กอ. ครั้งที่ 32 - วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2545
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 6/2545(ครั้งที่ 32)
วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2545 เวลา 14.45 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่าย เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำไตรมาสที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544-31 ธันวาคม 2544 ให้ที่ประชุมทราบว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2544 มีเงินกองทุนฯ คงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคาร 13,219,883,566.48 บาท
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2542 มีมติให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดสรรเงินกองทุนสำหรับแผนงานและโครงการใน ปีงบประมาณ 2543-2547 มีวงเงินรวม 3 แผนงาน เป็นเงิน 29,110.61 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้โดยให้สอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ และการจัดลำดับความสำคัญตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ โดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้อนุมัติวงเงินโครงการบริหารงานตามกฎหมายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานสำหรับ พพ. บก. และ สพช. สรุปได้ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท | ||||||
ปีงบประมาณ | ||||||
2543 | 2544 | 2545 | 2546 | 2547 | รวม | |
พพ. | 484.12 | 569.27 | 555.89 | 529.19 | 534.08 | 2,672.55 |
บก. | 0.75 | 0.92 | 0.98 | 0.98 | 0.98 | 4.61 |
สพช. | 112.05 | 100.00 | 105.95 | 113.50 | 120.65 | 552.15 |
รวม | 596.92 | 670.19 | 662.82 | 643.67 | 655.71 | 3,229.31 |
2. พพ. บก. และ สพช. ได้ดำเนินการตามแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ที่ได้รับมอบหมายในปี 2545 โดยประมาณว่ามีค่าใช้จ่ายและเงินคงเหลือของปีงบประมาณ 2545 ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 ดังนี้
หน่วย : บาท | ||||
งบประมาณที่ได้รับอนุมัติ ปี 2545 |
เบิกจ่ายแล้ว และประมาณว่า จะเบิกจ่ายทั้งสิ้น |
คงเหลือ | ||
พพ. | 405,529,120.00 | 237,960,154.00 | 167,568,966.00 | |
บก. | 974,970.00 | 768,610.00 | 206,360.00 | |
สพช. | 149,822,760.00 | 143,541,288.20 | 6,281,471.80 | |
รวม | 556,326,850.00 | 382,270,052.20 | 174,056,797.80 |
3. เพื่อให้ พพ. บก. และ สพช. สามารถดำเนินงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบตามแผนอนุรักษ์พลังงานได้ตามที่ได้รับมอบหมายในปี 2546 หน่วยงานดังกล่าวจึงขอรับการสนับสนุนจากเงินกองทุนฯ เป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2546 ในโครงการบริหารงานตามกฎหมาย โดยฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำงบประมาณรายจ่ายฯ ของทั้ง 3 หน่วยงาน เข้าพิจารณาในคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนแล้ว
4. คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2545 ได้พิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2546 ของ พพ. บก. และ สพช. แล้ว มีมติเห็นชอบในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2546 ของ บก. ในวงเงิน 643,060.00 บาท และ สพช. ในวงเงิน 98,865,470.00 บาท สำหรับงบประมาณรายจ่ายของ พพ. ให้ปรับลดค่าใช้จ่ายรายการค่าวัสดุโฆษณา และเผยแพร่ ลงจำนวน 570,000.00 บาท โดย ให้ไปของบประมาณในโครงการประชาสัมพันธ์ ของ พพ. แทน
วงเงินที่ขออนุมัติเพื่อบริหารงานตามกฎหมาย ปี 2546
หน่วย : บาท
พพ. | บก. | สพช. | รวม | |
1. ค่าจ้างชั่วคราว | 25,548,960 | 486,960 | 4,005,120 | 30,041,040 |
2. ค่าตอบแทน ใช้สอย และวัสดุ | 29,304,872 | 156,100 | 10,822,000 | 40,282,972 |
3. ค่าสาธารณูปโภค | 7,746,520 | - | 2,500,000 | 10,246,520 |
4. ค่าครุภัณฑ์ ที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง | 22,107,560 | - | 3,104,350 | 25,211,910 |
5. รายจ่ายอื่น | 326,337,240 | - | 78,434,000 | 404,771,240 |
รวม | 411,045,152 | 643,060 | 98,865,470 | 510,553,682 |
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการบริหารงานตามกฎหมาย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของ พพ. บก. และ สพช. ในปีงบประมาณ 2546 ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเสนอมา ดังนี้
1. งบประมาณค่าใช้จ่ายของ พพ.
อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2546 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ พพ. ในวงเงิน 411,045,152 บาท (สี่ร้อยสิบเอ็ดล้านสี่หมื่นห้าพันหนึ่งร้อยห้าสิบสองบาทถ้วน) ตามรายละเอียดปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 3.1.1 โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการ ที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
2. งบประมาณค่าใช้จ่าย บก.
อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2546 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ บก. ในวงเงิน 643,060 บาท (หกแสนสี่หมื่นสามพันหกสิบบาทถ้วน) ตามรายละเอียดปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 3.1.2 โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพื่อพิจารณาอนุมัติ
3. งบประมาณค่าใช้จ่ายของ สพช.
อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2546 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ สพช. ในวงเงิน 98,865,470 บาท ตามรายละเอียดปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 3.1.3 โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
4. อนุมัติให้ พพ. บก. และ สพช. เบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2546 เพื่อการบริหารงานตามกฎหมายได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2545
1. คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมเมื่อวันอังคารที่ 21 กันยายน 2542 ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการ และอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2543-2547 ในวงเงิน 750 ล้านบาท และในการประชุมเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2544 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุนโครงการประชาสัมพันธ์ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2545 ในวงเงิน 200 ล้านบาท
2. สพช. ได้พิจารณาคัดเลือกผู้ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2545 ไปแล้ว 22 กิจกรรม รวมเป็นจำนวนเงิน 192,378,117.33 บาท โดยมีงบประมาณคงเหลือ7,621,882.67 บาท ซึ่งได้ดำเนินกิจกรรมที่เน้นการรณรงค์ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน โดยเสนอวิธีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วยวิธีง่ายๆ รวมทั้งรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงบทบาทของตนที่มีส่วนสำคัญในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งของตนเองและของประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการใช้กิจกรรมรณรงค์สนับสนุนเพื่อกระตุ้นให้มีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้พลังงาน โดยสรุปกิจกรรมประชาสัมพันธ์ที่ สพช. ดำเนินการในปี 2545 ได้ดังนี้
ลำดับ | ประเภทกิจกรรม | ชื่อกิจกรรม | งบประมาณ(ล้านบาท) |
1. | การประชาสัมพันธ์ทางสื่อโทรทัศน์ วิทยุ น.ส.พ. นิตยสาร และกิจกรรมรณรงค์ |
โครงการเสริมสร้างความเข้าใจถึงผลของการประหยัดพลังงานที่มีต่อเศรษฐกิจของประเทศ โครงการรวมพลังหยุดรถซดน้ำมัน ระยะที่ 2 โครงการประหยัดไฟ กำไร 2 ต่อ ระยะที่ 2 โครงการประหยัดน้ำมันและพลังงาน ซื้อเวลาออกอากาศภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์ |
158 |
2. | การผลิตเอกสารเผยแพร่ |
ผลิตคอลัมน์ประชาสัมพันธ์ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ผลิตคู่มือประหยัดน้ำมัน "รวมพลังหยุดรถซดน้ำมัน" การผลิตเอกสารคู่มือสาระน่ารู้ การจัดทำเอกสารประชาสัมพันธ์และฐานข้อมูล |
6 |
3. | ผลิต และเผยแพร่สารคดี |
ซื้อเวลาออกอากาศภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ในรายการสารคดีสั้นทางโทรทัศน์ ชุด "คลื่นอนาคต" กิจกรรมผลิตและเผยแพร่รายการเพื่อเยาวชน ในรายการ "เพื่อนแก้ว" ผลิตและเผยแพร่สารคดีสั้นทางสถานีโทรทัศน์ ชุด "กระจิบข่าวหาร 2" |
19 |
4. | เว็บไซต์ |
การพัฒนา Web Pages และการซื้อมีเดีย Banner Online |
1 |
5. | ศูนย์ประชาสัมพันธ์ |
ศูนย์ประชาสัมพันธ์ รวมพลังหาร 2 |
8 |
รวมงบประมาณทั้งสิ้น | 192 |
ผลการประเมินโครงการประชาสัมพันธ์
การประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2545 และการประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงานตามมาตรการประหยัดพลังงาน จัดทำโดยหลักสูตรการจัดการสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สรุปได้ว่า "โครงการประหยัดไฟ กำไร 2 ต่อ" และ "โครงการรวมพลังหยุดรถซดน้ำมัน" ประสบความสำเร็จในการสร้างความเข้าใจ เชิญชวน กระตุ้นเตือน และให้ความรู้แก่กลุ่มเป้าหมายทุกระดับรายได้ การศึกษา อายุ และเพศ ทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจวิธีการประหยัดพลังงานในหลายประเด็น และปฏิบัติถูกต้องเกี่ยวกับการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ นอกจากนี้ยังพบว่าในกรณีการใช้ไฟฟ้าพฤติกรรมประหยัดจะมีมากในบุคคลที่มีรายได้และการศึกษาสูง ประมาณการการประหยัดไฟฟ้าทั่วประเทศคือ 892 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 10,706 ล้านบาทต่อปี สำหรับ 12,611,941 ครัวเรือน ทั่วประเทศ และในส่วนของการประหยัดน้ำมัน ประมาณการประหยัดทั่วประเทศคือ 524 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 6,288 ล้านบาทต่อปี
ข้อเสนอแนะที่สำคัญของการประเมินในครั้งนี้คือการประชาสัมพันธ์รณรงค์ควรจะทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อย้ำเตือนกลุ่มเป้าหมายตลอดเวลา และควรจัดสรรงบประมาณจำนวนมากอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างวัฒนธรรมของคนรุ่นใหม่ให้รู้จักใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า ไม่ให้เกิดความสูญเปล่า สำหรับกลยุทธ์ที่ควรนำมาใช้คือ การยกย่องบุคคลที่ได้รับความนิยมในสังคมให้เป็นตัวอย่าง (Role Model) ในการเผยแพร่และให้ความรู้เรื่องวิธีประหยัดพลังงาน ที่ทำได้ง่ายในชีวิตประจำวัน
นอกจากนี้ จากการประเมินผลยังพบอีกด้วยว่า สื่อมวลชนและประชาชนกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ของ โครงการฯ ไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ดังนั้นการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2546 จึงจะเน้นการประชาสัมพันธ์ผลงานของกองทุนฯ ด้วย โดยจัดทำสารคดีสั้นเพื่อนำเสนอผลการดำเนินงานในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาของกองทุนฯ เพื่อเผยแพร่ผ่านทางสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ วิทยุโทรทัศน์ อย่างต่อเนื่อง
3. คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมเมื่อวันอังคารที่ 3 กันยายน 2545 ได้พิจารณาแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2546 ซึ่งมีประเด็นหลักคือ การใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ โครงการน้ำและพลังงานหาร 2โครงการรีไซเคิลเพื่อประหยัดพลังงาน โครงการ 10 ปี กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยได้เห็นชอบให้สานต่อการประชาสัมพันธ์ในประเด็นที่ได้เคยรณรงค์เอาไว้แล้วเพื่อเป็นการตอกย้ำและกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติอย่าง ต่อเนื่อง โดยให้ทำการประเมินผลการรณรงค์และนำผลมาปรับแผนปฏิบัติการในการดำเนินโครงการรณรงค์ต่อไป ซึ่งสรุปรายละเอียดได้ดังนี้
แผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังาน ปีงบประมาณ 2546
แผนงานโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2546 จะมุ่งสานต่อการดำเนินการของโครงการรวมพลังหาร 2 โดยเน้นการรณรงค์เพื่อให้ประชาชนรู้จักและเข้าใจวิธีประหยัดพลังงานในชีวิตประจำวันที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่าการเดิม และพยายามเชื่อมโยงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของการประหยัดพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ทรัพยากรน้ำ และส่งเสริมให้กลุ่มเป้าหมายนำวัสดุเหลือใช้กลับมาใช้ใหม่ รวมทั้งควรทำการประชาสัมพันธ์ผลงานด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้เป็นที่แพร่หลาย ทั้งนี้แผนงานโดยละเอียดสรุปได้ดังนี้
แนวทางการดำเนินงาน เน้นการเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปทราบถึงประเด็นหลัก ดังนี้
ความสำคัญและผลกระทบของการใช้พลังงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ที่มีต่อเศรษฐกิจ สังคมและ สิ่งแวดล้อม
วิธีการประหยัดพลังงานที่ทำได้ง่ายในชีวิตประจำวันและมีการลงทุนต่ำ หรือไม่มีเลย แต่มีผลต่อการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประชาชน
ผลสำเร็จและผลตอบแทนการลงทุนในการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียน
ทั้งนี้ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น จึงได้กำหนดแนวทางไว้ดังนี้
1) สร้างกระแส และค่านิยมของการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ประชาชนเกิดความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน
2) ประชาสัมพันธ์ประเด็นที่สอดคล้องและทันกับสถานการณ์
3) ขยายกลุ่มเป้าหมายการรณรงค์ประหยัดพลังงานจากครัวเรือนไปสู่สถาบันการศึกษา
4) จัดทำสารคดีสั้น เพื่อเสนอแนะวิธีประหยัดพลังงานและเผยแพร่ในสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์อย่างต่อเนื่อง
วัตถุประสงค์
1) เพื่อสานต่อการประชาสัมพันธ์แนวทางการอนุรักษ์พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติที่กลุ่มเป้าหมายสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในชีวิตประจำวัน
2) เพื่อผลิตและเผยแพร่สื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ในช่วงเวลาและความถี่ที่เหมาะสม เพื่อให้เกิด ประสิทธิภาพในการสื่อสารสูงสุด
3) เพื่อเชิญชวนให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงานทั้งทางตรงและทางอ้อม
4) เพื่อสร้างกระแส ค่านิยมในการใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
5) เพื่อประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
กลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมายหลัก : ประชาชนทั่วประเทศ และเยาวชน
กลุ่มเป้าหมายรอง : ผู้นำทางความคิด นักบริหาร นักการเมือง ผู้ที่มีบทบาทกำกับดูแลนโยบายพลังงาน
กลุ่มเป้าหมายสนับสนุน : สื่อมวลชน องค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง สถาบันการศึกษา
กลยุทธ์
ประเด็นหลัก : การใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประกอบด้วย โครงการ น้ำและพลังงานหาร 2 (ระยะที่ 2)
โครงการรีไซเคิลเพื่อประหยัดพลังงาน และโครงการ 10 ปี กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
และเนื่องจากกิจกรรมในโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานปี 2546 จะครอบคลุมหลายด้านและสัมพันธ์กับกิจกรรมที่หลายหน่วยงานกำลังดำเนินการอยู่ ดังนั้น กลยุทธ์ในการดำเนินงานจึงเน้นการประสานความร่วมมือเพื่อให้การสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และมีการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
1) ดำเนินการโฆษณาประชาสัมพันธ์เชิงรุกถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้สื่อผสมผสาน และวางแผนการใช้สื่ออย่างเป็นระบบ
2) กิจกรรมประชาสัมพันธ์จะเน้นกลุ่มเยาวชนและผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในครัวเรือน
3) จัดกิจกรรมรณรงค์ เปิดโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วม ได้ทดลองวิธีการประหยัดพลังงานด้วยตนเอง
4) ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยใช้รูปแบบที่มีเอกลักษณ์ เข้าใจง่ายสำหรับกลุ่มเป้าหมาย ทุกระดับ
5) สื่อสารประเด็นหลัก ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์สัญลักษณ์โครงการรวมพลังหาร 2 และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
6) ประสานงานจัดทำโครงการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดเอกภาพและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
งบประมาณในวงเงิน 200 ล้านบาท ประกอบด้วย
(ล้านบาท)
ลำดับ | ชื่อกิจกรรม | งบประมาณ |
1 | การรณรงค์สร้างค่านิยมในการอนุรักษ์ทรัพยากรและพลังงาน
1.1 โครงการน้ำและพลังงานหาร 2 ระยะที่ 2 ผลิตและเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ จัดทำกิจกรรมรณรงค์ จัดทำสื่อสนับสนุนกิจกรรมรณรงค์ 1.2 โครงการรีไซเคิล เพื่อประหยัดพลังงาน ผลิตและเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ จัดทำกิจกรรมรณรงค์ จัดทำสื่อสนับสนุนกิจกรรมรณรงค์ จัดทำสกู๊ปพิเศษประชาสัมพันธ์ในสื่อสิ่งพิมพ์ |
110 |
2 | การประชาสัมพันธ์กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2.1 โครงการ 10 ปี กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ผลิตสารคดีสั้นนำเสนอผลงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เผยแพร่ทางสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ วิทยุโทรทัศน์ สื่ออินเตอร์เน็ต (Web Pages รวมพลังหาร 2) |
25 |
3 | กิจกรรมสนับสนุนเพื่อสร้างจิตสำนึก
3.1 พัฒนาและประชาสัมพันธ์ Web pages 3.2 ผลิตและเผยแพร่วัสดุประชาสัมพันธ์ 3.3 นิทรรศการพลังงานหาร 2 |
10 |
4 | การประชาสัมพันธ์เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
4.1 ซื้อพื้นที่เผยแพร่/เวลาออกอากาศสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ในสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ และสื่อโทรทัศน์ 4.2 เปิดประเด็นนโยบายและสถานการณ์พลังงาน มาตรการอนุรักษ์พลังงาน 4.3 ผลิตและเผยแพร่สารคดี 4.4 ผลิตและเผยแพร่รายการโทรทัศน์เพื่อเยาวชน |
35 |
5 | การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน
5.1 ศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2 |
10 |
6 | อื่นๆ | 10 |
รวมงบประมาณทั้งสิ้น | 200 |
หมายเหตุ : ประเด็นที่จะสื่อสารในแต่ละปี สพช. จะได้มีการปรับปรุง โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ อาทิ นโยบายของรัฐบาล กระแสสังคม พฤติกรรมการเปิดรับสื่อของประชาชนซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการ สถานการณ์พลังงาน สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ และสังคม ณ เวลานั้น รวมถึงจะนำผลการประเมินในปีที่ผ่านมา มาเป็นปัจจัยในการปรับปรุงแผนปฏิบัติการ และประเด็นหลักที่จะสื่อสารเพื่อให้การสื่อสารทรงประสิทธิภาพ และคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของราชการสูงสุด
มติที่ประชุม
1. รับทราบผลการดำเนินงานโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2545 โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 192,378,117.33 บาท
2. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2546 ในวงเงิน 200 ล้านบาท
3. ให้ สพช. ดำเนินการตามแผนฯ โดยให้คัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และให้ สพช. นำผลการพิจารณาคัดเลือกเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญา ในกรณีที่มีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินเกิน 10 ล้านบาท
กอ. ครั้งที่ 31 - วันศุกร์ที่ 13 กันยายน 2545
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 5/2545(ครั้งที่ 31)
วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2545 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. ผลการศึกษาการดำเนินการกับเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกโดยโครงการอาคารของรัฐ
2.รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3. โครงการการแก้ไขปัญหาจราจรคับคั่งในระบบทางด่วนขั้นที่ 1
4. โครงการธนาคารขยะเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษามหาวชิราลงกรณฯ
7. ขออนุมัติโครงการศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานภายในอาคารอนุรักษ์พลังงานเฉลิมพระเกียรติ
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ผลการศึกษาการดำเนินการกับเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกโดยโครงการอาคารของรัฐ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2543 ได้พิจารณาเรื่องมาตรการป้องกันการนำเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกแล้วกลับมาใช้ใหม่อีกในกรณีการปรับปรุงอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในโครงการอาคารของรัฐ ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน โครงการอาคารของรัฐ ซึ่งดำเนินการโดยกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน แล้วที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้ พพ. ประสานงานกับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินในเรื่องการไม่ให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่เข้าร่วมโครงการอาคารของรัฐที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน โดยการใช้มาตรการการปรับปรุงเครื่องปรับอากาศ โอนเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกไปให้ส่วนราชการอื่นที่ยังขาดแคลนและมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศ
2. เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับในแนวทางในการทำลายหรือจัดการกับเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกเป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรี พพ. ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ทำการศึกษาแนวทางการดำเนินการกับเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกโดยโครงการอาคารของรัฐ ซึ่ง มจธ. ดำเนินการศึกษาในเรื่องดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว และ พพ. ได้นำผลการศึกษาดังกล่าว เสนอต่อคณะที่ปรึกษาของ พพ. พิจารณาตรวจรับเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งได้นำผลการศึกษาดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เพื่อรับทราบผลการศึกษาดังกล่าวแล้ว ซึ่งสามารถสรุปผลการศึกษาและแนวทางการดำเนินการได้ ดังนี้
2.1 เครื่องปรับอากาศที่หมดสภาพการใช้งานที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ให้เจ้าของอาคารแยกชิ้นส่วนเพื่อจำหน่าย
2.2 เครื่องปรับอากาศที่ใช้งานตั้งแต่อายุ 7-10 ปี มอบให้สถานศึกษาเพื่อเป็นอุปกรณ์การเรียนการสอน
2.3 การ Combination โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องปรับอากาศโดยการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ระหว่างเครื่องปรับอากาศเก่าด้วยกัน (นำคอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศขนาดทำความเย็น 12,000 BTU และ 18,000 BTU นำไปติดตั้งใช้งานกับชุดคอยล์ร้อนและคอยล์เย็นของเครื่องปรับอากาศขนาด 24,000 BTU และ 36,000 BTU) ซึ่งในเรื่องดังกล่าว คณะที่ปรึกษา พพ. ได้ให้ความเห็นที่อาจจะเป็นปัญหาทางด้านเทคนิค ดังนี้
(1) อายุเครื่องปรับอากาศตามที่ทำการศึกษา ได้ใช้อ้างอิงว่ามีอายุ 15 ปีนั้น เป็นอายุการใช้งานที่ใช้สำหรับการให้การบริการบำรุงรักษา (Service Life) ไม่ใช่อายุการใช้งานจริงๆ ของเครื่องปรับอากาศ ดังนั้น ควรระบุให้ชัดเจน
(2) การนำ Compressor ขนาดเล็กไปใช้กับเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ อาจจะทำให้เกิดปัญหาได้โดยเฉพาะเมื่อท่อน้ำยามีความยาวมาก
(3) การเพิ่มพื้นที่ของ Fan Coil Unit จะมีผลต่ออุณหภูมิทางด้าน Suction ซึ่งไม่ควรเกิน 45°F
(4) ในปัจจุบันสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม อยู่ในระหว่างการดำเนินการจะบังคับให้เครื่องปรับอากาศที่ใช้งานในอนาคตจะต้องมีค่า EER ไม่ต่ำกว่า 9.6 BTU/hr/w ดังนั้น หากทำการปรับปรุงแล้วทำให้ค่า EER ไม่ถึงที่กำหนด จึงไม่สมควรนำกลับมาใช้ใหม่
สรุปผลจากการดำเนินการ Combination ปรากฏว่า มีผลตอบแทนการลงทุนทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริง (EIRR)น้อยกว่าร้อยละ 9 ที่ราคาค่าไฟฟ้าของส่วนราชการปัจจุบัน คือ 2.47 บาท/หน่วย ซึ่งไม่คุ้มค่ากับการลงทุน
2.4 ด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับน้ำยา R-22 ให้มีการกักเก็บสารทำความเย็น R-22 เพื่อมิให้มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมค่าใช้จ่ายประมาณ 655 บาท/เครื่อง
2.5 แนวทางดำเนินการกับเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกโดยโครงการอาคารของรัฐ จากผลการศึกษาของ มจธ. เห็นควรนำมาดำเนินการในโครงการอาคารของรัฐ ดังต่อไปนี้
(1) เครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกจากโครงการอาคารของรัฐในการดำเนินการในปีงบประมาณ 2543 ประมาณ 3,000 ตัว ซึ่งรอผลการศึกษาของ พพ. อยู่ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรนั้นเห็นควรให้เจ้าของอาคารดำเนินการจำหน่ายเครื่องปรับอากาศกลุ่มนี้ตามระเบียบพัสดุต่อไป
(2) เครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกโดยโครงการอาคารของรัฐตั้งแต่ปีงบประมาณ 2544 เป็นต้นไป ให้เจ้าของอาคารดำเนินการ คือ เครื่องปรับอากาศที่หมดสภาพการใช้งานที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ให้เจ้าของอาคารแยกชิ้นส่วนเพื่อจำหน่าย และสำหรับเครื่องปรับอากาศที่ใช้งานตั้งแต่อายุ 7-10 ปี มอบให้สถานศึกษาเพื่อเป็นอุปกรณ์การเรียนการสอน
2.6 พพ. ได้นำผลการศึกษาเรื่องดังกล่าว เสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 1/2545 (ครั้งที่ 22) เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2545 ที่ประชุมได้รับทราบผลการศึกษาดังกล่าวและแนวทางดำเนินการกับเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกโดยโครงการอาคารของรัฐ และที่ประชุมได้เสนอความเห็นเพิ่มเติม ดังนี้
(1) เพื่อเป็นการป้องกันการนำเครื่องปรับอากาศที่หมดสภาพการใช้งานที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ที่เจ้าของอาคารแยกชิ้นส่วนเพื่อจำหน่ายนำกลับมาใช้ใหม่ ควรจะให้ดำเนินการทำลายคอมเพรสเซอร์ไม่ให้สามารถใช้งานได้ก่อนแยกชิ้นส่วนเพื่อจำหน่าย เพื่อไม่ให้นำมาใช้ประโยชน์ต่อไปได้อีก จึงมีความเห็นเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินการกับเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกโดยโครงการอาคารของรัฐ ดังนี้
(2) เครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกจากโครงการอาคารของรัฐ ในการดำเนินการในปีงบประมาณ 2543 ประมาณ 3,000 ตัว ซึ่งรอผลการศึกษาของ พพ. นั้น เห็นควรให้เจ้าของอาคารดำเนินการจำหน่ายเครื่องปรับอากาศกลุ่มนี้ตามระเบียบพัสดุต่อไป โดยก่อนจำหน่ายให้ดำเนินการทำลายคอมเพรสเซอร์ไม่ให้สามารถใช้งานได้อีก
(3) เครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกโดยโครงการอาคารของรัฐ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2544 เป็นต้นไป ให้เจ้าของอาคารดำเนินการตามข้อเสนอของ มจธ. ดังนี้
เครื่องปรับอากาศที่หมดสภาพการใช้งานที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ให้เจ้าของอาคารแยกชิ้นส่วนเพื่อจำหน่าย โดยก่อนจำหน่ายให้ดำเนินการทำลายคอมเพรสเซอร์ไม่ให้สามารถใช้งานได้อีก
เครื่องปรับอากาศที่ใช้งานตั้งแต่อายุ 7-10 ปี มอบให้สถานศึกษาเพื่อเป็นอุปกรณ์การเรียนการสอน
(4) ในกรณีที่จะขอสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากเงินกองทุนฯ เพื่อดำเนินการกักเก็บสารทำความเย็น R-22 มิให้มีผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 655 บาท/เครื่อง ควรจะระบุด้วยว่าเป็นการกักเก็บเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งจะสามารถลดการนำเข้าสารทำความเย็น R-22 ได้ พร้อมทั้งแสดงข้อมูลความคุ้มทุนหรือไม่ ในการให้การสนับสนุนของกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนนี้
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่าย เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544-31 กรกฎาคม 2545 เงินคงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคาร ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2545 12,512,832,069.89 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 โครงการการแก้ไขปัญหาจราจรคับคั่งในระบบทางด่วนขั้นที่ 1
1. คณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ได้มีหนังสือที่ นร 0404/0892 ลงวันที่ 12 กันยายน 2545 ความว่า คจร. ในคราวประชุมครั้งที่ 4/2545 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2545 ได้พิจารณาเรื่อง การแก้ไขปัญหาจราจรคับคั่งในระบบทางด่วนขั้นที่ 1 ซึ่งปัจจุบันระบบทางด่วนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 มีปริมาณการจราจรสูงมาก ขณะที่ทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน D ต่อสายรามอินทรา-อาจณรงค์ ซึ่งเป็นโครงข่ายเดียวกันมีปริมาณจราจรน้อย สาเหตุสำคัญมาจากอัตราค่าผ่านทางที่แตกต่างกัน จึงได้มีมติให้ทดลองลดค่าผ่านทางจากดินแดง-บางนา (ขาออก) และจาก บางนา-ดินแดง (ขาเข้า) เป็นเวลา 3 เดือน โดยให้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ ในการทดลองลดค่าผ่านทางดังกล่าวเพื่อกระจายปริมาณการจราจรบนระบบทางด่วน ในวงเงินเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 9,000,000 บาท เพื่อชดเชยรายได้ให้แก่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
มติทีประชุม
อนุมัติให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการอื่นๆ ปีงบประมาณ 2545 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบแล้ว ให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการการแก้ไขปัญหาจราจรคับคั่งในระบบทางด่วนขั้นที่ 1 ภายในวงเงิน 9,000,000 บาท (เก้าล้านบาทถ้วน)
เรื่องที่ 4 โครงการธนาคารขยะเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษามหาวชิราลงกรณฯ
1. คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2545 (ครั้งที่ 29)เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2545 ได้มีมติอนุมัติให้ สพช. เพิ่มวงเงินงบประมาณค่าใช้จ่าย โครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 จำนวน 524.25 ล้านบาท รวมเป็นงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากร ทั้งสิ้น 867.25 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยหมวดการฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ ในวงเงิน 262.16 ล้านบาท ซึ่งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากรหมวดการฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ ปีงบประมาณ 2545 ไปแล้ว เป็นจำนวน 70,122,448 บาท คงเหลือ 192,037,552 บาท
2. มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชนเมือง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้มีหนังสือที่ มสวพ. 530/2545 ลงวันที่ 10 กันยายน 2545 ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการธนาคารขยะเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณฯ เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานการอนุรักษ์พลังงานและลดปริมาณขยะภายในชุมชน ในวงเงิน 15,877,650 บาท
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอ คณะอนุกรรมการฯ พิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 12/2545 (ครั้งที่ 101) เมื่อวันอังคารที่ 10 กันยายน 2545 ได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนจากเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ ปีงบประมาณ 2545 ให้มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชนเมือง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการธนาคารขยะเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ ในวงเงิน 15,877,650 บาท ทั้งนี้ ให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในวงเงินที่อนุมัติ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา ต่อไป ดังนั้นฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
3.1 หลักการและเหตุผล
เนื่องในวโรกาสมหามงคลสมัยที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณสยามมกุฎราชกุมาร มีพระชนมายุครบ 50 พรรษา มูลนิธิฯ ร่วมกับ ประชาชนทั่วไป และองค์กรเอกชน ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องในเขตชุมชน มูลนิธิฯ ได้เห็นความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน โครงการธนาคารขยะเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณฯ ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมหลัก ดังนี้
(1) โครงการธนาคารขยะ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนในเขตชุมชนเห็นความสำคัญต่อการประหยัดพลังงานและการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งการนำของเสียกลับมาใช้ใหม่เป็นวิธีหนึ่งในกระบวนการลดปัญหามลพิษด้านสิ่งแวดล้อม เพราะนอกจากเป็นการลดขยะแล้ว ยังลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ ลดการใช้พลังงานและลดมลพิษต่างๆ ที่เกิดจากการนำเอาทรัพยากรธรรมชาติมาผลิตใหม่อีก
(2) โครงการลานกิจกรรม* เป็นการจัดบริเวณ และสถานที่สำหรับเยาวชนและประชาชนในชุมชนในการใช้เป็นสถานที่เล่นกีฬา แสดงดนตรี หรือลานเอนกประสงค์สำหรับกิจกรรมสันทนาการ
(3) โครงการสวนสุขภาพ* เป็นการจัดพื้นที่สำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ
หมายเหตุ * เป็นโครงการที่ดำเนินการภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากแหล่งอื่น
3.2 วัตถุประสงค์
(1) เพื่อถวายแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องใน วโรกาสมหามงคลสมัย มีพระชนมายุครบ 50 พรรษา
(2) เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานการอนุรักษ์และประหยัดพลังงาน
(3) เพื่อเสริมสร้างความรู้และปลูกจิตสำนึกให้แก่เด็กและเยาวชน ชุมชน ในการมีส่วนร่วมเรื่องการคัดแยกขยะ และดำเนินการธนาคารขยะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในด้านสิ่งแวดล้อม
(4) เพื่อลดปริมาณขยะและรักษาสิ่งแวดล้อมภายในชุมชนให้ดีขึ้น
3.3 กลุ่มเป้าหมาย
เด็ก เยาวชน และประชาชนในชุมชน ซึ่งมีจำนวน 53,138 คน คิดเป็นจำนวน 60% ของจำนวนประชากรทั้งหมดใน 85 ชุมชน 17 เขต ซึ่งมีถึง 88,564 คน
3.4 เป้าหมายของโครงการ
(1) จัดให้มีศูนย์กลางในการเผยแพร่ความรู้ให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อประโยชน์ในด้านสิ่งแวดล้อม ไม่น้อยกว่า 12 แห่ง
(2) จัดตั้งธนาคารขยะ 50 แห่ง ในพื้นที่ 85 ชุมชน 17 เขต ดังนี้
(3) ลดค่าใช้จ่ายในการเก็บขยะหน่วยงานของรัฐได้ประมาณปีละ 4,051,683 บาท
3.5 ระยะเวลาในการดำเนินงาน 12 เดือน
3.6 กลยุทธ์ในการดำเนินงาน
(1) รณรงค์โดยผ่านสื่อต่างๆ เช่น วิทยุ วีดิทัศน์ โปสเตอร์ แผ่นพับ จดหมายข่าว ป้ายผ้า ให้ประชาชนได้มีความรู้ความเข้าใจและตระหนักถึงการคัดแยกขยะก่อนไปจำหน่าย หรือวัสดุเหลือใช้กลับมา รีไซเคิล
(2) การจัดฝึกอบรมให้เกิดความรู้ความเข้าใจประเภทขยะ การคัดแยกขยะ การลดปริมาณขยะ วิธีการอนุรักษ์พลังงาน ประโยชน์ของขยะ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(3) การศึกษาดูงาน เพื่อให้ทราบถึงการคัดแยกขยะ รู้ถึงประเภทของขยะที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา และขั้นตอนในการจัดตั้งรูปแบบวิธีการในการบริหารจัดการธนาคารขยะ
(4) การคัดเลือกชุมชนต้นแบบ เพื่อเป็นชุมชนนำร่องที่เป็นแบบอย่างการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพแก่ชุมชนอื่น โดยพิจารณาจากผลการดำเนินงานธนาคารขยะ ที่ปริมาณขยะได้นำไปสู่ขบวนการกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ที่เพิ่มมากขึ้น สมาชิกที่เพิ่มขึ้น มีความแตกต่างจากที่ยังไม่เริ่มโครงการ
(5) การจัดตั้งศูนย์เผยแพร่ความรู้เรื่องการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
(6) การติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการ
3.7 แผนงานและขั้นตอนดำเนินงาน
(1) ศึกษาข้อมูลแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ที่เกี่ยวข้อง การเตรียมความพร้อมในแต่ละพื้นที่ ติดต่อประสานงานร้านรับซื้อของเก่า และออกแบบและผลิตสื่อประชาสัมพันธ์
(2) การศึกษาดูงาน ที่ จังหวัดพิษณุโลก เพื่อให้ทราบถึงการคัดแยกขยะ ขั้นตอน และ รูปแบบวิธีการบริหารการจัดการธนาคารขยะ ซึ่งจะใช้ระยะเวลา 1 วัน และการอบรม โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มคณะผู้ทำงานธนาคารขยะ อบรม 1 วัน จำนวน 2 รุ่น และกลุ่มเด็กเยาวชน และประชาชนที่อยู่ในชุมชน อบรม 1 วัน จำนวน 5 รุ่น
(3) ก่อสร้างสำนักงานธนาคารขยะ 50 แห่ง และเตรียมอุปกรณ์ในการเปิดธนาคารขยะฯ เปิดดำเนินการธนาคารขยะ รับสมัครสมาชิกธนาคารขยะ จัดกิจกรรมของธนาคารขยะ ประชาสัมพันธ์เพื่อเผยแพร่โครงการ คัดเลือกชุมชน แถลงข่าวเปิดโครงการ และจัดตั้งศูนย์เผยแพร่ความรู้เรื่องการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3.8 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
(1) ชาวชุมชนที่อาศัยอยู่บนที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ ได้บำเพ็ญประโยชน์เพื่อถวายแด่พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกกุฎราชกุมาร เนื่องในวโรกาสมหามงคลสมัยมีพระชนมายุครบ 50 พรรษา รวมทั้งได้ช่วยประหยัดทรัพยากร ธรรมชาติและยังช่วยการอนุรักษ์และประหยัดพลังงาน
