไปจ่ายให้แก่ผู้ได้รับจัดสรรเงินทุนเพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมตามแผนงานของแต่ละโครงการที่ได้รับอนุมัติเงินจากกองทุนฯ โดยผู้เบิกเงินกองทุนใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันตามประมาณการรายจ่ายประจำปีโดยปฎิบัติตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ข้อ 16 ดังที่กล่าวมาแล้วในข้อ 1
3. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 23) เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2544 ได้พิจารณาเรื่องที่ พพ. ขอขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินให้กับบริษัทที่ พพ. ได้ทำข้อผูกพันไว้แล้วแต่ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินได้ทันภายในปีงบประมาณ 2544 โดยที่ประชุมมีมติให้กรณีที่ผู้เบิกเงินกองทุนก่อหนี้ผูกพันภายใน ปีงบประมาณแล้ว แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณนั้น ก็ให้คณะอนุกรรมการแต่ละชุดที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจอนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้โครงการต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการแต่ละชุดได้ ภายในวงเงิน 10 ล้านบาท
4. พพ. ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาเรื่องอนุมัติให้ พพ. สามารถขยายระยะเวลาใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ตามที่ พพ. ได้ก่อหนี้ผูกพันไว้แล้ว ตามงบประมาณรายจ่ายโครงการอาคารของรัฐและโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน แต่ พพ. ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายใน ปีงบประมาณนั้นๆ ภายในเวลาสามเดือนนับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา รวมจำนวน 6 ราย โดย พพ. จะขอให้ขยายเวลาการเบิกจ่ายแต่ละรายการต่อไปและเกินกว่าระยะเวลาสามเดือนนับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2546 (ครั้งที่ 4) เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2546 ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว และได้มีอนุมัติขยายเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้โครงการต่างๆ ที่ พพ. ได้ทำข้อผูกพันไว้แล้วและมีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท ได้ตามที่ พพ. ขอมา และสำหรับโครงการที่มีวงเงินเกิน 10 ล้านบาท คณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
นอกจากนี้คณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นว่า เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและลดขั้นตอนในทางปฏิบัติ จึงเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณามอบอำนาจให้ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (ผอ.สนพ.) และ/หรืออธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (อพพ.) เป็นผู้ใช้ดุลยพินิจและมีอำนาจอนุมัติการขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เกินระยะเวลา 3 เดือนหลังสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญาได้
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ ที่ พพ. ได้ว่าจ้างบริษัท บีเอ็นบี อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด เพื่อดำเนินการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ จำนวน 18 ราย ในวงเงิน 12,465,500 บาท ตามสัญญาเลขที่ 224/45 ลงวันที่ 30 กันยายน 2545 ได้ โดยให้ขยายระยะเวลาเป็นภายใน 30 วัน นับจากวันที่ พพ. ได้รับหนังสือแจ้งมติคณะกรรมการกองทุนฯ ที่อนุมัติให้ พพ. ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน
2. มอบอำนาจกรณีที่ พพ. ในฐานะผู้เบิกเงินกองทุนได้ก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณแล้ว แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณ ตามข้อ 16 แห่งระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ก็ให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (อพพ.) มีอำนาจอนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้โครงการต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนภายใต้แผนงานภาคบังคับ ทั้งนี้ พพ. จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน นับจากวันที่ อพพ. ได้มีมติให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ และเมื่อ อพพ. ดำเนินการดังกล่าวแล้ว ต้องรายงานให้คณะอนุกรรมการฯ รับทราบเป็นระยะๆ ด้วย
3. มอบอำนาจกรณีที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะผู้เบิกเงินกองทุนได้ก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณแล้ว แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณ ตามข้อ 16 แห่งระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ก็ให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (ผอ.สนพ.) มีอำนาจอนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้โครงการต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือและแผนงานสนับสนุน ทั้งนี้ สนพ. จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน นับจากวันที่ ผอ.สนพ. ได้มีมติให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ และเมื่อ ผอ.สนพ. ดำเนินการดังกล่าวแล้ว ต้องรายงานให้คณะอนุกรรมการฯ รับทราบเป็นระยะๆ ด้วย