(2) เยาวชนและประชาชนได้รับความรู้ ความเข้าใจในเรื่องการอนุรักษ์พลังงานและเกิดแนวคิดที่ดีต่อการจัดการขยะมูลฝอย/เป็นการฝึกนิสัยการออมทรัพย์/เป็นการปลูกจิตสำนึกที่ดีในการจัดการสิ่งแวดล้อม
(3) ชุมชนมีองค์กรที่สามารถดำเนินการธนาคารขยะ ทำให้ชุมชนสะอาด สวยงาม และเป็นระเบียบเรียบร้อย น่าอยู่และน่าอาศัย รวมทั้งทำให้เยาวชนและคนในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นจาการนำขยะมาฝากธนาคารขยะและสามารถนำรายได้ไปใช้ในกิจกรรมอื่นๆต่อไป
(4) ปริมาณขยะมูลฝอยที่จะนำไปกำจัดมีปริมาณลดลงสามารถช่วยหน่วยงานที่รับผิดชอบประหยัดงบประมาณในการจัดการขยะมูลฝอยและลดปัญหามลภาวะภายในชุมชน
3.9 การติดตามและประเมินผลโครงการ
การติดตาม ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบการทำงาน ทำการติดตามผลการดำเนินงานของชุมชนทุกๆ 6 เดือน โดยให้ ชุมชนรายงานผลการดำเนินงานและสถานะการเงินของธนาคารขยะให้สถาบันฯ รับทราบประจำทุกเดือนเพื่อเป็นการชี้แจงผลการดำเนินงานของธนาคารขยะ โดยพิจารณาจากปริมาณขยะ/จำนวนสมาชิก และสภาพแวดล้อมภายในชุมชนที่มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น นอกนี้สถาบันฯ จัดทำสรุปผลการดำเนินงานของโครงการธนาคารขยะในแต่ละไตรมาสเพื่อจัดส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ
การประเมินผลโครงการ
(1) การประเมินผลเชิงปริมาณ โดยมีดัชนีชี้วัดคือ ปริมาณขยะ จำนวนสมาชิกของธนาคาร ผลการดำเนินงานของสมาชิก
(2) การประเมินผลเชิงคุณภาพ จัดทำแบบประเมินผล เพื่อเก็บข้อมูลด้านทัศนคติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ โดยจัดทำแบบสอบถามผู้เข้าร่วมการอบรม/ศึกษาดูงาน แบบสอบถามความคิดเห็นของคณะผู้ตรวจเยี่ยมโครงการ แบบประเมินผลโครงการ และแบ่งการประเมินผลเป็น 2 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 ระหว่างดำเนินโครงการ 12 เดือน โดยออกประเมินผลในพื้นที่ของโครงการ และจัดส่งแบบประเมินผล
ระยะที่ 2 หลังจากเสร็จสิ้นโครงการแล้ว 6 และ 12 เดือน โดยประเมินผลในพื้นที่
3.10 ดัชนีชี้วัดความสำเร็จของโครงการ ประกอบด้วยดัชนีชี้วัดทั้งเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ
3.11 งบประมาณ ที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ จำนวน 15,877,650 บาท
มติที่ประชุม
เห็นควรอนุมัติให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ ปีงบประมาณ 2545 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบแล้ว ให้มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาชุมชนเมือง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการธนาคารขยะเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ ในวงเงิน 15,877,650 บาท ทั้งนี้ ให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในวงเงินที่อนุมัติ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอมา หรือไม่
1. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 28) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2545 ได้มีมติอนุมัติให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์และห้องปฏิบัติการ ปีงบประมาณ 2545 ให้กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ค่ายพระรามหก อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ในวงเงิน 184,466,341 บาท และสำหรับค่าใช้จ่ายในส่วนการบริหารจัดการศูนย์ฯ ให้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ประสานงานกับกองบัญชาการฯ เพื่อให้เพิ่มเติมรายละเอียดของการดำเนินงานในการบริหารการจัดกิจกรรมของศูนย์ ให้ชัดเจน
2. สพช. ได้รับแจ้งจากกองบัญชาการฯ ว่ากองบัญชาการฯ ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ได้จัดตั้งมูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธรขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งเพื่อบริหารศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร โดยกองบัญชาการฯ เห็นว่าคณะกรรมการบริหารมูลนิธิฯ ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการบริหารองค์กร จึงเหมาะสมที่จะเป็นผู้บริหารศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การดำเนินงานของศูนย์ฯ บรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่ง สพช. พิจารณาแล้วเห็นชอบตามแนวคิดที่จะให้มูลนิธิฯ เป็นผู้รับผิดชอบบริหารศูนย์ฯ และให้มูลนิธิฯ เป็นผู้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารศูนย์ด้วย
3. มูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ได้มีหนังสือที่ มอนส 3/2545 ลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2545 เพื่อส่งข้อเสนอโครงการบริหารจัดการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ที่ได้ปรับปรุงและเพิ่มเติมรายละเอียด ตามข้อสังเกตของคณะกรรมการฯ แล้ว โดยเสนอขอรับการสนับสนุนจากเงินกองทุนฯ ในวงเงิน 115,373,704 บาท โดยมูลนิธิฯ ได้เพิ่มเติมรายละเอียดข้อเสนอโครงการฯ เพื่อให้มีความสมบูรณ์และชัดเจนมากขึ้นในประเด็นต่างๆ ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว และฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 9/2545 (ครั้งที่ 98) เมื่อวันพุธที่ 17 กรกฎาคม 2545 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว เห็นว่ามูลนิธิฯ ได้เพิ่มเติมรายละเอียดในประเด็นสำคัญที่คณะกรรมการฯ ได้ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างชัดเจนเรียบร้อยแล้ว ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แก่มูลนิธิฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการศูนย์ฯ ดังกล่าว ในวงเงิน 115,373,704 บาท และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญของข้อเสนอโครงการที่ได้ปรับปรุงแล้ว ดังนี้
3.1 หลักการและเหตุผล
ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ตั้งอยู่ในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ค่ายพระรามหก อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ความรู้เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น เพื่อประโยชน์ในด้านสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การจัดให้มีการจัดกิจกรรมเผยแพร่ที่ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยคาดว่าผู้ที่เข้าเยี่ยมชมนิทรรศการ รวมทั้งผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ จะสามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งจะมีส่วนในการช่วยประเทศชาติประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
3.2 วัตถุประสงค์
เพื่อเสริมสร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์พลังงาน และสิ่งแวดล้อม เผยแพร่ความรู้ด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานหมุนเวียนรวมถึงการสาธิตและเปรียบเทียบวิธีการใช้พลังงานที่ขาดประสิทธิภาพกับวิธีการใช้พลังงานที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ เพื่อกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ตระหนักในบทบาทหน้าที่ของตน ในการมีส่วนร่วมป้องกันและแก้ไขการสูญเสียพลังงานในทุกขั้นตอนการผลิตและการบริโภค
3.3 หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
3.4 แผนการดำเนินงาน
ในการดำเนินงานของศูนย์ มีแผนการจัดกิจกรรม ประกอบด้วยแผนงาน ดังนี้
3.4.1 การบริหารจัดการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม
การบริหารและดำเนินการที่เน้นความคล่องตัวในการดำเนินงานและการแก้ปัญหาในแต่ละช่วงเวลา โดยมีการบริหารจัดการในรูปขององค์กรที่อิสระจากกรอบและระเบียบแบบแผนที่ยุ่งยาก และเป็นองค์กรที่มีคณะทำงานที่มีความสามารถในการดำเนินการงานชุมชน งานประสานงานกับองค์กรส่วนท้องถิ่น ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานราชการ รวมทั้งมีประสบการณ์ด้านการพัฒนาองค์กร ดังนั้น สพช. และ ตชด. จึงเห็นควรให้มูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นผู้บริหารงาน โดยมูลนิธิฯ จะจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการโครงการ ขึ้นมา 1 คณะ มีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมดูแลการดำเนินงานของศูนย์ฯ คณะกรรมการฯ จะประกอบด้วยผู้แทน สพช. ตชด. และผู้ชำนาญการทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม เพื่อระดมความคิดที่หลากหลาย และส่งเสริมบทบาทและการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในการจัดตั้งและพัฒนาศูนย์ฯ แห่งนี้ คณะกรรมการดำเนินการโครงการ จะเป็นผู้จ้างองค์กรหรือบุคคลที่เหมาะสมที่จะทำหน้าที่ต่างๆ ของศูนย์และติดตามผลการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
3.4.2 การจัดทำนิทรรศการและการสาธิต
เป็นการจัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน โดยการจัดนิทรรศการทั้งในอาคารและนอกอาคาร ที่เน้นการนำเสนอในลักษณะของ two ways communication โดยนิทรรศการดังกล่าวนี้ จะเป็นศูนย์รวมของมัลติมีเดีย ข้อมูล แบบจำลอง หุ่นจำลอง การสาธิต และการทดลองทำ ที่มีการประยุกต์ให้มีความเหมาะสมของการจัดระหว่างเทคโนโลยี ธรรมชาติ และพลังงาน โดยศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม จะมีการเผยแพร่ความรู้ที่มุ่งเน้นให้ผู้เข้าค่ายได้เรียนรู้และเกิดความเข้าใจในความสัมพันธ์ของพลังงานกับสิ่งแวดล้อม รู้วิธีการอนุรักษ์พลังงานที่สามารถปฏิบัติได้จริงในชีวิตประจำวัน เห็นผลเป็นรูปธรรม และเป็นสิ่งที่ใกล้ตัว
3.4.3 การจัดทำค่ายฝึกอบรม
การจัดทำค่ายฝึกอบรมด้านการอนุรักษ์พลังงานของศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมประกอบด้วยกิจกรรมที่มีการนำวิธีการบริโภคและการใช้พลังงานที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเทคโนโลยีต่างๆโดยเฉพาะเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน ไปสู่การสัมผัสและเรียนรู้ของกลุ่มเป้าหมาย จากการจัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบภายในค่าย ที่เน้นให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เรียนรู้โดยการได้ยิน เห็น สัมผัส และทดลองจากของจริง ทำให้กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมกิจกรรมสามารถเรียนรู้ทำความเข้าใจ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
3.4.4 ห้องสมุดพลังงาน
ภายใต้ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ได้มีแนวคิดในการจัดตั้งห้องสมุดพลังงานและ สิ่งแวดล้อมขึ้น เพื่อเป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการเป็นศูนย์รวมข้อมูลด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมสำหรับเยาวชนและครูในโรงเรียนทั่วประเทศ โดยจะดำเนินการรวบรวมสื่อการเรียนการสอน สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อโสตทุกๆ ด้านที่ได้มีการผลิตมาแล้วเพื่อใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอน รวมถึงผลิตสื่อใหม่ๆ ที่เป็นที่ต้องการของครูผู้สอนและนักเรียน
3.5 ระยะเวลาการดำเนินงาน
โครงการเผยแพร่ความรู้ด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานหมุนเวียนของศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม จะมีการดำเนินงานเผยแพร่อย่างถาวรและต่อเนื่อง โดยในเบื้องต้นจะขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนฯ เพื่อใช้จ่ายในการบริหารจัดการและดำเนินกิจกรรมเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยภายในระยะเวลา 5 ปี ดังกล่าว จะมีการบริหารจัดการและดำเนินกิจกรรมที่มุ่งไปในทิศทางที่จะทำให้สามารถมีรายได้จากหน่วยงานของรัฐ บริษัทเอกชน เอกชน และองค์กรระหว่างประเทศที่ต้องการมีส่วนร่วมในกิจกรรมเผยแพร่การอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในระยะต่อไปอย่างถาวร และภายหลังระยะเวลา 5 ปีไปแล้วจะลดการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ลงมาให้เหลือน้อยที่สุด หรืองดการขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนฯ
2.6 เป้าหมายการดำเนินงาน
(1) จัดฝึกอบรมให้กับกลุ่มเป้าหมายปีละประมาณ 1,200 คน
(2) เปิดให้ประชาชนเข้าชมนิทรรศการและใช้บริการของศูนย์ฯ ปีละประมาณ 50,000-100,000 คน
2.7 งบประมาณ
งบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพิ่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ในวงเงิน 115,373,704 บาท
มติที่ประชุม
เห็นควรอนุมติการสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์และห้องปฏิบัติการ ปีงบประมาณ 2545 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบแล้ว ให้แก่มูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการบริหารจัดการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ค่ายพระรามหก อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ในวงเงิน 115,373,704 บาท ทั้งนี้ให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ได้ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอมา
1. พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ตามความในมาตรา 21 ได้กำหนดให้เจ้าของอาคารควบคุมต้องอนุรักษ์พลังงาน ตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานในอาคารของตนให้เป็นไปตามมาตรฐาน หลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง และระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการ ขอจัดสรร ขอเงินช่วยเหลือ หรือเงินอุดหนุนจากกองทุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2539 ได้กำหนดหลักเกณฑ์การให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ แก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ สำหรับเป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าในการศึกษา วางแผนและการลงทุนในการอนุรักษ์พลัง
4. พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เพื่อพิจารณา ดังนี้
(1) พพ. นำอาคารการสื่อสารแห่งประเทศไทย (บางรัก) เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 5/2545 (ครั้งที่ 26) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน 2545 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 ให้ พพ. เพื่อนำไปจัดสรร ให้แก่การสื่อสารแห่งประเทศไทย สำหรับอาคารการสื่อสารแห่งประเทศไทย (บางรัก) เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 11,850,369 บาท (สิบเอ็ดล้านแปดแสนห้าหมื่นสามร้อยหกสิบเก้าบาทถ้วน) โดยจำแนกเป็นรายมาตรการ ดังนี้
มาตราการ | วงเงินลงทุนที่เห็นชอบ (บาท) |
(1) การติดตั้งฉนวนใยแก้ว | 447,367 |
(2) การใช้เครื่องปรับอากาศชนิดประสิทธิภาพสูง | 4,215,272 |
(3) การใช้เครื่องปรับอากาศชนิด VRV ทดแทนเครื่องทำน้ำเย็นเดิม | 5,832,190 |
(4) การใช้โคมชนิดประสิทธิภาพการสะท้อนแสงสูง | 994,340 |
(5) การใช้บัลลาสต์ชนิดการสูญเสียต่ำ | 361,200 |
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น | 11,850,369 |
(2) พพ. ได้นำอาคารมหาวิทยาลัยแม่โจ้ อาคารคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และอาคารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เสนอต่อเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 6/2545 (ครั้งที่ 27) เมื่อวันพุธที่ 21 สิงหาคม 2545 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 ให้ พพ. เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการทั้ง 3 ราย เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 64,980,631 บาท (หกสิบสี่ล้านเก้าแสนแปดหมื่นหกร้อยสิบเอ็ดบาทถ้วน) ตามรายเชื่ออาคารและวงเงินอนุมัติค่าใช้จ่ายเป็นรายมาตรการ ดังนี้
มาตราการ | วงเงินลงทุนที่เห็นชอบ (บาท) | |
(1) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยแม่โจ้ | 14,817,829 | |
มาตรการที่ต้องปรับปรุง | ||
การใช้เครื่องปรับอาการชนิดประสิทธิภาพสูง การปรับปรุงฉนวนกันความร้อน การปรับปรุงระบบแสงสว่าง |
526,000 |
|
(2) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำหรับอาคารคณะแพทยศาสตร์ | 20,442,674 | |
มาตรการที่ต้องปรับปรุง | ||
การหุ้มฉนวนอุปกรณ์ที่ใช้ความร้อน การนำคอนเดนเสทกลับมาใช้ การปรับปรุงประสิทธิภาพการเผาไหม้ของหม้อไอน้ำ การใช้เครื่องปรับอากาศชนิดประสิทธิภาพสูง การปรับปรุงฉนวนกันความร้อน การปรับปรุงแสงสว่าง |
29,935 |
|
(3) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ | 29,720,128 | |
มาตรการที่ต้องปรับปรุง | ||
การใช้เครื่องปรับอากาศชนิดประสิทธิภาพสูง การปรับปรุงฉนวนกันความร้อน การปรับปรุงแสงสว่าง |
508,900 |
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 ให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จำนวน 4 ราย เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 76,831,000 บาท (เจ็ดสิบหกล้านแปดแสนสามหมื่นหนึ่งพันบาทถ้วน) ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับเสนอในข้อ 2 หรือไม่ โดยมีรายชื่ออาคารควบคุมทั้ง 4 ราย และวงเงินที่ได้รับการสนับสนุนในแต่ละราย ดังต่อไปนี้
ชื่ออาคารควบคุม | วงเงินสนับสนุน (บาท) |
(1) การสื่อสารแห่งประเทศไทย สำหรับอาคารการสื่อสารแห่งประเทศไทย (บางรัก) | 11,850,369 |
(2) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยแม่โจ้ | 14,817,829 |
(3) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำหรับอาคารคณะแพทยศาสตร์ | 20,442,674 |
(4) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ | 29,720,128 |
รวมเป็นเงิน | 76,831,000 |
1. คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2545 (ครั้งที่ 29) เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2545 ได้มีมติอนุมัติให้ สพช. เพิ่มวงเงินงบประมาณแผนงานสนับสนุนค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 จำนวน 524.25 ล้านบาท รวมเป็นงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากร ทั้งสิ้น 867.25 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยหมวดการฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ ในวงเงิน 262.16 ล้านบาท
2. กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้มีหนังสือที่ วว 0406/3020 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2545 ขอรับการสนับสนุนในโครงการก่อสร้างศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน และโครงการว่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงาน เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ การฝึกอบรม และการให้บริการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ และประชาชนทั่วไปในด้านเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในวงเงิน 151,090,000 บาท และสพช. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 4/2545 (ครั้งที่ 93) เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2545 ได้มีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาโครงการฯ ประกอบด้วย ศ.ดร. สุรพงศ์ จิระรัตนานนท์ รศ.ดร. อภิชิต เทอดโยธิน รศ.ดร. สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ และ รศ.ดร. ศุภชาติ จงไพบูลย์พัฒนะ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้พิจารณาข้อเสนอโครงการฯ แล้ว มีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะให้ พพ. ดำเนินการปรับปรุงและเพิ่มรายละเอียดข้อเสนอโครงการฯ ในประเด็นสำคัญบางประเด็น
3. พพ. ได้มีหนังสือที่ วว 0406/15882 ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2545 ได้ชี้แจงข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญในประเด็นต่างๆ และฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาแล้ว ในการประชุมครั้งที่ 10/2545 (ครั้งที่ 99) เมื่อวันพุธที่ 14 สิงหาคม 2545 ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอโครงการที่ พพ. ปรับปรุงแล้วและมีข้อสังเกต ดังนี้
(1) เห็นควรให้ พพ. ปรับลดงบประมาณสำหรับการจัดทำเอกสารและฝึกอบรมการสาธิต และใช้งานอุปกรณ์และพื้นที่จัดแสดงเทคโนโลยี จำนวน 3,644,000 บาท
(2) ปรับปรุงเพิ่มเติมรายละเอียดข้อเสนอโครงการในส่วนของการจัดจ้างที่ปรึกษาภายนอกในการบริหารงานแบบมืออาชีพ ควรมีแผนงานที่สามารถแสดงให้ทราบถึงแนวทางการดำเนินงานและงบประมาณให้ชัดเจน
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำข้อเสนอดังกล่าว เสนอคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 10/2545 (ครั้งที่ 99) เมื่อวันพุธที่ 14 สิงหาคม 2545 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว เห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์เทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน และโครงการว่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงาน และเห็นควรให้ พพ. ปรับลดงบประมาณสำหรับการจัดทำเอกสารและฝึกอบรมการสาธิต และใช้งานอุปกรณ์และพื้นที่จัดแสดงเทคโนโลยี จำนวน 3,644,000 บาท และปรับปรุงเพิ่มเติมรายละเอียดข้อเสนอโครงการในส่วนของการจัดจ้างที่ปรึกษาภายนอกในการบริหารงานแบบมืออาชีพ ควรมีแผนงานที่สามารถแสดงให้ทราบถึงแนวทางการดำเนินงานและงบประมาณให้ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พพ. ได้ดำเนินการปรับปรุงตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ ใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาข้อเสนอโครงการที่ได้ปรับปรุง ซึ่งสรุปสาระสำคัญของโครงการฯ ได้ดังนี้
4.1 วัตถุประสงค์
เพื่อเป็นอาคารตัวอย่างที่เน้นความคิดเรื่องการอนุรักษ์พลังงาน และเป็นสัญญาลักษณ์ของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคาร การออกแบบก่อสร้างอาคารที่ใช้เทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานที่ทันสมัย โดยใช้ระบบธรรมชาติตามสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยและการสร้างสภาพแวดล้อมที่ร่มเย็น รวมทั้งการออกแบบระบบภายในอาคาร และการเลือกใช้วัสดุที่สามารถสกัดกั้นความร้อนและความชื้นจากภายนอกได้ดี เพื่อลดการใช้พลังงานของอาคารให้เหลือน้อยที่สุด โดยที่ยังรักษาคุณค่าและสุนทรียภาพของงานสถาปัตยกรรมไว้
4.2 บทบาทและหน้าที่ศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน
(1) เป็นศูนย์กลางด้านการอนุรักษ์พลังงานอย่างครบวงจร เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการสาธิต การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ และการให้บริการปรึกษาด้านเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานแก่ภาคอุตสาหกรรม ภาคอาคารธุรกิจ และสาธารณชนทั่วไปในการที่จะนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้งานเพื่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานอย่างมีประสิทธิผล
(2) เป็นศูนย์กลางด้านการอนุรักษ์พลังงานระดับนานาชาติ ซึ่งแสดงถึงความคิดริเริ่ม และความเป็นผู้นำของประเทศไทยในด้านการอนุรักษ์พลังงานของประเทศไทยในภูมิภาคแก่นานาชาติ
(3) เป็นศูนย์กลางข้อมูลด้านการอนุรักษ์พลังงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เก็บรวบรวมข้อมูลเทคโนโลยีด้านการอนุรักษ์พลังงาน ติดตามความก้าวหน้าเทคโนโลยี และเผยแพร่แก่ผู้สนใจ และกลุ่มเป้าหมายทั้งในประเทศไทย และนอกประเทศไทยโดยใช้สื่อประชาสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ
(4) เป็นศูนย์กลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับกิจกรรมและการพัฒนาบุคลากรด้านการอนุรักษ์พลังงาน เนื่องจากลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นของอาคาร ด้านอาคารตัวอย่างด้านการอนุรักษ์พลังงาน พื้นที่จัดแสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน ส่วนห้องฝึกอบรม ส่วนห้องประชุมสัมมนา
4.3 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ประโยชน์ในศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน
(1) ผู้ประกอบการ ได้แก่ เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม เจ้าของอาคารที่สามารถนำความรู้และเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อไปพิจารณาลงทุนหรือปรับปรุงระบบในกิจกรรมของตนเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต
(2) วิศวกร สถาปนิก แลผู้ที่เกี่ยวข้องในการออกแบบระบบหรือกระบวนการต่างๆ ในโรงงานอุตสาหกรรมและอาคาร ออกแบบอาคาร และบ้านอยู่อาศัย
(3) วิศวกร ช่างเทคนิค และช่างซ่อมบำรุง ที่รับผิดชอบในการใช้งานและบำรุงรักษาระบบต่างๆ ในโรงงานอุตสาหกรรม และอาคาร
(4) นิสิต นักศึกษา ประชาชนทั่วไป ซึ่งสามารถนำความรู้ด้านการอนุรักษ์พลังงานในการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ และใช้งานระบบต่างๆ อย่างเหมาะสม เพื่อลดค่าใช้จ่ายของบ้านอยู่อาศัย
4.4 การดำเนินงานโครงการ
การดำเนินโครงการแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ระยะคือ
(1) การจัดทำแนวคิดและข้อกำหนดทางเทคนิค : ของศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน ประกอบด้วย
การประชุมหารือกับคณะทำงานของ พพ. เพื่อกำหนดความต้องการพื้นฐานสำหรับการจัดทำข้อกำหนดทางเทคนิคของศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน
การศึกษาการใช้พลังงานของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมในประเทศไทย และเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานที่เหมาะสมกับประเทศไทย สำหรับการนำมาสาธิตและจัดแสดง
การคัดเลือกเทคโนโลยีสำหรับจัดแสดงในศูนย์เทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานและการกำหนดรูปแบบเบื้องต้นของการจัดแสดง จำนวน 54 เทคโนโลยี
การออกแบบพื้นที่จัดแสดงเบื้องต้น แบ่งออกเป็น ศูนย์แสดงเทคโนโลยีภาคอุตสหกรรม ขนาดพื้นที่ 1,200 ตารางเมตร ภาคอาคารธุรกิจขนาดพื้นที่ 900 ตารางเมตร ภาคบ้านอยู่อาศัยขนาดพื้นที่ 350 ตารางเมตร
การจัดทำข้อกำหนดความต้องการระบบบริการและระบบสาธารณูปโภคสำหรับพื้นที่จัดแสดง ได้แก่ ระบบปรับอากาศ ระบบแสงสว่าง ระบบจ่ายกำลังไฟฟ้า อุปกรณ์ปรับสภาพไฟฟ้า ความแข็งแรงและการรับน้ำหนักของพื้น ระบบจ่ายน้ำ ระบบระบายอากาศทิ้ง ระบบประชาสัมพันธ์ทางเสียง และระบบป้องกันไฟไหม้
การจัดทำข้อกำหนดและขอบเขตงาน รวมทั้งงบประมาณสำหรับการออกแบบ รายละเอียดศูนย์
(2) การออกแบบรายละเอียด (Detailed Design) : และจัดทำข้อกำหนดรายละเอียด (Detailed Specification) ของศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน ใช้งบประมาณ 20,000,000 บาท โดยได้รับงบประมาณจากเงินกองทุนฯ ประกอบด้วย
การจัดทำแนวคิดสำหรับการออกแบบตกแต่งพื้นที่จัดแสดง (Theme Design) การออกแบบพื้นที่ให้สอดคล้องกับเนื้อหาของการจัดแสดง
การออกแบบอุปกรณ์จัดแสดงเทคโนโลยีและการจัดหมวดหมู่ของเทคโนโลยีที่จัดแสดง จากการศึกษาและวิเคราะห์รายละเอียดและกลุ่มเทคโนโลยี
การออกแบบตกแต่งภายในของพื้นที่จัดแสดง (Interior Design)
การจัดทำภาพจำลอง 3 มิติ บนคอมพิวเตอร์สำหรับพื้นที่ศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน ที่แสดงถึงผลการดำเนินการออกแบบทั้งหมดในขั้นตอนที่ผ่านมา
การจัดทำข้อกำหนดรายละเอียด (Detailed Specification) สำหรับอุปกรณ์จัดแสดงและพื้นที่จัดแสดง
การจัดทำบัญชีรายการจัดซื้ออุปกรณ์และแหล่งผู้ผลิต/ผู้จำหน่าย และการประมาณราคา โดยจัดทำบัญชีรายการของอุปกรณ์จัดแสดงทั้งหมดของศูนย์ ดำเนินการติดต่อจัดหาผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ซึ่งทำให้ได้การประมาณด้านราคา และระยะเวลาการดำเนินงาน สำหรับการจัดซื้ออุปกรณ์มากกว่า 200 ราย
(3) การก่อสร้าง ติดตั้ง และทดสอบการทำงานขั้นสุดท้าย (Construction Installation and Commissioning) ของศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน เป็นส่วนที่ขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนฯ ในครั้งนี้ เป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากการดำเนินการออกแบบรายละเอียดศูนย์ฯ เพื่อดำเนินการจัดซื้อ จัดหาอุปกรณ์ และดำเนินการก่อสร้าง ติดตั้ง และทดสอบการทำงานขั้นสุดท้ายของอุปกรณ์และพื้นที่จัดแสดงของศูนย์เทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานและห้องฝึกอบรม
4.5 ระยะเวลาการดำเนินโครงการ 33 เดือน
4.6 งบประมาณ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 147,446,000 บาท เพื่อดำเนินการ 2 ส่วน ได้แก่
ส่วนที่ 1 : งบประมาณสำหรับการว่าจ้างก่อสร้าง ติดตั้ง และทดสอบการทำงานขั้นสุดท้ายของศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 135,000,000 บาท ซึ่งประกอบด้วย
ส่วนที่ 1-1 งบประมาณจำนวน 115,000,000 บาท สำหรับค่าวัสดุ อุปกรณ์ และค่าแรงในการก่อสร้าง ติดตั้ง และทดสอบการทำงานขั้นสุดท้ายของวัสดุ อุปกรณ์ ระบบต่างๆ ทั้งหมดในพื้นที่ของศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานภาคอุตสาหกรรม ศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานภาคอาคารธุรกิจ ศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานภาคบ้านอยู่อาศัย ห้องฝึกอบรมระบบทำความเย็นและระบบปรับอากาศ และห้องฝึกอบรมระบบไฟฟ้าแสงสว่าง
ส่วนที่ 1-2 งบประมาณจำนวน 20,000,000 บาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของผู้รับเหมาหลัก (Main Contractor) ในการดำเนินการบริหารการจัดซื้ออุปกรณ์ บริหารควบคุมผู้รับเหมาและผู้จำหน่ายอุปกรณ์รายย่อย บริหารควบคุมงานก่อสร้าง ติดตั้งและทดสอบการทำงานขั้นสุดท้าย รวมทั้งค่าใช้จ่ายโครงการอื่นๆ ได้แก่ ค่าพาหนะขนส่ง ค่าที่พักบริเวณพื้นที่หน้างาน ค่าใช้จ่ายสำนักงาน
ส่วนที่ 2 : งบประมาณสำหรับการว่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง จำนวน 12,446,000 บาท ประกอบด้วย
ส่วนที่ 2-1 งบประมาณจำนวน 8,935,000 บาท สำหรับการให้คำปรึกษาและช่วยเหลือ พพ. ในการประเมินคัดเลือกผู้รับเหมาหลัก และตรวจสอบคุณภาพและความก้าวหน้าของผู้รับเหมาหลักในการก่อสร้าง ติดตั้ง และทดสอบการทำงานขั้นสุดท้ายของศูนย์ฯ และห้องฝึกอบรม
ส่วนที่ 2-2 งบประมาณจำนวน 3,511,000 บาท สำหรับการจัดทำเอกสารและฝึกอบรมการสาธิต และใช้งานอุปกรณ์และพื้นที่จัดแสดงเทคโนโลยี สำหรับศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานภาคอุตสาหกรรม ภาคอาคารธุรกิจ และภาคบ้านอยู่อาศัย ห้องฝึกอบรมระบบทำความเย็นและระบบปรับอากาศ และห้องฝึกอบรมระบบไฟฟ้าแสงสว่าง แก่บุคลากรที่จะเข้ามาบริหารจัดการศูนย์ฯ
มติที่ประชุม
อนุมัติให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ ปีงบประมาณ 2545 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบแล้ว ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน และโครงการว่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงาน ในวงเงิน 147,446,000 บาท โดยแบ่งเป็น
ส่วนที่ 1 : งบประมาณสำหรับการว่าจ้างก่อสร้าง ติดตั้ง และทดสอบการทำงานขั้นสุดท้ายของศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 135,000,000 บาท
ส่วนที่ 2 : งบประมาณสำหรับการว่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง ในวงเงิน 12,446,000 บาท
1. การบริหารงานงบประมาณ การเงิน การบัญชี และพัสดุของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้จัดจ้างที่ปรึกษามารับผิดชอบในการบริหารงาน ให้เป็นไปตามระเบียบกองทุนฯ ระเบียบกระทรวงการคลัง และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจากมีภาระงานต้องดำเนินงานตามแผนต่างๆ เป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมา สพช. ได้มีการจัดจ้างลูกจ้างชั่วคราวเข้ามารับผิดชอบดำเนินการ ก็มีปัญหาเรื่องการปรับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่บ่อยครั้งมาก เนื่องจากค่าตอบแทนต่ำ ทำให้ลูกจ้างเหล่านี้จะลาออกระหว่างปี ทำให้ต้องฝึกคนใหม่ตลอดเวลานอกจากนั้นการจัดจ้างลูกจ้างชั่วคราวในอัตราเงินเดือนต่ำ ทำให้ได้บุคลากรที่ขาดความรู้ความเชี่ยวชาญด้านระเบียบการเงิน การบัญชี และการพัสดุอย่างลึกซึ้ง ประกอบกับ สพช. ได้ผลักดันโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 5 ปี ของการเริ่มดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน การดำเนินงานด้านการเงิน การบัญชี การพัสดุ จึงล่าช้าและขาดตอนไม่ต่อเนื่องสม่ำเสมอทำให้เกิดผลเสียต่องานในภาพรวม สพช. จึงได้ปรับวิธีการทำงานโดยเป็นการจัดจ้างที่ปรึกษา ซึ่งมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เกี่ยวกับระเบียบของทางราชการ มติ ครม. และกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่างๆ การแก้ไขปัญหาเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง ทำให้สามารถสนับสนุนให้การดำเนินงานของกองอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน บริหารงานได้รวดเร็วมากขึ้น ในภาพรวมการบริหารจัดการของบริษัทที่ปรึกษาอยู่ในระดับที่มีคุณภาพดี สามารถจัดซื้อ จัดจ้าง และเบิกจ่ายเงิน ได้ตามกำหนดเวลา ดำเนินการด้วยความรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ เน้นหลักการให้บริการด้วยความเสมอภาคและโปร่งใส
2. กรมบัญชีกลางได้ส่งหนังสือด่วนที่สุด ที่ กค. 0505.5/22084 ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2545เรื่อง งบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2542 และ 2543 ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน มาเพื่อทราบและดำเนินการตามที่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เสนอแนะ พร้อมทั้งให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบตามระเบียบกองทุนฯ ผลเป็นประการใดให้แจ้งกรมบัญชีกลาง และ สตง ทราบต่อไป ซึ่งต่อมา สตง. ได้ตรวจสอบและรับรอง งบการเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2542 และ 2543 เรียบร้อยแล้ว โดยมีข้อสังเกตประกอบการสอบบัญชีและข้อเสนอแนะดังนี้
2.1 การเบิกจ่ายเงินลูกหนี้เงินยืมนอกงบประมาณไม่เป็นไปตามระเบียบของกองทุนฯ
ปีงบประมาณ 2543 สพช. เบิกจ่ายเงินลูกหนี้เงินยืมนอกงบประมาณ (เงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุนการบริหารตามกฎหมาย) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเดินทางไปราชการ ประชุม อบรม สัมมนา ปรากฏว่ามีการส่งใช้เงินยืมล่าช้ากว่ากำหนดเวลา มีการส่งใช้เป็นเงินสดจำนวนมาก และมีการให้ยืมรายใหม่โดยยังไม่ส่งใช้รายเก่า ขอให้กองทุนฯ
2.2 การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายของผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่หน่วยงานของต่างประเทศจัด
เจ้าหน้าที่ สพช. ได้เดินทางไปเข้ารับการฝึกอบรม ณ ประเทศสหรัฐอเมริการะหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม - 25 มิถุนายน 2543 ปรากฎว่ามีค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ เป็นเงินจำนวน 30,274.56 บาท ขอให้กองทุนฯ ดำเนินการ เรียกเงินจากผู้เข้ารับการฝึกอบรม จำนวน 30,274.56 บาท แล้วนำส่งคืนกองทุนฯ โดยเร็ว สำหรับการอนุมัติให้ข้าราชการเดินทางไปศึกษาหรือฝึกอบรมในต่างประเทศโดยใช้เงินกองทุนฯ นั้น ให้พิจารณาถึงเหตุผลความจำเป็นและความต้องการความรู้ที่เหมาะสมแก่การปฏิบัติงานในภารกิจตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ
2.3 การดำเนินการตามข้อสังเกตปีก่อน
สตง. เคยมีข้อสังเกตในกรณีที่ สพช. ได้จ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อปฏิบัติงานประจำ ด้านการบริหารเงินงบประมาณ การเงิน การบัญชี การพัสดุ และการบริหารระบบฐานข้อมูล โดยทำสัญญาจ้างเป็นรายปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2541-2543 ในวงเงินค่าจ้างตามสัญญา 5.94 ล้านบาท 4.2 ล้านบาท และ 4.99 ล้านบาท ตามลำดับ (ในปี 2544 ได้รับอนุมัติวงเงินงบประมาณ 7 ล้านบาท) ซึ่ง สตง. มีความเห็นว่า การจ้างที่ปรึกษาควรเป็นการจ้างงาน/โครงการที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง มีระยะเวลาดำเนินการสิ้นสุดแน่นอน มิใช่เป็นการจ้างต่อเนื่องเป็นประจำปีและเมื่อเปรียบเทียบกิจกรรมเดียวกันที่ดำเนินการโดยข้าราชการและลูกจ้างภายใต้การกำกับดูแลของผู้บริหารหน่วยงานของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานเป็นการควบคุมภายในที่เหมาะสมรัดกุมและประหยัดกว่ามาก ซึ่ง สพช. ได้ชี้แจงตามหนังสือที่ นร 0905/2262 ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2543 ถึงเหตุผลความจำเป็นในการจ้างที่ปรึกษามาปฏิบัติงานประจำดังกล่าว เนื่องจากปริมาณงานมากและข้อจำกัดด้านอัตรากำลังและการจ้างได้ถือปฏิบัติตามหนังสือกระทรวงการคลัง ที่ กค 0526.5/ว.131 ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2541 และ ที่ กค 0502/ว.101 ลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2533
สตง. เห็นว่า ตามหลักการบริหารงานประจำที่เกี่ยวข้องกับการเงินการคลังและการบริหารทรัพย์สินของรัฐ ต้องมีระบบควบคุมภายในที่ดีเหมาะสมและรัดกุม การจ้างบริษัทเอกชนมาปฏิบัติงานน่าจะทำให้เกิดความเสี่ยงสูง เพราะหากดำเนินการผิดพลาดจะส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อกองทุนฯ อีกทั้งตามหนังสือกระทรวงการคลังที่อ้างถึงก็มิได้ระบุประเภทของงานที่สามารถจ้างเอกชนดำเนินการได้ไว้ชัดเจนนัก สตง. จึงขอให้ สพช. พิจารณาทบทวนข้อสังเกตดังกล่าว ทั้งนี้ หากเห็นด้วยกับการจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อปฏิบัติงานประจำด้านการเงิน การคลัง และการพัสดุ เช่นที่ สพช. ได้ดำเนินการแล้ว ขอให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติเพื่อกำหนดเป็นหลักการ พร้อมทั้งนำเสนอขอความเห็นชอบกับกระทรวงการคลัง เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 4 ซึ่งกำหนดว่า หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเรื่องการเก็บรักษาเงิน การเบิกจ่ายเงินและพัสดุ ที่มิได้กำหนดในระเบียบนี้ ให้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งของทางราชการโดยอนุโลม ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการได้ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
3. การดำเนินงานและข้อเสนอของ สพช.
3.1 ตามที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ได้ตั้งข้อสังเกตว่า สพช. ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อบริหารงานด้านงบประมาณ การเงิน บัญชี และพัสดุ โดยทำสัญญาเป็นระบุปี ตั้งแต่ปี 2541-2543 มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
(1) เป็นการปฏิบัติงานลักษณะประจำด้านการคลังของส่วนราชการ
(3) กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) มีกิจกรรมใกล้เคียงกันกับ สพช. ใช้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างชั่วคราวมีค่าใช้จ่ายเป็นเงินเดือน และค่าจ้างที่น้อยมาก
สพช. ได้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อคราวประชุมครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 20) ที่ประชุมได้มีมติให้รอผลประเมินด้านการบริหารงานกองทุนฯ ซึ่งคณะกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ได้ประเมินเรียบร้อยแล้ว ผลการประเมินพบว่าในภาพรวมการใช้เงินกองทุนฯ ตามที่กำหนดไว้ตามกฎหมายของ สพช. พพ. และบก. เป็นไปตามที่ระบุไว้ในกฎหมายครบถ้วน ทั้ง 3 หน่วยงานได้พยายามใช้จ่ายเงินโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของรัฐ มีความชัดเจนในการใช้งบประมาณ มีเหตุผลสนับสนุนที่ชัดเจนในการตัดสินใจใช้งบประมาณ
เมื่อพิจารณาจากผลการประเมินฯ จะเห็นว่าบริษัทที่ปรึกษาสามารถปฏิบัติงานด้านการเงิน การบัญชี การพัสดุ ได้เรียบร้อย และรวดเร็วในภาพรวมการบริหารจัดการของบริษัทที่ปรึกษาอยู่ในระดับที่มีคุณภาพปานกลางค่อนข้างดี และจากการเปรียบเทียบปริมาณงานตามโครงการต่างๆ ในระยะ 3 ปี (2542-2544) ที่ สพช. รับผิดชอบในการตรวจสอบพิจารณาอนุมัติการเบิก-จ่าย รวมทั้งการติดตามให้คำปรึกษาแนะนำให้แก่ หน่วยงานต่างๆ ที่ขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ จะเห็นว่ามีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการบริหารงานด้านการเงิน การบัญชี การพัสดุ ต้องใช้ความละเอียด แม่นยำ และรวดเร็ว ในการปฏิบัติงานหากมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติอยู่เพียง 3 อัตรา ก็ไม่สามารถปฏิบัติงานให้สำเร็จลุล่วงได้ตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ
3.2 ตามเหตุผลดังกล่าว สพช. ยังมีความจำเป็นจะต้องจ้างที่ปรึกษาที่มีความสามารถ และประสบการณ์งานมาให้คำปรึกษา และดำเนินการในการบริหารเงินกองทุนฯ ให้เป็นไปอย่างรวดเร็วถูกต้องตามระเบียบของทางราชการและสามารถสนองนโยบายรัฐบาลในด้านการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้ประชาชนหันมาร่วมมือกับทางราชการ และตามที่ สตง. ตั้งข้อสังเกตและเสนอแนะไว้นั้น สพช. เห็นด้วยและพร้อมที่จะปฏิบัติตามหากมีการเพิ่มอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานได้เหมาะสมกับปริมาณงานที่ สพช. มีภาระหน้าที่ต้องปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ
แต่ปัจจุบันนี้ สพช. มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานดังกล่าวเพียง 3 อัตรา (ระดับ 7 จำนวน 1 อัตรา ระดับ 3 จำนวน 1 อัตรา ลูกจ้างชั่วคราว จำนวน 1 อัตรา) ซึ่งไม่สามารถปฏิบัติงานตามแผนงานต่างๆ ที่ สพช.รับผิดชอบให้สำเร็จลุล่วงได้เรียบร้อย รวดเร็ว และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯได้ ประกอบกับตามแผนการปฏิรูประบบส่วนราชการ ในปี 2546 จะต้องโอนงานกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปอยู่ที่กระทรวงพลังงาน แต่ขั้นตอนการดำเนินงานเพื่อโอนงานกองทุนฯด้านการเงิน การบัญชี และการพัสดุ คาดว่าไม่สามารถดำเนินการให้เสร็จสิ้นได้โดยเร็ว และการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่การเงิน การบัญชี ของกระทรวงพลังงานอาจจะไม่พร้อมที่จะบริหารงานเงินกองทุนฯได้ทันที ดังนั้นเพื่อให้การบริหารงานเงินกองทุนฯ ด้านการเงิน การบัญชีและการพัสดุ สามารถดำเนินการได้อย่างเรียบร้อย รวดเร็ว ในระหว่างที่การโอนงานเงินกองทุนฯยังไม่เสร็จสิ้น สพช. จึงยังมีความจำเป็นต้องจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารงานด้านงบประมาณ การเงิน การบัญชี และการพัสดุ ต่อไปอีก
มติที่ประชุม
1. รับทราบข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของ สตง. ตามที่เสนอ ซึ่ง สพช. ได้กำชับให้ผู้รับผิดชอบถือปฏิบัติตามระเบียบฯ โดยเคร่งครัดด้วยแล้ว
2. ให้ความเห็นชอบเป็นหลักการให้ สพช. จัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารงานด้านการเงิน การบัญชี และการพัสดุได้ สำหรับการดำเนินงานตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไป จนกว่าจะหมดความจำเป็น
กอ. ครั้งที่ 30 - วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2545
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 4/2545 (ครั้งที่ 30)
วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2545 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
2. ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
ท่านประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ท่านประธานได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานประกอบรถยนต์ของบริษัทฮอนด้า ซึ่งบนหลังคาอาคารสำนักงานของบริษัทได้ติดตั้งระผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในอาคาร โดยบริษัทเป็นผู้ลงทุนในการติดตั้งระบบเองทั้งหมด ท่านประธานจึงมีความเห็นว่ากองทุนฯ ควรมีมาตรการในการประชาสัมพันธ์ให้กับผู้ลงทุนทางด้านการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียนด้วย เช่น การมอบรางวัลชมเชยให้แก่บริษัทที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว เพื่อเป็นแรงจูงใจแก่บริษัทฯ และบริษัทอื่นๆ ที่สนใจจะเป็นใช้ตัวอย่างเพื่อพัฒนาด้านการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียนภายในองค์กร ฯ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่มีผู้สนใจจะลงทุนผลิตและขายไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง (Small Power Producer: SPP) จำนวน 43 ราย ได้ยื่นข้อเสนอขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น จากอัตรารับซื้อของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตามประกาศของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ใน "โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" และคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 มีนาคม2545 และวันที่ 20 มิถุนายน 2545 ได้พิจารณาข้อเสนอทั้ง 43 ราย แล้ว สรุปผลได้ดังนี้
(1) มี SPP รวมทั้งสิ้น 31 โครงการ ที่ผ่านการพิจารณาเบื้องต้น โดย SPP ทั้ง 31 ราย ต้องจัดทำแผนการรับฟังความคิดเห็นจากชุมชน และ สพช. จะต้องนำผู้แทนของกองทุนฯ เข้าไปในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่นั้นและรายงานผลเป็นข้อสังเกตและความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนฯ ในการอนุมัติให้การสนับสนุนโครงการฯ
(2) อนุมัติให้ สพช. เบิกค่าใช้จ่ายในการติดตามดูแลและสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ จากกองทุนฯ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงิน 69 ล้านบาท
(3) ให้ สพช. พิจารณากำหนดมาตรการควบคุมที่เข้มงวดและจริงจังและการจัดการกับ SPP ที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือข้อตกลงในการนำ กาก เศษวัสดุเหลือใช้ ขยะมูลฝอยหรือไม้ มาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กนั้น แล้วก่อให้เกิดมลพิษและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
(4) คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นควรจัดตั้งคณะทำงานเพื่อเกาะติดสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่และรายงานความเป็นไปให้คณะกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนให้ตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้นโดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง นักวิชาการอิสระ ผู้แทนจากชุมชน และเจ้าของโรงไฟฟ้า เพื่อมีส่วนร่วมในการทำหน้าที่ติดตามการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าต่างๆ ในแต่ละพื้นที่
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ในการประชุมครั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ จะนำเสนอความก้าวหน้าของการดำเนินการโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 แผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
ส่วนที 2 กรอบการพิจารณาแผนรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่
ส่วนที่ 3 กรอบการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงาน โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
3. สพช. ได้ขออนุญาตต่อที่ประชุมให้ บริษัท ทริปเปิล เจ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ผู้บริหารงานประชาสัมพันธ์ของโครงการฯ ได้นำเสนอรายงานต่อที่ประชุมในส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 สรุปได้ดังนี้
ส่วนที่ 1 แผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายให้ได้รับทราบความเป็นมาและมีความเข้าใจที่ดีต่อโครงการ SPP โดยใช้กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ 3 กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์การสร้างภาพลักษณ์ที่ดี กลยุทธ์การสร้างแนวร่วม และกลยุทธ์การสร้างแนวป้องกัน ซึ่งสามารถแปลงเป็นกิจกรรมการสื่อสารต่างๆ ได้ 4 กิจกรรม ดังนี้
(1) ศูนย์ประสานงานโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อดำเนินกลยุทธ์สร้างแนวร่วมและแนวป้องกัน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงลึก ติดตามการดำเนินการประชาสัมพันธ์ มวลชนสัมพันธ์ และเป็นตัวกลางในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นระหว่างประชาชนในพื้นที่กับ SPP โดย สพช. ได้ว่าจ้างบริษัท ดีวายทู จำกัด ให้เป็นผู้ดำเนินการในวงเงิน 7,000,000 บาท
(2) ศูนย์ประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์การสร้างภาพลักษณ์และสร้างแนวร่วม เพื่อให้สื่อมวลชนทุกแขนงได้รับความรู้ข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับโครงการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ที่ถูกต้องเป็นจริงและครบถ้วน
(3) ผู้ผลิตสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับโครงการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
(4) ผู้ผลิตสื่อและจัดกิจกรรมการสื่อสารในพื้นที่ เพื่อสร้างสร้างเครื่องมือในการสื่อสารเกี่ยวกับโครงการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ไปสู่กลุ่มเป้าหมายให้ตรงกับพฤติกรรมของประชาชนในแต่ละพื้นที่
สำหรับกิจกรรม (2)-(4) นั้นขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการเปิดให้ผู้สนใจรับ TOR และคาดว่าจะสามารถดำเนินการจัดจ้างผู้มาดำเนินงานในแต่ละกิจกรรมได้ภายในเดือนตุลาคม 2545
ส่วนที่ 2 กรอบการพิจารณาแผนรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากแผนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในแต่ละพื้นที่ จะมีกิจกรรมที่หลากหลาย โดยขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ดังนั้น สพช. จึงกำหนดกรอบการพิจารณาที่เป็นกลางขึ้นเป็นเครื่องมือในการประเมินระดับความพอใจที่มีต่อแผนการรับฟังความคิดเห็นให้การพิจารณาของ SPP ทั้ง 31 ราย ซึ่งสามารถแบ่งการพิจารณา ออกเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
(1) กรอบการพิจารณาแผนฯ
พิจารณาพื้นที่เป้าหมาย ต้องดำเนินกิจกรรมรับฟังความคิดเห็นประชาชนโดยครอบคลุมพื้นที่ในรัศมี 10 กิโลเมตร ประกอบด้วย พื้นที่หลัก (0-3 กิโลเมตร จากที่ตั้งโรงไฟฟ้า) และพื้นที่รอง (3-10 กิโลเมตร)
พิจารณากลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ แผนต้องมีความชัดเจนที่จะดำเนินกิจกรรมชี้แจงและรับฟังความคิดเห็นในทุกกลุ่มเป้าหมาย
พิจารณาเอกสารประกอบการชี้แจง ต้องมีเอกสารประกอบการชี้แจงและรับฟังความคิดเห็นเพื่อสื่อสารให้กลุ่มเป้าหมายรับทราบ เช่น ข้อมูลพื้นฐานของโครงการผลิตไฟฟ้า ประโยชน์ของโครงการฯ
พิจารณาความชัดเจนของแผน แผนรับฟังความคิดเห็นต้องมีความชัดเจนของวัตถุประสงค์ วิธีการดำเนินการรับฟังความคิดเห็น ข้อมูลที่จะจัดเก็บเพื่อจัดทำรายงานผลการรับฟังความคิดเห็น กระบวนการดำเนินงาน และปัจจัยประกอบอื่นๆ
ผลการพิจารณาแผนการรับฟังความคิดเห็น
สพช. ได้ส่งแผนการรับฟังความคิดเห็นของ SPP ทั้ง 17 ราย ให้บริษัท ทริปเปิล เจ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด รับไปพิจารณาตามกรอบที่กำหนดในข้อ (1) สรุปได้ว่า
มี SPP จำนวน 7 ราย ที่มีแผนการรับฟังความคิดเห็นที่ชัดเจน และเห็นควรให้ดำเนินการได้ตามแผนงานที่เสนอมา
มี SPP จำนวน 6 ราย ที่ควรปรับปรุงแผนตามคำแนะนำก่อนดำเนินการ เนื่องจากขาดรายละเอียดของความชัดเจนในบางประเด็น
มี SPP จำนวน 3 ราย ที่ควรจำทำแผนการรับฟังใหม่ และมี SPP จำนวน 1 ราย ที่ขอระงับโครงการฯ จึงไม่ได้เสนอแผน
(2) การเข้าร่วมสังเกตการณ์รับฟังความคิดเห็น
โดยกำหนดแนวทางการสังเกตการณ์ ประกอบด้วย การประเมินวิธีการดำเนินการเปรียบเทียบกับแผนฯ ประเมินวิธีการชี้แจงของ SPP ประเมินการตอบข้อซักถามของผู้เข้าร่วมประชุม และประเมินการคัดค้านของผู้เข้าร่วมรับฟังความคิดเห็น โดยกำหนดระดับการวัดผลเป็น 3 ระดับ คือ ชัดเจนดี พอใช้ และควรปรับปรุง
ผลการร่วมสังเกตการณ์การรับฟังความคิดเห็น
ในระหว่างเดือนมิถุนายน 2545 - สิงหาคม 2545 ผู้แทนจาก สพช. ได้ไปร่วมสังเกตการณ์การดำเนินกิจกรรมของ SPP จำนวน 8 ราย สรุปได้ว่ามี SPP จำนวน 3 ราย ที่อยู่ในระดับดี 4 รายอยู่ในระดับพอใช้ และ 1 รายที่ควรปรับปรุง
(3) การวิเคราะห์ผลการรับฟังความคิดเห็น
เมื่อ SPP แต่ละรายได้ดำเนินการกิจกรรมตามแผนรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนแล้วSPP จะจัดทำรายงานผลให้ สพช. ทราบ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา สพช. จึงกำหนดแนวทางในการประเมินความน่าเชื่อถือของรายงานที่ SPP จัดทำมา โดยแบ่งการพิจารณาเป็น 2 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 จากรายงานผลการรับฟังความคิดเห็นของ SPP ซึ่งประกอบด้วย รายงานผลการดำเนินการตามแผนรับฟังความคิดเห็น และรายงานผลการสำรวจความคิดเห็นของชุมชน
ส่วนที่ 2 ตรวจสอบโดย สพช. ซึ่งประกอบด้วย ผลการเข้าร่วมสังเกตการณ์รับฟังความคิดเห็น และผลการสำรวจข้อมูลเชิงลึกโดยศูนย์ประสานงานโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
ทั้งนี้จะต้องผ่านการเกณฑ์การพิจารณา ทั้ง 2 ส่วน จึงถือว่าผ่านการพิจารณา โดยมีเกณฑ์การพิจารณาในแต่ละส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 พิจารณาจากรายงานผลการรับฟังความคิดเห็นของ SPP ซึ่งดำเนินงานตามแผนฯ ที่เสนอ โดยต้องมีรายละเอียดครอบคลุมพื้นที่เป้าหมายและกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ ประเด็นที่ชี้แจงครอบคลุมเนื้อหาที่สำคัญ และมีเอกสารหลักฐานประกอบรายงาน ส่วนผลการสำรวจความคิดเห็นชุมชน จะต้องมีวิธีการสำรวจความคิดเห็นเป็นไปตามหลักวิชาสถิติ เนื้อหาแบบสำรวจสะท้อนทัศนคติของชุมชนที่มีต่อโรงไฟฟ้า และผลการสำรวจความคิดเห็นมีผู้คัดค้านไม่เกินร้อยละ 20
ส่วนที่ 2 พิจารณาจากการตรวจสอบของ สพช. จากการร่วมสังเกตการณ์รับฟังความคิดเห็น โดยพิจารณาประเด็นการชี้แจงของ SPP ที่ครบถ้วนถูกต้อง การตอบข้อซักถามชัดเจน และมีผู้คัดค้านไม่เกินร้อยละ 20 รวมทั้งพิจารณาจากข้อมูลผลการสำรวจเชิงลึก
ผลการรับฟังความคิดเห็น
จากกรอบการประเมินผลตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น (ไม่รวมการสำรวจข้อมูลเชิงลึก) เมื่อนำมาใช้เป็นแนวทางในการประเมินผลความน่าจะเป็นที่ SPP ทั้ง 17 รายแรกได้ดำเนินการตามแผนการรับฟังความคิดเห็นแล้ว สามารถสรุปได้ว่าโอกาสที่ SPP แต่ละราย จะสามารถสร้างโรงไฟฟ้า ดังนี้
น่าจะผ่าน | พยายามมากขึ้น | เสี่ยงสูง |
1. กฟผ. เขื่อนป่าสักชลสิทธ์ 2. กฟผ. เขื่อนคลองท่าด่าน 3. กฟผ. เขื่อนเจ้าพระยา 4. บริษัทอุตสาหกรรมโคราช 5. บริษัท ทีพีเคสตาร์ช นครราชสีมา 6. บริษัท พีอาร์จีพืชผล ปทุมธานี |
1. บริษัทเซ็นทรัลเอ็นเนอร์จี อยุธยา 2. บริษัทเซ็นทรัลเอ็นเนอร์จี อยุธยา 3. บริษัทเอทีไบโอพาวเวอร์ นครปฐม 4. บริษัทกัลฟ์อิเล็คทริค ตรัง 5. บริษัทเอ็นวาย ชูการ์ นครราชสีมา 6. บริษัทกัลฟ์อิเล็คทริค ยะลา |
1. บริษัทเอที ไบโอพาวเวอร์ นครสวรรค์ 2. บริษัทเอที ไบโอพาวเวอร์ สิงห์บุรี 3. บริษัทไบโอแมส เพาเวอร์ ชัยนาท 4. บริษัทวีโอกรีน เพาเวอร์ นครปฐม หมายเหตุ บริษัทอาร์วีกรีนเพาเวอร์ ขอระงับโครงการ |
(4) การสำรวจข้อมูลเชิงลึกในพื้นที่
สพช. ได้จ้าง บริษัทดีวายทู จำกัด เป็นผู้ดำเนินกิจกรรม "ศูนย์ประสานงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" โดยบริษัทฯ จะสำรวจข้อมูลเชิงลึกในพื้นที่ด้วยวิธีสัมภาษณ์ตัวต่อตัวแบบเดินชน และเลือกเก็บข้อมูลเฉพาะกลุ่ม โดยแบ่งข้อมูลออกเป็น ข้อมูลด้านความคิดเห็น ข้อมูลวัดผลการดำเนินกิจกรรม และข้อมูลเพื่อการตรวจสอบ ซึ่งข้อมูลที่ได้รับจะนำไปเปรียบเทียบกับรายงานของ SPP รวมถึงใช้วัดผลสำเร็จของ SPP ด้วย
4. เพื่อติดตามผลการดำเนินงานของ SPP ที่ได้รับสนับสนุนจากกองทุนฯ และรายงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง และเพื่อป้องกัน/แก้ไขปัญหามลพิษที่อาจเกิดขึ้นจากการผลิตไฟฟ้าในโครงการฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม "คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ" และ "คณะทำงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" ได้มีการประชุมร่วมกัน เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2545 และให้ความเห็นชอบกรอบแนวทางและเครื่องมือในการติดตาม ตรวจสอบการดำเนินงานของแต่ละ SPP ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ อย่างใกล้ชิด และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ
5. สพช. ได้ขออนุญาตให้ บริษัท AEA Technology (Thailand) จำกัด ที่ปรึกษาโครงการ SPP นำเสนอกรอบการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงาน โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังนี้
5.1 การจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคี ประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานราชการระดับท้องถิ่น (จังหวัด) ผู้แทนจากชุมชนที่ตั้งโครงการ และผู้แทนจากผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้า ซึ่งคณะกรรมการฯ มีหน้าที่ ดังนี้
(1) หน่วยงานราชการระดับท้องถิ่น (จังหวัด) เป็นผู้ดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคีดังกล่าว โดยมีผู้แทนจากทั้ง 3 ฝ่าย ในสัดส่วนที่เท่ากัน และควรมีการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประเมินผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมเข้าเป็นที่ปรึกษาในคณะกรรมการไตรภาคีด้วย เพื่อให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะด้านเทคนิค โดยให้มีการจัดประชุมคณะกรรมการฯ ร่วมกันอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง เพื่อให้เป็นเวทีที่ชุมชน ผู้ประกอบการ และหน่วยงานรัฐ ได้รับทราบและร่วมกันพิจารณาแนวทางป้องกันแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า รวมทั้งเป็นอีกมิติหนึ่งของ "องค์กรชุมชน" ที่ประชาชนในชุมชนได้มีโอกาสรับรู้สิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นภายในชุมชนและมีส่วนร่วมในการผลักดันแนวทางเพื่อพัฒนาชุมชนของตนเอง
(2) "คณะกรรมการไตรภาคี" มีสิทธิในการเข้าตรวจสอบการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า และเสนอแนะแนวทางปฏิบัติสำหรับโรงไฟฟ้าเพื่อป้องกันหรือลดผลกระทบจากโครงการฯ รวมทั้งบังคับให้หยุดการผลิตไฟฟ้าในกรณีที่การผลิตไฟฟ้าดังกล่าวส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อม
5.2 กำหนดรูปแบบการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการตรวจสอบประเมินผล เพื่อให้มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ และใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาผลการดำเนินงานของโครงการฯ ให้กับคณะกรรมการไตรภาคี โดยมีขั้นตอนดังนี้
(1) ศึกษาความเหมาะสมและกำหนดรูปแบบการรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผล โดยมีรูปแบบเป็นการรายงานผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Performance Report) ซึ่งประกอบด้วย
ดัชนีวัดสภาวะด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Conditioning Indicators) เป็นดัชนีที่ชี้ประเด็นความสำคัญของผลการดำเนินโครงการฯ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ โดยมีค่าชี้วัดจากความพึงพอใจของชุมชนและการสนองตอบต่อนโยบายระดับประเทศ เช่น ความพึงพอใจของชุมชนในรัศมี 5-10 กิโลเมตรรอบที่ตั้งโรงไฟฟ้า เป็นต้น โดยใช้แบบสำรวจมาตรฐานจำนวนประชากรที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากมลพิษที่เกิดจากโรงไฟฟ้า เช่น ฝุ่นขี้เถ้าเข้าตา ปริมาณก๊าซเรือนกระจก อัตราการจ้างงาน การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในท้องถิ่น และสถิติการก่อปัญหาอาชญากรรมเป็นต้น
ดัชนีวัดผลปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Performance Indicators) เป็นดัชนีที่วัดผลการปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมของโรงไฟฟ้า เช่น ความเข้มข้นของมลพิษที่ปล่อยจากปล่อง คุณภาพน้ำทิ้งจากโรงไฟฟ้า คุณภาพน้ำใต้ดิน เป็นต้น
(2) ศึกษาและประมวลข้อมูลเบื้องต้นของ SPP ที่ได้รับอนุมัติทั้งหมด ทั้งด้านเทคนิค สถานที่ตั้ง ภูมิประเทศ และความหนาแน่นของชุมชนรอบข้าง เพื่อกำหนดแนวทางการลงพื้นที่เพื่อหาข้อมูลเชิงลึก และรูปแบบของแบบสอบถามมาตรฐานที่ใช้ประเมินความพึงพอใจของชุมชนที่มีต่อโครงการฯ รวมทั้งกำหนดแนวทางการประมวลผลข้อมูลที่จัดเก็บให้อยู่ในรูปแบบดัชนีที่เหมาะสมและง่ายต่อการทำความเข้าใจของคณะกรรมการไตรภาคี ซึ่งแต่ละโครงการฯ จะใช้ดัชนีที่เหมือนกันเพื่อให้สามารถประเมินเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของแต่ละโครงการฯ ได้
(3) จากข้อ (1) และ (2) จะเป็นแนวทางกำหนดขอบเขตงานให้หน่วยงานที่จะดำเนินการเก็บข้อมูลและจัดทำรายงานดังกล่าวเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการไตรภาคี และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง โดยมีความถี่ในการจัดเก็บข้อมูลและรายงานผลประมาณ 3-6 เดือน/ครั้ง โดย สพช. จะมีกรอบการคัดเลือกและจัดจ้างหน่วยงานที่จะดำเนินการเก็บข้อมูล โดยอาจแบ่งการดำเนินการออกเป็นภาคๆ (Zonal) และหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายต้องไม่มีส่วนร่วมรับผลประโยชน์หรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการฯ
5.3 เพื่อให้คณะกรรมการกองทุนฯ สามารถตัดสินใจที่จะอนุมัติหรือไม่ควรอนุมัติเงินสนับสนุนให้กับแต่ละ SPP ได้อย่างชัดเจน ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรแต่งตั้งผู้แทนจากคณะกรรมการกองทุนฯ ร่วมเดินทางไปกับผู้แทนของคณะอนุกรรมการฯ คณะทำงานฯ และฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อสังเกตการณ์ในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าเป็นรายโครงการ ซึ่งผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ จะได้รับทราบข้อมูลเชิงลึกในแต่ละพื้นที่ สามารถเปรียบเทียบกับกระแสข่าวและรายงานผลที่ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ และเป็นผู้ให้ความเห็นต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ประกอบการตัดสินใจ
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบกรอบการตรวจสอบ ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานโครงการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามที่ สพช. เสนอและให้ฝ่ายเลขานุการฯ ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการต่อไป โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานงานกับ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมโรงงานอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอความร่วมมือในการประสานงานกับหน่วยงานราชการระดับท้องถิ่น (จังหวัด) ในการดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคี ตามแนวทางที่กำหนดไว้
2. เห็นควรแต่งตั้งผู้แทนจากคณะกรรมการกองทุนฯ ร่วมเดินทางไปกับผู้แทนของคณะอนุกรรมการฯ คณะทำงานฯ และฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อสังเกตการณ์และรับทราบข้อมูลเชิงลึกในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า
เรื่องที่ 2 ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่ ประธานกรรมการกองทุนฯ (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ได้มีคำสั่งคณะกรรมการกองทุนฯ ที่ 1/2542 ลงวันที่ 5 เมษายน 2542 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน โดยมีนายสิปปนนท์ เกตุทัต เป็นประธานคณะอนุกรรมการดังกล่าว
2. นายสิปปนนท์ เกตุทัต ได้มีหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ นร 1041/1790 ลงวันที่ 12 เมษายน 2545 แจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ว่าขอลาออกจากประธานอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และบรรลุตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ 2535 สพช. จึงขอปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยให้คงอำนาจและหน้าที่ของคณะอนุกรรมการฯ ไว้คงเดิม โดยมีองค์ประกอบ ดังนี้
(1) | นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ | ประธานอนุกรรมการ |
(2) | นายปิยะวัติ บุญ-หลง | อนุกรรมการ |
(3) | นายเทียนฉาย กีระนันทน์ | อนุกรรมการ |
(4) | นายมานิจ ทองประเสริฐ | อนุกรรมการ |
(5) | นายศุภชาติ จงไพบูลย์พัฒนะ | อนุกรรมการ |
(6) | ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ | เลขานุการ |
มติที่ประชุม
เห็นชอบกับการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ตามที่ สพช. เสนอและให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำคำสั่งแต่งตั้งเสนอประธานกรรมการกองทุนฯ ลงนามต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมตามว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 24) เมื่อวันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้มีการวางเงินประกันการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และให้ถือว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่ผู้ประกอบการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไว้ล่วงหน้า โดยมอบหมายให้กรมสรรพสามิต กรมบัญชีกลางและ สพช. รับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ต่อไป
2. กรมสรรพสามิต ได้จัดให้มีการประชุมผู้เกี่ยวข้องดังกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน2544 เพื่อพิจารณาหาแนวทางแก้ไขในการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ของบริษัทฯ น้ำมันส่งขาด โดยให้กรมสรรพสามิต เป็นผู้ร่างระเบียบฯ แล้วมอบให้ สพช. ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ เป็นผู้ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบก่อนมีการประกาศ สพช.จึงได้เชิญผู้เกี่ยวข้อง คือ ผู้แทนกรมสรรพสามิต ผู้แทนกรมบัญชีกลาง และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มาร่วมประชุมเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2545 เพื่อพิจารณาร่างระเบียบกรมสรรพสามิต และที่ประชุมได้มีมติให้กรมสรรพสามิตแก้ไขเพิ่มเติมร่างระเบียบในข้อ 8 และข้อ 9 ต่อไป
3. กรมสรรพสามิต ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ กค. 0713/21709 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2545 ถึง สพช. เพื่อนำส่งร่างระเบียบกรมสรรพสามิตว่าด้วยการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการขอรับเงินคืนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และรายชื่อผู้ประกอบอุตสาหกรรมน้ำมัน และผลิตภัณฑ์น้ำมัน ส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไม่ครบถ้วน จำนวน 13 ราย เพื่อให้ ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาแนวทางผ่อนผันในการดำเนินคดีย้อนหลังให้กับผู้ค้าน้ำมันต่อไป โดยได้แจ้งสาเหตุการส่งเงินไม่ครบถ้วนเกิดจากกรณี ดังต่อไปนี้
3.1 เกิดจากการคำนวณปริมาณผิดพลาด เนื่องจาก
(1) ทางคลังน้ำมันต่างจังหวัดที่เป็นผู้จ่ายน้ำมันแจ้งยอดการจ่ายน้ำมันไม่ถูกต้องทำให้ทางสำนักงานใหญ่ที่เป็นผู้เสียภาษีชำระภาษีขาดไป แต่เมื่อบริษัทฯ ตรวจสอบพบเองก็ชำระเพิ่มเติมมา
(2) การจ่ายน้ำมันทางคลังจะวัดปริมาณที่อุณหภูมิปกติและจะต้องคำนวณปริมาณมาเป็นที่อุณหภูมิ 86F หรือ 30C ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ใช้สำหรับเสียภาษี ทางคลังจะแจ้งตัวเลขปริมาณที่อุณหภูมิปกติซึ่งไม่ถูกต้อง
(3) โดยปกติบริษัทฯ จะยื่นชำระภาษีเป็นรายสัปดาห์หรือ 3 วันต่อครั้ง แต่รายละเอียดการนำน้ำมันออกจากคลังแต่ละวันเมื่อรวมยอดทั้งสัปดาห์รวมยอดขาดไปเนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์รวมยอดขาดไปหนึ่งวันทำให้ชำระภาษีขาดไปในงวดนั้น
3.2 เกิดจากการพิมพ์ตัวเลขสลับกัน เช่น ปริมาณรวมที่ต้องเสียภาษี 100,563 ลิตร แต่พิมพ์ตัวเลขในแบบรายการภาษีเป็น 100,536 ลิตร และคำนวณเสียภาษีขาดไป ทำให้การส่งเงินเข้ากองทุนขาดไปด้วย
3.3 เกิดจากการปัดเศษจากการคำนวณปริมาณสารเติมแต่งน้ำมันที่จะต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ ปริมาณสารเติมแต่งที่ผสมเมื่อคำนวณตามสูตรแล้วจะเป็นเศษของลิตร การชำระภาษีสรรพสามิตการคำนวณเสียภาษีเศษของลิตรให้คิดเป็นหนึ่งลิตร แต่บางครั้งบริษัทฯ ปัดเศษขึ้นบ้างปัดเศษลงบ้าง เมื่อรวมปริมาณของทุกวันแล้วทำให้ปริมาณที่ยื่นชำระภาษีขาดไป เป็นเหตุให้ส่งเงินเข้ากองทุนขาดไป
4. จากเหตุผลตามที่กรมสรรพสามิต ได้นำเสนอในข้อ 3 เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงเบื้องต้นและพฤติกรรมการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ของผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯ จะเห็นว่าผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯ มิได้มีเจตนาจะหลีกเลี่ยงแต่อย่างใด เป็นกรณีซึ่งผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯ ตรวจสอบพบเองและได้ส่งเงินส่วนที่ขาดพร้อมเงินเพิ่มร้อยละ 3 ต่อเดือนครบถ้วน โดยมิได้เกิดจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ เหตุปัญหาเกิดจากข้อผิดพลาดทางเทคนิค ผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯน่าจะได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาผ่อนผันการดำเนินคดีย้อนหลัง ประกอบกับพระราชบัญญัติเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ไม่ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจพิจารณาการผ่อนผันกรณีผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯ ส่งเงินไม่ครบถ้วนไว้ ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้ว เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการที่กรมสรรพสามิตยังหยุดยั้งอยู่ จึงเห็นควรนำส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาหาแนวทางผ่อนคลายปัญหาดังกล่าวให้กับผู้ประกอบอุตสาหกรรมน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันต่อไป
มติที่ประชุม
1. รับทราบร่างระเบียบกรมสรรพสามิตว่าด้วยการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และการขอรับเงินคืนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. เห็นชอบให้ สพช. ส่งเรื่อง ผู้ประกอบอุตสาหกรรมฯส่งเงินไม่ครบถ้วน ไปหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณาหาแนวทางผ่อนคลายปัญหาดังกล่าวกับผู้ประกอบอุตสาหกรรมน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ตามที่กรมสรรพสามิตหารือมา
กอ. ครั้งที่ 29 - วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน 2545
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2545(ครั้งที่ 29)
วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2545 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
4. ขออนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2545
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ท่านประธานฯ ได้มีโอกาสเดินทางไปดูงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ที่เมืองไฟบวร์ก ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน ซึ่งรัฐบาลเยอรมันกำลังสนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ โดยทำจากวัสดุที่ไม่ใช่ซิลิกอน ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวใกล้ที่จะนำมาใช้ผลิตขายเชิงพาณิชย์ได้แล้ว และรัฐบาลเยอรมันยังมีโครงการส่งเสริมการติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน จำนวน 1 แสนหลัง โดยการออกกฎหมาย เพื่อสนับสนุนบ้านที่ผลิตไฟฟ้าได้จากเซลล์แสงอาทิตย์ให้สามารถจ่ายไฟฟ้าเชื่อมต่อสายส่งเพื่อขายได้ ท่านประธานฯ จึงมีความเห็นว่า ประเทศไทยควรจะทำการพัฒนาทางด้านเซลล์แสงอาทิตย์และสนับสนุนการนำเซลล์แสงอาทิตย์มาใช้ในการผลิตไฟฟ้าอย่างจริงจัง เพื่อช่วยลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุดของประเทศ ซึ่งจะทำให้การก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ลดลง หรือนำไปใช้ในเขตพื้นที่ห่างไกลสายส่ง เช่น ตามเกาะต่างๆ ที่สายส่งไม่สามารถเข้าถึง ทั้งนี้ กองทุนฯ ควรมีนโยบายที่จะให้การสนับสนุนในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบถึงงบการเงินและรายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่า มีเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคาร ณ วันที่ 30 เมษายน 2545 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น13,116,835,014.13 บาท
มติที่ประชุม
มติที่ประชุมรับทราบ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบให้ สพช. ใช้เงินจากกองทุนฯ ในวงเงินรวม 2,060 ล้านบาท ภายใต้ "โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" เพื่อสนับสนุนให้มีการลงทุนผลิตและขายไฟฟ้าที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงมากขึ้น โดย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สามารถรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนได้อีกประมาณ 300 เมกะวัตต์
2. สพช. ได้เชิญชวนให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานนอกรูปแบบหรือใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงได้ยื่นข้อเสนอเพื่อขอรับเงินสนับสนุนดังกล่าว โดยกองทุนฯ จะให้การสนับสนุนกับผู้ที่มีข้อเสนอที่เหมาะสมและเสนอขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กไม่เกิน 0.36 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 ปี ด้วยวิธีคัดเลือก และมีผู้สนใจยื่นข้อเสนอไว้กับ สพช. รวมทั้งสิ้น 43 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขายทั้งสิ้น 775 เมกะวัตต์ คิดเป็นจำนวนเงินที่ขอรับการสนับสนุนทั้งสิ้นประมาณ 6,400 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่ สพช. กำหนดไว้
3. คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ และคณะทำงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ได้เสนอผลการพิจารณาคัดเลือกข้อเสนอโครงการฯ ต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 28) เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2545 แล้ว และที่ประชุมได้มีมติดังนี้
(1) รับทราบและเห็นชอบผลการคัดเลือกข้อเสนอทั้ง 43 โครงการ ดังนี้
กลุ่มที่ 1 จะได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ มีจำนวนทั้งสิ้น 17 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้า ที่ขายเข้าระบบทั้งสิ้น 313 MW คิดเป็นเงินที่กองทุนฯ สนับสนุนทั้งสิ้นในวงเงิน 1,956 ล้านบาท
กลุ่มที่ 2 ข้อเสนอผ่านเกณฑ์การพิจารณาเช่นเดียวกับกลุ่มที่ 1 แต่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนเนื่องจากวงเงิน 2,060 ล้านบาท ได้หมดลงก่อน มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 20 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขายเข้าระบบ 224.20 MW
กลุ่มที่ 3 ข้อเสนอที่ไม่ผ่านเกณฑ์พิจารณา รวมทั้งสิ้น 6 ราย เนื่องจากได้รับคะแนน 0 หรือ 1 ในหัวข้อหนึ่งหัวข้อใดของข้อเสนอทางเทคนิค/ข้อเสนอทางการเงิน และมีคุณสมบัติไม่ตรงตามเกณฑ์ ที่กำหนด
(2) เนื่องจากข้อเสนอในกลุ่มที่ 1 จำนวน 17 โครงการ นั้น มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งหมด และเพื่อจะได้ไม่ต้องเริ่มต้นดำเนินการคัดเลือกใหม่ คณะกรรมการกองทุนฯ จึงได้อนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ เพิ่มเติมให้กับโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน อีก 1,000 ล้านบาท เป็นวงเงินรวม 3,060 ล้านบาท เพื่อประกาศให้ผู้ยื่นข้อเสนอที่อยู่ในกลุ่มที่ 2 จำนวน 20 โครงการ ได้มีสิทธิยื่นเสนออัตราขอรับเงินสนับสนุนใหม่ โดยเสนออัตราเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุดไม่เกิน 0.225 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (เท่ากับอัตราสนับสนุนสูงสุดในกลุ่มที่ 1)
(3) อนุมัติให้ สพช. เบิกค่าใช้จ่ายจากแผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในการติดตามดูแลและสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ได้โดยให้ สพช. จัดทำรายละเอียดแผนการใช้จ่ายเงินเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอนุมัติ โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ และเมื่อดำเนินการแล้วให้รายงานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบเป็นระยะ
4. เนื่องจากสาธารณชนยังไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารที่สื่อให้ทราบถึงความเป็นมาและผลสำเร็จของการดำเนินโครงการฯ ที่ก่อเกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยส่วนรวม ทั้งในด้านนโยบาย วัตถุประสงค์และเหตุผลที่รัฐสนับสนุนให้มีการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรหรือพลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งหากรัฐไม่เร่งดำเนินการให้เกิดการสื่อสารต่อประชาชนในเรื่องดังกล่าว อาจทำให้เกิดช่องว่างและมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในการดำเนินโครงการฯ สพช. จึงได้จัดทำ "กรอบโครงการประชาสัมพันธ์ภายใต้โครงการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" ขึ้น เพื่อตอกย้ำข้อมูลข่าวสารและความทรงจำของกลุ่มเป้าหมาย และสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง โดย สพช. จะจัดจ้างผู้ที่มีความเป็นมืออาชีพมาเป็นผู้บริหารและดำเนินการโครงการฯ ให้เกิดผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ด้วยการบริหารแผนงานที่รัดกุม แบ่งเป็น 4 ระดับ ดังนี้
(1) งานบริหารโครงการประชาสัมพันธ์ : ภายใต้โครงการผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนให้เกิดผลบรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
(2) งานประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มเป้าหมายหลัก : เป็นการสื่อสารให้ประชาชนในพื้นที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้รับทราบถึงความเป็นมาและเห็นประโยชน์ต่อชุมชนโดยส่วนรวมในการที่รัฐได้สนับสนุนให้มีการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรหรือพลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นและให้ความร่วมมือเพื่อดำเนินการให้เกิดโรงไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงในพื้นที่นั้นๆ
(3) งานสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรอง : เป็นการสื่อสารให้ประชาชนทั่วไป หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ ผู้นำความคิด/ผู้ชี้นำทางสังคม สื่อมวลชน และองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารโครงการฯ และเกิดแนวคิดที่ดีกับโครงการฯ ส่งผลให้การดำเนินงานได้รับความร่วมมือด้วยดี
(4) งานสื่อสารประชาสัมพันธ์ในกรณีเกิดวิกฤติการณ์ : งานในส่วนนี้จะมีการดำเนินกิจกรรมในกรณีที่มีเหตุที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าเกิดขึ้น ซึ่งกิจกรรมประชาสัมพันธ์ตามแผนงานปกติอาจจะได้ผลช้าและไม่สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นได้ทันต่อเหตุการณ์
5. คณะอนุกรรมการฯ ได้เห็นชอบกรอบโครงการประชาสัมพันธ์ฯ และอนุมัติให้ สพช. ใช้เงินกองทุนฯ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงิน 69.7 ล้านบาท เป็นค่าดำเนินการตามกรอบโครงการประชาสัมพันธ์ดังกล่าว และให้ สพช. จัดจ้างผู้บริหารโครงการประชาสัมพันธ์ฯ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ โดยเมื่อผู้รับจ้างจัดทำ Terms of Reference (TOR) และหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้ดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์แต่ละกิจกรรม เรียบร้อยแล้ว ให้ สพช. เสนอคณะทำงานฯ และคณะอนุกรรมการฯ ให้ความเห็นชอบ ก่อนจัดจ้างผู้ดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์แต่ละกิจกรรม
6. ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้จัดสรรเงินจากกองทุนฯ ในวงเงินรวม 3,060 ล้านบาท เพื่อให้ สพช. นำมาใช้จ่ายในโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน โดยเงินจำนวน 3,060 ล้านบาท ดังกล่าว คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบให้ สพช. กันเงินไว้ประมาณ 1,956 ล้านบาท สำหรับเป็นเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าของผู้ยื่นข้อเสนอที่ผ่านการพิจารณาในกลุ่มที่ 1 จำนวน 17 โครงการ และคณะอนุกรรมการฯ ได้เห็นชอบให้ สพช. กันเงินไว้ประมาณ 69.7 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าดำเนินการตามกรอบโครงการประชาสัมพันธ์ฯ ดังนั้นวงเงินรวมของโครงการฯ ที่คงเหลืออยู่เพื่อนำมาจัดสรรให้กับผู้ยื่นข้อเสนอที่ผ่านการพิจารณาในกลุ่มที่ 2 จึงมีจำนวนเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,035 ล้านบาท
7. เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2545 สพช. ได้เชิญผู้ยื่นข้อเสนอในกลุ่มที่ 2 ทั้ง 20 โครงการ มาประชุมเพื่อรับทราบสิทธิในการยื่นเสนออัตราขอรับเงินสนับสนุนใหม่ โดย สพช. ประกาศปิดรับซองข้อเสนอในวันที่ 15 พฤษภาคม 2545 และเมื่อครบกำหนดปิดรับซองข้อเสนอทางการเงิน ปรากฏว่ามีผู้มาใช้สิทธิรวมทั้งสิ้น 19 โครงการ (ยกเว้น RFP 00015 ห้างหุ้นส่วนจำกัดไพโรจน์ สมพงษ์พาณิชย์ ไม่ได้ใช้สิทธิในการยื่นข้อเสนอ) คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบทั้งสิ้น 223.3 MW และคิดเป็นเงินที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,189,959,874.60 บาท
8. คณะอนุกรรมการฯ และคณะทำงานฯ ได้ประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2545 พิจารณาข้อเสนอทั้ง 19 โครงการ และสรุปผลการจัดเรียงลำดับข้อเสนอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา ดังนี้
(1) มีข้อเสนอที่ผ่านการพิจารณารวมทั้งสิ้น 17 โครงการ และเมื่อทำการจัดสรรเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้กับข้อเสนอที่เรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยของเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง) ที่ขายเข้าระบบของการไฟฟ้าตลอดอายุโครงการ (Average Levelized Adder) แล้วปรากฏว่าภายในวงเงิน 1,035 ล้านบาท มีข้อเสนอที่จะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ รวมทั้งสิ้น 14 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบทั้งสิ้น 198.1 MW และคิดเป็นวงเงินที่ขอรับการสนับสนุนจาก กองทุนฯ รวมทั้งสิ้น 1,034,517,874.60 บาท โดยเงินกองทุนฯ ที่คงเหลืออยู่ไม่เพียงพอที่จะจัดสรรให้กับโครงการฯ ลำดับถัดไปได้
(2) มีข้อเสนอที่ไม่ผ่านการพิจารณารวมทั้งสิ้น 2 โครงการ
RFP 0018 บริษัทอุตสาหกรรมมิตรเกษตร จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ปฏิบัติผิดเงื่อนไขในเรื่องการค้ำประกันซอง
RFP 0032 บริษัทน้ำตาลพิษณุโลก จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ปฏิบัติผิดเงื่อนไข โดยบริษัทฯ ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงราคาเชื้อเพลิงที่รับซื้อในตารางคำนวณผลตอบแทนการลงทุนด้วย ซึ่งมีผลกระทบต่อปัจจัยการวิเคราะห์ทั้งระบบ
(3) ผลการพิจารณาข้อเสนอเพื่อจัดสรรเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าฯ (บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง) รวม 2 ครั้ง สรุปได้ว่ามีข้อเสนอที่ผ่านการพิจารณาจะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ รวมทั้งสิ้น 31 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบทั้งสิ้นประมาณ 511 MW และคิดเป็นวงเงินที่กองทุนฯ จะต้องสนับสนุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 2,991 ล้านบาท
มติที่ประชุม
1. รับทราบและเห็นชอบผลการคัดเลือกข้อเสนอโครงการฯ ในกลุ่มที่ 2 ตามที่คณะอนุกรรมการฯ ได้พิจารณาเสนอมา โดยกองทุนฯ มีเงื่อนไขให้ผู้ยื่นข้อเสนอที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกในกลุ่มที่ 2 ทั้ง 14 รายต้องนำเสนอแผนการรับฟังความคิดเห็นจากชุมชน และให้ สพช. นำผู้แทนของกองทุนฯ เข้าไปในพื้นที่ตั้งโครงการฯ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่นั้นและรายงานผลเป็นข้อสังเกตและความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนฯ ในการอนุมัติให้การสนับสนุนโครงการฯ ต่อไป
2. ให้ สพช. ทำหน้าที่ประสานงานในการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อเกาะติดสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่และรายงานความเป็นไปให้คณะกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งจัดตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้น โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง นักวิชาการอิสระ ผู้แทนจากชุมชน และเจ้าของโรงไฟฟ้า เพื่อมีส่วนร่วมในการทำหน้าที่ติดตามการดำเนินงานของโรงงานไฟฟ้าต่างๆ ในแต่ละพื้นที่
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 28) เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2545 ได้พิจารณา "แผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2545" ซึ่งเสนอโดยกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) แล้วและที่ประชุมได้มีความเห็นว่า แผนงานดังกล่าวยังขาดความชัดเจนในเรื่องรายละเอียดของกิจกรรมรวมถึงวิธีการดำเนินการและกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ ดังนั้นที่ประชุมได้มีมติ ให้ พพ. หารือร่วมกับ สพช. และ ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ เพื่อกำหนดกรอบและวิธีการประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสม แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
2. พพ. ได้หารือกับ สพช. และ ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ ตามมติของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว และนำมาสู่การปรับแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ฯ ของ พพ. และเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาดังนี้
(1) ตัดกลุ่มเป้าหมายรอง "กลุ่มประชาชนทั่วไป" ออกจากแผนฯ และเพิ่มกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ "โรงงงานและอาคารนอกข่ายควบคุม" พร้อมทั้งปรับรายละเอียดและวิธีการดำเนินการของแต่ละกิจกรรมให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
(2) ปรับลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลงจาก 175 ล้านบาท คงเหลือเพียง 90.5 ล้านบาท ดังนี้
หน่วย: บาท
กิจกรรม | งบประมาณเดิม | งบประมาณใหม่ | เพิ่มขึ้น/(ลดลง) |
- กลยุทธ์ปฏิบัติการมวลชน | 133,000,000 | 56,000,000 | (77,000,000) |
- กลยุทธ์เจาะกลุ่มเป้าหมาย | 34,000,000 | 28,000,000 | (6,000,000) |
- การประเมินผลและยุทธ์ศาสตร์การวางแผน | 8,000,000 | 6,500,000 | (1,500,000) |
รวม | 175,000,000 | 90,500,000 | (84,500,000) |
3. ผู้แทน พพ. ได้สรุปสาระสำคัญของแผนปฏิบัติการฯ ให้ที่ประชุมรับทราบเพิ่มเติมดังนี้
วัตถุประสงค์ของการประชาสัมพันธ์
(1) เพื่อเผยแพร่สาระของพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ให้กลุ่มเป้าหมายทราบและเข้าใจอย่างทั่วถึง
(2) เพื่อสร้างทัศนคติและจิตสำนึกที่ดีด้านการอนุรักษ์พลังงานตามแผนงานภาคบังคับแก่ผู้เกี่ยวข้องและประชาชนในประเทศให้มากที่สุด
(3) เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มโรงงานควบคุม อาคารควบคุม และอาคารของรัฐที่เข้าสู่ระบบการอนุรักษ์พลังงานตาม พรบ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่อง และขยายผลสู่กลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่เข้าสู่ระบบฯ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พลังงาน
(4) เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายร่วมมืออนุรักษ์พลังงาน เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในด้านการแข่งขันของประเทศให้มากที่สุด
(5) เพื่อให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ เพื่อทักษะและเตรียมความพร้อมบุคลากรที่จะต้องปฏิบัติงานด้านอนุรักษ์พลังงานในโรงงาน และอาคารให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กลุ่มเป้าหมาย
(1) กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม กลุ่มโรงงานและอาคารนอกข่ายควบคุม กลุ่มนักวิชาการ นิสิต นักศึกษา นักวิชาชีพด้านวิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรม กลุ่ม ACs กลุ่ม RCs และรวมทั้งผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของ พพ.