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้อนุมัติโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นกรณีเร่งด่วนหรือกรณีพิเศษ (Fast Track) ไปแล้ว จำนวน 11 โครงการ รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น 4,260.54 ล้านบาท โดยมีหน่วยงานราชการที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว ประกอบด้วย ทบวงมหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกองบัญชาการทหารสูงสุด โดย พพ. ได้กำหนดขั้นตอนการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ทั้ง 11 โครงการ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ให้ว่าจ้าง IA เพื่อดำเนินงานในส่วนของการบริหารงานในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน
ขั้นตอนที่ 2 ให้ว่าจ้าง IA เพื่อดำเนินงานในส่วนของการบริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน
ขั้นตอนที่ 3 ให้ว่าจ้างนิติบุคคลในการควบคุมการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน
2. การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานของแต่ละ กระทรวง ทบวง และหน่วยงานต่างๆ ภายใต้โครงการ Fast Track ทั้ง 11 โครงการ นั้น ยังประกอบด้วยอาคารควบคุมภายใต้สังกัดของแต่ละโครงการอีกจำนวนมาก และกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยการดำเนินการที่ผ่านมา ปรากฏว่าทั้ง 11 โครงการ ได้ว่าจ้าง IA บริหารงานในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ตามขั้นตอนที่ 1 เสร็จเรียบร้อยแล้ว มีกองทัพอากาศเพียงหน่วยงานเดียวที่ได้ว่าจ้าง IA บริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน ตามขั้นตอนที่ 2 เสร็จเรียบร้อยแล้ว และยังไม่มีโครงการใดดำเนินการว่าจ้างนิติบุคคลในการควบคุมการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน ตามขั้นตอนที่ 3
3. เพื่อให้การดำเนินการของอาคารควบคุมที่อยู่ภายใต้โครงการ Fast Track มีความคล่องตัวและเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถดำเนินกิจกรรมด้านการอนุรักษ์พลังงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง พพ. เห็นควรให้มีการปรับปรุงแนวทางในการดำเนินการโครงการ Fast Track ตามมติคณะกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ 1/2543 (ครั้งที่ 19) เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2543 ในบางประเด็น เป็นดังนี้
(1) ยกเลิกการว่าจ้าง IA บริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน
(2) ปรับปรุงแนวทางการว่าจ้างนิติบุคคลเพื่อควบคุมงานการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน โดยปรับเปลี่ยนให้อาคารควบคุมที่อยู่ภายใต้โครงการ Fast Track สามารถว่าจ้างนิติบุคคลควบคุมงานการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานเองได้
(3) มอบให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน มีอำนาจอนุมัติค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างนิติบุคคลควบคุมงานการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานตามกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ไว้แล้ว
4. พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 8/2545 (ครั้งที่ 29) เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2545 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าเพื่อเป็นการแก้ปัญหาอุปสรรคของการดำเนินการโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ (Fast Track) และให้การดำเนินการโครงการ Fast Track เป็นอย่างคล่องตัวและรวดเร็วยิ่งขึ้น ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบตามที่ พพ. เสนอในข้อ 3 และให้ พพ. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
1. ให้ยกเลิกการว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ (IA) บริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานของโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นกรณีเร่งด่วนหรือกรณีพิเศษ (Fast Track)
2. ให้อาคารควบคุมที่อยู่ภายใต้โครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นกรณีเร่งด่วนหรือกรณีพิเศษ (Fast Track) สามารถว่าจ้างนิติบุคคลควบคุมงานการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานได้เอง โดยไม่ต้องให้ปลัดกระทรวง/ปลัดทบวง/หรือหัวหน้าส่วนราชการของโครงการเป็นผู้ดำเนินการจ้างฯ
3. ให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน มีอำนาจอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้แก่อาคารควบคุมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่อยู่ภายใต้โครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นกรณีเร่งด่วนและกรณีพิเศษ (Fast Track) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างนิติบุคคลควบคุมงานการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน ตามกรอบวงเงินที่อนุมัติไว้แล้ว และเมื่ออนุมัติแล้วให้รายงานให้คณะอนุกรรมการฯ ทราบเป็นคราวๆ ไป ทั้งนี้ให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการสนับสนุนนั้น เสนอผลการพิจารณาคัดเลือกผู้รับจ้างควบคุมงานการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานพิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญา
ทั้งนี้ ไม่รวมถึงการดำเนินงานของหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติไปก่อนที่มีมติอนุมัติในครั้งนี้