(2) กลุ่มเป้าหมายรอง ได้แก่ กลุ่มสื่อมวลชน
กลยุทธ์ของการประชาสัมพันธ์
เพื่อให้การประชาสัมพันธ์บังเกิดผลตามวัตถุประสงค์อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องจึงได้มีการกำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินการ เพื่อให้สอดคล้องกัน 2 กลยุทธ์ คือ
กลยุทธ์ที่ 1 ปฏิบัติการมวลชน เป็นการกระตุ้นความสนใจ เพื่อให้เกิดความตระหนักและ จิตสำนึกในการเข้าร่วมในการอนุรักษ์พลังงานในวงกว้าง
กลยุทธ์ที่ 2 เจาะกลุ่มเป้าหมาย เป็นการสนับสนุนให้กลุ่มเป้าหมายมีพฤติกรรม และมีส่วนร่วม ในการผลักดันให้เกิดพฤติกรรมการอนุรักษ์พลังงาน โดยจะใช้กิจกรรม การสื่อสารที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มได้โดยตรงมากขึ้น
กิจกรรมการประชาสัมพันธ์
(1) กิจกรรมประชาสัมพันธ์ในกลยุทธ์ที่ 1 ปฏิบัติการมวลชน
เป็นกลยุทธ์การประชาสัมพันธ์เพื่อกระจายข้อมูลข่าวสารด้านการอนุรักษ์พลังงานตามแผนงานภาคบังคับให้เกิดผล ด้านการรับรู้ ความสนใจ ความตระหนัก และเกิดแนวร่วมจากกลุ่มเป้าหมายอย่างพร้อมเพรียงกันในวงกว้าง โดยประกอบด้วย กิจกรรมที่มุ่งสื่อสารผ่านสื่อมวลชนไปยังกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมและโรงงานนอกข่ายควบคุม
(2) กิจกรรมประชาสัมพันธ์ในกลยุทธ์ที่ 2 เจาะกลุ่มเป้าหมาย
เป็นการประชาสัมพันธ์เจาะจงถึงกลุ่มเป้าหมายหลักโดยตรง เพื่อส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้ความสำคัญกับการจัดกิจกรรมการสื่อสารที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มโดยตรงมากขึ้น อย่างสอดคล้องต่อเนื่อง และสนับสนุนกลยุทธ์ที่ 1
งบประมาณดำเนินการ
งบประมาณดำเนินการตามแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ฯ ปีงบประมาณ 2545 รวมทั้งสิ้น 90,500,000 บาท (เก้าสิบล้านห้าแสนบาทถ้วน)
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ พพ. ดำเนินการประชาสัมพันธ์ตามแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2545 โดยใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานภาคบังคับ โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2545 ในวงเงิน 60,500,000 บาท (หกสิบล้านห้าแสนบาทถ้วน) ประกอบด้วย
กิจกรรม | งบประมาณ (ล้านบาท) | |
(1) กิจกรรมกลยุทธ์ปฏิบัติการมวลชน | 26.00 | |
(1.1) หมวดการประชาสัมพันธ์สนับสนุนผ่านสื่อมวลชน | 18.5 | |
- สื่อโทรทัศน์ เช่น สารคดีสั้น | 10.0 | |
- สื่อโทรทัศน์ เช่น ร่วมรายการโทรทัศน์ เป็นต้น | 3.5 | |
- สื่อวิทยุ เช่น สารคดีสั้น ร่วมรายการสนทนา สัมภาษณ์ เป็นต้น | 2.5 | |
- สื่อสิ่งพิมพ์ เช่น สัมภาษณ์ รายงานข่าว รายงานพิเศษ เป็นต้น | 2.5 | |
(1.2) หมวดกิจกรรมและสื่อประชาสัมพันธ์อื่นๆ | 7.5 | |
- ข่าวและภาพประชาสัมพันธ์ | 0.5 | |
- สื่อมวลชนสัญจร | 1.2 | |
- กิจกรรมให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วม | 5.0 | |
- แถลงข่าวประชาสัมพันธ์การดำเนินโครงการโรงงาน/อาคารควบคุม | 0.5 | |
- พัฒนาข้อมูลข่าวสารด้านการประชาสัมพันธ์ในสื่ออินเตอร์เน็ต | 0.3 | |
(2) กิจกรรมกลยุทธ์เจาะกลุ่มเป้าหมาย | 28.00 | |
- ทีมเผยแพร่ | 7.0 | |
- สัปดาห์อนุรักษ์พลังงาน | 4.0 | |
- ร่วมงานแสดงสินค้า | 6.0 | |
- สัมมนากลุ่มโรงงาน และนิทรรศการเคลื่อนที่ | 4.0 | |
- วารสารพลังงาน | 3.5 | |
- คู่มือและชุดความรู้ฯ | 3.0 | |
- พัฒนาศูนย์ข้อมูลและสายด่วน พพ. | 0.5 | |
(3) กิจกรรมการประเมินผลและยุทธศาสตร์การวางแผน | 6.5.00 | |
- การวิจัยปัญหาอุปสรรคการร่วมโครงการฯ และประเมินผลฯ | 2.0 | |
- ที่ปรึกษาด้านแผนการประชาสัมพันธ์ฯ | 4.5 | |
รวมงบประมาณทั้งสิ้น | 60.50 |
เรื่องที่ 4 ขออนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2545
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2543 ได้มีมติเห็นชอบแผนโครงการพัฒนาบุคลากรและงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2543-2547 ในวงเงิน 1,688 ล้านบาท
2. คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2545 ดังนี้
กิจกรรม | แผนการดำเนินงาน (ล้านบาท) |
ผลการดำเนินงาน (ล้านบาท) |
คงเหลือ (ล้านบาท) |
(1) การพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน แบบเรียน คู่มือและเครื่องมือที่ใช้ประกอบการทำงาน | 190 | 252.79 | (62.79) |
(2) การฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้น ในประเทศ | 63 | 66.07 | (3.07) |
(3) การส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมและดูงานระยะสั้นในต่างประเทศ | 5 | 0.84 | 4.16 |
(4) การส่งบุคลากรเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ | 50 | - | 50 |
(5) การให้ทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา | 30 | 3.8 | 26.2 |
(6) อื่น ๆ | 5 | 68.30 | (63.30) |
รวม | 343 | 391.81 | (48.81) |
3. จากผลการดำเนินโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2545 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการพัฒนาบุคลากร เป็นเงินทั้งสิ้น 391.81 ล้านบาท ทำให้งบประมาณติดลบเป็นจำนวนเงิน 48.81 ล้านบาท เนื่องจากมีโครงการเพิ่มขึ้นจากแผนงบประมาณเดิม เช่น โครงการจัดตั้งศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร โดยกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ในวงเงิน 185 ล้านบาท และโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงานฯ ในวงเงิน 68.3 ล้านบาท ทำให้วงเงินงบประมาณเดิมภายใต้โครงการที่ได้รับอนุมัติไม่เพียงพอต่อการดำเนินงานตามแผนงานที่กำหนดไว้ ประกอบกับในปีงบประมาณ 2545 สพช. มีโครงการหลักๆ ที่คาดว่าจะอนุมัติได้ภายในปีงบประมาณ 2545 ในวงเงินรวม 524.18 ล้านบาท ดังนี้
(1) โครงการบริหารจัดการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร โดย มูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ในวงเงิน 125 ล้านบาท
(2) โครงการศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน โดย พพ. ในวงเงิน 150 ล้านบาท
(3) โครงการภายใต้ความรับผิดชอบของ พพ. ซึ่งมีแผนที่จะดำเนินการในโครงการต่างๆ ในวงเงินรวม 56.09 ล้านบาท ดังนี้
โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง ในวงเงิน 16.09 ล้านบาท
โครงการเสริมสร้างสื่อการสอนเรื่องการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 20.00 ล้านบาท
โครงการฝึกอบรมตามแผนงานภาคบังคับ ในวงเงิน 20.00 ล้านบาท
(4) โครงการส่งบุคลากรเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดย สพช. ในวงเงิน 87 ล้านบาท
(5) โครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงานฯ ในวงเงิน 30 ล้านบาท
(6) โครงการอื่นๆ ในวงเงิน 20 ล้านบาท
4. คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 6/2545 (ครั้งที่ 95) เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2545 ได้มีมติเห็นชอบให้ สพช. ปรับเพิ่มวงเงินงบประมาณ โครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 จำนวน 524.25 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น 867.25 ล้านบาท และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 เพื่อให้ สพช. ใช้เป็นกรอบในการพิจารณาให้การสนับสนุน สำหรับโครงการพัฒนาบุคลากร จำนวน 524,250,000 บาท (ห้าร้อยยี่สิบสี่ล้านสองแสนห้าหมื่นบาทถ้วน) โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
1.1 เป็นเงินงบประมาณเพื่อให้ สพช. นำไปสมทบในส่วนที่มีการใช้จ่ายเงินเกินงบประมาณ เป็นจำนวนเงิน 48,810,000 บาท (สี่สิบแปดล้านแปดแสนหนึ่งหมื่นบาทถ้วน) โดยให้มีผลตั้งแต่การอนุมัติของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2545 และวันที่ 10 มิถุนายน 2545
1.2 เป็นเงินงบประมาณสำหรับโครงการใหม่ที่ไม่ได้กำหนดไว้ในกรอบเดิม เป็นจำนวนเงิน 475,440,000 บาท (สี่ร้อยเจ็ดสิบห้าล้านสี่แสนสี่หมื่นบาทถ้วน)
2. ให้ สพช. ใช้จ่ายเงินงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 ทั้งในส่วนงบประมาณเดิม (343 ล้านบาท) และส่วนที่ได้รับอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติม (524.25 ล้านบาท) รวมเป็นเงิน 867.25 ล้านบาท โดยสามารถถัวจ่ายได้ระหว่างกิจกรรม ดังนี้
กิจกรรม ปีงบประมาณ 2545 |
รวมงบประมาณ (ล้านบาท) |
(1) การพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน แบบเรียน คู่มือและ เครื่องมือที่ใช้ประกอบการงาน | 407.79 |
(2) การฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ | 262.16 |
(3) การส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมและดูงานระยะสั้นในต่างประเทศ | 5.00 |
(4) การส่งบุคลากรเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งในประเทศ และต่างประเทศ | 87.00 |
(5) การให้ทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา | 7.00 |
(6) อื่น ๆ | 98.30 |
รวม | 867.25 |
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามคำสั่งคณะกรรมการกองทุนฯ ที่ 2/2544 ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2544 ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อพิจารณาแนวทาง และกำกับดูแลการดำเนินงานโครงการปิดถนนฯ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และบรรลุเป้าหมาย
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2545 ได้มีมติอนุมัติให้การสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ สำหรับโครงการปิดถนนฯ แก่ภูมิภาคต่างๆ ภายในวงเงินแห่งละไม่เกิน 10 ล้านบาท โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ เป็นผู้พิจารณากลั่นกรอง และอนุมัติวงเงินตามแผนรายละเอียด ระยะเวลาการดำเนินงานและงบประมาณของโครงการปิดถนนฯ ที่ภูมิภาคต่างๆ เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการปิดถนนฯ ในภูมิภาคนั้น โดยให้สอดคล้องกับเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานเป็นหลัก และรายงานผลการพิจารณาให้คณะกรรมการกองทุนทราบต่อไป
3. คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2545 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินการปิดถนนฯ ได้แก่
(1) จังหวัดภูเก็ต บริเวณถนนถลาง ภายใต้ชื่อ "ไข่มุกอันดามัน 7 มหัศจรรย์ที่ภูเก็ต" ในวงเงิน 10 ล้านบาท
(2) จังหวัดลำปาง บริเวณถนนประสานไมตรี ภายใต้ชื่อ "มหัศจรรย์ก๋องปู่จา ล้านนาไทย" ในวงเงิน 7 ล้านบาท
(3) จังหวัดเชียงใหม่ บริเวณถนนท่าแพ ภายใต้ชื่อ "10 มหัศจรรย์ล้านนาที่ท่าแพ" เพิ่มเติมในวงเงิน 6,175,836 บาท
4. จากการดำเนินโครงการปิดถนนฯ ที่ผ่านมา สามารถสรุปผลการดำเนินโครงการ ได้ดังนี้
(1) ประชาชนในท้องถิ่นเห็นความสำคัญของการประหยัดพลังงาน เห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต และเกิดแนวคิดในการประหยัดพลังงานอีกด้วย
(2) ประชาชนมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางจากปกติที่เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล
(3) ปริมาณมลพิษลดลง
(4) มีการขยายตัวของเศรษฐกิจชุมชน
(5) เป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีต่อสถาบันครอบครัว และเยาวชน เนื่องจากเป็นลานกิจกรรมของครอบครัว และการแสดงของเยาวชน นักเรียน นักศึกษา เพื่อช่วยให้เยาวชนห่างไกลจากอบายมุข
5. เนื่องจากโครงการนี้เป็นโครงการที่รัฐบาลและ สพช. มีเป้าหมายที่จะดำเนินการต่อไปในภูมิภาคอื่นๆ ที่มีความเหมาะสมและมีความพร้อม ประกอบกับจากการดำเนินงานที่ผ่านมาประชาชนที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ มีความเข้าใจในแนวคิดของโครงการฯ มากขึ้น อีกทั้งหน่วยงานผู้รับผิดชอบสามารถเตรียมการโครงการฯ ให้เป็นไปในแนวทางที่จะเป็นถนนคนเดินที่ยั่งยืนได้ ทำให้การดำเนินการเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด ดังนั้นเพื่อความเหมาะสม จึงเห็นควรให้คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ ทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองรายละเอียดข้อเสนอโครงการฯ แล้วเสนอข้อคิดเห็นต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพื่อพิจารณาอนุมัติวงเงินในการดำเนินการโครงการฯ ต่อไป
มติที่ประชุม
1. ยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 2/2544 เรื่องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว
2. เห็นชอบในการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ ตามที่ สพช. เสนอมาและให้ฝ่ายเลขานุการจัดทำคำสั่งแต่งตั้งเสนอประธานคณะกรรมการกองทุนลงนามต่อไป
3. เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ มีหน้าที่พิจารณากลั่นกรองข้อเสนอโครงการปิดถนนฯ ที่แต่ละภูมิภาคเสนอมา แล้วให้นำผลการพิจารณาเสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน เป็นผู้พิจารณาอนุมัติวงเงิน โดยให้อนุมัติวงเงินแห่งละไม่เกิน 10 ล้านบาท
กอ. ครั้งที่ 28 - วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2545
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2545(ครั้งที่ 28)
วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2545 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. การโอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชี ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการนำร่องแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซธรรมชาติ 1,000 คัน
4. โครงการจัดตั้งศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร
7. ขออนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าในโครงการ "ประหยัดไฟกำไรต่อ" (เพิ่มเติม)
8. โครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ในการประชุมครั้งนี้ ได้เชิญผู้แทนจากการประปาส่วนภูมิภาค และการประปานครหลวงเข้าร่วมประชุมด้วย เพื่อจะทำการปรึกษาหารือถึงแนวทางในการร่วมกันประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรการในการร่วมกันประหยัดน้ำ
เรื่องที่ 1 การโอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชี ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า กรมบัญชีกลาง มีนโยบายที่จะปรับเปลี่ยนบทบาท ภารกิจ จากการควบคุมเป็นการกำกับดูแล และทำงานในเชิงรุกมากขึ้น กระทรวงการคลัง จึงได้เห็นชอบให้กรมบัญชีกลางโอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของทุนหมุนเวียนที่จัดตั้งตามกฎหมายเฉพาะ จำนวน 4 ทุน ให้ฝ่ายเลขานุการฯ หรือเจ้าของโครงการนั้นเป็นผู้ดำเนินการ โดยมี "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" เป็นหนึ่งในจำนวน 4 ทุน ที่กระทรวงการคลังเห็นชอบให้กรมบัญชีกลางโอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนฯ ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ เป็นผู้ดำเนินการ โดยการโอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนฯ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเวลา 3 เดือน
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กประเภทพลังงานนอกรูปแบบ เชื้อเพลิงกาก เศษวัสดุเหลือใช้ ขยะมูลฝอยหรือไม้ โดย ณ สิ้นเดือนมกราคม 2545 มีผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producers: SPP) ขายไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้า 50 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขาย 1,962 MW จากจำนวนดังกล่าวเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและพลังงานหมุนเวียนผสมกับพลังงานเชิงพาณิชย์ เพียง 26 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขาย 215-260 MW ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น SPP ที่มีความคุ้มค่าทางด้านการเงินสูง แต่ก็ยังมี SPP หลายรายที่มีความคุ้มค่าทางด้านการเงินต่ำ แต่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้พลังงานหมุนเวียนจะไม่ก่อให้เกิดมลพิษและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้มีการลงทุนผลิตและขายไฟฟ้าที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงมากขึ้น คณะกรรมการกองทุนฯ จึงได้มอบหมายให้ สพช. ใช้เงินจากกองทุนฯ ในวงเงินรวม 2,060 ล้านบาท สนับสนุนโครงการฯ ส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้า ที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน ได้อีกประมาณ 300 เมกะวัตต์ โดย สพช. ได้จ้างบริษัท AEA Technology plc ให้เป็นผู้ศึกษารูปแบบวิธีการประกาศเชิญชวนและกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกข้อเสนอ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ได้แต่งตั้ง "คณะทำงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" ขึ้น เพื่อเสนอร่างประกาศเชิญชวนและจัดทำแนวทางและหลักเกณฑ์การพิจารณาข้อเสนอของผู้สนใจลงทุน รวมถึงดำเนินการคัดเลือกข้อเสนอเพื่อเสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติการสนับสนุน
คณะทำงานฯ และคณะอนุกรรมการฯ ได้จัดทำ "ร่างเอกสารเชิญชวนเพื่อยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 22) เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2544 พิจารณาและที่ประชุมได้อนุมัติให้ สพช. นำไปประกาศเชิญชวนให้ผู้สนใจลงทุนและผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ได้ยื่นข้อเสนอเพื่อขอรับเงินสนับสนุนดังกล่าว โดยกองทุนฯ จะจ่ายเงินสนับสนุนให้กับผู้ที่มีข้อเสนอที่เหมาะสม และเสนอขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กไม่เกิน 0.36 บาท ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 ปีด้วยวิธีคัดเลือก โดยกำหนดยื่นซองข้อเสนอ ในวันที่ 15 ตุลาคม 2544
เมื่อครบกำหนดวันยื่นซองข้อเสนอ ในวันที่ 15 ตุลาคม 2544 ปรากฏว่ามีผู้สนใจยื่นข้อเสนอไว้กับ สพช. รวมทั้งสิ้น 43 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขายทั้งสิ้น 775 MW คิดเป็นจำนวนเงินที่ขอรับการสนับสนุนทั้งสิ้นประมาณ 6,400 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่ สพช. กำหนดไว้
คณะทำงานฯ ได้มีการประชุมร่วมกันหลายครั้งเพื่อพิจารณาข้อเสนอทั้ง 43 โครงการ ตามขั้นตอนและหลักเกณฑ์การพิจารณาที่ได้กำหนดไว้ และสรุปผลการคัดเลือกข้อเสนอทั้ง 43 โครงการ เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา โดยสรุปได้ ดังนี้
(1) ข้อเสนอที่ผ่านเกณฑ์พิจารณารวมทั้งสิ้น 37 โครงการ ประกอบด้วย
กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มโครงการที่จะได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ มีจำนวนทั้งสิ้น 17 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบทั้งสิ้น 313 MW (เป็นแบบสัญญา Firm 12 ราย และ แบบ Non Firm 5 ราย) คิดเป็นเงินที่กองทุนฯ สนับสนุนทั้งสิ้นในวงเงิน 1,955,805,527.60 บาท และมีวงเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ที่ยังคงเหลืออยู่เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 104,194,472.40 บาท ซึ่งไม่เพียงพอที่จะจัดสรรให้กับโครงการฯ ลำดับถัดไปได้ (ลำดับที่ 18 คือ RFP 0049 วงเงินขอรับการสนับสนุน 168,192,000 บาท)
- กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มโครงการที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาเช่นเดียวกับกลุ่มที่ 1 แต่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนเนื่องจากวงเงิน 2,060 ล้านบาท ได้หมดลงก่อน มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 20 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขายเข้าระบบ 224.20 MW คิดเป็น วงเงินที่ต้องการสนับสนุนจากกองทุนฯ ทั้งสิ้น 2,117,393,221.60 บาท
(2) ข้อเสนอที่ไม่ผ่านเกณฑ์พิจารณา รวมทั้งสิ้น 6 ราย เนื่องจากได้รับคะแนน 0 หรือ 1 ในหัวข้อหนึ่งหัวข้อใดของข้อเสนอทางเทคนิค/ข้อเสนอทางการเงิน และมีคุณสมบัติไม่ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด
(3) ข้อเสนอในกลุ่มที่ 1 จำนวน 17 โครงการ นั้น มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งหมด โดยเหตุอาจเกิดจากปริมาณชีวมวลไม่เพียงพอหรือได้รับการต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่ หรือไม่สามารถจัดหาเงินทุนได้เพียงพอ และเพื่อจะได้ไม่ต้องเริ่มต้นดำเนินการคัดเลือกใหม่ จึงเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ เพิ่มเติมให้กับโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อให้ สพช. นำมาประกาศให้การสนับสนุนสำหรับผู้ยื่นข้อเสนอที่อยู่ในกลุ่มที่ 2 จำนวน 20 โครงการ ได้มีสิทธิยื่นเสนออัตราขอรับเงินสนับสนุนใหม่ แต่ทั้งนี้การเสนออัตราเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุดไม่เกิน 0.225 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (เท่ากับอัตราสนับสนุนสูงสุดในกลุ่มที่ 1)
(4) เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดจากบางโครงการอาจจะไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะได้รับการต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่โครงการฯ จึงควรกำหนดเงื่อนไขผนวกไว้กับการอนุมัติโครงการฯ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เมื่อคณะกรรมการกองทุนฯ เห็นชอบกับผลการพิจารณาตามที่คณะทำงานฯ ได้รายงานเสนอผ่านคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือแล้ว ให้ สพช. แจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ยื่นข้อเสนอที่ได้การคัดเลือกทราบ พร้อมทั้งแจ้งให้ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกนำเสนอแผนการรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนให้คณะทำงานฯ พิจารณา และจัดให้คณะทำงานฯ ได้เข้าไปในพื้นที่ตั้งโครงการฯ ภายในระยะเวลา 2 เดือนนับจากวันที่ สพช. ประกาศผลการคัดเลือก โดยกำหนดขอบเขตของพื้นที่ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นประชาชนเป็นพื้นที่ อบต. ที่ตั้งโรงไฟฟ้า และ อบต. โดยรอบพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า แต่ทั้งนี้ไม่เกินระยะ 10 กิโลเมตร จากที่ตั้งโรงไฟฟ้า
ขั้นตอนที่ 2 ให้ สพช. ประชาสัมพันธ์ผลการพิจารณาโครงการฯ ให้กับประชาชนทั่วไปได้รับทราบ และเน้นการประชาสัมพันธ์โดยเฉพาะให้กับกลุ่ม NGO เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในโครงการฯ
ขั้นตอนที่ 3 คณะทำงานฯ ลงพื้นที่โครงการต่างๆ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่นั้น และรายงานผลเป็นข้อสังเกตและความคิดเห็นของคณะทำงานฯ ที่มีต่อโครงการฯ เกี่ยวกับแนวโน้มหรือโอกาสที่โครงการฯนั้นจะดำเนินการต่อไป เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการฯ ในการอนุมัติให้การสนับสนุนโครงการฯ ต่อไป
(5) คณะทำงานฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าข้อเสนอในกลุ่มที่ 1 จำนวน 17 โครงการฯ นั้น บางโครงการอาจจะไม่ได้ดำเนินการ และเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ เพิ่มเติม เพื่อให้ สพช. นำมาประกาศให้ผู้ยื่นข้อเสนอที่อยู่ในกลุ่มที่ 2 จำนวน 20 โครงการ ปริมาณพลังไฟฟ้ารวมเท่ากับ 224 MW ได้มีโอกาสยื่นเสนออัตราขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าเข้ามาใหม่ โดยเสนออัตราได้สูงสุดไม่เกิน 0.225 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงนั้น คาดว่าจะใช้เงินจากกองทุนฯ เพิ่มเติม 1,000 ล้านบาท รวมกับวงเงินเดิมเป็น 3,060 ล้านบาท
นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการฯ เห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สพช. เบิกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการติดตามดูแลและสนับสนุนให้การดำเนินโครงการฯ จากโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงิน 3,060 ล้านบาท ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว โดยมอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการฯ มีอำนาจอนุมัติการใช้จ่ายเงินดังกล่าว โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ และเมื่อดำเนินการแล้วให้แจ้งคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบเป็นระยะด้วย
มติที่ประชุม
1. รับทราบและเห็นชอบผลการคัดเลือกข้อเสนอโครงการฯ ทั้ง 43 ราย และเห็นชอบแนวทางการดำเนินงานต่อไป และเห็นชอบให้เพิ่มเติมงบประมาณกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เป็นวงเงินรวม 3,060 ล้านบาท (สามพันหกสิบล้านบาทถ้วน) ตามที่คณะทำงานฯ และคณะอนุกรรมการฯ ได้เสนอมา
2. เห็นชอบให้ สพช. ประกาศให้ผู้ยื่นข้อเสนอขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก จำนวน 20 ราย เป็นผู้มีสิทธิยื่นข้อเสนอขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ให้ สพช. ดำเนินการพิจารณาคัดเลือกใหม่ โดยเสนออัตราเงินสนับสนุนสูงสุดได้ไม่เกิน 0.225 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง และกองทุนฯ จะสนับสนุนเป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี
3. อนุมัติให้ สพช. เบิกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการติดตามดูแลและสนับสนุนการดำเนินโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงิน 3,060 ล้านบาทที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว โดยให้ สพช. จัดทำรายละเอียดแผนการใช้จ่ายเงินเสนอให้ คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอนุมัติ โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ และเมื่อดำเนินการแล้วให้รายงานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบเป็นระยะด้วย
เรื่องที่ 3 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการนำร่องแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซธรรมชาติ 1,000 คัน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นข้อเสนอโครงการนำร่องแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซธรรมชาติ 1,000 คัน เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของโครงการฯ ในวงเงิน 20 ล้านบาท โดย ปตท. ร่วมลงทุนในโครงการฯ ด้วย 30 ล้านบาท ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 12/2544 (ครั้งที่ 57) เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 และได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถแท็กซี่ ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและลดปริมาณมลพิษในไอเสียได้เป็นอย่างดี โดย ปตท. จะทำการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการใช้พลังงานระหว่างการใช้ก๊าซธรรมชาติกับน้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงในรถแท็กซี่ รวมถึงความแตกต่างระหว่างมลพิษที่เกิดขึ้นด้วย เพื่อให้ผู้ขับแท็กซี่ ตลอดจนประชาชนผู้ใช้บริการทั่วไป มีความเชื่อมั่นในการใช้ก๊าซธรรมชาติ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้ ปตท. เป็นทุนดำเนินงาน "โครงการนำร่องแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซธรรมชาติ 1,000 คัน" ในวงเงิน 20 ล้านบาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) โดยมีเงื่อนไขให้ ปตท. ต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ในประเด็นสำคัญ ดังนี้
(1) เพิ่มเติมระบบการบริหารจัดการที่ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าบริษัทที่จะเข้ามารับดำเนินการ ทั้งในส่วนของการจัดหาถังก๊าซธรรมชาติ การจัดหาและการติดตั้งอุปกรณ์ก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งการตรวจวัดและประเมินคุณภาพไอเสีย ซึ่งต้องมีคุณสมบัติเหมาะสมและสามารถดำเนินโครงการฯ ให้สำเร็จลงบรรลุตามเป้าหมาย และได้รับผลลัพธ์ที่มีความน่าเชื่อถือ
(2) เพิ่มเติมรายละเอียดของระบบเชื้อเพลิงทวิ (Bi-fuel) ที่เลือกใช้ให้ชัดเจน และระบุเหตุผลที่เลือกใช้ระบบดังกล่าว โดยเปรียบเทียบกับระบบเชื้อเพลิงทวิอื่นๆ ที่ไม่ได้รับการพิจารณานำมาใช้ในโครงการนี้ พร้อมทั้งแสดงวิธีการที่ ปตท. ใช้ตรวจสอบความเหมาะสมของเทคโนโลยีที่เลือกใช้ และระบุให้ชัดเจนในความเหมือนหรือแตกต่างของเทคโนโลยีที่เลือกใช้กับรถแท็กซี่ทั้ง 1,000 คัน ตลอดจนแสดงการเปรียบเทียบระหว่างเทคโนโลยีของชุด Conversion kit ที่เลือกใช้กับเทคโนโลยีแบบอื่นๆ ที่สามารถใช้กับระบบ Bi-fuel ได้ ในแต่ละด้าน เช่น ด้านเทคนิค ด้านค่าใช้จ่าย และด้านการบำรุงรักษา เป็นต้น
(3) เปรียบเทียบมวลสารมลพิษตามมาตรฐานสากล เช่น ทดสอบตามมาตรฐาน EURO เป็นต้น เพื่อจะได้ทราบค่ามวลสารมลพิษในหน่วยกรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งจะช่วยชี้วัดความสำเร็จโครงการฯ โดยเทียบเคียงได้กับค่ามาตรฐาน และควรเพิ่มเติมการเปรียบเทียบมวลสารมลพิษกับในกรณีที่ใช้น้ำมันเบนซิน และ LPG เป็นเชื้อเพลิงให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทั้งทางด้านอัตราการปล่อยมลพิษ อัตราการสึกหรอของเครื่องยนต์ การบำรุงรักษาเครื่องยนต์ และค่าใช้จ่าย
(4) หาก ปตท. สามารถดำเนินการตามข้อ (1)-(3) ได้ครบถ้วนแล้ว ปตท. ต้องปรับปรุงแผนงานของโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ด้วย
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีก
เรื่องที่ 4 โครงการจัดตั้งศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ให้การสนับสนุนกิจกรรม/โครงการ ตลอดจนการเผยแพร่สื่อต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และกระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้พลังงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในช่วงที่ผ่านมา สพช. ยังขาดสถานที่ในการจัดกิจกรรมเผยแพร่ สาธิต วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน และพลังงานหมุนเวียนที่ถาวรและครบวงจร รวมถึงยังขาดศูนย์ข้อมูลทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 37) เมื่อวันอังคารที่ 21 มีนาคม 2543 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะสมในการจัดตั้ง "ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม" ในวงเงิน 2,822,500 บาท โดย สพช. ได้ดำเนินการขออนุญาตใช้พื้นที่ของกรมป่าไม้ อ. ปากท่อ จ. ราชบุรี บนเนื้อที่ประมาณ 463 ไร่ เพื่อจัดตั้งศูนย์ฯ แต่เนื่องจากในการขออนุญาตใช้พื้นที่จะต้องผ่านการดำเนินการหลายขั้นตอน และในแต่ละขั้นตอนต้องใช้เวลาในการพิจารณานานพอสมควร ทำให้แผนการดำเนินการจัดตั้งศูนย์ฯ ณ จ. ราชบุรี ต้องเลื่อนระยะเวลาออกไป
กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมสร้าง "อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร" ค่ายพระรามหก อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี จะทรงพระเจริญพระชนมายุครบ 4 รอบ เพื่อเป็นสถานที่เผยแพร่พระเกียรติคุณและพระปรีชาสามารถในด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม และมีความประสงค์ขอมอบที่ดินบางส่วนในเขตอุทยานฯ ให้แก่ สพช. เพื่อให้เป็นสถานที่จัดตั้งศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม และกองบัญชาการฯ ได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจกรรมการเผยแพร่ความรู้ด้านพลังงานสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงานและพลังงานทดแทน ในวงเงิน 184,466,341 บาท และมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้รับการมอบหมายจาก สพช. ให้จัดทำการศึกษารายละเอียดแผนการดำเนินงานและกิจกรรมของศูนย์ฯ ได้จัดทำแผนฯ ดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีงบประมาณในการบริหารการจัดการปีที่ 1-5 ในวงเงิน 86,573,121 บาท
โครงการจัดตั้งศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม มีเป้าหมายเพื่อเป็นศูนย์กลางในการดำเนินการศึกษา วิจัย และพัฒนา สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงานและพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งเป็นสถานที่จัดทำ กิจกรรมเผยแพร่ความรู้ทางด้านการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งการดำเนินงานมีเป้าหมายให้มีผู้เข้ารับการฝึกอบรม ปีละประมาณ 1,200 คน และมี ผู้เข้าชมนิทรรศการปีละประมาณ 50,000 - 100,000 คน ซึ่งโครงการฯ แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 การดำเนินงานและจัดกิจกรรมศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ในเบื้องต้นจะขอรับการสนับสนุน งบประมาณจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการและดำเนินกิจกรรมเป็นระยะเวลา 5 ปี และภายในระยะเวลา 5 ปี จะมีการบริหารจัดการและดำเนินกิจกรรมที่มุ่งไปในทิศทางที่จะทำให้สามารถมีรายได้เพื่อใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมเผยแพร่ในระยะต่อไปอย่างถาวร และลดการขอรับสนับสนุนจากกองทุนฯ ลงมาให้เหลือน้อยที่สุดโดยแผนงานการจัดกิจกรรมเผยแพร่ของศูนย์ฯ แบ่งออกเป็น 4 แผนงาน คือ (1) การบริหารจัดการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม (2) การจัดทำนิทรรศการและการสาธิต (3) การจัดทำค่ายฝึกอบรม และ (4) ห้องสมุดพลังงาน
ส่วนที่ 2 การก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นสถานที่รองรับกิจกรรมในการดำเนินการของศูนย์ฯ โดยมีพื้นที่ในส่วนของอาคารนิทรรศการประมาณ 5,686 ตารางเมตร และส่วนอื่นๆ เช่น ลานจอดรถ พื้นที่เอนกประสงค์ ประมาณ 18,500 ตารางเมตร ซึ่ง ประกอบด้วย (1) โถงต้อนรับเพื่อให้ข้อมูลรวมนิทรรศการในอาคาร (2) โถงนิทรรศการข้อมูลโครงการในสมเด็จพระเทพฯ และนิทรรศการสิ่งแวดล้อม (3) โถงนิทรรศการพลังงาน 8 สถานี และ (4) อาคารประชุม บ้านพักผู้เข้ารับอบรม บ้านพักวิทยากร หอพัก ที่ทำการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าว เสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาแล้ว ในการประชุมครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 93) เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2545 ที่ประชุมเห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ ให้กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ในวงเงิน 184,466,341 บาท และเห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการว่าจ้างการดำเนินงานและกิจกรรมของศูนย์ฯ ในวงเงิน 86,573,121 บาท และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์และห้องปฏิบัติการ ปีงบประมาณ 2545 ให้ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ค่ายพระรามหก อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ในวงเงิน 184,466,341 บาท โดยก่อนให้การสนับสนุนโครงการฯ ให้ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ดังนี้
(1) แจกแจงรายละเอียดและประมาณราคาการก่อสร้างอาคาร และระบบต่างๆ ทั้งหมดภายในอาคารให้ชัดเจน
(2) เพิ่มเติมรายละเอียดในส่วนของระบบไฟฟ้าโซล่าเซลล์ ว่าจะดำเนินการติดตั้งระบบเพื่อจ่ายไฟฟ้าให้พื้นที่ต่างๆ ในอาคารอย่างไร พร้อมแจกแจงรายละเอียดงบประมาณ
(3) การจัดจ้างที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญทางด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมเพื่อควบคุมการจัดทำเนื้อหาสาระที่จะเผยแพร่ในรูปนิทรรศการและสื่ออื่นๆ นั้น เห็นควรให้มีการประสานงานกับที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่างประเทศที่ดำเนินงานศูนย์สาธิตและอบรมด้านพลังงานในลักษณะดังกล่าว เช่น The Centre for Alternative Technology ประเทศอังกฤษ เป็นต้น เพื่อให้ข้อคิดเห็น ประสบการณ์ และแนะนำข้อมูล และวิทยาการที่ทันสมัยในด้านการอนุรักษ์พลังงานและเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน เพื่อจะนำมาเป็นประโยชน์ในการออกแบบและจัดทำข้อมูลนิทรรศการและสื่ออื่นๆ รวมถึงแนวทางการบริหารศูนย์ และให้นำเสนอ สพช. เพื่อให้ความเห็นชอบรายละเอียดข้อมูลก่อนจัดทำนิทรรศการและสื่อต่างๆ ที่จะเผยแพร่
(4) การบริหารควบคุมดูแลโครงการจัดตั้งศูนย์ฯ นอกเหนือจากเจ้าหน้าที่ของ ตชด. เห็นควรให้แต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและพลังงานหมุนเวียน ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดฝึกอบรมและจัดค่าย และผู้แทน สพช.ฯลฯ เป็นต้น เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารโครงการเพื่อช่วยควบคุมดูแล และเสนอแนะข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ และร่วมรับทราบความก้าวหน้าในการดำเนินการก่อสร้างและบริหารศูนย์ฯ
(5) ให้เพิ่มส่วนสาธิตเทคโนโลยีด้านพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบต่างๆ โดยให้พิจารณาขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่ทำงานด้านพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ เพื่อร่วมกันสาธิตเทคโนโลยี
(6) สำหรับค่าใช้จ่ายให้การดำเนินการว่าจ้างการดำเนินงานและกิจกรรมของศูนย์ ในวงเงิน 86,573,121 บาท นั้น เห็นควรให้ สพช. เพิ่มเติมรายละเอียดการดำเนินงาน และโครงสร้างการบริหาร จัดการกิจกรรมของศูนย์รวมถึงการจัดทำ cash flow เพื่อแสดงให้เห็นถึงรายรับและรายจ่ายที่คาดว่าจะต้องใช้ในการบริหารศูนย์ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าศูนย์ฯ สามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างยั่งยืนภายหลังการสิ้นสุดการให้เงินสนับสนุนในปีที่ 5 ให้ชัดเจนก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อพิจารณาอนุมัติ อีกครั้ง
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบไว้ ในข้อ (1)-(5) โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอีก ส่วนข้อ (6) ให้นำกลับมาให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง ก่อนอนุมัติ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า หลังจากที่โครงการรุ่งอรุณได้ดำเนินงานเสร็จสิ้นลงเมื่อต้นปี 2544 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้นำผลการประเมินโครงการรุ่งอรุณเสนอต่อคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงานในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 10) เมื่อวันพุธที่ 14 มีนาคม 2544 โดยมี ศ.ดร. สิปปนนท์ เกตุทัต เป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อมิให้เกิดการชะงักงันของโครงการ
คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 24) เมื่อวันศุกร์ที่ 4 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบ แนวทางการดำเนินงานโครงการรุ่งอรุณ ระยะที่ 2 และเห็นชอบให้ สพช. ดำเนินการประกาศ เรื่อง การเปิดให้ทุนสนับสนุนองค์กร/หน่วยงานเพื่อมาทำหน้าที่บริหารโครงการฯ ดังกล่าว และ สพช. ได้จัดการประชุมเพื่อชี้แจงรายละเอียดการจัดทำข้อเสนอโครงการให้แก่หน่วยงานต่างๆ ที่สนใจมาดำเนินการบริหารโครงการ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2544 ณ ห้องประชุม ชั้น 3 สพช. ซึ่งมีหน่วยงานที่สนใจและได้ยื่นข้อเสนอโครงการฯ ต่อ สพช. 4 หน่วยงาน คือ(1) คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (2) สถาบันราชภัฎพระนครศรีอยุธยา (3) โครงการจัดตั้งสถาบันสังคมและสิ่งแวดล้อมศึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา และ (4) สมาคมสร้างสรรค์ไทย
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 15/2544 (ครั้งที่ 89) เมื่อวันอังคารที่ 11 ธันวาคม 2544 ได้มีมติแต่งตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาข้อเสนอโครงการฯ ซึ่งประกอบด้วย (1) ศ. ดร. สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2) นางกุลฑลรัตน์ รัตนสิงห์ (3) นายประเสริฐ หอมดี (4) ผศ. ศิริวัฒน์ สุนทโรทก และ นางพูนทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธ์ ซึ่งคณะผู้เชี่ยวชาญฯ และฝ่ายเลขานุการฯ ได้ร่วมกันพิจารณาข้อเสนอโครงการทั้ง 4 โครงการ แล้วปรากฏว่า สมาคมสร้างสรรค์ไทย ได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้เป็นผู้บริหารโครงการฯ เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่ได้รับคะแนนสูงสุด และฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 4/2545 (ครั้งที่ 93) เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2545 ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ และให้นำเสนอ คณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมให้โรงเรียนรุ่งอรุณระยะ 1 พัฒนาหลักสูตร และสื่อการเรียนการสอนด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมที่ได้รับในระยะแรกมาประยุกต์ใช้ให้เกิดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ชัดเจน และมีประสิทธิภาพ โดยจะดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้โรงเรียนที่เคยเข้าร่วมโครงการรุ่งอรุณในระยะแรก 600 โรงเรียน เพื่อเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนในการส่งเสริมการเรียนการสอนเรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยจะต้องมีการคัดเลือกโรงเรียนเพื่อรับทุน ในวงเงินไม่เกิน 200,000 บาทต่อโรงเรียน โดยโครงการฯ มีหลักการในการทำงานเพื่อขยายผลและต่อยอดจากโครงการรุ่งอรุณระยะแรก เพื่อให้มีการนำผลที่เกิดขึ้นแล้วไปปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 4/2545 (ครั้งที่ 93) เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2545 ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าการดำเนินงานโครงการรุ่งอรุณ ระยะที่ 2 จะทำให้เกิดความต่อเนื่องของการส่งเสริมกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมในระดับประถมและมัธยมศึกษา ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ โดยมีเงื่อนไขให้ สมาคมฯ พิจารณาดำเนินการและหาวิธีทางให้โรงเรียนที่จะเข้าร่วมโครงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงและต่อเนื่องจากโครงการในระยะแรก เพื่อให้มีการนำผลที่ได้เกิดขึ้นแล้วไปปฏิบัติให้เกิดประสิทธิผลยิ่งขึ้น
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์และห้องปฏิบัติการ ปีงบประมาณ 2545 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบแล้ว ให้ สมาคมสร้างสรรค์ไทย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการส่งเสริมกิจกรรม การเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์พลังงานฯในโรงเรียนระดับประถมและมัธยมศึกษา (โครงการรุ่งอรุณ ระยะที่ 2) ในวงเงิน 40,000,000 บาท โดยก่อนให้การสนับสนุนโครงการฯให้ สมาคมฯ จะต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ดังนี้
(1) สมาคมฯ พิจารณาดำเนินการและหาวิธีทางให้โรงเรียนที่จะเข้าร่วมโครงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงและต่อเนื่องจากโครงการในระยะแรก เพื่อให้มีการนำผลที่ได้เกิดขึ้นแล้วไปปฏิบัติให้เกิดประสิทธิผลยิ่งขึ้น
(2) ปรับเปลี่ยนชื่อโครงการเป็น "โครงการรุ่งอรุณ (ระยะที่ 2)" แทน โครงการรุ่งอรุณกับตาวิเศษ เนื่องจาก สพช. มีนโยบายที่จะให้เกิดความต่อเนื่องของโครงการ เพื่อโรงเรียนที่จะเข้าร่วมโครงการจะได้ไม่สับสน
(3) เพิ่มวิธีการและการดำเนินงานที่จะก่อให้เกิดการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่บูรณาการความรู้เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมเข้าไปในทุกระดับชั้น อย่างน้อยระดับชั้นละ 1 กลุ่มประสบการณ์ต่อรายวิชา
(4) หลักเกณฑ์ในการวิเคราะห์และพิจารณาโครงการของโรงเรียน ในประเด็นการพิจารณาข้อ 1 (หน้า 20) ให้เพิ่มประเด็น ดังนี้ "รายละเอียดแผนงานการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและ สิ่งแวดล้อม โดยเสนอ
แผนงานที่จะดำเนินการพัฒนาหลักสูตรและหรือการจัดทำแผนการสอนที่สามารถบูรณาการแนวคิดเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม
รายวิชา/กลุ่มประสบการณ์/ระดับชั้นที่จะดำเนินการตามแผนดังกล่าว
แนวทางการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรเพื่อมุ่งพัฒนาจิตสำนึกและพฤติกรรมให้เกิดการเรียนรู้เรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อม
(5) เพิ่มรายละเอียดวิธีการให้คะแนนโครงการของโรงเรียน โดยอาจจัดทำแบบฟอร์มการให้คะแนนเพื่อให้พิจารณาด้วย
(6) ก่อนที่คณะกรรมการโครงการรุ่งอรุณ จะดำเนินการคัดเลือกโรงเรียน ให้สมาคมฯประมวลและจัดลำดับคะแนนของโรงเรียนในเบื้องต้นก่อน แล้วนำเสนอคณะกรรมการโครงการฯ เพื่อพิจารณารายละเอียด และให้นำผลการพิจารณาคัดเลือกโรงเรียนเสนอต่อคณะกรรมการอำนวยการด้วย
(7) เพิ่มองค์ประกอบของคณะดำเนินงานฯ โดยการให้มีนักการศึกษามากขึ้น เพื่อจะช่วยในการวางแผนและดำเนินการเรื่องการพัฒนาและบูรณาการความรู้เรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อมเข้าไปในหลักสูตรท้องถิ่น
(8) กลุ่มเป้าหมายให้ประกอบด้วยโรงเรียนรุ่งอรุณเดิม 600 โรงเรียนและโรงเรียนอื่นๆ ที่ไม่เคยร่วมโครงการ แต่มีความพร้อมตามหลักเกณฑ์โดยไม่จำกัดเฉพาะโรงเรียนสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมดีเด่น เฉลิมพระเกียรติ
(9) ในการจัดอบรมเพื่อเพิ่มความรู้ให้กับครูและนักวิชาการท้องถิ่นให้มีการอบรมโดยเชิญ ผู้มีประสบการณ์การดำเนินงานโครงการรุ่งอรุณที่มีผลสำเร็จดีในด้านการบูรณาการการเรียนการสอนเรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อมมาร่วมให้ความรู้ เพื่อให้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนสำหรับโรงเรียนอื่นๆ
(10) สำหรับคณะนักวิชาการท้องถิ่นให้เพิ่มนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญหรือเกี่ยวข้องกับด้านพลังงานด้วย เพื่อเป็นที่ปรึกษาของโรงเรียน ซึ่งในโครงการรุ่งอรุณระยะที่ 1 ความรู้ด้านพลังงานที่โรงเรียนควรได้รับยังน้อยเกินไป ดังนั้น ในระยะที่ 2 จึงเห็นควรให้โรงเรียนสามารถจัดการเรียนรู้เรื่องพลังงานที่ถูกต้องให้มากยิ่งขึ้น
(11) ให้เพิ่มเติมรายละเอียดวิธีการดำเนินงานของคณะนักวิชาการท้องถิ่นในการประสานงานและให้คำปรึกษาแก่โรงเรียนในการพัฒนาการเรียนการสอน และสามารถให้การช่วยเหลืออย่างเป็นระบบและต่อเนื่องอย่างมีประสิทธิภาพ
(12) ให้พิจารณาเพิ่มดัชนีชี้วัดความสำเร็จของโครงการที่เป็นประเด็นสำคัญ ดังนี้
โรงเรียนมีการบูรณาการความรู้ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมเข้าไปในการเรียนการสอนทุกระดับชั้น
ครู นักเรียน บุคลากร มีจิตสำนึกและพฤติกรรมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
มีเครือข่ายการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมระหว่างโรงเรียน ชุมชน และหน่วยงาน ท้องถิ่นที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืนภายหลังสิ้นสุดโครงการ
(13) ให้เพิ่มเติมวิธีการประเมินผลโครงการ จะใช้วิธีอย่างไร
ในการประเมินความรู้ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นสำหรับกลุ่มเป้าหมายต่างๆทุกกลุ่ม
ในการประเมินจิตสำนึก และพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย
(14) ให้ปรับเปลี่ยนหรือปรับลดงบประมาณ ดังนี้
ให้ปรับลดค่าใช้จ่ายในการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์โครงการลงโดยนำเงินที่ลดลงไปผลิตวารสารวิชาการและกิจกรรมของโครงการที่จะมุ่งเน้นให้สาระที่น่าสนใจด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม และเป็นเวทีแลกเปลี่ยนผลการดำเนินงานของโรงเรียนในโครงการ โดยให้ออกวารสารเป็นราย 2 เดือน และให้ สพช. ได้พิจารณาต้นฉบับก่อนการจัดพิมพ์เผยแพร่
ให้ปรับลดค่าอาหาร/อาหารว่าง และค่าสถานที่ในทุกกิจกรรมลง เนื่องจากมีอัตราสูงโดยให้ใช้อัตราตามระเบียบราชการ
ในการสัมมนาวิเคราะห์สถานการณ์และการดำเนินกิจกรรมของโรงเรียนที่ไม่ผ่านการคัดเลือก 90 โรงเรียน ขอให้ปรับเปลี่ยนกิจกรรมนี้เป็นการเสริมความรู้ด้านการจัดการเรียนการสอนกิจกรรมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมสำหรับครู แกนนำ นักเรียน และแกนนำชุมชน
ค่าใช้จ่ายในการจัดทำวีดิโอผลงานโครงการ 500,000 บาท ให้ปรับลดลง โดยให้นำเงินส่วนที่ลดลงไปจัดทำเอกสารเพื่อรวบรวมฐานการเรียนรู้หรือสื่อการเรียนรู้เรื่องพลังงานในท้องถิ่น เพื่อแจกจ่ายให้กับโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอีก
ผู้แทนกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ( พพ.) ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ในระหว่างปี 2539-2544 พพ. ได้ร่วมมือกับสำนักงานความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาแห่งประเทศเดนมาร์ก (DANCED) เพื่อทำการศึกษาและจัดทำแนวทางการส่งเสริมการลงทุนในโครงการมาตรการมาตรฐาน (Standard Measures) ที่ได้รับการพิสูจน์และยอมรับทางด้านเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานแล้ว จำนวน 11 มาตรการ และพพ. ได้ดำเนินการจัดทำเป็นโครงการนำร่องการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานและอาคารธุรกิจที่ไม่อยู่ในข่ายควบคุม เพื่อเป็นการสาธิตและทดสอบผลประหยัดพลังงาน แล้วนำมาเปรียบเทียบกับผลจากการคำนวณของมาตรการมาตรฐานของเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงานทั้ง 11 มาตรการ ที่ พพ. และ DANCED ได้เคยทำการศึกษา โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 10 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ โดยกองทุนฯ จะให้การสนับสนุนเงินช่วยเหลือให้เปล่าแก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ 30% ของเงินลงทุนในแต่ละมาตรการ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งสิ้น 26 ราย ซึ่งผลจากการดำเนินการสามารถประหยัดไฟฟ้าได้ประมาณ 1.736 ล้านหน่วยต่อปี
พพ. จึงได้จัดทำโครงการมาตรการมาตรฐานเป็นโครงการนำร่องในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม โดย พพ. ได้กำหนดหลักเกณฑ์และจำนวนเงินที่จะให้การสนับสนุน ซึ่งจะให้การสนับสนุนเป็นเงินอุดหนุนการลงทุนแต่ละมาตรการคิดเป็นร้อยละ 30 ของค่าใช้จ่ายในการลงทุนจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 30 ของราคามาตรฐานที่ พพ. กำหนด และมีระยะเวลาคืนทุนไม่เกิน 7 ปี ทั้งนี้ วงเงินที่แต่ละรายจะได้รับการสนับสนุนไม่เกิน 2 ล้านบาท นอกจากมาตรฐาน (Standard Measures) แล้ว พพ. ก็ยังได้กำหนดให้มีการสนับสนุนในมาตรการประหยัดพลังงานอื่นๆ (Individual Project : IP) แต่จะต้องมีการพิจารณาศักยภาพการอนุรักษ์พลังงาน แนวทางการตรวจวัดและประเมินผล และผลตอบแทนการลงทุน ทั้งนี้จะพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป โดยผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินโครงการฯ จะสามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 53 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นเงินประมาณ 133 ล้านบาทต่อปี และสามารถลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุดประมาณ 12 MW โดยมีแนวทางการดำเนินการของโครงการฯ ดังนี้
(1) พพ. จะคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการ จำนวน 2 ราย ดำเนินการตามขอบเขตงานที่ พพ. กำหนด โดยคัดเลือกจากภาครัฐและรัฐวิสาหกิจรวมถึงหน่วยงานเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร
(2) กำหนดวงเงินค่าใช้จ่าย 130 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินสนับสนุนการลงทุน 100 ล้านบาท ที่เหลือเป็นค่าบริหาร ประชาสัมพันธ์ และประเมินผล ประมาณ 30 ล้านบาท
(3) อาคารควบคุมและโรงงานควบคุม ที่จะดำเนินการตามโครงการนี้ยังต้องปฏิบัติตาม พรบ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 โดยสามารถระบุผลการดำเนินการที่ได้รับการดำเนินการจากโครงการนี้ในขั้นตอนการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานได้
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 23) เมื่อวันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ 2545 ได้พิจารณาโครงการส่งเสริมการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานสำหรับโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม (นำร่อง) แล้ว เห็นชอบในหลักการและให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ พพ. ดำเนินการโครงการส่งเสริมการลงทุนด้าน อนุรักษ์พลังงานสำหรับโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม (นำร่อง) ตามแนวทางและวิธีดำเนินงานที่ พพ. เสนอ
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม) รายการค่าบริหารและสนับสนุนโครงการ ในวงเงิน 130 ล้านบาท (หนึ่งร้อยสามสิบล้านบาท) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานสำหรับโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม (นำร่อง) ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนเงินลงทุนฯ จำนวน 100 ล้านบาท (หนึ่งร้อยล้านบาท) และค่าบริหาร ประชาสัมพันธ์ และประเมินผล จำนวน 30 ล้านบาท (สามสิบล้านบาท)
เรื่องที่ 7 ขออนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าในโครงการ "ประหยัดไฟกำไรต่อ" (เพิ่มเติม)
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 24) เมื่อวันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2544 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2545 ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในวงเงิน 408,999,000 บาท และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ในวงเงิน 289,166,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนลดค่าไฟฟ้า โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" โดยมีระยะเวลาในการดำเนินโครงการ ฯ 1 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2544 - สิงหาคม 2545 ซึ่งผลการดำเนินงานของโครงการ ระยะเวลา 5 เดือนที่ผ่านมา (เดือนกันยายน 2544 - มกราคม 2545) มีผู้ใช้ไฟฟ้าสนใจเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก โดยมีผู้ที่สามารถได้รับส่วนลดที่เกิดจากการประหยัดการใช้ไฟฟ้าได้ เป็นจำนวนสูงกว่าประมาณการที่ได้ตั้งไว้ ทำให้จำนวนเงินรางวัลส่วนลดค่าไฟฟ้าที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติให้กับ กฟภ. และ กฟน. ไม่เพียงพอ ซึ่งผลการดำเนินการที่ผ่านมา (เดือนกันยายน 2544 - มกราคม 2545) สรุปได้ ดังนี้
(1) กฟภ. ได้ทำการรณรงค์ โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ตั้งแต่เดือนกันยายน 2544 ถึง มกราคม 2545 สรุปผลได้ว่า จากจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งหมดประมาณ 10.7 ล้านครัวเรือน ทุกจังหวัดทั่วประเทศ (ยกเว้นเขตจังหวัดกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และนนทบุรี) มียอดจำนวนครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการเริ่มตั้งแต่ประมาณ 1.9 ล้านครัวเรือนในเดือนกันยายน และเพิ่มขึ้นถึง 6.1 ล้านครัวเรือนในเดือนมกราคม 2545 สามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้ประมาณ 937.44 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้ประมาณ 2,756.126 ล้านบาท
(2) กฟน. ได้ทำการรณรงค์ โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ตั้งแต่เดือนกันยายน 2544 ถึง มกราคม 2545 สรุปผลได้ว่า จากจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งหมดประมาณ 1.8 ล้านครัวเรือน ในเขตจังหวัดกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และนนทบุรี มียอดจำนวนครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการเริ่มตั้งแต่ประมาณ 0.34 ล้านครัวเรือนในเดือนกันยายน 2544 และเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 1.1 ล้านครัวเรือนในเดือนมกราคม 2545 สามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้ประมาณ 512.11 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้ประมาณ 1,627.67 ล้านบาท
กฟภ. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตพื้นที่จำหน่ายไฟฟ้าภูมิภาค ในโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" เพิ่มเติม ในวงเงิน 918,839,000 บาท และ กฟน. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตพื้นที่จำหน่ายไฟฟ้านครหลวง ในโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" เพิ่มเติม ในวงเงินรวม 223,914,260 บาท แบ่งเป็นค่าส่วนลดไฟฟ้า 223,440,000 บาท และส่วนการประชาสัมพันธ์ 474,260 บาท โดย กฟภ. และ กฟน. ได้ปรับแผนประมาณการส่วนลดค่าไฟฟ้า ในช่วงระยะเวลาการดำเนินโครงการเดือนกุมภาพันธ์ - สิงหาคม 2545 ดังนี้
(1) กฟภ. คาดว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2545 ประมาณ 59% ของผู้ใช้ไฟฟ้า สามารถประหยัดได้ 38% สำหรับเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2545 ประมาณ 18% ของผู้ใช้ไฟฟ้า สามารถประหยัดได้ 15% และเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2545 ประมาณ 60% ของผู้ใช้ไฟฟ้า สามารถประหยัดได้ 35% คิดเป็นเงินรางวัลส่วนลดค่าไฟฟ้าที่ต้องใช้เป็นจำนวนประมาณ 803.765 ล้านบาท (เดือนกุมภาพันธ์-สิงหาคม 2545) รวมกับค่าส่วนลดค่าไฟฟ้าส่วนขาด (เดือนกันยายน 2544 - มกราคม 2545) จำนวน 115.074 ล้านบาท ซึ่งรวมเป็นเงินงบประมาณ ค่าส่วนลดค่าไฟฟ้าที่ต้องการขอรับการสนับสนุนเพิ่มจำนวน 918.839 ล้านบาท
(2) กฟน. คาดว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2545 ประมาณ 40% ของผู้ใช้ไฟฟ้า สามารถประหยัดได้ 20% สำหรับเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2545 ประมาณ 5%-10% ของผู้ใช้ไฟฟ้า สามารถประหยัดได้ 10% และเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2545 ประมาณ 30% ของผู้ใช้ไฟฟ้า สามารถประหยัดได้ 20% คิดเป็นเงินรางวัลส่วนลด ค่าไฟฟ้าที่จะต้องใช้เป็นจำนวนประมาณ 164.75 ล้านบาท (เดือนกุมภาพันธ์ - สิงหาคม 2545) รวมกับค่าส่วนลดค่าไฟฟ้าส่วนขาด (เดือนกันยายน 2544 - มกราคม 2545) จำนวน 58.69 ล้านบาท ซึ่งรวมเป็นเงินงบประมาณส่วนลดค่าไฟฟ้าที่จะขอรับการสนับสนุนเพิ่ม จำนวน 223.44 ล้านบาท
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2545 เมื่อ วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2545 เพื่อพิจารณา และได้มีมติเห็นชอบให้เพิ่มวงเงิน ในโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ให้ กฟภ.ในวงเงิน 918,839,000 บาท เพื่อเป็นค่าส่วนลดค่าไฟฟ้า และให้ กฟน. ในวงเงินรวม 223,914,260 บาท แบ่งเป็นค่าส่วนลดค่าไฟฟ้า จำนวน 223,440,000 บาท และส่วนการประชาสัมพันธ์ (ค่าจัดพิมพ์จดหมาย ปิดผนึกและจัดส่งให้ผู้ใช้ไฟฟ้าเพิ่มเติม) จำนวน 474,260 บาท โดยให้ สพช. ติดตามประเมินผลของโครงการโดยเร็ว เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของผู้ใช้ไฟฟ้าที่สามารถประหยัดไฟฟ้าได้ และมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้ไฟฟ้า และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2545 ให้ กฟภ. และ กฟน. เพื่อเป็นค่าส่วนลดค่าไฟฟ้าในโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" เพิ่มเติม โดยสนับสนุนให้ กฟภ. ในวงเงิน 918,839,000 บาท และให้ กฟน. ในวงเงินรวม 223,914,260 บาท แบ่งเป็นค่าส่วนลดค่าไฟฟ้า จำนวน 223,440,000 บาท และส่วนการประชาสัมพันธ์ (ค่าจัดพิมพ์จดหมายปิดผนึกและจัดส่งให้ผู้ใช้ไฟฟ้าเพิ่มเติม) จำนวน 474,260 บาท
เรื่องที่ 8 โครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2544 ได้มีมติอนุมัติให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 ให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ในวงเงิน 33,073,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยได้ดำเนินการปิดถนนสีลม ทุกวันอาทิตย์ ระหว่างวันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน 2544 ถึง วันอาทิตย์ที่ 30-31 ธันวาคม 2544 ภายใต้ชื่อโครงการว่า "7 มหัศจรรย์ที่สีลม" และจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มาร่วมงานบนถนนสีลม จำนวน 1,200 ตัวอย่าง สรุปผลการประเมินโครงการในภาพรวมได้ว่าประชาชนเห็นด้วยกับการรณรงค์ตามโครงการฯ นี้ จำนวนร้อยละ 85 ทั้งนี้ เห็นว่าเกี่ยวข้องกับการช่วยประหยัดพลังงานร้อยละ 81 ลดมลพิษร้อยละ 86 และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวร้อยละ 79 นอกจากนี้ประชาชนยังเห็นด้วยกับการสนับสนุนให้มีโครงการลักษณะนี้ต่อไปที่ถนนสีลมทุกๆ วันอาทิตย์ร้อยละ 87 ซึ่งนับได้ว่าการดำเนินโครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์ได้เป็นที่น่าพอใจ
คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ มีมติให้ดำเนินการโครงการปิดถนนสีลมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นถนนคนเดินที่ยั่งยืน โดยดำเนินการตามแผนระยะกลาง ตั้งแต่เดือนมกราคม - ธันวาคม 2545 และให้ขยายผลสำเร็จของโครงการนี้ไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเริ่มที่ถนนท่าแพ จังหวัดเชียงใหม่เป็นสายแรก เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ ถึง 7 เมษายน 2545 ภายใต้ชื่อ "10 มหัศจรรย์ล้านนาที่ท่าแพ" ซึ่งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 1/2545 (ครั้งที่ 90) เมื่อวันพุธที่ 23 มกราคม 2545 ได้มีมติอนุมัติให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อสมทบเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปิดถนนสีลม ในวงเงิน 7,800,000 บาท และให้สำนักงานจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสมทบเป็นค่าใช้จ่าในการดำเนินโครงการปิดถนนท่าแพ ในวงเงิน 3,500,000 บาท และต่อมาได้มีหน่วยงานต่างๆ สนใจที่จะดำเนินโครงการฯ ในลักษณะดังกล่าว ดังนี้
(1) สำนักงานจังหวัดภูเก็ต ได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว ณ บริเวณถนนถลาง อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ในระหว่างเดือนเมษายน ถึงเดือนกันยายน 2545 รวม 26 ครั้ง ในวงเงิน 10,000,000 บาท
(2) จังหวัดลำปาง ได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ "มหัศจรรย์ก๋องปู่จา..ล้านนาไทย" เพื่อสืบสานวัฒนธรรมระดับชุมชนอย่างมีระบบ รวมถึงการตอบสนองนโยบายการประหยัดพลังงานและลดมลพิษ ในวงเงิน 5,000,000 บาท
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าว เสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน เพื่อพิจารณา กำหนดกรอบการให้การสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 4/2545 (ครั้งที่ 93) เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2545 ที่ประชุมเห็นว่าโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงานฯ เป็นโครงการที่รัฐบาล และ สพช. มีเป้าหมายที่จะขยายผลไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ ที่เหมาะสม ซึ่งคาดว่าจะมีภูมิภาคที่มีความเหมาะสมประมาณ 6 แห่ง ได้แก่ ภูเก็ต ถนนลาดหญ้า ถนนเยาวราช หาดใหญ่ นครราชสีมา และขอนแก่น
ดังนั้น เพื่อให้การพิจารณาโครงการปิดถนนฯ ที่ภูมิภาคต่างๆ เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คล่องตัว และทันต่อระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ จึงเห็นควรกำหนดขอบเขตในการพิจารณาให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ สำหรับโครงการปิดถนนฯ โดยให้คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ เป็นผู้พิจารณากลั่นกรองและอนุมัติวงเงินตามแผนรายละเอียด ระยะเวลา การดำเนินงานและงบประมาณของโครงการปิดถนนฯ ที่ภูมิภาคต่างๆ เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยให้สอดคล้องกับเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานเป็นหลัก ทั้งนี้ กำหนดกรอบการอนุมัติงบประมาณการดำเนินการโครงการฯ ในแผนระยะแรก ในวงเงินแห่งละประมาณ 15 ล้านบาท และนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไป
มติที่ประชุม
อนุมัติในหลักการให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แก่ภูมิภาคต่างๆ ที่ขอรับการสนับสนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปิดถนนฯ ในภูมิภาคนั้นๆ ในวงเงินแห่งละไม่เกิน 10 ล้านบาท โดยให้คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นผู้พิจารณา และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไป
ผู้แทนกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ 4/2542 (ครั้งที่ 70) เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2542 ได้เห็นชอบแผนงานอนุรักษ์พลังงานและแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับโครงการประชาสัมพันธ์ระหว่างปี 2543-2547 ในส่วนที่กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ. ) รับผิดชอบตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ เสนอ รวมเป็นเงิน 452.5 ล้านบาท (90.5 ล้านบาทต่อปี) โดยในทางปฏิบัติ พพ. จะต้องจัดทำแผนปฏิบัติการฯ และค่าใช้จ่ายในโครงการดังกล่าวแต่ละปีเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาก่อนดำเนินการ
พพ. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ทั้งระยะสั้นและระยะยาวของโรงงาน/อาคารควบคุม โดยแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ของ พพ. ปีงบประมาณ 2545 ได้กำหนดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งเน้นให้มีความสอดคล้องและสามารถตอบสนองวัตถุประสงค์ กลุ่มเป้าหมายที่วางไว้ โดยแบ่งกิจกรรมดังกล่าวออกเป็น 5 หมวด
(1) หมวดการประชาสัมพันธ์หลักผ่านสื่อมวลชน: ประกอบด้วยกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง 4 กิจกรรม คือ สื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ สิ่งพิมพ์และจัดซื้อเนื้อที่ และสื่ออื่นๆ
(2) หมวดการประชาสัมพันธ์สนับสนุนผ่านสื่อมวลชน: ประกอบด้วยกิจกรรมประชาสัมพันธ์สนับสนุนสื่อมวลชน 6 กิจกรรม คือ แถลงข่าวเปิดตัว พพ. และโครงการ สัมภาษณ์ผู้บริหารขึ้นปกนิตยสาร รายงานพิเศษผ่านสื่อ นสพ. และนิตยสาร ข่าวและภาพประชาสัมพันธ์ สื่อมวลชนสัญจร และประกวดคำขวัญอนุรักษ์พลังงาน
(3) หมวดการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่อเนื่อง: ประกอบด้วยกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่อเนื่อง 3 กิจกรรม คือ สารคดีสั้นทางโทรทัศน์ สารคดีสั้นทางวิทยุ และการพัฒนาข้อมูล ข่าวสารด้านการประชาสัมพันธ์ในสื่ออินเตอร์เนต
(4) หมวดกิจกรรมกระตุ้นตรงต่อกลุ่มเป้าหมาย: ประกอบด้วยกิจกรรม 7 กิจกรรม คือ ทีมเผยแพร่ การพัฒนาศูนย์ข้อมูลและสายด่วน พพ. วารสารพลังงาน จัดนิทรรศการในงานแสดงสินค้า สัปดาห์อนุรักษ์พลังงาน คู่มือและชุดความรู้ นิทรรศการและสัมมนากลุ่มโรงงาน
(5) หมวดงานยุทธ์ศาสตร์: ประกอบด้วย กิจกรรมการประเมินผลและวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคการเข้าร่วมโครงการอนุรักษ์พลังงาน กิจกรรมประเมินผลแผนประชาสัมพันธ์ และที่ปรึกษาด้านแผนการประชาสัมพันธ์
โดยมีวงเงินงบประมาณดำเนินการตามแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ฯ ปีงบประมาณ 2545 รวมทั้งสิ้น 175 ล้านบาท (หนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าล้านบาท)
พพ. ได้นำแผนดังกล่าวเสนอต่อ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ พิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 23) เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2545 ที่ประชุมได้พิจารณาแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบแล้ว เห็นชอบในแผนปฏิบัติการฯ และวงเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าวตามที่ พพ. เสนอ ทั้งนี้ ให้ พพ. จัดทำขอบเขตและเงื่อนไขในการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการโครงการประชาสัมพันธ์ตามแผนปฏิบัติการฯ ให้มีรายละเอียดที่ชี้ให้เห็นถึงผลที่คาดว่าจะได้รับ ตลอดจนวิธีการวัดผลจากการดำเนินงาน ตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ ที่ได้ให้ไว้ ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป ซึ่ง พพ. ได้ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
ให้ พพ. ร่วมหารือกับ สพช. และนายพรายพล คุ้มทรัพย์ เพื่อกำหนดกรอบ และวิธีการที่ พพ. จะต้องดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ชัดเจนว่า กิจกรรมและกลุ่มเป้าหมายที่จะทำการประชาสัมพันธ์ต้องไม่ซ้ำซ้อนกับที่ สพช. ได้ดำเนินการอยู่ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
กอ. ครั้งที่ 27 - วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2545
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2545(ครั้งที่ 27)
วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3
3. ผลการติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 1 ปี 2538-2542
4. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน (ระยะที่ 2)
5. ขออนุมัติปรับแผนโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
7. ขอทบทวนและแก้ไขมติคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26)
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบถึงความก้าวหน้าของผลการดำเนินงานโครงการประหยัดไฟ กำไร 2 ต่อ ว่า นับแต่โครงการฯ เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2544 ถึงเดือนธันวาคม 2544 ได้มีครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้รวมทั้งสิ้น 1,010,045,314 หน่วย คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 3,138,424,460 บาท โดยกองทุนฯ จ่ายเงินส่วนลดให้แก่ครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นเงินทั้งสิ้น 623,683,967 บาท
เรื่องที่ 1 รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่าย เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำไตรมาสที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544-31 ธันวาคม 2544 ให้ที่ประชุมทราบว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2544 มีเงินกองทุนฯ คงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคาร 13,219,883,566.48 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2544 (ครั้งที่ 25) เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2544 ได้พิจารณาข้อเสนอโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและใหญ่ ระยะที่ 3 ซึ่งเสนอโดย หน่วยบริการก๊าซชีวภาพ สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) และที่ประชุมได้มีมติอนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ มช. ในวงเงิน 853,079,794 บาท โดยที่ประชุมได้มีเงื่อนไขให้ มช. ปรับปรุงรายละเอียดแผนงานโครงการฯ ดังนี้
(1) ให้หน่วยบริการก๊าซชีวภาพ มช. จำแนกค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการฯ ให้ชัดเจน โดยแบ่งเป็นเงินในส่วนด้านการบริหารงาน และเป็นเงินสนับสนุนให้เจ้าของฟาร์มทางอ้อม เช่น ค่าบริการให้คำปรึกษา ค่าออกแบบระบบและค่าติดตามดูแลระบบฯ เป็นต้น เพื่อกองทุนฯ จะได้พิจารณาว่าการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ นั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเกษตรกรเป็นส่วนใหญ่
(2) หน่วยบริการก๊าซชีวภาพ ควรจะหารือกับผู้บริหารของ มช. เพื่อแสดงความมีส่วนร่วมในโครงการนี้ โดย มช. อาจจะสามารถจัดสรรงบประมาณบางส่วนสมทบกับเงินของกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารสำนักงานของโครงการฯ
มช. ได้รับทราบความเห็นของคณะกรรมการกองทุนฯ ข้างต้นแล้ว และได้ชี้แจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการฯ มาเพื่อโปรดทราบ โดยสรุปได้ดังนี้
(1) ค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการฯ : ค่าบริหารโครงการฯ ทั้งหมด จำนวนเงิน 319,575,794 บาท ประกอบด้วย เงินสนับสนุนเกษตรกรโดยอ้อม ในวงเงิน 292,030,540 บาท (คิดเป็นร้อยละ 91 ของค่าบริหารโครงการฯ) และ ค่าบริหารจัดการโครงการฯ ในวงเงิน 27,545,254 บาท (คิดเป็นร้อยละ 9 ของค่าบริหารโครงการฯ)
(2) ค่าใช้จ่ายสมทบจาก มช. ในการบริหารโครงการฯ : มช. ได้อนุญาตให้หน่วยบริการก๊าซชีวภาพใช้พื้นที่ว่างในบริเวณสถานีวิจัยและฝึกอบรมฯ ประมาณ 6 ไร่ เป็นที่ตั้งศูนย์แห่งความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีการย่อยสลายแบบไร้ออกซิเจนและการผลิตก๊าซชีวภาพ พร้อมทั้งรับภาระค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อระบบสาธารณูปโภคต่างๆ กับอาคารใหม่ คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 3,590,000 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและเห็นชอบกับรายละเอียดค่าบริหารโครงการฯ ตามที่ มช. เสนอมา
เรื่องที่ 3 ผลการติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 1 ปี 2538-2542
บริษัทมาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด ได้รายงานสรุปผลการประเมินผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 1 ให้ที่ประชุมทราบว่า จากผลการประเมินโครงการย่อยในโครงการหลักของแผนงานรอง ทั้ง 3 แผนงาน ของแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 1 ได้สะท้อนถึงประสิทธิผลและประสิทธิภาพของแผนงานอนุรักษ์พลังงานโดยรวมได้ค่อนข้างชัดเจนว่ามีประสิทธิผลอยู่ในระดับสูง และบรรลุผลด้านเทคโนโลยีในระดับปานกลาง สำหรับด้านประสิทธิภาพของโครงการนั้น พบว่าอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งในด้าน B/C ratio IRR และ Cost Effectiveness Analysis ส่วนผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมพบว่าอยู่ในระดับปานกลาง จึงสรุปได้ว่าผลการดำเนินงานตามแผนงานอนุรักษ์ ระยะที่ 1 โดยรวมอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างดี
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานเพิ่มเติมว่า ในการดำเนินการประเมินผลในครั้งนี้ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พยายามที่จะควบคุมคุณภาพของผู้ประเมิน และปรับปรุงถ้อยคำภาษาให้การประเมินครั้งนี้ ให้เป็นการเสนอแนะ ในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แทนที่จะเป็นการจับผิดหรือกล่าวโทษ และได้นำผลการประเมิน เสนอต่อคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อพิจารณาแล้ว และคณะอนุกรรมการฯ ได้เห็นชอบตามที่บริษัทมาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด เสนอ โดยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้
(1) การทำงานของคณะอนุกรรมการฯ เป็นการประเมินผลเพื่อวิเคราะห์การดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเสนอแนะปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงทางการดำเนินงานให้สามารถบรรลุถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้เร็วขึ้น และลดการใช้งบประมาณลง
(2) คณะอนุกรรมการฯ เลือกที่จะใช้ผู้เชี่ยวชาญในการประเมินจากหน่วยงานภายนอก และเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในขบวนการประเมินผลด้วย เพื่อลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้าใจผิดของผู้ประเมิน โดยคณะอนุกรรมการฯ ไม่มีความประสงค์จะจับผิด เพียงแต่ต้องการเสนอแนะวิธีการดำเนินงานที่ดีกว่าเดิม
(3) คณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบกับผลการประเมินที่คณะที่ปรึกษาเสนอ และเห็นชอบข้อเสนอแนะ ที่ได้จากการสัมมนาฯ และมีข้อสังเกตเพิ่มเติม ดังนี้
การอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง มีศักยภาพสูง จึงเห็นควรให้คณะกรรมการกองทุนฯ และ สพช. ให้ความสำคัญในสาขานี้ ทั้งในด้านการกำหนดนโยบาย และการให้การส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน
เห็นควรให้มีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ (Strategic Plan) และกำหนดเป้าหมายและดัชนีชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจนทั้งระดับโครงการและแผนงาน
การประสานงานระหว่าง กฟผ. กฟภ. และกองทุนฯ ในการส่งเสริม SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง จะทำให้การต่อเชื่อมระบบมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยไม่ต้องมีการปรับแรงดันไฟฟ้ามากเกินความจำเป็น (Step up หรือ Step down) อันจะเกิดการสูญเสียในระบบ
การส่งเสริมการศึกษาวิจัย (Basic และ Applied Research) ควรประสานงานกับ สกว. ซึ่งมีความชำนาญในด้านนี้ ส่วนการศึกษาเพื่อการพัฒนาและการนำผลการวิจัยสู่การใช้เชิงพาณิชย์ (Improvement และ Implementation) สพช. มีความชำนาญสูงอยู่แล้ว สามารถดำเนินการต่อไปได้
มติที่ประชุม
รับทราบและเห็นชอบกับผลการประเมินที่บริษัทมาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด ได้นำเสนอ และเห็นชอบกับข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำข้อเสนอแนะดังกล่าวไปปรับในกรอบแผนยุทธศาสตร์การอนุรักษ์พลังงานและการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ในปี 2540 คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้การสนับสนุน สำนักงานวิจัยและพัฒนา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในวงเงิน 4,774,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการนำร่องติดตั้งระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน จำนวน 10 หลังคาเรือน เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนใช้พลังงานจากเซลล์แสงอาทิตย์ โดยกองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนเงินค่าติดตั้งให้กับเจ้าของบ้านที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการฯ เป็นเงินให้เปล่า ในอัตราร้อยละ 45.70 ของเงินลงทุนทั้งระบบ (ประมาณ 212,500 บาท/ระบบ) ส่วนที่เหลือเจ้าของบ้านผู้เข้าร่วมโครงการฯ จะรับภาระค่าใช้จ่ายเอง
โครงการดังกล่าวได้เสร็จสมบูรณ์แล้วและ กฟผ. ได้เก็บข้อมูลประเมินผลการทำงานหลังการติดตั้งระบบฯ 1 ปี โดยระบบฯ สามารถทำงานได้ตามประสิทธิภาพ และเจ้าของระบบฯ สามารถดูแลการใช้งานของระบบฯ ด้วยตนเองได้เป็นอย่างดี กฟผ. จึงได้จัดทำแบบสอบถามประชาชนทั่วไปจำนวนทั้งสิ้น 400 ราย เพื่อประเมินความสนใจที่จะนำระบบฯ ไปติดตั้งใช้งาน ซึ่งมีผู้สนใจขอเข้าร่วมโครงการฯ มากกว่า 100 ราย
กฟผ. จึงได้ยื่นข้อเสนอที่จะดำเนินการโครงการฯ ระยะที่ 2 ซึ่งมีเป้าหมายที่จะติดตั้งระบบเซลล์แสงอาทิตย์ให้กับบ้านพักอาศัย จำนวน 100 หลังคาเรือน โดยแบ่งเป็นระบบฯ ชุดเล็กขนาด 2.10 kWp จำนวน 60 หลังคาเรือน และระบบฯ ชุดใหญ่ขนาด 3.15 kWp จำนวน 40 หลังคาเรือน โดยงบประมาณรวมทั้งหมดของโครงการฯ ในวงเงิน 71,437,000 บาท ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำข้อเสนอโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน (ระยะที่ 2) เสนอต่อ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 9/2544 (ครั้งที่ 54) เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2544 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ โดยมีเงื่อนไขให้ กฟผ. ต้องปรับปรุงรายละเอียดของแผนงานฯ ในบางประเด็น เช่น ลดจำนวนการสนับสนุนลงเหลือเพียง 50 ราย และปรับลดอัตราการสนับสนุนผู้เข้าร่วมโครงการฯ ไม่ควรเกินอัตราที่เคยให้การสนับสนุนในระยะที่ 1 เป็นต้น
กฟผ. ได้ปรับปรุงแผนงานโครงการฯ ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว โดยเฉพาะในประเด็นหลักนั้น กฟผ. ได้ปรับปรุงแผนงานโครงการฯ ดังนี้
(1) ปรับลดจำนวนเป้าหมายที่จะติดตั้งระบบเซลล์แสงอาทิตย์ให้กับบ้านพักอาศัย คงเหลือเพียงจำนวน 50 หลังคาเรือน
(2) ปรับขนาดกำลังผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์เหลือเพียง 1 ขนาด คือ ขนาดไม่ต่ำกว่า 3.15 kWp และไม่เกิน 3.20 kWp เพื่อให้สามารถใช้อุปกรณ์ส่วนควบที่เกี่ยวข้องทดแทนกันได้
(3) กฟผ. เปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนที่จะเป็นตัวแทนจำหน่ายและติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ยื่นข้อเสนอราคาให้ กฟผ. พิจารณาคัดเลือก ก็จะทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาและส่งผลให้ราคาเซลล์แสงอาทิตย์เปลี่ยนแปลงลดลงได้อีก กฟผ. จึงได้ยืนราคาต้นทุนเซลล์แสงอาทิตย์ของโครงการฯ ไว้ที่อัตรา 170 บาท/วัตต์
(4) กฟผ. ได้ปรับลดอัตราเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อช่วยเหลือค่าติดตั้งระบบฯ ให้กับเจ้าของบ้านที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการฯ เป็นเงินให้เปล่าในอัตราร้อยละ 45.70 ของเงินลงทุนทั้งระบบฯ ซึ่งเท่ากับอัตราเดิมที่กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนเจ้าของบ้านที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการฯ ในระยะแรก
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กฟผ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน (ระยะที่ 2) ในวงเงิน 24,268,324 บาท (ยี่สิบสี่ล้านสองแสนหกหมื่นแปดพันสามร้อยยี่สิบสี่บาทถ้วน)
เรื่องที่ 5 ขออนุมัติปรับแผนโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2540 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในวงเงิน 90,000,000 บาท (เก้าสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อครุภัณฑ์ ประกอบด้วย เครื่อง Large Area Multi-Chamber Plasma Enhanced Chemical Vapor Deposition System (PECVD) และ Sputtering System โดย สวทช. กำหนดจะติดตั้งเครื่องจักรดังกล่าวที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา และภายในปี 2544 สวทช. จะพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีกำลังการผลิต 75 กิโลวัตต์ต่อปี
ปัจจุบันนี้ สวทช. ได้ทำการทดลองผลิตเซลล์ชนิดอะมอร์ฟัสซิลิกอน และสามารถพัฒนาประสิทธิภาพของเซลล์ได้ที่ระดับ 7.3 % และ สวทช. คาดว่าจะสามารถพัฒนาได้ถึง 10% โดย สวทช. ได้ใช้จ่ายเงินลงทุนไปในโครงการนี้ไปแล้วทั้งสิ้น 148 ล้านบาท ประกอบด้วยงบประมาณจาก สวทช. 58 ล้านบาท และงบสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าครุภัณฑ์และวัสดุประกอบการผลิตเซลล์ 90 ล้านบาท
การดำเนินโครงการฯ ในช่วงที่ผ่านมา สวทช. ประสบปัญหาที่ไม่ได้รับจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ เพื่อนำมาสมทบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนงานที่ได้เคยเสนอไว้กับกองทุนฯ ทำให้ สวทช. ไม่สามารถจัดซื้อวัสดุที่จำเป็นเพื่อนำมาวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ได้ทั้งหมด สวทช. จึงขอปรับแผนการดำเนินงานโดย สวทช. จะขอทำการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์แล้วจะร่วมมือกับ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) และกรมโยธาธิการ ในการนำไปติดตั้งทดสอบการใช้งาน โดยในการปรับแผนงานครั้งนี้ สวทช. ขอเงินสนับสนุนเพิ่มเติมจากกองทุนฯ เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 29,587,500 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ สวทช. พพ. และ กรมโยธาธิการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประชุมร่วมกับผู้แทนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่เกี่ยวข้องในด้านเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องแนวทางการดำเนินโครงการดังกล่าวแล้ว ที่ประชุมเห็นควรให้ สวทช. ปรับปรุงรายละเอียดของแนวทางและวิธีการดำเนินงานศึกษาวิจัยให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ ก่อนนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา สวทช. ได้ปรับรายละเอียดของแผนงานโครงการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของที่ประชุมเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2544 แล้ว โดย สวทช. ขอขยายระยะเวลาโครงการสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2546 และขอเงินสนับสนุนเพิ่มเติมจากกองทุนฯ เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 30,882,694 บาท (สามสิบล้านแปดแสนแปดหมื่นสองพันหกร้อยเก้าสิบสี่บาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ สวทช. พพ. และ กรมโยธาธิการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าวพร้อมกับความเห็นจากที่ประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องในด้านเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 12/2544 (ครั้งที่ 57) เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ที่ประชุมได้พิจารณาโครงการฯ แล้ว มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้ สวทช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น ในวงเงิน 30,882,694 บาท (สามสิบล้านแปดแสนแปดหมื่นสองพันหกร้อยเก้าสิบสี่บาทถ้วน) และอนุมัติให้ สวทช. ปรับแผนดำเนินโครงการฯ ได้ตามที่เสนอมา
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ในบางกรณีโครงการฯ ที่ได้รับอนุมัติแล้ว แต่ไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญา ได้ภายใน 30 วัน และเมื่อ สพช. ได้ทำหนังสือขอเบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายโครงการฯ งวดที่ 1 จากกรมบัญชีกลาง (บก.) จะได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ของ บก. ว่าไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนได้ เนื่องจากผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ มิได้ลงนามในสัญญากับ สพช. ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ ซึ่งเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ หมวด 5 การทำสัญญา ข้อ 19
การแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา
เพื่อลดขั้นตอนในการบริหารงานและเพื่อแก้ไขปัญหาการที่ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ ไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญากับกองทุนฯ ได้ทัน ภายในเวลา 30 วัน ตามที่ระเบียบฯ ได้กำหนดไว้ และคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2542 จึงได้มีมติ ดังนี้
(1) มอบอำนาจให้ สพช. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบในเหตุผลที่เจ้าของโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้วจากคณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ ไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญา ได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ โดยการล่าช้านั้นต้องไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
(2) มอบอำนาจให้ สพช. พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีก
สพช. ได้ดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด แต่ก็ยังมีบางโครงการที่มิได้ลงนามในสัญญากับ สพช. ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ และแม้ว่า สพช. จะแจ้งเหตุผลอันสมควรที่เจ้าของโครงการไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญาได้ภายในกำหนด ตามที่คณะอนุกรรมการฯ ได้มอบอำนาจไว้ให้แล้ว แต่เมื่อทำหนังสือขอเบิกเงินให้กับเจ้าของโครงการฯ จะได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ของ บก. ว่าไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ ได้ เนื่องจากเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบฯ และ บก. เห็นว่าคณะอนุกรรมการฯ ไม่สามารถมอบอำนาจดังกล่าวให้กับ สพช. ตามที่ประชุมได้ สพช. จึงต้องนำโครงการที่มิได้ลงนามในสัญญากับ สพช. ภายในกำหนดเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ กลับมาให้คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ รับรองก่อนการเบิกจ่ายเงินจาก บก. เป็นคราวๆ ไป
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 46) เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2544 ได้พิจารณาถึงประเด็นปัญหาของความล่าช้าในการลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญาของโครงการฯ แล้ว และเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินการมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ ผู้แทนจาก บก. จึงได้เสนอให้มีการแก้ไขข้อความที่กำหนดไว้ในระเบียบฯ หมวด 5 การทำสัญญา ข้อ 19 ให้มีความคล่องตัว เป็นดังนี้
(1) โครงการฯ ที่คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาอนุมัติให้เงินสนับสนุน (เริ่มตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2544) โดยมีเงื่อนไขให้เจ้าของโครงการฯ ไปดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอในบางประเด็นก่อนที่ลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญาเพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ นั้น เมื่อเจ้าของโครงการฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงตามมติคณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว ให้ สพช. แจ้งให้เจ้าของโครงการทราบ เพื่อทำหนังสือยืนยันหรือสัญญา ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งให้ทราบ หากเจ้าของโครงการฯ ไม่มาติดต่อเพื่อทำหนังสือยืนยันหรือตามสัญญาภายในกำหนดเวลาดังกล่าว โดยไม่มีเหตุอันสมควรให้คำอนุมัติเป็นอันสิ้นผล
(2) การอนุมัติให้เงินสนับสนุนในครั้งต่อๆ ไป (หลังจากวันที่ 23 มกราคม 2544) หากมีเงื่อนไขให้เจ้าของโครงการไปดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอในบางประเด็นให้เรียบร้อยก่อนที่ลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญา คณะอนุกรรมการฯ ควรมีมติให้ชัดเจน ดังนี้
(2.1) โครงการที่มีการปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญเล็กน้อย คณะอนุกรรมการฯ จะมอบให้ สพช. ไปดำเนินการ
(2.2) โครงการที่มีปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ เมื่อเจ้าของโครงการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ให้นำกลับมาเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 22) เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2544 ได้พิจารณาแล้วและเห็นชอบให้ สพช. แก้ไขข้อความที่ปรากฏในระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 หมวด 5 การทำสัญญา โดยให้แก้ไขตามที่ คณะอนุกรรมการฯ ได้มีความเห็นไว้ และหลังจากที่ได้มีการแก้ไขระเบียบฯ เพื่อแก้ปัญหาการที่ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ ไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญากับกองทุนฯ ได้ทันภายในเวลา 30 วัน ดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่ามีกรณีที่ผู้ได้รับ จัดสรรเงินกองทุนฯ มิได้ลงนามในหนังสือยืนยัน/สัญญาการขอรับทุนสนับสนุนจากกองทุนฯ กับ สพช. ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ ที่กรมบัญชีกลางไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ ทั้ง 2 โครงการ คือ
(1) โครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระยะที่ 1 (โครงการแม่ฮ่องสอน 2) โดยมี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นเจ้าของโครงการฯ
(2) โครงการศึกษาคุณสมบัติของสารเติมแต่งในน้ำมันเบนซินในการรักษาความสะอาดวาล์วไอดีและหัวฉีดของเครื่องยนต์เบนซิน (ระยะที่ 1) โดยมี กรมทะเบียนการค้า เป็นเจ้าของโครงการฯ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเจ้าของโครงการฯ มีเหตุผลอันสมควรที่ไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยัน/สัญญาการขอรับการสนับเงินจากกองทุนฯ ได้ภายในเวลาที่ระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ได้กำหนดไว้ และแม้ว่า สพช. จะได้รับมอบอำนาจจากคณะอนุกรรมการฯ ในการเป็นผู้พิจารณาให้ความ เห็นชอบในเหตุผลที่เจ้าของโครงการฯ ไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันการขอรับทุนจากกองทุนฯ ได้ภายในเวลาที่กำหนด และแม้ว่าจะมีการแก้ไขระเบียบฯ เพื่อให้การดำเนินงานมีความคล่องตัวตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ข้างต้น แต่เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนในอำนาจของการวินิจฉัยให้ความเห็นชอบในเหตุผลที่เจ้าของโครงการฯ ที่ไม่สามารถลงนามในสัญญา/หนังสือยืนยันการขอรับทุนจากกองทุนฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรอาศัยอำนาจตามข้อ 4 แห่งระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 ที่กำหนดว่า กรณีที่มีปัญหาในการปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนฯ ในการนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณา
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้คงมติของคณะกรรมการกองทุนฯ ตามหนังสือเวียน ด่วนที่สุด ที่ นร 0905/2148 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2443 ที่ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กฟผ. เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระยะที่ 1 (โครงการแม่ฮ่องสอน 2) ในวงเงิน 168,468,825 บาท (หนึ่งร้อยหกสิบแปดล้าน สี่แสนหกหมื่นแปดพันแปดร้อยยี่สิบห้าบาทถ้วน) และถือว่ามีผลใช้กับการลงนามตามหนังสือยืนยันการขอรับทุนสนับสนุน ที่ กอ.ร 09/2543 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2544
2. อนุมัติให้คงมติของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 47) เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2544 ที่ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้ กรมทะเบียนการค้า เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการศึกษาคุณสมบัติของสารเติมแต่งในน้ำมันเบนซินในการรักษาความสะอาดวาล์วไอดีและหัวฉีดของเครื่องยนต์เบนซิน (ระยะที่ 1) ในวงเงิน 4,028,550 บาท (สี่ล้านสองหมื่นแปดพันห้าร้อยห้าสิบบาทถ้วน) และถือว่ามีผลใช้กับการลงนามตามหนังสือยืนยันการขอรับทุนสนับสนุน ที่ กอ.ร 09/2544 ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2544
3. เห็นชอบให้ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ หรือคณะอนุกรรมกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ หรือคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน มีอำนาจวินิจฉัยในเหตุผลที่เจ้าของโครงการไม่สามารถติดต่อลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญา ภายในกำหนดเวลาตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการขอจัดสรร ขอเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2544 หมวด 5 การทำสัญญา ทั้งนี้ให้คณะอนุกรรมการแต่ละคณะมีอำนาจวินิจจัยเรื่องดังกล่าวครอบคลุมทั้งโครงการที่ได้รับอนุมัติสนับสนุนเงินกองทุนฯ ก่อนวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2544 ด้วย
เรื่องที่ 7 ขอทบทวนและแก้ไขมติคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26)
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการปรับปรุงวิธีการปฏิบัติงานภายใต้แผนงานภาคบังคับ ตามที่กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณา 2 เรื่อง คือ (1) การแยกการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และสิทธิในการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลัง และ (2) โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งมติคณะกรรมการกองทุนฯ ทั้ง 2 เรื่องดังกล่าว ให้ พพ. ทราบแล้ว และต่อมา พพ. ได้มีหนังสือที่ วว 0406/21609 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2544 และ วว 0406/21526 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2544 เพื่อขอทบทวนและแก้ไขมติ คณะกรรมการกองทุนฯ ดังนี้
1. การแยกการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และสิทธิในการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
มติที่ประชุม "อนุมัติให้ พพ. ปรับปรุงวิธีการและขั้นตอนในการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในช่วงปีงบประมาณ 2545-2547 ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้มีมติเห็นชอบ"
- พพ. ขอแก้ไขเป็น "อนุมัติให้ พพ. ปรับปรุงวิธีการและขั้นตอนในการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้มีมติเห็นชอบ"
2. โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน
(1) มติที่ประชุม "เห็นชอบให้ พพ. จัดตั้ง "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน" ตามที่เสนอมา โดยให้ พพ. จัดทำประกาศเชิญชวนให้สถาบันการเงินต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อยื่นข้อเสนอโครงการฯ ตามแนวทางและขั้นตอนในการดำเนินงานตามที่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ร่างแนวทางไว้ และให้ พพ. พิจารณาคัดเลือกสถาบันการเงินที่มีข้อเสนอโครงการฯ ดีที่สุดเป็นผู้บริหารโครงการฯ โดย พพ. ต้องปรับปรุงร่างแนวทางดังกล่าวให้มีความชัดเจน มีการควบคุมการใช้จ่ายเงินอย่างรอบคอบและรัดกุม เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ"
พพ. ขอแก้ไขเป็น "เห็นชอบให้ พพ. ให้จัดตั้ง "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน" ตามที่เสนอมา โดยให้ พพ. จัดทำประกาศเชิญชวนให้สถาบันการเงินต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อยื่นข้อเสนอโครงการฯ ตามแนวทางและขั้นตอนในการดำเนินงานตามที่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ร่างแนวทางไว้ และให้ พพ. พิจารณาคัดเลือกสถาบันการเงินที่มีข้อเสนอโครงการฯ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ พพ. เสนอ ซึ่งอาจจะมากกว่า 1 แห่ง มาเป็นตัวแทนในการปล่อยเงินกู้ เรียกเก็บ และประกันเงินกู้ โดย พพ. ต้องปรับปรุงร่างแนวทางดังกล่าว ให้มีความชัดเจน มีการควบคุมการใช้จ่ายเงินอย่างรอบครอบและรัดกุม เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ"
(2) มติที่ประชุม "อนุมัติให้ พพ. ใช้เงินจากโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท (สองพันล้านบาทถ้วน) เพื่อให้สถาบันการเงินที่ผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ที่ พพ. กำหนด นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมนำไปใช้ในการอนุรักษ์พลังงาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงินนั้นจะต้องจ่ายเงินดังกล่าวคืนกองทุนฯ ภายในระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากกองทุนฯ"
พพ. ขอแก้ไขเป็น "อนุมัติให้ พพ. ใช้เงินจากโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท (สองพันล้านบาทถ้วน) เพื่อให้สถาบันการเงินที่ผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ที่ พพ. กำหนด นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมนำไปใช้ในการอนุรักษ์พลังงาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงินจะต้องปล่อยเงินกู้ภายในระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติโครงการฯ"
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้แก้ไขมติที่ประชุมในการพิจารณาเรื่อง "การแยกการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และสิทธิในการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" โดยให้ใช้ข้อความดังต่อไปนี้ "อนุมัติให้ พพ. ปรับปรุงวิธีการและขั้นตอนในการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้มีมติเห็นชอบ"
2. อนุมัติให้แก้ไขมติที่ประชุมในการพิจารณาเรื่อง "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน" โดยใช้ข้อความดังต่อไปนี้
2.1 เห็นชอบให้ พพ. ให้จัดตั้ง "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน" ตามที่ได้เสนอไว้ ในคราวประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 โดยให้ พพ. จัดทำประกาศเชิญชวนให้สถาบันการเงินต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อยื่นข้อเสนอโครงการฯ ตามแนวทางและขั้นตอนในหารดำเนินงานตามที่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ร่างแนวทางไว้ และให้ พพ. พิจารณาคัดเลือกสถาบันการเงินที่มีข้อเสนอโครงการฯ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ พพ. เสนอ ซึ่งอาจจะมากกว่า 1 แห่ง มาเป็นตัวแทนในการปล่อยเงินกู้ เรียกเก็บ และประกันเงินกู้ โดย พพ. ต้องปรับปรุงร่างแนวทางดังกล่าว ให้มีความชัดเจน มีการควบคุมการใช้จ่ายเงินอย่างรอบครอบและรัดกุม เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ"
2.2 อนุมัติให้ พพ. ใช้เงินจากโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท (สองพันล้านบาทถ้วน) เพื่อให้สถาบันการเงินที่ผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ที่ พพ. กำหนด นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมนำไปใช้ในการอนุรักษ์พลังงาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงินจะต้องปล่อยเงินกู้ภายในระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติโครงการฯ"
3. มติคณะกรรมการกองทุนฯ ในคราวประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26 ) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 เรื่อง "การแยกการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และสิทธิในการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" และเรื่อง "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน" ที่ไม่มีการขอแก้ไข ก็ให้มีผลบังคับใช้ตามข้อความเดิม
กอ. ครั้งที่ 26 - วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2544
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26)
วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2544 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. โครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
2. ความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
3. โครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว
6. โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 โครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2540 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในวงเงิน 90 ล้านบาท (เก้าสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะทำการวิจัยในเรื่องการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ขึ้นในประเทศไทย ตลอดจนวิธีการประกอบแผง การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตขนาดย่อมเชิงสาธิต (Pilot Plant) โดยมีประมาณการผลิตที่ 150 kW เป็นแนวทางการผลิตเต็มรูปแบบในเชิงพาณิชย์ และเผยแพร่สู่สาธารณชนต่อไปในอนาคต
การดำเนินงานของโครงการดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมานั้น มีความล่าช้าและไม่เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ แต่ สวทช. ได้ดำเนินการปรับแผนการดำเนินงานของโครงการดังกล่าวให้สอดคล้องกับสถานภาพของโครงการ ในปัจจุบันแล้ว โดยในปัจจุบันนี้ สวทช. ได้ทำการทดลองผลิตเซลล์ชนิดอะมอร์ฟัสซิลิกอน และสามารถพัฒนาประสิทธิภาพของเซลล์ได้ที่ระดับ 7.3 % และ สวทช. คาดว่าจะสามารถพัฒนาได้ถึง 10% โดย สวทช. ได้ใช้จ่ายเงินลงทุนไปในโครงการนี้ไปแล้วทั้งสิ้น 148 ล้านบาท ประกอบด้วยงบประมาณจาก สวทช. 58 ล้านบาท และงบสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าครุภัณฑ์และวัสดุประกอบการผลิตเซลล์ 90 ล้านบาท
เนื่องจาก สวทช. ประสบปัญหาที่ไม่ได้รับจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ เพื่อนำมาสมทบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนงานที่ได้เคยเสนอไว้กับกองทุนฯ ทำให้ สวทช. ไม่สามารถจัดซื้อวัสดุที่จำเป็นเพื่อนำมาวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ได้ทั้งหมด สวทช. จึงได้มีหนังสือที่ วว 5201/2619 ลงวันที่ 2 ตุลาคม 2544 เพื่อขอปรับแผนการดำเนินงานโดย สวทช. จะขอทำการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์แล้วจะร่วมมือกับ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) และกรมโยธาธิการ ในการนำไปติดตั้งทดสอบการใช้งาน โดยในการปรับแผนงานครั้งนี้ สวทช. ขอเงินสนับสนุนเพิ่มเติมจากกองทุนฯ เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 29,587,500 บาท (ยี่สิบเก้าล้านห้าแสน แปดหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ สวทช. พพ. และ กรมโยธาธิการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมร่วมกับผู้แทนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่เกี่ยวข้องในด้านเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2544 ณ อาคารสำนักงาน สพช. เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องแนวทางการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยสรุปความเห็นของที่ประชุมได้ดังนี้
1. ที่ประชุมมีความเห็นสอดคล้องกันว่า แม้นว่าเซลล์แสงอาทิตย์ที่ สวทช. เลือกผลิตนั้น เป็นเซลล์ชนิดอะมอร์ฟัสซิลิกอน ซึ่งมีเทคโนโลยีแบบฟิล์มบางแบบอื่นที่น่าสนใจมากกว่า เช่น Copper Indium Diselenide (CIS) และมีแนวโน้มจะมีประสิทธิภาพดีกว่าเทคโนโลยีที่ สวทช. พัฒนาอยู่ก็ตาม แต่การที่กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุน สวทช. เพื่อพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ตามเทคโนโลยีที่ สวทช. เลือกใช้ นั้น ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นของการสร้างภูมิความรู้ในการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ในประเทศไทย โดย สวทช. สามารถ ออกแบบสภาพเครื่องจักรและดำเนินการประกอบเครื่องจักรได้เอง นอกจากนี้โครงการนี้ยังเป็นการเตรียมความพร้อมของบุคลากรด้านเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อรองรับงานวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ในอนาคตอีกด้วย
2. ที่ประชุมได้มีความเห็นเพื่อให้ สวทช. นำไปปรับปรุงรายละเอียดของแนวทางและวิธีการดำเนินงานศึกษาวิจัยให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา ดังนี้
(1) กองทุนฯ ควรให้การสนับสนุนโครงการวิจัยนี้ โดยสนับสนุนเพียงเฉพาะในส่วนของค่าวัสดุในการวิจัยและพัฒนา และ สวทช. ควรพยายามเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่มีในประเทศไทยก่อน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและเวลาที่ต้องใช้ไปในการนำเข้าวัสดุอุปกรณ์จากต่างประเทศ
(2) นักวิจัยที่เป็นพนักงานของ สวทช. และได้รับผลตอบแทนจาก สวทช. อยู่แล้ว ไม่ควรได้รับค่าตอบแทนจากโครงการนี้เพิ่มเติม แต่ในส่วนของลูกจ้างชั่วคราวมีสัญญาเป็นรายปีซึ่งมีหน้าที่ดูแลการทำงานของเครื่องจักรและกระบวนการผลิต ประกอบกับ สวทช. มีพนักงานเพียง 2 คน เท่านั้น ไม่เพียงพอที่จะดำเนินโครงการฯ ได้ ดังนั้น ที่ประชุมเห็นควรให้มีการว่าจ้างลูกจ้างชั่วคราวได้
(3) ควรสนับสนุนให้มีการนำเซลล์ที่ สวทช. ผลิตได้ไปติดตั้งทดสอบการใช้งาน แม้ว่าจะไม่ได้มีการทดสอบอายุการใช้งานอย่างแน่ชัด เพื่อจะได้มีการเก็บข้อมูลและวัดประสิทธิภาพเพื่อนำไปสู่การวิจัยและพัฒนาประสิทธิภาพให้สูงขึ้นต่อไปในอนาคต แต่อย่างไรก็ตาม สวทช. ต้องมีแผนงานการดำเนินงาน ในแต่ละขั้นตอนที่ชัดเจน และในขั้นต้นนี้ก่อนที่ สวทช. จะนำเซลล์ที่ผลิตได้ส่งมอบให้ พพ. และกรมโยธาธิการ นำไปใช้งานนั้น สวทช. ต้องมีการทดสอบเซลล์แสงอาทิตย์นั้นให้เป็นไปตามข้อกำหนดมาตรฐานเซลล์แสงอาทิตย์ของประเทศไทย ที่กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุน สวทช. เป็นผู้รวบรวมและจัดทำข้อกำหนดมาตรฐานดังกล่าวไว้แล้วด้วย
(4) สวทช. ควรร่วมกับหน่วยงานต่างๆ นำเซลล์ที่ผลิตได้ในโครงการฯ ไปใช้ โดยในขั้นแรกอาจร่วมงานกับ พพ. และ กรมโยธาธิการ ก่อนได้ โดยทางหน่วยงานที่ทำการติดตั้งจะต้องบันทึกและประเมินผลเซลล์แสงอาทิตย์ของโครงการฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นข้อมูลในการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ของโครงการฯ ต่อไป
(5) สวทช. ควรปรับปรุงรายละเอียดของโครงการฯ ที่เสนอมาให้มีความชัดเจน ทั้งในด้านแผนงาน ขั้นตอน กิจกรรม กำหนดเวลาและเงื่อนไขต่างๆ ในการดำเนินงานวิจัย การผลิตต้นแบบแผงเซลล์แสงอาทิตย์ การติดตั้งสาธิต ดัชนีชี้วัดความสำเร็จของโครงการฯ วิธีการตรวจวัด วิธีการประเมินผล โครงสร้างการบริหาร แนวทางการบริหาร การประสานงานและการควบคุมงบประมาณ ระหว่าง สวทช. และหน่วยงานที่จะดำเนินการติดตั้งทดสอบ โดย สวทช. ควรกำหนดแผนที่มีความรอบคอบและรัดกุมในทุกๆ ด้าน และมีรายละเอียดที่ชัดเจนมากกว่าที่เสนอมา
ฝ่ายเลขานุการฯ จะประสานงานกับ สวทช. เพื่อปรับปรุงรายละเอียดของแผนงานโครงการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของที่ประชุมดังกล่าว และจะได้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้จัดสรรเงินจากกองทุนฯ ให้การสนับสนุนโครงการต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2542 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2544 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5,278.90 ล้านบาท
การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระหว่างปีงบประมาณ 2538 - 2544 ได้มีการใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปแล้วรวมทั้งสิ้น 11,531.40 ล้านบาท ซึ่งผลที่ได้รับนั้น เฉพาะในส่วนงานโครงการอาคารของรัฐ และโครงการต่างๆ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ ซึ่งคาดว่าจะลดการใช้พลังงานลงได้ คิดเป็นเงินประมาณ 812.93 ล้านบาท/ปี และชะลอการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าได้ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,844.5 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงประโยชน์ที่ได้รับในส่วนที่ไม่สามารถประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงานและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เป็นจำนวนเงินได้ เช่น การสร้างเสริมประสบการณ์และให้ความรู้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องให้มีความพร้อมและชำนาญการทางเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น การปลูกจิตสำนึกให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
นอกจากนี้ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าผลการประเมินการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 1 ปีงบประมาณ 2538-2542 ได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนการจะจัดสัมมนาเพื่อระดมความคิดเห็นก่อนที่จะนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 โครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่ สพช. ได้รับมอบหมายให้ทำการรณรงค์ ให้ประชาชนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน และมีความเห็นว่ามาตรการปิดถนนบางส่วน ในบางช่วงเวลาในเขตกรุงเทพมหานครเป็นมาตรการที่สามารถลดการใช้พลังงานลงได้ และ สพช. ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญ และผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อหารือและพิจารณาถึงความเป็นไปได้และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากมีการปิดถนนบางส่วนในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งที่ประชุมเห็นควรให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) จัดทำแผนการดำเนินงานและให้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการ เพื่อทำหน้าที่ในการพิจารณารายละเอียดการดำเนินงานของโครงการและกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างรัดกุมและคุ้มค่ากับงบประมาณในการดำเนินการโครงการ
มจธ. ได้ยื่นข้อเสนอโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อ ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 37,156,820 บาท ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำข้อเสนอโครงการดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 14/2544 (ครั้งที่ 88) ที่ประชุมได้พิจารณาในรายละเอียดของโครงการแล้วเห็นว่าควรปรับกิจกรรมการประชาสัมพันธ์ให้เหมาะสมเนื่องจากลักษณะของพื้นที่สามารถทำการโฆษณาในรูปแบบของการบอกต่อได้ และสำหรับกิจกรรมที่จะมีตลอดแนวพื้นที่ปิดถนนนั้น ควรจะสนับสนุนเรื่องการประหยัดพลังงานด้วย เช่น มีการขายของที่ประหยัดพลังงานหรือขายอาหารที่เน้นการบริโภคแบบประหยัดพลังงาน ทั้งนี้ เพื่อให้ได้รับประโยชน์ที่วัดผลได้ทั้งในด้านพลังงานและลดมลพิษ โดยคาดว่าจะได้รับความร่วมมือจากภาคธุรกิจในพื้นที่เป็นอย่างดี และเห็นว่าโครงการดังกล่าว เป็นโครงการที่ทำให้ประชาชนทั่วไปเห็นความสำคัญในการลดการใช้ยานพาหนะส่วนบุคคล โดยหันมาเดินทางโดยใช้ระบบขนส่งสาธารณะ จักรยานและการเดินทางด้วยเท้า เพื่อประหยัดน้ำมันและลดมลพิษในท้องถนน จึงมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ เห็นควรให้ มจธ. ปรับลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเป็น 10% โดยไม่เห็นควรสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทัศนศึกษา จึงทำให้ งบประมาณในการดำเนินงานโครงการลดลง เป็นภายในวงเงิน 33,073,000 บาท และให้นำเสนอ คณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ซึ่ง มจธ. ได้ปรับปรุงข้อเสนอโครงการตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติกรอบไว้แล้วสำหรับแผนงานสนับสนุน ในส่วนของงบประมาณปี 2545 ให้กับ มจธ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษและส่งเสริมการท่องเที่ยว ในวงเงิน 33,073,000 บาท โดยให้ มจธ. ทำรายละเอียดการดำเนินงานเสนอคณะอนุกรรมการอำนวยการโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุม ครั้งที่ 4/2542 (ครั้งที่ 70) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานและแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และมอบหมายให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับแผนงานและโครงการ ในปีงบประมาณ 2543-2547 ซึ่งมีวงเงินรวม 29,110.61 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ และการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญ ตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ ด้วย โดยโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ได้รับจัดสรรงบประมาณ ในวงเงิน 13,542 ล้านบาท
จากผลการดำเนินโครงการฯ ของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ที่ผ่านมามีปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่ทำให้การดำเนินงานอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุมและโรงงานควบคุมไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในช่วงที่ผ่านมานั้น พพ. ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ ไปบ้างแล้วบางส่วน ดังนี้
1. ว่าจ้างสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อให้ศึกษาถึงแนวทางปรับปรุงและแก้ไขกฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ระเบียบการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ และขั้นตอนต่างๆ เพื่อเอื้อให้การดำเนินงานของ พพ. มีความคล่องตัวมากขึ้น และได้มีการจัดประชุมเพื่อรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแล้วหลายครั้ง คาดว่าผลการศึกษาจะแล้วเสร็จประมาณเดือนกันยายนนี้
2. ปรับปรุงขั้นตอนและแยกสิทธิในการขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ออกจากการดำเนินงานอนุรักษ์พลังงานตาม พ.ร.บ.ฯ ให้ชัดเจน ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ ให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาในครั้งนี้ด้วย
3. ว่าจ้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาเป็นที่ปรึกษาเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนงานภาคบังคับ
พพ. ได้ดำเนินการปรับแผนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ปีงบประมาณ 2545-2547 เพื่อให้สอดคล้องในทางปฏิบัติและสามารถบรรลุตามเป้าหมายของโครงการที่ตั้งไว้ในแต่ละปี โดย พพ. ได้นำแผนดังกล่าว เสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 21) เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2544 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป โดยการปรับแผนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ปีงบประมาณ 2545-2547 สรุปได้ดังนี้
1. แผนการดำเนินงานที่ปรับปรุงใหม่ในส่วนของอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2545-2547
การดำเนินการตาม พ.ร.บ.ฯ | ปี 2545 | ปี 2546 | ปี 2547 | รวม 2545-2547 | ||||
แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | |
(1). การตรวจสอบฯ เบื้องต้น | 160 | 43.0 | 50 | 17.0 | 50 | 17.0 | 260 | 77.0 |
- เอกชน | 115 | 11.5 | 30 | 3.0 | 30 | 3.0 | 175 | 17.5 |
- ราชการ | 45 | 31.5 | 20 | 14.0 | 20 | 14.0 | 85 | 59.5 |
(2). การจัดทำเป้าหมายและแผนฯ | 220 | 258.2 | 200 | 230.0 | 72 | 58.4 | 490 | 546.6 |
- เอกชน | 106 | 53.0 | 100 | 50.0 | 52 | 26.0 | 258 | 129.0 |
- ราชการ | 114 | 205.2 | 100 | 180.0 | 18 | 32.4 | 232 | 417.6 |
(3) การลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน | 60 | 770.0 | 150 | 1,990.0 | 150 | 1,990.0 | 360 | 4,750.0 |
- เอกชน | 10 | 20.0 | 20 | 40.0 | 20 | 40 | 50 | 100.0 |
- ราชการ | 50 | 750.0 | 130 | 1,950.0 | 130 | 1,950.0 | 310 | 4,650.0 |
(4). การบริหารและสนับสนุนโครงการ | - | 155.0 | - | 205.0 | - | 135.0 | - | 495.0 |
รวม | - | 1,226.2 | - | 2,442.0 | - | 2,200.4 | - | 5,868.6 |
2. แผนการดำเนินงานที่ปรับปรุงใหม่ในส่วนของโรงงานควบคุม ปีงบประมาณ 2545-2547
การดำเนินการตาม พ.ร.บ.ฯ | ปี 2545 | ปี 2546 | ปี 2547 | รวม 2545-2547 | ||||
แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | แห่ง | ล้านบาท | |
(1) การตรวจสอบฯ เบื้องต้น | 400 | 40 | 230 | 23 | 50 | 5 | 680 | 68 |
(2) การจัดทำเป้าหมายและแผนฯ | 152 | 76 | 150 | 75 | 200 | 100 | 502 | 251 |
(3) การลงทุนตามแผนฯ | 25 | 150 | 75 | 450 | 80 | 480 | 180 | 1,080 |
(4) การบริหารและสนับสนุนโครงการ | - | 1,185 | - | 1,095 | - | 115 | - | 2,395 |
รวม | - | 1,451 | - | 1,643 | - | 700 | - | 3,794 |
โดยมีกลยุทธ์ในการดำเนินการตามแผนที่ปรับปรุงใหม่ มีดังนี้
(1) ส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับว่าประหยัดพลังงานได้จริงและคุ้มค่าต่อการลงทุน (Standard Measure)
(2) ศึกษาการจัดตั้งกองทุนหมุนเวียนให้เป็นแหล่งเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ
(3) ส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจประเภทบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO)
(4) เร่งรัดโครงการอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นกรณีพิเศษ (Fast Track) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
(5) ให้มีการนำมาตรฐานการอนุรักษ์พลังงานไปใช้ในการออกแบบก่อสร้างอาคารของภาครัฐ
(6) ส่งเสริมการสาธิตโรงงานต้นแบบด้านอนุรักษ์พลังงานในอุตสาหกรรมแต่ละประเภท (Best Practice)
(7) เร่งรัดให้มีการใช้มาตรการลงโทษตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ฯ ตลอดจนให้มีการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้ไฟฟ้า
(8) สนับสนุนให้มีการประชาสัมพันธ์ในเชิงรุกอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อกระตุ้นให้อาคารและโรงงานควบคุมดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน
(9) ปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้มีความเหมาะสมและจูงใจมากขึ้น
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ พพ. ปรับแผนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในปีงบประมาณ 2545-2547 ได้ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เสนอมา
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า การดำเนินงานตามวิธีการและขั้นตอนในการให้การสนับสนุนโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ที่ผ่านมาก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ พพ. จึงได้ดำเนินการปรับปรุงวิธีการและขั้นตอนในการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อให้มีการแยกหน้าที่ที่เจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และสิทธิที่จะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ออกจากกันอย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในทางปฏิบัติและสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้ โดย พพ. ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 20) เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2544 ดังนี้
1. ปรับปรุงวิธีการและขั้นตอนในการให้การสนับสนุน สำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน แผนงานภาคบังคับ โดยกำหนดให้เจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม สามารถดำเนินการตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ได้แก่ การส่งรายงานผลการศึกษาการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียดและการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้ พพ. ได้ก่อน แล้วจึงขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในภายหลังภายในระยะเวลาที่กำหนด
2. ในการดำเนินการตามข้อ 1. จะต้องนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อขอยกเว้นการใช้เอกสารแบบคำขอรับการสนับสนุนและหนังสือยืนยันการขอรับการสนับสนุน ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 ข้อ 11 และข้อ 16 และฉบับที่ 2 พ.ศ. 2539 ข้อ 4
3. ขอให้ใช้แผนการใช้จ่ายเงินประจำแต่ละงวดของปี ในการเบิกจ่ายเงินจากกรมบัญชีกลางแทนมติการอนุมัติแบบคำขอรับการสนับสนุนตามวิธีปฏิบัติเดิม เพื่อให้มีความคล่องตัวมากขึ้น
4. ขอยกเลิกการจ่ายเงินสนับสนุนสำหรับการตรวจสอบและวิเคราะห์การใชัพลังงานเบื้องต้น การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียดและการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานจากเดิม ที่ให้แบ่งจ่ายเป็น 2 งวด ให้เป็นการจ่ายเงินเพียงงวดเดียว
5. ในกรณีที่เจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมได้ยื่นแบบคำขอรับการสนับสนุนไว้ก่อนที่คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติอนุมัติให้ดำเนินการตามวิธีการและขั้นตอนใหม่แล้ว ก็ให้ดำเนินการต่อไปตามระเบียบและขั้นตอนเดิมจนกว่าการดำเนินการจะแล้วเสร็จ หรือจะดำเนินการตามวิธีการและขั้นตอนใหม่ก็ได้
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว มีมติเห็นชอบตามที่ พพ. เสนอและให้ พพ. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาอนุมัติต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. ปรับปรุงวิธีการและขั้นตอนในการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในช่วงปีงบประมาณ 2545-2547 ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้มีมติเห็นชอบ
2. เห็นชอบให้ พพ. ยกเว้นการใช้เอกสารแบบคำขอรับการสนับสนุนและหนังสือยืนยันการขอรับการสนับสนุน สำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 ข้อ 11 และข้อ 16 และฉบับที่ 2 พ.ศ. 2539 ข้อ 4
3. เห็นชอบให้ พพ. ใช้แผนการใช้จ่ายเงินประจำแต่ละงวดของปี ในการเบิกจ่ายเงินจากกรมบัญชีกลางแทนมติการอนุมัติแบบคำขอรับการสนับสนุนตามวิธีปฏิบัติเดิม
4. เห็นชอบให้ พพ. ยกเลิกการจ่ายเงินสนับสนุนสำหรับการตรวจสอบและวิเคราะห์การใชัพลังงานเบื้องต้น การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียดและการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน จากเดิมที่ให้แบ่งจ่ายเป็น 2 งวด ให้เป็นการจ่ายเงินเพียงงวดเดียว
5. ในกรณีที่เจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมได้ยื่นแบบคำขอรับการสนับสนุนไว้ก่อนที่คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติอนุมัติให้ดำเนินการตามวิธีการและขั้นตอนใหม่แล้ว ก็ให้ดำเนินการต่อไปตามระเบียบและขั้นตอนเดิมจนกว่าการดำเนินการจะแล้วเสร็จ หรือจะดำเนินการตามวิธีการและขั้นตอนใหม่ก็ได้
เรื่องที่ 6 โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (The Industrial Finance Corporation of Thailand : IFCT) ได้นำเสนอโครงการกองทุนหมุนเวียนอนุรักษ์พลังงาน โดยจะเข้ามารับบริหารเงินกองทุนหมุนเวียนเพื่ออนุรักษ์พลังงาน จำนวน 4,000 ล้านบาท เพื่อให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมนำไปใช้ในโครงการอนุรักษ์พลังงานและจ่ายคืนกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามระยะเวลาที่กำหนด โดยมีหลักการดังต่อไปนี้
1. IFCT เป็นผู้พิจารณาและอนุมัติเงินกู้ตามกรอบ/หลักเกณฑ์ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ
2. IFCT เป็นผู้ประกันความเสี่ยงเงินกู้ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3. IFCT คิดค่าบริหารเป็นจำนวน ร้อยละ 4 โดยเก็บจากผู้กู้ในลักษณะดอกเบี้ย และมีอายุเงินกู้ไม่เกิน 7 ปี
4. IFCT จะขอเบิกเงินเป็นงวดๆ โดยเริ่มจากงวดแรก 500 ล้านบาท และจะขอเบิกงวด ต่อไป หลังจากที่ได้มีการจัดสรรเงินกู้ไปแล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 เพื่อมาสมทบ
5. IFCT จะส่งคืนดอกเบี้ยเงินฝากคืนกองทุนฯ เฉพาะในส่วนของเงินที่ยังมิได้จัดสรรให้ เจ้าของโรงงานและอาคารไปใช้ และในส่วนของเงินที่เก็บคืนมาแล้วจากผู้กู้
6. โครงการที่มีสิทธิ์ได้รับการสนับสนุน ต้องเป็นโครงการอนุรักษ์พลังงานที่มีวงเงินไม่เกิน 300 ล้านบาท หากเกินวงเงินดังกล่าว IFCT ต้องขออนุมัติจากคณะอนุกรรมการฯ ก่อน
พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าว เสนอต่อ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 20) เมื่อวันพุธที่ 5 กันยายน 2544 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว เห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาอนุมัติให้จัดตั้งโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน เพื่อเป็นเงินหมุนเวียนให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมนำไปใช้ในการอนุรักษ์พลังงาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยใช้เงินโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท (สองพันล้านบาทถ้วน) ระยะเวลา 3 ปี โดยที่ประชุมมีข้อสังเกต ดังนี้
1. การตั้งโครงการกองทุนหมุนเวียน ไม่น่าจะสามารถดำเนินการได้ ตามมาตรา 24 ของ พรบ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ดังนั้น จึงสมควรให้เปลี่ยนชื่อโครงการเป็น "โครงการเงินหมุนเวียน"
2. โครงการฯ ดังกล่าวนี้เป็นโครงการที่ดีสมควรจะดำเนินการ แต่เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานมากขึ้น จึงควรให้สถาบันการเงินต่างๆ มีโอกาสเข้ามาแข่งขันเพื่อบริหารโครงการมากขึ้น โดยให้ พพ. เชิญสถาบันการเงินอื่นๆ นอกเหนือจาก IFCT อย่างเป็นทางการเพื่อยื่นข้อเสนอโครงการฯ ตามแนวทางของ IFCT และให้ พพ. พิจารณาคัดเลือกสถาบันที่มีข้อเสนอโครงการฯ ดีที่สุดเป็นผู้บริหารโครงการ
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ พพ. ให้จัดตั้ง "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน" ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับเสนอมา โดยให้ พพ. จัดทำประกาศเชิญชวนให้สถาบันการเงินต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อยื่นข้อเสนอโครงการฯ ตามแนวทางและขั้นตอนในการดำเนินงานตามที่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ร่างแนวทางไว้ และให้ พพ. พิจารณาคัดเลือกสถาบันการเงินที่มีข้อเสนอโครงการฯ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ พพ. เสนอซึ่งอาจจะมากว่า 1 แห่งมาเป็นตัวแทนในการปล่อยเงินกู้ เรียกเก็บ และประกันเงินกู้ โดย พพ. ต้องปรับปรุงร่างแนวทางดังกล่าว ให้มีความชัดเจน มีการควบคุมการใช้จ่ายเงินอย่างรอบครอบและรัดกุม เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ
2. อนุมัติให้ พพ. ใช้เงินจากโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท (สองพันล้านบาทถ้วน) เพื่อให้สถาบันการเงินที่ผ่านการคัดเลือก นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมนำไปใช้ในการอนุรักษ์พลังงาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงินจะต้องปล่อยเงินกู้ ภายในระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติโครงการฯ
กอ. ครั้งที่ 25 - วันพุธที่ 19 กันยายน 2544
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 4/2544 (ครั้งที่ 25)
วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2544 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง
3. มาตรการประหยัดน้ำมันและไฟฟ้าสาธารณะ
4. ขอความเห็นชอบโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3
8. ขออนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานให้กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
11. โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า จากการก่อวินาศกรรมที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้ท่านนายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงเรื่องสถานการณ์พลังงานมาก ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงได้ออกคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กำหนดให้เพิ่มอัตราสำรองน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป เพื่อภาวะฉุกเฉินจากเดิม 3% เป็น 5% ของการใช้ภายใน 30 วัน นอกจากนี้ ประธานแจ้งให้ทราบถึงการเปิดตัวโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ และได้สั่งการให้ สพช. และ บก. พิจารณาถึงแนวทางในการที่จะปรับปรุงระเบียบการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้มีความคล่องตัวในการดำเนินงานมากยิ่งขึ้น
เรื่องที่ 1 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 24) เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2544 ได้พิจารณาโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง ที่เทศบาลนครระยอง ได้ยื่นข้อเสนอโครงการฯ เพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ไปทำการสาธิตนำร่องในการจัดการกับขยะมูลฝอยของเทศบาลฯ ด้วยวิธีการคัดแยกขยะ การนำกลับไปใช้ใหม่ และการแปรรูปขยะให้เป็นก๊าซชีวภาพ เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงาน เป็นต้น แต่เนื่องจาก
ที่ประชุมเห็นว่าข้อเสนอโครงการยังขาดความชัดเจนเรื่องเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า และเนื่องจากจังหวัดระยองเคยได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินจากสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำแผนรวมของการกำจัดขยะมูลฝอยรวมของจังหวัดแล้ว ที่ประชุมจึงเห็นควรให้ฝ่ายเลขานุการฯ ตรวจสอบว่ามีความซ้ำซ้อนของแหล่งเงินทุนหรือไม่ และนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว สามารถสรุปได้ว่าในปี 2541 เทศบาลฯ ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงแหล่งฝังกลบขยะ ในเรื่องมลภาวะที่เกิดจากการจัดการขยะ สผ. จึงได้ให้การสนับสนุนทางด้านการเงินแก่เทศบาลฯ เป็นเงินจำนวน 38 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าปรับปรุงสถานที่ในการฝังกลบและจัดซื้อเครื่องจักรในการฝังกลบให้ถูกต้องตามลักษณะสุขาภิบาล ซึ่งพื้นที่ฝังกลบดังกล่าวนี้ จะสามารถใช้งานได้ไปอีกประมาณ 3-5 ปี ดังนั้น เพื่อยืดเวลาให้สามารถใช้พื้นที่ดังกล่าวได้อีกประมาณ 15-20 ปี เทศบาลฯ จึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนในพื้นที่คัดแยกขยะอย่างถูกวิธีและเหลือกลับไปฝังกลบในพื้นที่ ไม่เกิน 30% ของปริมาณเดิม ซึ่งจากศักยภาพของมูลฝอยรวม 1 ตัน สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 230 kWhr และจากที่คาดว่าโครงการนี้จะมีมูลฝอยอินทรีย์เข้าสู่กระบวนการย่อยสลาย 60 ตันต่อวัน ดังนั้น โครงการนี้ เทศบาลฯ จึงได้เลือกใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Biogas Engine) ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง 330 kW จำนวน 2 เครื่อง เพื่อใช้กับก๊าซชีวภาพที่ได้จากหลุมขยะของโครงการฯ โดยคาดว่ามูลฝอยอินทรีย์เข้าสู่กระบวนการย่อยสลาย 60 ตันต่อวันหรือ 20,000 ตันต่อปี จะทำให้ได้ก๊าซชีวภาพ 2.7 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 5,100 MWhr/year สามารถนำไปใช้ในกิจกรรมของโครงการฯ 1,000 MWhr/year และเหลือขายเข้าระบบจำหน่ายของการไฟฟ้า 4,100 MWhr/year
โครงการนี้นอกจากการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 142.86 ล้านบาท แล้ว ยังมีหน่วยงานอื่นๆ ที่ให้การช่วยเหลือทางด้านงบประมาณกับเทศบาลฯ ด้วย ดังนี้
(ล้านบาท)
หน่วยงานที่สนับสนุน | รายละเอียด | จำนวนเงิน |
(1) เทศบาลนครระยอง |
|
20.00
5.00 (ต่อปี) |
(2) มูลนิธิเพื่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและพลังงาน |
|
3.00 |
(3) บริษัท Skanska สวีเดน และบริษัท Fortum ประเทศฟินแลนด์ |
|
7.35 3.00 35.00 |
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงานให้ เทศบาลนครระยอง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง ในวงเงิน 142,858,283 บาท (หนึ่งร้อยสี่สิบสองล้านแปดแสนห้าหมื่นแปดพันสองร้อยแปดสิบสามบาทถ้วน) ประกอบด้วย
รายละเอียด | จำนวนเงิน (ล้านบาท) |
งบประมาณก่อสร้างและการบริหารโครงการ | 142.86 |
(1)ค่าก่อสร้างอาคารและระบบรับและคัดแยกมูลฝอย | 32.64 |
(2) ค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างระบบกระบวนการย่อยสลายโดยไม่ใช้ออกซิเจนและระบบผลิตกระแสไฟฟ้า | 96.20 |
(3)ค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด (ให้นำมาใช้ได้ในกรณีเกิดการเปลี่ยนแปลงอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ โดยต้องขอความเห็นชอบจาก สพช. ก่อนเบิกจ่ายแต่ละครั้ง | 7.22 |
(4)ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ไม่เกินร้อยละ 5 ของวงเงินรวมที่ได้รับจากกองทุนฯ | 6.80 |
2. ก่อนให้การสนับสนุนโครงการฯ เทศบาลนครระยอง ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
(1) ปรับเพิ่มสัดส่วนการร่วมลงทุนในส่วนที่เทศบาลฯ จะเป็นผู้รับผิดชอบ โดยกองทุนฯ จะให้การสนับสนุนในส่วนของค่าใช้จ่ายเฉพาะในค่าก่อสร้างอาคารและระบบรับและคัดแยกมูลฝอย ค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างระบบกระบวนการย่อยสลายโดยไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic Digestion) ค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด (ซึ่งให้สามารถนำมาใช้ได้ในกรณีเกิดการเปลี่ยนแปลงอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ โดยต้องขอความเห็นชอบจาก สพช. ก่อนเบิกจ่ายแต่ละครั้ง ) และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและจัดการ ที่กองทุนฯ จะให้การสนับสนุนไม่เกินวงเงินร้อยละ 5 ของวงเงินรวมที่กองทุนฯ จะให้การสนับสนุนโครงการฯ ทั้งนี้ เทศบาลนครระยอง จะต้องเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายเองทั้งจำนวนในส่วนของงานปรับปรุงพื้นที่และระบบสาธารณูปโภค และค่าอุปกรณ์และเครื่องจักร
(2) เพื่อให้โครงการนี้ประสบผลสำเร็จและมีความยั่งยืนอย่างจริงจัง เทศบาลนครระยองต้องทำให้กองทุนฯ เชื่อมั่นได้ว่า เทศบาลนครระยอง ยืนยันที่จะสนับสนุนค่าบริหารงานภายหลังการก่อสร้างและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โครงการฯ อย่างต่อเนื่อง ปีละ 5 ล้านบาท เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 20 ปี และหากเทศบาลนครระยอง ไม่สามารถปฏิบัติได้ตามที่เสนอไว้ โดยไม่มีเหตุผลอันควร กองทุนฯ จำเป็นต้องขอสงวนสิทธิเรียกเงินสนับสนุนคืนจากเทศบาลนครระยอง ตามสัดส่วนที่คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นสมควร และหรือออกหนังสือแจ้งเวียนไปยังหน่วยที่สามารถให้ทุนสนับสนุนในโครงการต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานนั้น ระงับหรือยกเว้นมิให้การสนับสนุน เทศบาลนครระยอง ต่อไป
(3) เทศบาลนครระยองควรให้เจ้าของเทคโนโลยีรับประกันการทำงานของระบบให้สามารถใช้งานได้ตามที่กำหนดไว้ โดยควรมีระยะเวลาประกัน 3 ปีนับจากวันที่การก่อสร้าง ติดตั้ง และทดสอบระบบแล้วเสร็จ
(4) ในด้านการบริหารจัดการตามที่ เทศบาลนครระยอง จะจัดจ้าง มูลนิธิเพื่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและพลังงาน เข้ามาบริหารจัดการโครงการฯ ซึ่งมูลนิธิฯ ยังต้องมีการจ้างเอกชนรายอื่นเข้ามาทำงานด้วยนั้น ในส่วนนี้เทศบาลนครระยอง ควรระบุวิธีการควบคุมตรวจสอบการดำเนินงานของมูลนิธิฯ ให้มีผลงานไม่ต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็นและกำหนดมาตรการกำกับดูแลที่ไม่ให้มูลนิธิฯ จ้างผู้มีผลประโยชน์ร่วมกับมูลนิธิฯ มาเป็นผู้รับดำเนินงาน
(5) เพิ่มเติมรายละเอียดและแนวทางการมีส่วนร่วมของบุคลากรจากเทศบาลนครระยอง และมูลนิธิฯ ในการดำเนินงานโครงการฯ ตั้งแต่การออกแบบก่อสร้างระบบ รวมทั้งกำหนดแผนการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากบริษัทเจ้าของเทคโนโลยีให้แก่บุคลากรในโครงการฯ เพื่อเป็นการเสริมสร้างความสามารถของบุคลากรภายในประเทศให้สามารถดำเนินโครงการฯ ในลักษณะเดียวกันได้ต่อไป
(6) เพิ่มเติมแนวทางในการบริหารจัดการภายหลังที่โครงการฯ ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จให้เกิดความยั่งยืน โดยเฉพาะการกำหนดบทบาทหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เทศบาลที่มีความรับผิดชอบโดยตรงในการบริหารจัดการมูลฝอย รวมทั้งการกำหนดแนวทางการดำเนินการ และกำหนดผู้รับผิดชอบในการพัฒนา การจัดเก็บค่าธรรมเนียม และการพัฒนาการตลาดเพื่อจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์และกระแสไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นเป้าหมายของเทคโนโลยีที่จะดำเนินการในโครงการฯ
(7) เพิ่มเติมรายละเอียดของผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของการจัดการวัสดุรีไซเคิลของทางเทศบาลฯ พร้อมทั้งระบุรายละเอียดของกิจกรรมต่างๆ ในการคัดแยกขยะมูลฝอยตั้งแต่แหล่งกำเนิดจนถึงโรงคัดแยกขยะ เช่น การนำรูปแบบของการบริหารจัดการขยะซึ่งต้องอาศัยการบริหารจัดการชุมชน/สังคมและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าว
ซึ่งหากทำได้สำเร็จจะช่วยเป็นแนวทางที่จะนำไปประยุกต์ใช้กับแหล่งชุมชนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี และการกำหนดแนวทางการจัดการแยกขยะโดยชุมชนเกิดประสิทธิภาพและทำให้ชุมชนปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะต้องอาศัยการประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลแก่ชุมชนเพื่อให้ทราบถึงประโยชน์และผลกระทบทางบวกที่จะเกิดขึ้นเมื่อทุกคนช่วยกันแยกขยะที่บ้าน เปรียบเทียบกับวิธีที่ทิ้งขยะรวมดังที่เคยปฏิบัติอยู่เดิม
(8) เพิ่มเติมรายละเอียดการประเมินรายได้ที่คาดว่าจะได้รับในโครงการฯ เช่น ค่าธรรมเนียม จำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ จำหน่ายกระแสไฟฟ้า วัสดุรีไซเคิล และการประหยัดพลังงาน รวมทั้งระบุถึงข้อมูลที่มาของรายได้ที่จะใช้ในการบริหารโครงการฯ เนื่องจากค่าบริหารงานที่เทศบาลฯ ตั้งงบประมาณไว้ปีละ 5 ล้านบาท ถือเป็นภาระผูกพันของเทศบาลฯ ทั้งนี้รายได้ในการบริหารงานดังกล่าวอาจมาจากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในการจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ วัสดุรีไซเคิล และกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโครงการฯ นอกจากนี้ยังมีรายจ่ายอื่นๆ ที่จะต้องดำเนินการอีก เช่น การจัดอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การประชาสัมพันธ์ การจัดนิทรรศการ เป็นต้น
(9) เพิ่มเติมรายละเอียดการคำนวณผลตอบแทนทางด้านเศรษฐศาสตร์ (EIRR) โดยต้องระบุถึงเงื่อนไขของการคิดผลประโยชน์และต้นทุนให้ชัดเจนว่ามาจากแหล่งข้อมูลใด พร้อมทั้งการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ก่อนการดำเนินโครงการ หากกฎหมายกำหนด
(10) เพิ่มเติมการจัดทำการประชาพิจารณ์โครงการฯ เพื่อประเมินการยอมรับของประชาชนในพื้นที่ตั้งโครงการฯ ก่อนลงนามในหนังสือยืนยันการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อทำโครงการฯ
(11) ระบุรายละเอียดของหน้าที่ ความรับผิดชอบของคณะกรรมการหรือคณะทำงานกำกับดูแลด้านการบริหารโครงสร้างองค์กร และแยกการทำงานของคณะกรรมการหรือคณะทำงานกำกับดูแลฯ ออกจากคณะดำเนินงานให้ชัดเจน นอกจากนี้ควรพิจารณาเพิ่มเติมตัวแทนจากจังหวัด องค์กรอิสระ และผู้เชี่ยวชาญทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ในคณะกรรมการหรือคณะทำงานกำกับดูแลฯ โดยเทศบาลนครระยองต้องมีรายงานการประชุมสรุปความเห็นของคณะกรรมการหรือคณะทำงานกำกับดูแลฯ ที่มีต่อโครงการฯ เสนอต่อ สพช. ก่อนการเบิกจ่ายเงินงวด 1 จากกองทุนฯ
(12) หาก เทศบาลนครระยอง สามารถดำเนินการตามข้อ (1) ถึงข้อ (11) ได้ครบถ้วนแล้ว เทศบาลนครระยอง ต้องปรับแผนงานโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ตามมติคณะอนุกรรมการฯ ด้วย
1. มอบหมายให้ สพช. ดูแลเรื่องการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อกำกับดูแลด้านการบริหารและปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความชัดเจน
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอีก
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 24) ได้พิจารณา โครงการปรับปรุงระบบรวบรวมก๊าซเพื่อสนับสนุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะ โครงการนี้จะเป็นการช่วยเหลืองานโครงการเดิมที่กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุน มก. ไว้ครั้งหนึ่งแล้ว ในปี 2538 เพื่อเป็นค่าจัดซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 435 kW จำนวน 2 เครื่อง แต่เนื่องจากปริมาณก๊าซไม่เพียงพอกับความต้องการของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โดยปัญหาเกิดจากระดับน้ำชะขยะสูงส่งผลให้ก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้นมีน้อยเกินไป ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มก. ได้พยายามศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพก๊าซชีวภาพที่ได้จากหลุมขยะ โดยได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เช่น USEPA จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่ง ณ บัดนี้ มก. มีความมั่นใจในปริมาณและคุณภาพก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้น ว่ามีปริมาณที่เพียงพอต่อการเป็นแหล่งพลังงาน ให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้า ขนาด 435 kW จำนวน 2 เครื่อง ที่ได้จัดซื้อไว้ตั้งแต่ปี 2538 แล้ว
มก. จึงได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา แต่เนื่องจากที่ประชุมเห็นว่าโครงการนี้ยังมีความไม่ชัดเจนในเรื่องวิธีการขอรับการสนับสนุนจาก 2 แหล่งทุน ที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปประสานงานกับ มก. ในวิธีการเจรจาเพื่อให้ได้รับเงินสนับสนุนจาก GEF และเนื่องจากโครงการนี้มีความเสี่ยงสูงด้านการประสานงานกับ 2 แหล่งทุน ซึ่งอาจเกิดปัญหาในเรื่องเงื่อนเวลาการอนุมัติให้ใช้จ่ายเงิน ดังนั้น มก. ควรแยกงานและเงินเป็นรายกิจกรรมให้ชัดเจน เพื่อมิให้มีการผูกกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งเข้ากับงบประมาณทั้งสองแหล่ง และให้ มก. พิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุนของโครงการนี้ถ้าจะเปลี่ยนที่ตั้งโรงไฟฟ้าให้มาอยู่ในบริเวณใกล้แหล่งรวบรวมก๊าซแห่งใหม่ แทนการเดินท่อก๊าชไปยังโรงไฟฟ้า ณ สถานที่เดิม และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำกลับมาให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประสานงานกับ มก. แล้ว และนำมาสรุปประเด็นการนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา ดังนี้
(1) การแยกงานและเงินที่จะขอรับสนับสนุนจาก 2 แหล่งทุน
ในขณะนี้ มก. ได้ดำเนินการตามกระบวนการขอทุนสนับสนุนจาก GEF ไปเกือบจะถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว โดยผ่านความเห็นชอบจาก สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม และ GEF สำนักงานในประเทศไทย และปัจจุบันข้อเสนอโครงการฯ ได้ไปถึง GEF สำนักงานกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เพี่อพิจารณาในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ด้วยเหตุดังกล่าว มก. จึงไม่สามารถนำเรื่องกลับมาเพื่อเปลี่ยนแปลงจำแนกกิจกรรมและรายการใช้จ่ายเงินมิให้มีการผูกกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งเข้ากับงบประมาณ ทั้งสองแหล่ง ตามที่คณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นไว้ เพราะ GEF อาจต้องเริ่มต้นพิจารณาใหม่ และอาจส่งผลให้โครงการนี้ล่าช้าออกไป
(2) ความคุ้มค่าในการลงทุนของโครงการฯ
เมื่อประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนเพื่อดำเนินโครงการฯ ต่อไป โดยใช้ฐานอัตราค่าไฟฟ้าที่ มก. ได้ชำระให้กับการไฟฟ้าในช่วงต้นปี 2544 ในอัตราหน่วยละ 2.74 บาท โดยพิจารณาตามสมมติฐานในการวิเคราะห์และผลการวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ จาก 3 แนวทาง ดังตารางต่อไปนี้
การวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ (หน่วย = บาท) | |||
รายละเอียด | แนวทางที่ 1 | แนวทางที่ 2 | แนวทางที่ 3 |
สมมติฐานการวิเคราะห์ | |||
จำนวนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ติดตั้ง |
2 เครื่อง |
2 เครื่อง |
1 เครื่อง |
สถานที่ติดตั้งเครื่องปั่นไฟฟ้า |
ตั้งอยู่ใน มก. | ย้ายไปยังบริเวณ ที่ฝังกลบขยะ |
ย้ายไปยังบริเวณ ที่ฝังกลบขยะ |
หน่วยงานที่ขายไฟฟ้าให้ |
ขายให้ มก. | ขายให้ มก. | ขายให้ กฟภ. |
การวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ (มูลค่าปัจจุบัน, หน่วย= บาท) | |||
(1) รายรับ (Energy Revenue) | 211,509,498 | 211,509,498 | 61,754,598 |
(2) เงินลงทุน (Capital Investment) | 38,073,720 | 36,193,270 | 17,880,000 |
(3) ค่าใช้จ่าย (Operating Expense) | 99,488,512 | 99,488,512 | 21,934,766 |
(4) ผลประโยชน์สุทธิของการลงทุน | 73,947,266 | 75,827,716 | 21,939,832 |
คำนวณจาก (1) - (2+3) | |||
(5) เงินสนับสนุนจากกองทุนอนุรักษ์ฯ | 17,880,000 | 16,000,000 | 17,880,000 |
(6) เงินสนับสนุนจาก GEF | 39,000,000 | 39,000,000 | 0 |
จากสมมติฐานข้างต้น เมื่อพิจารณาค่าผลประโยชน์สุทธิที่มีความเหมาะสมแล้ว ในการลงทุนเพื่อดำเนินโครงการฯ ต่อไปแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรเสนอแนวทางดำเนินงานให้ มก. เรียงตามลำดับความสำคัญ ดังนี้
(1) แนวทางที่ 2 เป็นแนวทางแรก โดย มก. ควรย้ายโรงไฟฟ้าไปติดตั้ง ณ บริเวณหลุมขยะ ซึ่งเป็นพื้นที่ของกลุ่มบริษัท 79 จำกัด แล้วเดินระบบสายส่งไฟฟ้าจากบริเวณหลุมขยะ มายังมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
(2) แนวทางที่ 1 พิจารณานำมาใช้เมื่อ มก. ดำเนินงานตามแนวทางที่ 2 ดังกล่าวแล้ว เกิดปัญหาทางเทคนิคในการปักเสาพาดสายไฟฟ้าแรงสูง
(3) แนวทางที่ 3 จะเป็นทางเลือกในกรณีที่โครงการนี้ ไม่ได้รับการสนับสนุนจาก GEF
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ มก. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปรับปรุงระบบรวบรวมก๊าซเพื่อสนับสนุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะ ในวงเงิน 17,880,000 บาท (สิบเจ็ดล้านแปดแสนแปดหมื่นบาทถ้วน) โดยมีเงื่อนไขให้ มก. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
(1) พิจารณาปรับค่าใช้จ่ายของโครงการฯ ให้อยู่ในอัตราที่เหมาะสม ตามที่ รศ.ประสงค์ อิงสุวรรณ ได้ให้ความเห็นไว้ (เอกสารแนบวาระ 4.5.3 หน้า 5-8)
(2) เพิ่มเติมข้อมูลของวิธีการจัดการฝังกลบขยะที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เช่น การคัดแยกขยะ (Pre Process) การฝังกลบขยะเป็นชั้นๆ แล้วใช้พลาสติกหรือดินคลุมแยกระหว่างชั้น เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้ไม่เกิดปัญหาในระหว่างการดำเนินโครงการฯ เหมือนในช่วงที่ผ่านมา มก. จะต้องดำเนินการฝังกลบขยะด้วยวิธีการที่ถูกต้องสำหรับหลุมขยะใหม่ พร้อมทั้งศึกษาความเป็นไปได้และความคุ้มค่าในการเปลี่ยนที่ตั้งโรงไฟฟ้าจากที่เดิมมาตั้งในบริเวณใกล้หลุมขยะแทน
(3) เนื่องจากโครงการฯ จะต้องมีการดำเนินการนานถึง 12 ปี ควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการอีก 1 ชุด เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายและอนุมัติงบประมาณประจำปี โดยคณะกรรมการฯ ดังกล่าวควรประกอบด้วยบุคลากรทั้งภายใน มก. และผู้แทนจากหน่วยงานภายนอก ที่เกี่ยวข้อง เช่น สพช. สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นที่หลุมฝังกลบตั้งอยู่ เป็นต้น
(4) เพิ่มเติมวิธีการที่จะทำให้สามารถรวบรวมก๊าซหลุมขยะได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากหลุมขยะจะเกิดก๊าซมากในช่วง 3-5 ปีแรก หลังจากนั้นจะน้อยลงเรื่อยๆ และการคาดเดา Performance ทำได้ยาก ซึ่งหากสัดส่วนของก๊าซมีเทนต่ำลงกว่าจุดที่จะเผาไหม้เองได้ จะต้องมีระบบทำให้ก๊าซบริสุทธิ์ขึ้นโดยการแยกคาร์บอนไดออกไซด์ออก และจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ขณะที่ระบบทำความสะอาดก๊าซหลุมขยะในโครงการฯ ตามที่ออกแบบจะเป็นการแยกบ่อน้ำและกรองก๊าซหลุมขยะเท่านั้น ทำให้ก๊าซชีวภาพที่ได้ยังมีคาร์บอนไดออกไซด์ อยู่เท่าเดิม
(5) เพิ่มเติมการเปรียบเทียบเทคโนโลยีที่สามารถใช้ประโยชน์จากหลุมขยะ และชี้แจงความจำเป็นในการใช้เทคโนโลยีของโครงการฯ เนื่องจากข้อมูลในต่างประเทศชี้ให้เห็นว่าการผลิตก๊าซจากหลุมขยะใหม่ๆ ไม่เป็นที่น่าสนใจมากนักทางเศรษฐกิจ แต่จะให้ความสนใจในการใช้วิธีอื่นมากกว่า เช่น การแยกขยะตั้งแต่ต้นทางแล้วนำขยะอินทรีย์ไปหมักทำปุ๋ยซึ่งเป็นวิธีที่ดี มีประโยชน์และไม่เกิดก๊าซมีเทนซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ นอกจากนี้กฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่ควบคุมการจัดการหลุมขยะ ก็เคร่งครัดมากขึ้นเรื่องๆ ทำให้ต้นทุนในการก่อสร้างหลุมขยะสูงขึ้นด้วย
(6) เพิ่มเติมแผนการดำเนินการโครงการฯ หลังจากการติดตั้งระบบเสร็จสมบูรณ์พร้อมดำเนินการผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อแสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนในการดำเนินโครงการฯ รวมถึงแผนการจัดการกับผลประโยชน์ที่ได้จากการขายกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโครงการฯ ให้กับมหาวิทยาลัยภายหลังโครงการฯ สิ้นสุด โดยคณะทำงานที่ มก. จัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลในเรื่องดังกล่าวอาจเปลี่ยนเป็นหน่วยงานในสังกัดของ มก. ดูแลในช่วงต่อไปเอง
(7) ตรวจสอบและยืนยันถึงหนังสือข้อตกลงต่างๆ ที่เคยจัดทำขึ้นในโครงการฯ เช่น หนังสือยินยอมการให้ใช้พื้นที่ของ กลุ่ม บริษัท 79 และหนังสือตกลงการรับซื้อไฟฟ้าของมหาวิทยาลัย เป็นต้น
(8) หาก มก. สามารถดำเนินการตามข้อ (1) ถึงข้อ (7) ได้ครบถ้วนแล้ว มก. ต้องปรับแผนงานโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ตามมติคณะอนุกรรมการฯ ด้วย
2. มอบหมายให้ สพช. ประสานงานกับ มก. ในการปรับปรุงประมาณการรายจ่ายและแนวทางดำเนินงาน โดยพิจารณาจากค่าผลประโยชน์สุทธิที่มีความเหมาะสมในการลงทุนเพื่อดำเนินโครงการฯ ต่อไป ที่เรียงลำดับความสำคัญ ดังนี้
(1) กรณีได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก
แนวทางที่ 1 ให้ มก. ย้ายเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า ทั้ง 2 เครื่อง (435 kW x 2 ) ไปติดตั้ง ณ บริเวณหลุมขยะแห่งใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ของกลุ่มบริษัท 79 จำกัด แล้วเดินระบบสายส่งไฟฟ้าจากบริเวณหลุมขยะ ไปใช้ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
แนวทางที่ 2 เมื่อ มก. ดำเนินงานตามแนวทางที่ 1 แล้ว เกิดปัญหาทางเทคนิคในการปักเสาพาดสายไฟฟ้าแรงสูง ก็ให้ มก. ตั้งเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า ทั้ง 2 เครื่อง (435 kW x 2 ) ไว้ ณ ที่บริเวณเดิม และผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
ผลการประสานงานตามแนวทางที่ 1 หรือแนวทางที่ 2 ให้ สพช. เสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณาให้ความเห็นชอบ และ มก. ต้องแสดงหลักฐานต่อ สพช. เพื่อยืนยันการได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก ก่อนลงนามในหนังสือยืนยันการรับทุนสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
(2) กรณีที่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก
ให้ มก. ปรับแผนการดำเนินงานและค่าใช้จ่าย โดยนำเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า ขนาด 435 kW จำนวน 1 เครื่อง ไปติดตั้งภายในบริเวณหลุมขยะ ในพื้นที่บริษัทกลุ่ม 79 เพื่อผลิตไฟฟ้าและขายไฟฟ้าให้กับระบบจำหน่ายของ กฟภ. แล้ว ให้ สพช. เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบ
เรื่องที่ 3 มาตรการประหยัดน้ำมันและไฟฟ้าสาธารณะ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของสถานการณ์น้ำมันโลก จึงใคร่ขอเสนอมาตรการเร่งด่วนที่ไม่รุนแรง เพื่อรวบรวมความเห็นจากคณะกรรมการฯ ก่อนที่จะดำเนินการต่อไป ในการลดการใช้พลังงานที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที เพื่อรองรับวิกฤติการณ์ด้านพลังงานที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเสนอมาตรการออกเป็น 3 ประเภท คือ มาตรการรณรงค์ มาตรการบังคับ และมาตรการอื่น
มติที่ประชุม
1. ให้กรมบัญชีกลางออกระเบียบเพื่อบังคับให้รถในส่วนราชการทั้งหมดใช้น้ำมันที่มีค่าออกเทน 91
2. ให้ฝ่ายเลขานุการจัดเตรียมข้อมูลของมาตรการต่างๆ ให้เป็นขั้นตอน โดยในขั้นต้นที่ประชุมได้เห็นชอบให้ดำเนินการในมาตรการต่างๆ ดังต่อไปนี้
ปิดสถานบริการน้ำมันในเขตเมือง ระหว่าง 24.00-05.00 น. แต่ยังคงให้เปิดสถานีบริการบนถนนสายหลักระหว่างเมืองได้
ปิดไฟป้ายโฆษณา ไฟส่องป้ายโฆษณา และไฟส่องตึก ภายหลังเวลา 24.00 น.
ปิดไฟถนนที่ไม่มีรถคับคั่งตลอดสาย และเปิดไฟถนนเฉพาะบริเวณทางแยก หลัง 24.00 น.
ปิดไฟสนามกอล์ฟหลัง 22.00 น.
ปิดห้างสรรพสินค้า ในช่วง 22.00 น.-10.00 น.
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติเงินจากกองทุนฯ ให้ หน่วยบริการก๊าซชีวภาพ สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม (ฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่) มาตั้งแต่ปี 2538 จนถึงปัจจุบัน นั้น กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ เป็นเงินทั้งสิ้น 130,492,419 ล้านบาท โดยระบบทั้งหมดที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สามารถบำบัดน้ำเสียจากคอกสุกรได้ 300,000 ตัว ผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทนเทียบเท่า LPG ได้ 153 ล้านกิโลกรัม หรือเทียบเท่าน้ำมันเตา 183 ล้านลิตร หรือสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 12.3 GWh/year
ผลการสำรวจและจัดทำแผนที่ไบโอก๊าซของประเทศไทย (Biogas Map) พบว่ามีฟาร์มขนาดใหญ่ ประมาณ 140 ฟาร์ม มีสุกรประมาณ 1.5 ล้านตัว มีศักยภาพที่จะติดตั้งระบบฯ ได้ประมาณ 200,000 ลบ.ม. และมีฟาร์มขนาดกลางจำนวน 1,600 ฟาร์ม มีสุกรประมาณ 2 ล้านตัว ที่ติดตั้งระบบฯ ได้ประมาณ 330,000 ลบ.ม. ซึ่งจะเห็นว่ายังมีฟาร์มเลี้ยงสัตว์อีกเป็นจำนวนมากที่สามารถเข้าไปส่งเสริมให้ติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพเพื่อช่วยแก้ปัญหาการจัดการน้ำเสีย และจะได้ก๊าซชีวภาพที่สามารถนำไปใช้ทดแทน LPG หรือนำไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้อีกด้วย
มช. จึงได้เสนอโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3 เพื่อขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนฯ ในวงเงิน 853,079,794 บาท โดยมีเป้าหมายที่จะดำเนินงานภายในเวลา 7 ปี และจะติดตั้งระบบเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ ให้สามารถรองรับของเสียจากสุกรขุนได้ถึง 2 ล้านตัว หรือคิดเป็น 70-80% ของปริมาณสุกรที่เลี้ยงอยู่ในฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ และเนื่องจากปริมาณฟาร์มขนาดกลางนั้นมีเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อให้การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเป็นไปได้ด้วยความคล่องตัว รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ สนองตอบได้ทันต่อความต้องการของเจ้าของฟาร์ม มช. จึงได้แยกแผนงานออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ส่งเสริมในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่ ส่วนที่ 2 ส่งเสริมในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลาง และส่วนที่ 3 การจัดตั้งศูนย์แห่งความเป็นเลิศ "Center of Execllence"
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 9/2544 (ครั้งที่ 54) เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2544 เพื่อพิจารณาโครงการฯ แล้ว และเห็นควรให้การสนับสนุนโครงการฯ โดยมีความเห็นเพิ่มเติมว่าการนำเสนอแผนงานของโครงการฯ ในระยะที่ 3 นี้ ยังขาดความชัดเจนในเรื่องแผนการดำเนินงานที่จะสะท้อนให้เห็นอนาคตของการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการดำเนินงานในปีที่ 7 ว่าผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการนี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมด้านอื่นๆ ด้วย ที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้ ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานงานกับเจ้าของโครงการฯ เพื่อทำให้ประเด็นดังกล่าวมีความชัดเจน และเนื่องจาก มจธ. เป็นผู้ประเมินโครงการนี้ในระยะแรก ที่ประชุมจึง มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ หารือ และสอบถามความเห็นจาก มจธ. ด้วย เพื่อให้โครงการฯ ระยะที่ 3 มีแผนงานที่ครบถ้วนสมบูรณ์ในทุกๆ ด้าน ซึ่ง มช. ได้ทราบและนำไปปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ แล้ว ดังนี้
(1) ประเด็นด้านการเผยแพร่องค์ความรู้ ภายใต้โครงการนี้ มช. ได้วางแผนพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพไว้แล้ว ด้วยศักยภาพที่ มช. ได้รับการส่งเสริมจากกองทุนฯ ให้มีความเข้มแข็งและมั่นคง ทั้งในด้านโครงสร้างของบุคลากร อาคารสำนักงาน อาคารปฏิบัติการ เครื่องมือทดสอบ อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ และงานเผยแพร่และส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีก๊าซชีวภาพในกิจกรรมการเลี้ยงสัตว์ในปัจจุบัน โดยได้ตั้งแผนปฏิบัติการที่จะเชิญชวนอาจารย์ในภาควิชาและคณะที่เกี่ยวข้องต่างๆ ทั้งในส่วนของความเกี่ยวข้องในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และในส่วนของการนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ เช่น คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร คณะเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องในการส่งเสริมของโครงการฯ มาร่วมเป็นที่ปรึกษาของโครงการฯ เพื่อที่จะทำให้โครงการฯ มีมุมมองของระบบความคิดที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งจะเปิดกว้างทั้งใน มช. และสถาบันอื่นๆ การดำเนินการดังกล่าว อาจก่อให้เกิดหัวข้อวิจัยให้กับนักศึกษา เพื่อสนับสนุนโครงการฯ ให้พัฒนาไปข้างหน้า ช่วยทำให้เกิดการเชื่อมโยงการร่วมมือกันทำงานระหว่างโครงการฯ กับคณะและภาควิชาต่างๆ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
(2) ประเด็นการลดภาระหรือบทบาทของภาครัฐในการให้ทุนสนับสนุน มช. ได้แสดงให้เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่กองทุนฯ ให้การสนับสนุนเจ้าของฟาร์มในแต่ละช่วงได้ลดลงเป็นลำดับ โดยในระยะที่ 1 ให้การสนับสนุน 47% ของเงินลงทุนก่อสร้างระบบก๊าซชีวภาพ ต่อมาในระยะที่ 2 ให้การสนับสนุน 33% ของเงินลงทุนก่อสร้างระบบก๊าซชีวภาพ และในระยะที่ 3 ให้การสนับสนุน 18% ของเงินลงทุนก่อสร้างระบบก๊าซชีวภาพ ซึ่งในอนาคต รัฐอาจปล่อยให้กลไกของการส่งเสริมเป็นไปตามระบบตลาด แต่หากมีแหล่งเงินทุนฯ ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบ ก็จะเป็นมาตรการจูงใจให้เจ้าของฟาร์มเร่งตัดสินใจลงทุนติดตั้งระบบฯ ได้เร็วขึ้น ซึ่งส่งผลการประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับภาครัฐเร็วขึ้นเช่นกัน ทั้งค่าใช้จ่ายในด้านพลังงานและการรักษาสิ่งแวดล้อมกลไกการสร้างคน สร้างเอกชนมืออาชีพและมีคุณภาพ หรือการเผยแพร่เทคโนโลยีให้มีความเข้มแข็งในเชิงพาณิชย์ ที่จะนำไปสู่การลดภาระหรือบทบาทของภาครัฐในการให้ทุนสนับสนุน
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3 ในวงเงิน 853,079,794 บาท (แปดร้อยห้าสิบสามล้านเจ็ดหมื่นเก้าพันเจ็ดร้อยเก้าสิบสี่บาทถ้วน) ประกอบด้วย
รายการ | ฟาร์มขนาดใหญ่ | ฟาร์มขนาดกลาง | รวม (บาท) |
งบจัดตั้งศูนย์แห่งความเป็นเลิศ |
85,664,000 | 85,664,000 | |
งบบริหารโครงการฯ งบสนับสนุนทีมที่ปรึกษาฟาร์มขนาดกลาง งบสนับสนุนค่าก่อสร้างและติดตั้งระบบแก่เกษตรกร |
201,957,000 - 146,640,000 |
117,618,794 132,000,000 169,200,000 |
319,575,794 132,000,000 315,840,000 |
งบประมาณรวมที่ขอรับการสนับสนุน |
348,597,000 | 418,818,794 | 853,079,794 |
2. ก่อนให้การสนับสนุนโครงการฯ มช. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังนี้
(1) ให้ มช. จำแนกค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการฯ ให้ชัดเจน โดยแบ่งเป็นงานในส่วนด้านการบริหารงาน และเป็นเงินสนับสนุนให้เจ้าของฟาร์มทางอ้อม เช่น ค่าบริการให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีของระบบฯ ค่าออกแบบระบบและค่าติดตามดูแลการทำงานของระบบฯ เป็นต้น เพื่อกองทุนฯ จะได้พิจารณาได้ว่า การใช้จ่ายเงินจากกองทุนฯ นั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเกษตรกรเป็นส่วนใหญ่
(2) หน่วยบริการก๊าซชีวภาพ ควรจะหารือกับผู้บริหารของ มช. เพื่อแสดงความมีส่วนร่วมในโครงการนี้ โดย มช. อาจจะสามารถจัดสรรงบประมาณบางส่วนสมทบกับเงินของกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารสำนักงานของโครงการฯ
(3) หาก มช. สามารถดำเนินการข้อ (1)-ข้อ (2) ได้ครบถ้วนแล้ว มช. ต้องปรับแผนงานโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ตามมติคณะอนุกรรมการฯ ด้วย
1. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีก
2. ให้ สพช. เสนอผลการดำเนินโครงการฯ เมื่อ มช. ดำเนินงานไปแล้วแต่ละปี เพื่อให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณาอนุมัติให้การสนับสนุนด้านการเงินในการดำเนินงานในปีถัดไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้ยื่นข้อเสนอโครงการการศึกษาวิศวกรรมแบบบูรณาการเพื่อเพิ่มทักษะด้านการอนุรักษ์พลังงานสำหรับพนักงานปฏิบัติการในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำโครงการดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน เพื่อพิจารณา เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2544 และได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับความสามารถของบุคลากรภาคปฏิบัติการในโรงงานอุตสาหกรรม ให้มีความรู้ความสามารถทางวิศวกรรมศาสตร์ให้ดีขึ้น พร้อมทั้งนำความรู้ดังกล่าวไปประยุกต์ใช้กับงานจริงให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ทำให้เกิดการพัฒนาความสามารถในด้านต่างๆ เช่น การเรียนรู้ด้วยตนเอง การทำงานร่วมกับผู้อื่น การวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นระบบ เป็นต้น นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดผู้ใฝ่เรียนรู้ตลอดชีวิตของพนักงานภาคปฏิบัติการในโรงงาน เพื่อพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) โดยโครงการนี้ใช้งบประมาณทั้งสิ้นในการดำเนินงาน จำนวน 71,281,830 บาท โดย มจธ. ได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 21,371,010 บาท ส่วนที่เหลือบริษัทที่เข้าร่วมโครงการจะให้การสนับสนุน
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์ และห้องปฏิบัติการ ปีงบประมาณ 2544 ให้ มจธ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการการศึกษาวิศวกรรมแบบบูรณาการเพื่อเพิ่มทักษะด้านการอนุรักษ์พลังงานสำหรับพนักงานปฏิบัติการในโรงงานอุตสาหกรรม ในวงเงิน 21,371,010 บาท
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 4/2542 เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2542 มีมติให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดสรรเงินกองทุนสำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2543-2547 มีวงเงินรวม 29,110.61 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้โดยให้สอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ โดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้อนุมัติวงเงินโครงการบริหารงานตามกฎหมายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานสำหรับ สพช. บก. และ พพ.
สพช. บก. และ พพ. ได้ดำเนินการตามแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ที่ได้รับมอบหมายในปี 2544 โดยประมาณว่ามีค่าใช้จ่ายและเงินคงเหลือของปีงบประมาณ 2544 ณ วันที่ 30 กันยายน 2544 ดังนี้
หน่วย : บาท | ||||
งบประมาณ |
เบิกจ่ายแล้ว และประมาณว่าจะเบิกจ่ายทั้งสิ้น |
คงเหลือ |
||
สพช. | 143,405,720.00 | 141,174,683.08 | 2,231,036.92 | |
บก. | 646,320.00 | 520,565.05 | 125,754.95 | |
พพ. | 558,627,378.00 | 416,541,070.00 | 142,086,308.00 | |
รวม | 702,679,418.00 | 558,236,318.13 | 144,443,099.87 |
ดังนั้นเพื่อให้ สพช. บก. และ พพ. สามารถดำเนินงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบตามแผนอนุรักษ์พลังงานได้ตามที่ได้รับมอบหมายในปี 2545 หน่วยงานดังกล่าวจึงขอรับการสนับสนุนจากเงินกองทุนฯ เป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2545 ในโครงการบริหารงานตามกฎหมาย โดยฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำงบประมาณรายจ่ายฯ ของทั้ง 3 หน่วยงาน เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน เพื่อพิจารณากลั่นกรอง ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว ในการประชุมครั้งที่ 12/2544 (ครั้งที่ 86) เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2545 ของ สพช. บก. และ พพ. โดยสรุปได้ดังนี้
วงเงินที่ขออนุมัติเพื่อบริหารงานตามกฎหมาย ปี 2545
หน่วย : บาท
สพช. | บก. | พพ. | รวม | |
1. ค่าจ้างชั่วคราว | 4,093,680 | 410,640 | 24,618,480 | 29,122,800 |
2. ค่าตอบแทน ใช้สอย และวัสดุ | 13,343,960 | 418,330 | 25,944,310 | 39,706,600 |
3. ค่าสาธารณูปโภค | 4,400,000 | - | 5,901,520 | 10,301,520 |
4. ค่าครุภัณฑ์ ที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง | 3,681,100 | 146,000 | 15,256,610 | 19,083,710 |
5. รายจ่ายอื่น | 124,304,020 | - | 333,808,200 | 458,112,220 |
รวม | 149,822,760 | 974,970 | 405,529,120 | 556,326,850 |
ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอนำงบประมาณรายจ่ายของทั้ง 3 หน่วยงาน เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุนโครงการบริหารงานตามกฎหมาย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของ สพช. บก. และ พพ. ในปีงบประมาณ 2545 ดังนี้
1. อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2545 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ สพช. ในวงเงิน 149,822,760 บาท (หนึ่งร้อยสี่สิบเก้าล้านแปดแสนสองหมื่นสองพันเจ็ดร้อยหกสิบบาทถ้วน) โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
2. อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2545 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ บก. ในวงเงิน 974,970 บาท (เก้าแสนเจ็ดหมื่นสี่พันเก้าร้อยเจ็ดสิบบาทถ้วน) โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพื่อพิจารณาอนุมัติ
3. อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2545 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ พพ. ในวงเงิน 405,529,120 บาท (สี่ร้อยห้าล้านห้าแสนสองหมื่นเก้าพันหนึ่งร้อยยี่สิบบาทถ้วน) โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
4. อนุมัติให้ สพช. บก. และ พพ. เบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2545 เพื่อการบริหารงานตามกฎหมายได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ที่มีสาระสำคัญว่า การเปลี่ยนแปลงรายการ ระยะเวลาดำเนินการไปจากรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนได้อนุมัติแล้ว จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนก่อน จึงจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการของแต่ละโครงการ บางครั้งจะพบกับปัญหาหรืออุปสรรคที่ทำให้การปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามแผนงาน โดยเจ้าของโครงการฯ ไม่มีเจตนาที่จะไม่ดำเนินการตามข้อกำหนดของโครงการฯ และการเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติและไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง ซึ่งการปรับแผนของโครงการฯ ในแต่ละครั้ง จะต้องขออนุมัติการเปลี่ยนแปลง
ตามลำดับขั้นตอน ด้วยการเสนอคณะอนุกรรมการฯ และหรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน เจ้าของโครงการฯ จึงจะดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นการใช้ระยะเวลาพอสมควร อาจส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อโครงการฯ โดยภาพรวม
ในช่วงที่ผ่านมาคณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้อนุมัติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน(ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจต่างๆ จำนวน 11 ราย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นเป็นกรณีพิเศษหรือเร่งด่วน (Fast Track) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,260.54 ล้านบาท และได้อนุมัติให้ว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ (IA) บริหารงานในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน แล้ว 7 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 21.4 ล้านบาท แต่เนื่องจากหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการ Fast Track หลายหน่วยงานได้ว่าจ้าง IA เพื่อบริหารโครงการฯ แล้ว และมีความเป็นไปได้ว่ามี IA บางแห่ง ดำเนินงานไม่แล้วเสร็จตามที่กำหนดไว้ในสัญญา จะขอขยายระยะเวลาการจ้างออกไปอีก ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินงานของโครงการ Fast Track มีเพื่อความคล่องตัว คณะอนุกรรมการฯ จึงเสนอให้อธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน มีอำนาจอนุมัติในเรื่องดังกล่าว
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 19) เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2544 พิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินงานของโครงการ Fast Track เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีความคล่องตัว ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติให้อธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน มีอำนาจอนุมัติให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีโครงการอนุรักษ์พลังงานเป็นกรณีพิเศษ (Fast Track) เปลี่ยนแปลงระยะเวลาการจ้างตัวแทนดำเนินการ (IA) เพื่อบริหารงาน ในการกำหนดเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และบริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานในโครงการ Fast Track โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้อธิบดี พพ. มีอำนาจอนุมัติให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่มีโครงการอนุรักษ์พลังงานเป็นกรณีพิเศษ (Fast Track) เปลี่ยนแปลงระยะเวลาการจ้างตัวแทนดำเนินการ (IA) เพื่อบริหารงานในการกำหนดเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และบริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน ในโครงการ Fast Track โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เสนอ
2. อธิบดี พพ. ต้องรายงานให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ทราบหรือรับรองการอนุมัติของอธิบดี พพ. ในการประชุมเป็นคราวๆ ไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ซึ่งเป็นอาคารควบคุมส่วนราชการ มีอาคารจำนวน 118 อาคาร คิดเป็นพื้นที่ใช้สอย 768,356.60 ตารางเมตร ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน เป็นเงิน 13,933,056 บาท และ พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 20) เมื่อวันพุธที่ 5 กันยายน 2544 และได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 ให้ พพ. นำไปจัดสรรให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในวงเงิน 13,933,056 บาท (สิบสามล้านเก้าแสนสามหมื่นสามพันห้าสิบหกบาทถ้วน)
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 ให้ พพ. นำไปจัดสรรให้แก่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในวงเงิน 13,933,056 บาท (สิบสามล้านเก้าแสนสามหมื่นสามพันห้าสิบหกบาทถ้วน) ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับเสนอ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เพื่อความคล่องตัวในการปฏิบัติงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2541 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2541 จึงได้มีมติอนุมัติให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ มีอำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานโครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการแต่ละชุด โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลงและอนุมัติให้คณะอนุกรรมการแต่ละชุด มีอำนาจอนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุนให้แก่โครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการแต่ละชุด ที่มีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณากลั่นกรองโครงการที่มีวงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการที่ได้กำหนดไว้ในรายละเอียดข้อเสนอของแต่ละโครงการ บางครั้งเจ้าของโครงการฯ จะพบกับปัญหาหรืออุปสรรคที่ทำให้การปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามแผนงาน โดยเจ้าของโครงการฯ ไม่มีเจตนาที่จะไม่ดำเนินการตามข้อกำหนดของโครงการฯ และการเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว แต่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง เช่น โครงการผลิตก๊าซชีวภาพจากระบบบำบัดน้ำเสียแบบตรึงฟิล์มจุลินทรีย์ชนิดไม่ใช้อากาศ และโครงการศึกษาการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้เซลล์เชื้อเพลิงแบบเกลือคาร์บอเนตหลอม ซึ่งดำเนินการโดย มจธ. และการดำเนินงานของทั้ง 2 โครงการ เกิดปัญหาอุปสรรคในระหว่างดำเนินโครงการฯ มจธ. จึงขอปรับแผนการดำเนินโครงการทั้ง 2 โครงการ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว ในการประชุมครั้งที่ 8/2544 และครั้งที่ 9/2544 ตามลำดับ โดยผลจากการเปลี่ยนแปลงแผนการดำเนินงานของทั้ง 2 โครงการ ไม่กระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติ แต่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในกรณีเช่นนี้ คณะกรรมการกองทุนฯ มิได้มอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการแต่ละชุดมีอำนาจอนุมัติการเปลี่ยนแปลงไว้
ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงแผนงานของทั้ง 2 โครงการ ตามที่คณะอนุกรรมการฯ ได้มีความเห็นชอบไว้ดังกล่าวแล้ว และขออำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานของโครงการฯ จากคณะกรรมการกองทุนฯ เพิ่มเติม โดยให้คณะอนุกรรมการฯ มีอำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานของโครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง หรือหากผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง ก็ให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะอนุกรรมการฯ ในการพิจารณาอนุมัติ และรายงานเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบในการประชุมเป็นคราวๆ ไป
มติที่ประชุม
1. รับทราบและอนุมัติให้ มจธ. เปลี่ยนแปลงการดำเนินงาน โครงการผลิตก๊าซชีวภาพจากระบบบำบัดน้ำเสียแบบตรึงฟิล์มจุลินทรีย์ชนิดไม่ใช้อากาศ ตามที่คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 8/2544 เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบไว้
2. รับทราบและอนุมัติให้ มจธ. เปลี่ยนแปลงการดำเนินงาน โครงการศึกษาการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้เซลล์เชื้อเพลิงแบบเกลือคาร์บอเนตหลอม ตามที่คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 9/2544 เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบไว้
3. มอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ มีอำนาจดังต่อไปนี้
(1) ให้มีอำนาจอนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุนให้แก่โครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการแต่ละชุด ที่มีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณากลั่นกรองโครงการที่มีวงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
(2) ให้มีอำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานโครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับ ดูแลของคณะอนุกรรมการแต่ละชุด เป็นกรณีๆ ดังต่อไปนี้
(2.1) การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง ทั้งกรณีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และวงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป
(2.2) การเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว แต่ผลที่ คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง กรณีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท ให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะอนุกรรมการฯ ในการพิจารณาอนุมัติ และกรณีวงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป ให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณากลั่นกรองเพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
(2.3) การเปลี่ยนแปลงนั้นมีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และทำหรือไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง กรณีวงเงินรวมหลังเปลี่ยนแปลงไม่เกิน 10 ล้านบาท ให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะอนุกรรมการฯ ในการพิจารณาอนุมัติ และกรณีมีวงเงินรวมหลังเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป ให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณากลั่นกรองเพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
กรณีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ในดุลยพินิจของคณะอนุกรรมการฯ ในการพิจารณาอนุมัติ ให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบในการประชุมเป็นคราวๆ ไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ซึ่งเป็นอาคารควบคุมส่วนราชการ มีอาคารจำนวน 129 อาคาร คิดเป็นพื้นที่ใช้สอย 739,483 ตารางเมตร ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ซึ่ง พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 19) เมื่อวันอังคารที่ 3 กรกฎาคม 2544 และคณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 เพื่อจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เป็นเงิน 10,307,996 บาท (สิบล้านสามแสนเจ็ดพันเก้าร้อยเก้าสิบหกบาทถ้วน)
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 เพื่อจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานให้กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ในวงเงิน 10,307,996 บาท (สิบล้านสามแสนเจ็ดพันเก้าร้อยเก้าสิบหกบาทถ้วน) ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับเสนอ
เรื่องที่ 11 โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 22) เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2544 ได้เห็นชอบในข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการยื่นข้อเสนอที่ สพช. กำหนดใน "เอกสารเชิญชวนเพื่อยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" และมอบหมายให้ "คณะทำงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" ที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือแต่งตั้งขึ้น ทำหน้าที่ประเมินข้อเสนอทั้งทางเทคนิคและข้อเสนอทางการเงิน สพช. จึงได้มีประกาศลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2544 เรื่อง การสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อเชิญชวนให้ผู้สนใจลงทุนและ SPP ที่ใช้พลังงานนอกรูปแบบหรือใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง ได้ยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยมีกำหนดเวลาให้ผู้สนใจติดต่อขอซื้อเอกสารเชิญชวนฯ ได้ที่ อาคารสำนักงาน สพช. ระหว่างวันที่ 16 กรกฎาคม 2544 ถึง 17 สิงหาคม 2544 และกำหนดยื่นซองข้อเสนอต่อ สพช. ในวันที่ 15 ตุลาคม 2544 ระหว่างเวลา 13.00-16.30 น.
เมื่อครบกำหนดวันที่ 17 สิงหาคม 2544 แล้ว ปรากฏว่ามีผู้สนใจซื้อเอกสารเชิญชวนฯ รวมทั้งสิ้น 66 ชุด ประกอบด้วยผู้สนใจทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวม 49 ราย แต่เนื่องจากมีผู้สนใจลงทุนหลายรายที่ไม่สามารถซื้อเอกสารเชิญชวนฯ ได้ทันภายในวันที่ 17 สิงหาคม 2544 ดังนั้น คณะทำงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน จึงได้มีการประชุมร่วมกัน เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2544 ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 3 อาคาร สพช. เพื่อหารือในประเด็นดังกล่าว และที่ประชุมมีความเห็นว่าเพื่อเปิดโอกาสให้มีผู้สนใจลงทุนสามารถยื่นข้อเสนอได้มากรายยิ่งขึ้น และจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยรวม จึงเห็นควรให้มีการขยายระยะเวลาการขอซื้อเอกสารเชิญชวนฯ ออกไปจนถึงวันที่ 28 กันยายน 2544
มติที่ประชุม
รับทราบและเห็นอนุมัติให้มีการขยายระยะเวลาการขอซื้อเอกสารเชิญชวนฯ ออกไปจนถึงวันที่ 28 กันยายน 2544 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
กอ. ครั้งที่ 24 - วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2544
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 24)
วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2544 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
4. ขออนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ"
6. โครงการฝึกอบรมเรื่อง การอนุรักษ์พลังงานในสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
7. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการวิจัยภาระไฟฟ้า
9. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง
11. การส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไม่ครบถ้วน
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2544 ว่ามียอดเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 13,677,775,898.70 ล้านบาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ได้มีหนังสือที่ นร 0905/ว 1548 ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2544 เพื่อเวียนขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 5) เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ส่วนที่ 2 : เกษตรกรรายย่อย (ระยะที่ 2) ในส่วนเงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ ในวงเงิน 19,696,800 บาท (สิบเก้าล้านหกแสนเก้าหมื่นหกพันแปดร้อยบาทถ้วน) โดย กสก. ไม่ขอรับเงินค่าบริหารโครงการฯ เพิ่มเติมนั้น
กรรมการกองทุนฯ ได้แจ้งผลการพิจารณาให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทราบแล้วรวม 15 ท่าน และมีกรรมการ 4 ท่าน ที่ไม่ได้แจ้งผลการพิจารณา และฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งมติผลการพิจารณาให้เจ้าของโครงการฯ ทราบแล้ว ซึ่งสรุปผลการพิจารณาได้ดังนี้
(1) อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ส่วนที่ 2 : เกษตรกรรายย่อย (ระยะที่ 2) ในส่วนเงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ ในวงเงิน 19,696,800 บาท (สิบเก้าล้านหกแสนเก้าหมื่นหกพันแปดร้อยบาทถ้วน)
(2) เห็นชอบให้ กสก. ปรับเพิ่ม/ลดกิจกรรมบางรายการให้สอดคล้องกับปริมาณงานเพิ่มขึ้น และสามารถถัวจ่ายเงินในส่วนค่าบริหารโครงการฯ ที่ได้รับการอนุมัติแล้วจากคณะกรรมการกองทุนฯ และคงเหลืออยู่ได้ตามที่เสนอมา ยกเว้น ค่าบริหารโครงการฯ กิจกรรมที่ 2 หมวดค่าตอบแทน รายการที่ 2.1-2.5 ให้การเบิกจ่ายอยู่ในอัตราที่เหมาะสมและเป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง
(3) วัสดุก่อสร้างและเครื่องมือต่างๆ ของโครงการฯ ให้ กสก. ส่งเสริมการใช้ของที่ผลิตขึ้นภายในประเทศ แทนการใช้ของที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อลดต้นทุนค่าก่อสร้างและสามารถดำเนินงานได้อย่างรวดเร็ว
มติที่ประชุม
รับรองมติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการเวียนขอความเห็นชอบ ครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 5)
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ฯ ปีงบประมาณ 2544 ที่ปรับปรุงใหม่ พร้อมทั้งอนุมัติให้ สพช. นำงบประมาณโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบปี 2545 จำนวน 150 ล้านบาท มาสมทบเพื่อให้ดำเนินงานประชาสัมพันธ์ได้อย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีงบประมาณ 2545 โดยในปีงบประมาณ 2544 สพช. ได้ดำเนินกิจกรรมไปแล้ว 15 กิจกรรม เป็นเงินทั้งสิ้น 177,056,940.61 บาท และกำลังดำเนินการคัดเลือกอีก 6 กิจกรรม เป็นเงินประมาณ 23,500,000 บาท รวมเป็นเงินที่ใช้ไปทั้งสิ้น 200,556,940.61 บาท โดยเป็นงบประมาณปี 2544 จำนวน 150,000,000 บาท และงบประมาณปี 2545 จำนวน 50,556,940.61 บาท ดังนั้นจึงขอใช้งบประมาณปี 2545 ที่ได้รับอนุมัติให้นำมาสมทบใช้ในปี 2544 เพียงจำนวน 50,556,940.61 บาท
สำหรับแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในปี 2545-2549 สพช. ได้กำหนดหลักเกณฑ์การสื่อสารโดยคำนึงถึงประเด็นใหม่ มีแรงจูงใจที่ดี สามารถวัดผลได้ มีผลกระทบในการรณรงค์ต่อประชาชนซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการและสร้างกระแสในหมู่ประชาชนและเปิดโอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงานพร้อมทั้งเสนอแนะวิธีการอนุรักษ์พลังงานที่ได้ทำไปแล้วอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำให้ประชาชนเข้าใจและตระหนักถึงบทบาทสำคัญของตนที่มีส่วนในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งของตนเองและของประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการใช้กิจกรรมรณรงค์สนับสนุนเพื่อกระตุ้นให้มีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้พลังงานอีกด้วย โดยแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ ปี 2545-2549 มีรายละเอียดดังนี้
วัตถุประสงค์ของโครงการ
1. เพื่อสานต่อประเด็นรณรงค์ที่มีผลกระทบต่อประชาชนทั่วประเทศ ให้มีความต่อเนื่อง เพื่อทำให้โครงการฯ มีประสิทธิผลสูงสุด
2. เพื่อสร้างความภาคภูมิใจในการมีส่วนร่วมช่วยชาติประหยัดพลังงาน รวมถึงส่งผลดีในด้านการประหยัดค่าใช้จ่ายโดยตรงให้กับประชาชน
3. เพื่อกระตุ้นให้ประชาชน ลดการใช้พลังงานส่วนเกินในชีวิตประจำวันโดยทันทีและปฏิบัติให้เป็นนิสัยตลอดไป
4. เพื่อแนะนำวิธีประหยัดพลังงานในแนวทางต่างๆ ซึ่งสามารถนำไปปฏิบัติได้ทันทีและมีค่าใช้จ่ายน้อย
กลยุทธ์โดยรวม ประกอบด้วย
1) ใช้ยุทธวิธีสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายในเชิงรุก (Targeting Hierarchy Approach)
2) สื่อสารภายใต้โครงการรวมพลังหาร 2 (Branding Concept)
3) สร้างสรรค์แคมเปญในรูปสื่อผสมผสาน (Integrated Communication)
กลยุทธ์ของแผนแต่ละปี
ปี 2545
โครงการสร้างเสริมความเข้าใจถึงผลของการประหยัดพลังงานที่มีต่อเศรษฐกิจของประเทศ
โครงการประหยัดไฟ กำไร 2 ต่อ (ระยะที่ 2)
โครงการรวมพลัง หยุดรถซดน้ำมัน (ระยะที่ 2)
กิจกรรมสนับสนุนเพื่อสร้างจิตสำนึก
การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน
ปี 2546
การประหยัดพลังงานในสาขาขนส่ง
ปี 2547-2578
โครงการอุปกรณ์มาตรฐานที่มีประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงานและโครงการสัญลักษณ์ประหยัดพลังงาน
ปี 2549
โครงการรีไซเคิล เพื่อประหยัดพลังงาน
งบประมาณของแผน 5 ปี เป็นจำนวนเงิน 1,000 ล้านบาท ดังนี้
ปีงบประมาณ 2545 เป็นจำนวนเงิน 200 ล้านบาท
ปีงบประมาณ 2546 เป็นจำนวนเงิน 200 ล้านบาท
ปีงบประมาณ 2547-48 เป็นจำนวนเงิน 400 ล้านบาท
ปีงบประมาณ 2549 เป็นจำนวนเงิน 200 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการดำเนินงานโครงการประชาสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544- 2545 โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 200,556,940.61 บาท
2. เห็นชอบในหลักการตามแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2545 - 2549 ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท
3. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2545 ในวงเงิน 200 ล้านบาท
4. ให้ สพช. ดำเนินการตามแผนฯ โดยให้คัดเลือกผู้รับจ้างดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุฯ และให้นำผลการคัดเลือกเสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน พิจารณาอนุมัติต่อไป
เรื่องที่ 4 ขออนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ"
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อ วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2544 มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544 ซึ่งประกอบด้วย 3 กิจกรรมหลัก ดังนี้
1) กิจกรรมที่ 1 ชุด "โปรโมทการแข่งขันประหยัดไฟฟ้า"
2) กิจกรรมที่ 2 ชุด "โปรโมทการแข่งขันการขับรถยนต์อย่างถูกวิธีเพื่อประหยัดน้ำมัน"
3) กิจกรรมที่ 3 ชุด "โปรโมทการเติมออกเทน 91"
โดยเห็นชอบสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม จากงบประมาณที่คณะกรรมการกองทุนได้อนุมัติกรอบไว้ในแผนงานสนับสนุนอีกจำนวน 800 ล้านบาท สำหรับกิจกรรมที่ 1 "โปรโมทการแข่งขันประหยัดไฟฟ้า" เพื่อให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ใช้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าหรือแรงจูงใจอื่นที่ทำให้ประชาชนเข้าร่วมโครงการ โดยให้ สพช. ทำรายละเอียดโครงการเพื่อนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
กฟภ. และ กฟน. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในการดำเนินโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์และเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตพื้นที่จำหน่ายไฟฟ้าภูมิภาคและไฟฟ้านครหลวง โดย กฟภ. ขอรับการสนับสนุนในวงเงิน 408,999,000 บาท และ กฟน. ขอรับการสนับสนุนในวงเงิน 289,166,000 บาท
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบโครงการและค่าใช้จ่ายที่ กฟภ. และ กฟน. เสนอ โดยมีข้อสังเกตในส่วนของการประชาสัมพันธ์โครงการว่าเห็นควรให้ กฟภ. และ กฟน. นำรูปแบบของสื่อต่างๆ ที่จะเผยแพร่ เสนอให้ สพช. พิจารณาปรับให้เป็นในแนวทางเดียวกัน ก่อนทำการผลิตและเผยแพร่ต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2545 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ในส่วนการประชาสัมพันธ์และส่วนลดค่าไฟฟ้าให้ กฟภ. และ กฟน. ดังนี้
1) ให้การสนับสนุน กฟภ. ในวงเงิน 408,999,000 บาท โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
ส่วนการประชาสัมพันธ์ ในวงเงิน 7,602,000 บาท
ส่วนลดค่าไฟฟ้า ให้เบิกจ่าย ตามเงินส่วนลดที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนกันยายน 2544 - สิงหาคม 2545 ในวงเงิน 401,397,000 บาท
2) ให้การสนับสนุน กฟน. ในวงเงิน 289,166,000 บาท โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
ส่วนการประชาสัมพันธ์ ในวงเงิน 7,946,000 บาท
ส่วนลดค่าไฟฟ้า ให้เบิกจ่าย ตามจำนวนเงินส่วนลดที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนกันยายน 2544 - สิงหาคม 2545 ในวงเงิน 281,220,000 บาท
2. เห็นชอบในหลักการในการอนุมัติเงินกองทุนฯ เพิ่มเติมให้แก่ กฟภ. และ กฟน. ในกรณีที่ส่วนลดค่าไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริง มีจำนวนเกินกว่า จำนวนที่ได้รับอนุมัติในข้อ 1
3. ให้ กฟภ. และ กฟน. นำรูปแบบของสื่อต่างๆ ที่จะเผยแพร่ เสนอให้ สพช. พิจารณาปรับให้เป็นในแนวทางเดียวกัน ก่อนทำการผลิตและเผยแพร่
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม 2540 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการบูรณาการกระบวนการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม และให้ สพช. ดำเนินการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในวงเงิน 302,681,438 บาท
สพช. ได้ว่าจ้างสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยดำเนินโครงการฯ โดยมีเป้าหมายในการจัดทำหลักสูตรและสื่อการศึกษาเรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา พร้อมทั้งฝึกหัดครูในโรงเรียนนำร่อง 600 โรงเรียนทั่วประเทศ โดยมีระยะเวลาดำเนินงานตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2540 - มกราคม 2544 ซึ่งใช้งบประมาณในการดำเนินการทั้งสิ้น 288,699,724 บาท โดยสรุปผลการดำเนินโครงการฯ ได้ดังนี้
1) มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 600 โรงเรียน ใน 30 จังหวัด
2) บุคลากรกลุ่มต่างๆ ได้แก่ผู้บริหาร โรงเรียน ครู นักเรียน ผู้นำชุมชนแกนนำระดับจังหวัดได้รับการฝึกอบรม รวมทั้งสิ้น 55,020 คน
3) ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนต้นแบบด้านการบริหารจัดการ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมส่งเสริมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม การจัดกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์ โดยแบ่งเป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา 30 โรงเรียน และระดับมัธยมศึกษา 30 โรงเรียน
4) เกิดชุมชนตัวอย่างในการป้องกันแก้ไขเรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น รวมทั้งสิ้น 120 ชุมชน
ทั้งนี้การประเมินผลโครงการฯ โดยบริษัทมาร์เก็ต ซับพอร์ท สรุปได้ว่าในภาพรวม โครงการประสบความสำเร็จในระดับค่อนข้างดี และสมควรขยายผลการดำเนินการต่อไป ซึ่งหลังจากที่โครงการฯ ได้ดำเนินงานเสร็จสิ้นลง สพช. ได้นำผลการประเมินเสนอต่อคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อมิให้เกิดการชะงักงันของโครงการ
สพช. จึงได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและผู้มีประสบการณ์กับโครงการฯ เข้าร่วมประชุมพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการในระยะต่อไปเพื่อให้โครงการฯ ขยายผลต่อไปในทิศทางที่มีประสิทธิภาพ สูงสุด ซึ่งสรุปผลการประชุมได้ดังนี้
1. เห็นควรให้การสนับสนุนกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์พลังงานฯ แก่โรงเรียนที่เคยเข้าร่วมโครงการฯ มาแล้วในระยะที่ 1 โดยมีหลักเกณฑ์ว่าต้องเป็นโรงเรียนที่มีความพร้อมที่จะเป็นแบบอย่างของการเรียนการสอนด้านพลังงานและการอนุรักษ์พลังงานให้กับโรงเรียนใกล้เคียงได้ด้วย
2. ให้จัดทำประกาศคณะอนุกรรมการฯ เรื่องการเปิดให้การสนับสนุนองค์กร/หน่วยงาน เพื่อมาทำหน้าที่บริหารโครงการฯ ระยะที่ 2
3. ให้จัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการโครงการฯ ขึ้น เพื่อทำหน้าที่พิจารณาโครงการที่โรงเรียนต่างๆ เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
4. ขั้นตอนการดำเนินงาน
1) เมื่อคณะกรรมการกองทุนฯ ให้ความเห็นชอบร่างประกาศฯ แล้ว สพช. จะดำเนินการประกาศเรื่องการเปิดให้การสนับสนุนองค์กร/หน่วยงาน เพื่อมาทำหน้าที่บริหารโครงการฯ
2) หน่วยงานที่สนใจเสนอข้อเสนอโครงการพร้อมค่าใช้จ่าย
3) คณะอนุกรรมการฯ เป็นผู้พิจารณาคัดเลือกหน่วยงาน/องค์กรที่จะดำเนินการบริหารโครงการฯ และอนุมัติงบประมาณในการบริหารงาน
4) คณะอนุกรรมการฯ ประกาศให้การสนับสนุนโรงเรียนที่อยู่ในโครงการเดิม โดยให้โรงเรียนเสนอขอรับการสนับสนุนภายใต้กรอบที่คณะอนุกรรมการฯ กำหนด
5) หน่วยงาน/องค์กรบริหารโครงการฯ ที่ได้รับคัดเลือกจะเป็นศูนย์กลางรับข้อเสนอโครงการที่เสนอมาจากโรงเรียนโดยตรง และดำเนินการวิเคราะห์ข้อเสนอโครงการที่โรงเรียนเสนอขอรับการสนับสนุน และจัดทำสรุปโครงการที่มีความเหมาะสมได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เสนอต่อคณะกรรมการอำนวยการโครงการฯ เพื่อพิจารณาคัดเลือกโรงเรียนต่อไป
6) คณะกรรมการอำนวยการฯ รวบรวมโรงเรียนที่สมควรได้รับการสนับสนุนและเสนอขอรับการสนับสนุนด้านงบประมาณต่อคณะอนุกรรมการฯ
7) สพช. ทำหน้าที่ติดตามและประเมินผลโครงการ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานโครงการฯ และให้ สพช. ดำเนินการประกาศเพื่อเปิดให้ทุนสนับสนุนองค์กร/หน่วยงาน เพื่อมาทำหน้าที่บริหารโครงการฯ ตามร่างประกาศฯ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ แล้ว
เรื่องที่ 6 โครงการฝึกอบรมเรื่อง การอนุรักษ์พลังงานในสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ 23 พฤศจิกายน 2542 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (จุฬาฯ) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมการอนุรักษ์พลังงาน ในสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในวงเงิน 2,693,900 บาท โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้หลักสูตรดังกล่าวในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่และบุคลากรของสถานประกอบการ SMEs ซึ่งจุฬาฯ ได้ดำเนินการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมฯ เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยจะใช้หลักสูตรดังกล่าวในการฝึกอบรมอย่างเหมาะสม ซึ่งวิทยากรผู้ฝึกอบรมสามารถเลือกเนื้อหาเฉพาะในส่วนที่สอดคล้องกับความต้องการของ SMEs แต่ละประเภท โดยไม่จำเป็นต้องฝึกอบรมในทุกเนื้อหา แต่จะมุ่งเน้นให้มีการนำกรณีตัวอย่าง รูประบบการใช้งานจริงจากโรงงานหรือสถานประกอบการต่างๆ มาประกอบการฝึกอบรม เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และสามารถนำไปใช้ให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้อย่างแท้จริงต่อไป
ทั้งนี้ การดำเนินการส่งเสริม SMEs ที่ผ่านมาของกองทุนฯ แบ่งเป็น 3 ลักษณะ คือ
1. การสนับสนุนเป็นสัดส่วนของเงินลงทุนทางด้านอุปกรณ์และเทคโนโลยี
2. การใช้เทคนิคการจัดการด้านวิศวกรรมเพื่อตรวจวัดและปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรม
3. สพช. เห็นว่า การฝึกอบรมหลักสูตรการประหยัดและอนุรักษ์พลังงานใน SMEs น่าจะเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้พลังงานใน SMEs ได้อย่างเร็วที่สุด จึงใคร่ขอเสนอแนวทางในการดำเนินการด้านการฝึกอบรมดังนี้
1) ผู้มีสิทธิ์ยื่นข้อเสนอโครงการฯ ต้องเป็นหน่วยงานที่มีสถานที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
2) คณะผู้เชี่ยวชาญที่แต่งตั้งโดย สพช. จะวิเคราะห์และกลั่นกรองข้อเสนอโครงการที่แต่ละหน่วยงานได้เสนอมา ตามเกณฑ์ที่ สพช. กำหนด
3) หากคณะผู้เชี่ยวชาญฯ มีความเห็นให้ปรับปรุงข้อเสนอโครงการประการใด สพช. จะสรุปความเห็นของคณะผู้เชี่ยวชาญฯ และแจ้งให้หน่วยงานปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้สมบูรณ์และชัดเจนยิ่งขึ้น
4) สพช. จะนำโครงการที่ได้รับการปรับปรุงสมบูรณ์แล้ว เสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติให้การสนับสนุน ในวงเงิน 10 ล้านบาท และเสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติในวงเงินเกินกว่า 10 ล้านบาท
มติที่ประชุม
เห็นชอบแนวทางในการดำเนินงานและร่างประกาศเรื่องการเปิดให้ทุนสนับสนุนการจัดฝึกอบรม เรื่องการอนุรักษ์พลังงานในสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) หลังจากที่ได้มีการปรับตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ
เรื่องที่ 7 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการวิจัยภาระไฟฟ้า
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ยื่นข้อเสนอโครงการวิจัยภาระไฟฟ้า เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 8/2544 (ครั้งที่ 53) เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2544 และเห็นควรให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาลักษณะการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทต่างๆ ในพื้นที่ของ กฟภ. เพื่อนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาใช้ในการวางแผนการลงทุนทางด้านไฟฟ้าและการอนุรักษ์พลังงาน เช่น การพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า การจัดทำอัตราค่าไฟฟ้าที่สะท้อนถึงการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าอย่างแท้จริง การกำหนดมาตรการเพื่อให้การใช้ไฟฟ้าตามแนวทางที่กำหนดไว้ การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาของการใช้ (Time of Use Rate) เป็นต้น โดยจะติดตั้งเครื่องมือบันทึกวิจัยภาระไฟฟ้าแบบ Automatic Meter Reading (AMR) ให้กลุ่มตัวอย่างตามที่ กฟภ. ได้คัดเลือกไว้แล้ว จำนวน 3,263 ราย แบ่งเป็นสถานีจ่ายไฟฟ้าจำนวน 132 สถานี และผู้ใช้ไฟฟ้าจำนวน 3,131 ราย ตามประเภทของกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ส่วนราชการ และองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรบ้านพักอาศัย กิจการขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ ธุรกิจเฉพาะอย่าง และการสูบน้ำเพื่อการเกษตร โดยภายหลังจากการดำเนินโครงการสิ้นสุดแล้ว กฟภ. จะดำเนินการจัดเก็บข้อมูลและศึกษาลักษณะการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าตัวอย่างอย่างต่อเนื่องต่อไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ให้ความเห็นว่าโครงการนี้มีความชัดเจนในเรื่องของการดำเนินการ แต่งงบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในส่วนของค่าเครื่องวัดและอุปกรณ์ประกอบ (Electronic meter) ที่ กฟภ. ได้เสนอมาในครั้งแรกราคาค่อนข้างสูงประมาณชุดละ 26,000 บาท กฟภ. จึงได้ปรับราคาของ Electronic meter เหลือเพียงชุดละ 15,000 บาท ดังนั้นจึงทำให้ประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการฯ ลดลงคงเหลือเพียง 98,831,933 บาท โดยจะใช้งบประมาณของ กฟภ. 47,578,966.50 บาท และส่วนที่เหลือจะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ 51,252,966.50 บาท
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้ กฟภ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการวิจัยภาระไฟฟ้า ในวงเงิน 51,252,966.50 บาท (ห้าสิบเอ็ดล้านสองแสนห้าหมื่นสองพันเก้าร้อยหกสิบหกบาทห้าสิบสตางค์) โดยมีเงื่อนไขให้ กฟภ. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
(1) พิจารณาความถูกต้องและเหมาะสมของจำนวนข้อมูล รูปแบบและวิธีการจัดเก็บข้อมูลเพื่อให้ Load Profile ที่ได้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ได้ครบถ้วน ดังนี้
แสดงรายละเอียดวิธีการหาจำนวนตัวอย่าง (Sample Size) ให้ชัดเจน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเหมาะสมของจำนวนตัวอย่าง และจำนวนเครื่องมือวัดฯ ที่ใช้ในโครงการฯ พร้อมทั้งอธิบายหลักเกณฑ์ในการกำหนดค่าทางสถิติต่างๆ ที่ใช้ในการคำนวณหาจำนวนตัวอย่างในโครงการฯ เช่น ค่า Confident Level ค่าความผิดพลาด เป็นต้น
เพื่อให้ผลที่ได้รับจากโครงการฯ สามารถรองรับการแข่งขันกิจการไฟฟ้าในอนาคต เห็นควรให้ กฟภ. เพิ่มจำนวนตัวอย่างในกลุ่มประเภทบ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็กให้มากขึ้น เพื่อเป็นตัวแทน Load Profile ที่ดี มีความน่าเชื่อถือและให้ลดจำนวนเครื่องวัดในกลุ่มตัวอย่างอื่นลง โดยให้ กฟภ. ใช้เครื่องวัดไฟฟ้าแบบ TOU ที่ กฟภ. มีอยู่แล้วเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล Load Profile ของจำนวนตัวอย่างที่ลดลงดังกล่าวนั้น และเห็นควรให้ กฟภ. นำข้อมูล Load Profile ที่เก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าที่ติดตั้งเครื่องวัดไฟฟ้าแบบ TOU มาร่วมวิเคราะห์เพิ่มเติมด้วย เพื่อให้งานของโครงการนี้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
เพิ่มเติมการเก็บข้อมูลของผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีความสัมพันธ์กับปริมาณการใช้ไฟฟ้า เช่น อุณหภูมิ พื้นที่โรงงาน/อาคาร จำนวนคนงาน จำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้า ขนาดหม้อแปลง เป็นต้น เพื่อให้ข้อมูลที่ได้จากโครงการฯ สามารถนำไปใช้ในงานอื่นได้หลากหลายยิ่งขึ้น เช่น การวางแผนระบบไฟฟ้า เป็นต้น
(2) มอบหมายให้ สพช. ดูแลในเรื่องการจัดซื้อจัดหาเครื่องวัดและอุปกรณ์ประกอบ (Electronic meter) เพื่อให้มีราคากลางที่เหมาะสมและเป็นไปตามราคาตลาดปัจจุบัน
(3) หาก กฟภ. สามารถดำเนินการตามข้อ (1) และ ข้อ (2) ได้ครบถ้วนแล้ว กฟภ. ต้องปรับข้อเสนอโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ด้วย
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอีก
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2538 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2538 ได้อนุมัติเงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 26,050,000 บาท (ยี่สิบหกล้านห้าหมื่นบาทถ้วน) ให้ ศูนย์ปฏิบัติการวิศวกรรมพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะ
มก. ได้ดำเนินโครงการฯ บนพื้นที่ฝังกลบขยะ ขนาด 65 ไร่ ของบริษัทกลุ่ม 79 อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม และก่อสร้างหลุมดูดก๊าซและระบบรวบรวมก๊าซ โดยเลือกเจาะในแนวตั้งเสร็จเรียบร้อย จำนวน 39 หลุม เพื่อรวบรวมก๊าซชีวภาพและนำไปเป็นเชื้อเพลิงป้อนให้กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 435 kW จำนวน 2 เครื่อง ที่ มก. ได้รับสนับสนุนจากกองทุนฯ ในการจัดซื้อจากประเทศออสเตรเลีย แต่ปรากฏว่าปริมาณก๊าซชีวภาพที่ได้มีเพียง 180 m3/hr ไม่เพียงพอกับความต้องการของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าฯ โดยปัญหาเกิดจากระดับน้ำชะขยะสูง (leachate) ในขณะที่กองขยะมีความสูงแค่ 10 เมตร ส่งผลให้ก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้นมีปริมาณน้อยเกินไป
จากปัญหาดังกล่าว มก. จึงขอรับความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคจากผู้เชี่ยวชาญของ United States Environmental Protection Agency (USEPA) ประเทศสหรัฐอเมริกา มาให้คำแนะนำและร่วมปรับปรุงปริมาณและคุณภาพก๊าซ โดย มก. ได้รับการอนุญาตจากบริษัทกลุ่ม 79 ให้ใช้พื้นที่ฝังกลบขยะแห่งใหม่ อยู่ห่างจากหลุมเดิมประมาณ 3.6 กิโลเมตร ซึ่งมีความสูงของชั้นขยะ 18 เมตร และเมื่อทำการขุดเจาะสำรวจแนวนอน จำนวน 2 หลุม พบว่าได้ปริมาณก๊าซที่มีคุณภาพและใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ ดังนั้น มก. จึงได้สร้างหลุมแนวนอนเพิ่มอีก 4 หลุม มีความยาวหลุมละ 100 เมตร ซึ่งมีปริมาณก๊าซเพียงพอที่จะเป็นแหล่งพลังงานให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 435 kW จำนวน 1 เครื่อง
มก. จึงได้จัดทำข้อเสนอโครงการฯ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 7/2544 (ครั้งที่ 52) และเห็นควรให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา โดยมีข้อเสนอแนะประเด็นสำคัญคือ เนื่องจากโครงการนี้ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนทางด้านการเงินจาก 2 แหล่งเงินทุน คือ กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) ซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจไม่ได้รับทุนสนับสนุนจาก GEF จนทำให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงมีมติให้ มก. แยกการดำเนินงานและงบประมาณที่ขอการสนับสนุนของแต่ละกองทุนฯ เป็นรายกิจกรรมให้ชัดเจน ไม่อนุมัติให้กิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งใช้เงินจากงบประมาณทั้ง 2 แหล่ง
มติที่ประชุม
1. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานงานกับ มก. ในวิธีการเจรจาเพื่อให้ได้รับเงินสนับสนุนจาก GEF
2. ให้ มก. แยกงานและเงินเป็นรายกิจกรรมให้ชัดเจน เพื่อมิให้มีการผูกกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งเข้ากับงบประมาณทั้งสองแหล่ง
3. ให้ มก. พิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุนของโครงการนี้ถ้าจะเปลี่ยนที่ตั้งโรงไฟฟ้าให้มาอยู่ในบริเวณใกล้แหล่งรวบรวมก๊าซแห่งใหม่ แทนการเดินท่อก๊าชไปยังโรงไฟฟ้า ณ สถานที่เดิม และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำกลับมาให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
เรื่องที่ 9 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เทศบาลนครระยอง ได้ยื่นข้อเสนอโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำโครงการดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 7/2544 (ครั้งที่ 52) เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2544 และได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจะสาธิตนำร่องการแก้ไขปัญหาในเรื่องของผลกระทบที่เกิดจากการกำจัดมูลฝอย โดยจัดตั้งศูนย์สาธิตการแปรรูปมูลฝอยของชุมชน ซึ่งประกอบด้วย การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการคัดแยกมูลฝอย การคัดแยกวัสดุเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ การแปรรูปมูลฝอยอินทรีย์ ด้วยการย่อยสลายแบบไร้ออกซิเจน (Anaerobic Digestion) เพื่อให้ได้ก๊าซชีวภาพอันเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงานและปุ๋ยอินทรีย์ การหมักปุ๋ย และการกำจัดโดยการฝังกลบแบบถูกหลักสุขาภิบาลให้อยู่ภายในบริเวณเดียวกัน เพื่อลดต้นทุนในการกำจัดและเกิดประสิทธิภาพในการบริหารและการควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการกำจัดมูลฝอย
เทศบาลนครระยอง ได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นประมาณ 167 ล้านบาท ประกอบด้วย
รายการ | งบประมาณ |
(1) อาคารและระบบรับและคัดแยกมูลฝอย | 32,637,250 |
(2) กระบวนการย่อยสลายโดยไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic Digestion) | 96,200,900 |
(3) งานปรับปรุงพื้นที่และระบบสาธารณูปโภค | 14,515,000 |
(4) อุปกรณ์และเครื่องจักร | 994,000 |
(5) ค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด ประมาณ 5% ของรายการ 1-4 | 7,217,358 |
(6) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและจัดการ |
15,114,000 |
รวม | 166,678,508 |
คณะอนุกรรมการฯ เห็นควรให้เทศบาลนครระยองเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโครงการฯ โดยให้ เทศบาลฯ รับภาระค่าใช้จ่ายในงานปรับปรุงพื้นที่และระบบสาธารณูปโภคและค่าอุปกรณ์และเครื่องจักร ส่วนค่าเผื่อเหลือเผื่อขาดให้เทศบาลฯ สามารถนำมาใช้ได้ในกรณีเกิดการเปลี่ยนแปลงอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ซึ่งต้องให้ สพช. เห็นชอบก่อนเบิกจ่ายทุกครั้ง สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและจัดการ เห็นควรให้การสนับสนุนไม่เกินวงเงินร้อยละ 5 ของ วงเงินรวมที่กองทุนฯ ให้การสนับสนุน ทั้งนี้คณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ ภายในวงเงิน 142,858,283 บาท
มติที่ประชุม
ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ตรวจสอบความซ้ำซ้อนของแหล่งเงินทุน แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ซึ่งเป็นอาคารควบคุมส่วนราชการ มีอาคารจำนวน 129 อาคาร คิดเป็นพื้นที่ใช้สอย 739,483 ตารางเมตร ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ซึ่ง พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 19) เมื่อวันอังคารที่ 3 กรกฎาคม 2544 และคณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 เพื่อจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เป็นเงิน 10,307,996 บาท (สิบล้านสามแสนเจ็ดพันเก้าร้อยเก้าสิบหกบาทถ้วน)
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 เพื่อจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานให้กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ในวงเงิน 10,307,996 บาท (สิบล้านสามแสนเจ็ดพันเก้าร้อยเก้าสิบหกบาทถ้วน) ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับเสนอ
เรื่องที่ 11 การส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไม่ครบถ้วน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 กำหนดโทษผู้ประกอบการที่ส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไม่ครบถ้วนหรือล่าช้า จะถูกดำเนินคดี โดยมีบทกำหนดโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงสองปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสิบล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นการลงโทษที่ค่อนข้างรุนแรงเกินมูลเหตุและเจตนาแห่งการกระทำผิด จึงเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในประเด็น ดังนี้
(1) ขอความเห็นชอบในหลักการให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 58 ในส่วนของบทลงโทษ กรณีการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไม่ครบถ้วนหรือล่าช้านั้น ให้กำหนดโทษให้เหมาะสมกับสภาพแห่งการกระทำผิด และคำนึงถึงมูลเหตุและเจตนาแห่งการกระทำของผู้ประกอบการและมูลค่าของเงินที่นำส่งเข้ากองทุนฯ ผิดพลาด โดยมอบหมายให้ สพช. และ พพ. รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
(2) ขอความเห็นชอบในหลักการให้มีการวางเงินประกันการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้กรมสรรพสามิตเปิดบัญชีเงินฝากสำหรับเงินวางประกันของผู้ประกอบการแต่ละราย และให้อธิบดีกรมสรรพสามิตเป็นผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้ประกอบการรายที่ส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไม่ครบถ้วนนั้น ตามจำนวนเงินที่ส่งขาดพร้อมเงินเพิ่ม แล้วให้กรมสรรพสามิตส่งเข้าบัญชีกองทุนฯ โดยมอบหมายให้ กรมสรรพสามิตและ สพช. รับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 58 ในส่วนของบทลงโทษ กรณีการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไม่ครบถ้วนหรือล่าช้านั้น ให้กำหนดโทษให้เหมาะสมกับสภาพแห่งการกระทำผิด และคำนึงถึงมูลเหตุและเจตนาแห่งการกระทำของผู้ประกอบการและมูลค่าของเงินที่นำส่งเข้ากองทุนฯ ผิดพลาด โดยมอบหมายให้ สพช. และ พพ. รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
2. เห็นชอบในหลักการให้มีการวางเงินประกันการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้กรมสรรพสามิตเปิดบัญชีเงินฝากสำหรับเงินวางประกันของผู้ประกอบการแต่ละรายและถือเสมือนว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่ผู้ประกอบการส่งเข้ากองทุนฯ ไว้ล่วงหน้า โดยให้อธิบดีกรมสรรพสามิตเป็นผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้ประกอบการรายที่ส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไม่ครบถ้วนนั้น ตามจำนวนเงินที่ส่งขาดพร้อมเงินเพิ่ม แล้วให้กรมสรรพสามิตส่งเข้าบัญชีกองทุนฯ โดยมอบหมายให้ กรมสรรพสามิตและ สพช. รับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป