อนุ กอ. ครั้งที่ 6 - วันจันทร์ที่ 25 ธันวามคม 2549
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 5/2549 (ครั้งที่ 6)
วันที่ 25 ธันวาคม 2549 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิติพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้พิจารณาแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2550-2554 แล้วและเห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในช่วงปีงบประมาณ 2550-2554 โดยให้ปรับลดเป้าหมายพลังงานแสงอาทิตย์ลงเป็น 45 MW เพิ่มเป้าหมายของพลังงานลมเป็น 115 MW ปรับลดเป้า NGV เป็น 251,600 คัน สำหรับแนวทางดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในขนส่งนั้น เห็นชอบกรอบแผนงานตามที่เสนอ และเมื่อแผนงานทางกระทรวงคมนาคมชัดเจนขึ้นแล้ว คณะกรรมการกองทุนฯ จะพิจารณารายละเอียดภายหลัง
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้พิจารณาแผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 แล้ว และได้อนุมัติตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ แต่เนื่องจากอาจมีโครงการที่บรรจุอยู่ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 อาจจะซ้ำซ้อนกับงานวิจัยที่หน่วยงานอื่นได้ดำเนินการแล้ว จึงเห็นควรให้คณะอนุกรรมการกองทุนฯ พิจารณารายละเอียดโครงการอีกครั้ง ก่อนนำไปดำเนินการ โดยเชิญผู้แทนจาก 3 หน่วยงานได้แก่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เข้าร่วมให้ความเห็นด้วย ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอให้ผู้แทนจาก 3 หน่วยดังกล่าวที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ได้พิจารณาให้ความเห็นแผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ด้วย
มติที่ประชุม
เห็นด้วยกับแผนปฏิบัติการการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบไว้แล้ว
กอ. ครั้งที่ 44 - วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม 2549
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44)
วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม 2549 เวลา 13.30 น
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
4. เห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการที่เป็นงานต่อเนื่องและผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการกองทุนฯ แล้ว
5. ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กระทรวงพลังงาน ผู้เข้าร่วมการประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เนื่องจากประธานกรรมการกองทุนฯ ติดภารกิจเร่งด่วน จึงมอบหมายให้ทำหน้าที่ประธานในการประชุมไปพรางก่อน
เรื่องที่ 1 แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 ได้มติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนฯ เรียบร้อยแล้ว จำนวน 7 ท่าน ตามรายนามดังต่อไปนี้
1. นายปิยะวัติ บุญ-หลง
2. นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์
3. นายกฤษณพงศ์ กีรติกร
4. นายอรรจน์ เศรษฐบุตร
5. นายยอดเยี่ยม เทพธรานนท์
6. นางสาวพรทิพย์ จาละ
7. นายพรายพล คุ้มทรัพย์
มติที่ประชุม
รับทราบ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงาน ประมาณการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและงบการเงินที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบเรียบร้อยแล้วให้ที่ประชุมรับทราบ ซึ่งมีประมาณการรับ-จ่ายเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 คงเหลือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2550 ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท | |
เงินคงเหลือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2549 | 4,915.24 |
บวก ประมาณการรายรับ ปี 2550 | 1,400.00 |
รวมเงินคงเหลือ | 6,315.24 |
หัก ประมาณการรายจ่าย ปี 2550 | (3,641.18) |
ประมาณการเงินคงเหลือ ณ วันที่ 30 ก.ย. 2550 | 2,674.06 |
มติที่ประชุม
รับทราบ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้คณะกรรมกองทุนฯ รับทราบถึงกรอบแผนอนุรักษ์ฯ ระยะที่ 3 โดยสรุป ดังนี้
1. ความเป็นมา
1.1 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุม เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2547 ได้อนุมัติกรอบแผนอนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) ตามข้อเสนอของคณะกรรมการกองทุนฯ และเห็นชอบให้คณะกรรมการกองทุนฯ โดยมีเป้าหมายตามยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศที่จะลดอัตราส่วนการใช้พลังงานต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจาก 1.4:1 เป็น 1:1 ภายในปี 2551 และเพิ่มอัตราส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 8 ภายในปี 2554
1.2 ผลการดำเนินการในปี 2548 และปี 2549 คาดว่าเมื่อโครงการดำเนินงานจนครบอายุการใช้งานของอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีแล้ว จะลดการใช้พลังงานได้ 2,490 ktoe/ปี หรือคิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 47,310 ล้านบาท อัตราการใช้พลังงานต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจาก 1.4:1 เป็น 1.2:1 เพิ่มอัตราส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 3 และยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่น ลดการก่อมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
2. ทบทวนแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ในช่วงที่เหลือ (ปี 2550-2554)
เป็นการทบทวนแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) จากที่ กพช. เห็นชอบไว้เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2547 โดยพิจารณาจากความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันทั้งด้านศักยภาพและมาตรการที่จะดำเนินการ รวมถึงความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านพลังงานของประเทศ และนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
2.1 ยุทธศาสตร์ด้านพลังงานของประเทศ ในช่วงปี 2548-2554
ยุทธศาสตร์หลักของการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ ประกอบด้วย (1) การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด (2) การใช้พลังงานทดแทน เช่น NGV ก๊าซโซฮอล์ และไบโอดีเซล และ (3) ความมั่นคงในการจัดหาแหล่งพลังงานในประเทศและต่างประเทศ (4) การพัฒนาศูนย์กลางพลังงาน และมีมาตรการประหยัดพลังงานมาตามลำดับ โดยมุ่งเน้นใน 3 ภาคเศรษฐกิจหลักที่มีการใช้พลังงานรวมมากถึงร้อยละ 95 ได้แก่ ภาคการขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจและที่อยู่อาศัย โดยมีภาครัฐทำตัวเป็นตัวอย่างด้านประหยัดพลังงาน
2.2 นโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
"ส่งเสริมประสิทธิภาพและประหยัดการใช้พลังงาน การพัฒนาและใช้ประโยชน์พลังงานทดแทน การสำรวจและพัฒนาแหล่งพลังงานทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ รวมถึงเขตพัฒนาร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้าน การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด การกำหนดโครงสร้างราคาพลังงานที่เหมาะสม และการปรับโครงสร้างบริหารกิจการพลังงานให้เหมาะสม โดยแยกงานนโยบายและการกำกับดูแลให้มีความชัดเจน รวมทั้งส่งเสริมการแข่งขันในธุรกิจพลังงานในระยะยาว และการศึกษาวิจัยพลังงานทางเลือก" โดยกระทรวงพลังงานได้จัดทำแนวนโยบายพลังงานดังกล่าวให้มีรายละเอียดและชัดเจนมากขึ้น และเสนอ กพช. เห็นชอบเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 โดยเป็นการมุ่งเน้นการวางพื้นฐานการพัฒนาพลังงานของประเทศให้มีความมั่นคงและยั่งยืน สอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
3. แผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2550-2554
3.1 จากการทบทวนแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 เพื่อดำเนินการในช่วงปี 2550-2554 องค์ประกอบของแผนฯ ยังคงดำเนินการใน 3 แผนงาน
(1) แผนงานพัฒนาพลังงานทดแทน เป็นแผนงานเกี่ยวกับ
งานศึกษา วิจัยพัฒนา และส่งเสริมเพื่อก่อให้เกิดการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้นในการผลิตไฟฟ้า ความร้อน และเชื้อเพลิงชีวภาพ เพื่อใช้ในภาคคมนาคมขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม บ้านอยู่อาศัย ได้แก่ แสงอาทิตย์ น้ำ ลม ชีวมวล ชีวภาพ เอทานอล ไบโอดีเซล เซลล์เชื้อเพลิง ฯลฯ
งานสร้างและพัฒนาศักยภาพของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานด้านพลังงานทดแทน ได้แก่ การประชุมเชิงวิชาการ สัมมนา ฝึกอบรม ดูงาน ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี โท เอก
งานเผยแพร่ข้อมูล สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนทั่วไป เพื่อรู้จักพลังงานทดแทน พลังงานทางเลือก ให้ถูกต้อง อาทิ ชีวมวล ชีวภาพ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน นิวเคลียร์ แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล มีความเชื่อมั่น และสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐ
(2) แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เป็นแผนงานเกี่ยวกับ
งานศึกษา วิจัยพัฒนา และส่งเสริมเพื่อก่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในภาคคมนาคมขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจ บริการ เกษตรกรรม และภาคบ้านอยู่อาศัย
งานสร้างและพัฒนาศักยภาพของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ได้แก่ การประชุมเชิงวิชาการ สัมมนา ฝึกอบรม ดูงาน ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี โท เอก
งานสร้างความรู้ความเข้าใจเพื่อให้มีการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า ปรับเปลี่ยนลักษณะการใช้พลังงานให้เป็นไปอย่างพอประมาณ
(3) แผนงานบริหารเชิงกลยุทธ์ เป็นแผนงานเกี่ยวกับ
งานศึกษาวิจัยเชิงนโยบายเพื่อเป็นข้อเสนอแนะ ทางเลือก หรือภาพรวมของสถานการณ์ที่ผสมผสานทั้งมิติด้าน การผลิตและการใช้พลังงาน ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สำหรับใช้ประกอบการตัดสินใจพัฒนาแผนพลังงานทดแทน หรือแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้เหมาะสมทันต่อสถานการณ์ เป็นเครื่องมือนำทางสำหรับจัดลำดับความสำคัญของงานและการจัดสรรงบประมาณ
งานด้านบริหารจัดการให้แผนอนุรักษ์พลังงานดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
งานช่วยเหลือส่งเสริมการดำเนินงานอื่นๆ เป็นเรื่องเฉพาะกิจที่สำคัญหรือเร่งด่วน
3.2 โดยส่วนใหญ่ยังคงมาตรการเดิม แต่ปรับเป้าหมายและวิธีดำเนินการเพื่อให้ผลที่คาดว่าจะได้รับชัดเจนขึ้น ได้แก่ การดำเนินการให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมปฏิบัติตามที่พระราชบัญญัติฯ กำหนดอย่างจริงจัง การดำเนินการเรื่องมาตรฐานประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงาน ปรับลดเป้าหมายของการลดปริมาณการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ของประเทศ เพราะแผนงานบางส่วน เช่น ระบบขนส่งมวลชน ระบบขนส่งสินค้า แผนปฏิบัติการโลจิสติกส์ ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่และต้องใช้เงินลงทุนสูง ได้เลื่อนมาดำเนินการในปี 2550 นอกจากนี้ยังได้เพิ่มการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติ และทบทวนเป้าหมายและแผนด้านพลังงานทดแทนทั้งด้านการผลิตไฟฟ้าในส่วนของพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และน้ำ เป้าหมายของการใช้แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล เป็นต้น โดยคำนึงถึงศักยภาพ ความสามารถ ความพร้อม ความเหมาะสมที่จะดำเนินการ
3.3 สรุปเป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ในช่วงปี 2550-2554
(1) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยลดใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ ในปี 2554 จาก 91,877 พันตัน เทียบเท่าน้ำมันดิบ เหลือ 84,183 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือลดการใช้พลังงานโดยไม่เกิดประโยชน์ได้ประมาณ 9.1 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 7,694 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ จำแนกเป็นภาคคมนาคมขนส่ง 3.9% ภาคอุตสาหกรรม 4.6% การจัดการใช้พลังงาน 0.7%
(2) พัฒนาพลังงานทดแทนให้มีสัดส่วนการใช้เพิ่มขึ้น โดยในปี 2554 จะมีการใช้พลังงานอื่นๆ เพิ่มขึ้น 13.9% ของความต้องการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย หรือทดแทนการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ประมาณ 11,722 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ จำแนกเป็น
1) ภาคคมนาคมขนส่ง มีการใช้พลังงานทดแทน 21% โดยใช้ Biodiesel แทนน้ำมันดีเซล 1,258 ktoe ใช้ Ethanol แทนน้ำมันเบนซิน 820 ktoe และใช้ NGV 4,764 ktoe
2) ภาคอุตสาหกรรมและบ้านอยู่อาศัย มีการใช้พลังงานทดแทน ดังนี้
ใช้แสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้า 75 MW คิดเป็น 7 ktoe และทำน้ำร้อน 5 ktoe
ใช้พลังลมสูบน้ำและผลิตไฟฟ้า 45 MW คิดเป็น 5 ktoe
ใช้น้ำท้ายเขื่อนชลประทานผลิตไฟฟ้า 156 MW คิดเป็น 18 ktoe
ใช้ชีวมวลผลิตไฟฟ้า 2,800 MW คิดเป็น 940 ktoe และให้ความร้อน 3,660 ktoe
ใช้น้ำเสียมาเป็นก๊าซชีวภาพผลิตไฟฟ้า 30 MW หรือคิดเป็น 14 ktoe
(3) มีผู้จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งในและต่างประเทศด้านพลังงานมาช่วยเสริมการทำงานเพิ่มขึ้น 400 คน มีหลักสูตรการเรียนการสอนด้านพลังงานในโรงเรียนกว่า 30,000 โรงเรียน มีหลักสูตรอุดมศึกษาที่ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและผลิตบุคลากรที่มีทักษะด้านพลังงานในภาคอุตสาหกรรม 1,400 คน ผู้ชำนาญการด้านพลังงานระดับท้องถิ่นได้รับการพัฒนาทักษะ 500 คน
เปรียบเทียบเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานในปี 2554 ระหว่างแผนเดิมกับแผนที่ปรับปรุง
แผนงาน | เป้าหมายเดิม | เป้าหมายใหม่ | ||
ktoe | ร้อยละ | ktoe | ร้อยละ | |
(1) แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 10,354 | 12.7 | 7,694 | 9.1 |
- สาขาอุตสาหกรรม | 3,411 | 4.2 | 3,832 | 4.6 |
- สาขาขนส่ง | 6,270 | 7.7 | 3,290 | 3.9 |
- การจัดการด้านการใช้พลังงาน | 673 | 0.8 | 571 | 0.7 |
(2) แผนงานด้านพลังงานทดแทน | 7,530 | 9.2 | 11,722 | 13.9 |
- ส่งเสริม NGV | - | - | 4,764 | 5.7 |
- พลังงานหมุนเวียน* | 7,530 | 9.2 | 6,958 | 8.3 |
เป้าหมายของการใช้พลังงานหมุนเวียน ในปี 2554 จำแนกประเภทได้ดังนี้
ประเภทพลังงาน | ไฟฟ้า | ความร้อน | เชื้อเพลิงชีวภาพ | รวม | ||
MW | ktoe | ktoe | ล้านลิตร/วัน | ktoe | ktoe | |
เอทานอล | - | - | - | 3 | 820 | 820 |
ไบโอดีเซล | - | - | - | 4 | 1,258 | 1,258 |
ชีวมวล | 2,800 | 940 | 3,660 | - | - | 4,600 |
ขยะ | 100 | 45 | - | - | - | 45 |
ก๊าซชีวภาพ | 30 | 14 | 186 | - | - | 200 |
ไฟฟ้าพลังน้ำ | 156 | 18 | - | - | - | 18 |
พลังลม | 45 | 5 | - | - | - | 5 |
แสงอาทิตย์ | 75 | 7 | 5 | - | - | 12 |
รวม | 3,206 | 1,029 | 3,851 | 7 | 2,078 | 6,958 |
โดยในช่วงปี 2550-2554 จะขอจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปดำเนินการประมาณ 12,488 ล้านบาท และขอให้คณะกรรมการกองทุนฯ จัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับใช้จ่ายตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2550-2554) ภายในวงเงินรวมดังกล่าว โดยสามารถให้ความเห็นชอบปรับปรุงแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ และการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในวงเงินรวมดังกล่าว
4. แผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2550
แผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2550 ที่ได้ผ่านการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการกองทุนฯ แล้วในการประชุมรวม 2 ครั้ง คือเมื่อวันที่ 4 และ 14 ธันวาคม 2549 โดยสรุปสาระสำคัญของแผนฯ ได้ดังนี้
4.1 เร่งรัดการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535 เพื่อบังคับให้โรงงานควบคุม 3,110 แห่ง อาคารควบคุม 1,115 แห่ง (ไม่รวมอาคารของรัฐ 800 แห่ง) ดำเนินการตามแผนและเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานที่เสนอไว้กับ พพ. อย่างจริงจัง โดยแก้ไขกฎกระทรวง ใช้มาตรการส่งเสริม สนับสนุนและจูงใจทั้งด้านการเงิน มาตรการทางภาษี และคำแนะนำทางด้านเทคนิค
4.2 ติดตามการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงในหน่วยงานราชการและอาคารของรัฐให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีกับประชาชน คาดว่าในปี 2550 จาก 1,800 หน่วยงานที่ใช้ไฟฟ้ามากกว่า 10,000 หน่วย/ปี จะลดใช้พลังงาน 38 ktoe/ปี คิดเป็นมูลค่า 1,187 ล้านบาท/ปี
4.3 เร่งรัดการจัดการออกกฎกระทรวงเพื่อให้ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย ได้มาตรฐานมีประสิทธิภาพด้านพลังงาน พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีการผลิตและประชาชนนิยมใช้เป็นที่แพร่หลาย โดยในปี 2550 สมอ. จะประกาศให้มาตรฐานการใช้พลังงานขั้นต่ำมีผลใช้บังคับกับบัลลาสต์ และหลอดฟลูออเรสเซนต์/คอมแพคฟลูออเรสเซนต์ กระทรวงพลังงานออกกฎกระทรวงประกาศมาตรฐานขั้นสูงกับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า 6 รายการ และมีสินค้าที่ติดฉลากแสดงประสิทธิภาพพลังงานเพิ่มเติม คือ พัดลมโคจร กระติกน้ำร้อน เตาหุงต้ม LPG อุปกรณ์ปรับความเร็วรอบมอเตอร์ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถบรรทุกส่วนบุคคล คาดว่าจะก่อให้เกิดผลประหยัดพลังงาน 120 ktoe/ปี คิดเป็นมูลค่า 3,493 ล้านบาท/ปี
4.4 ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนพัฒนาพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น โดยใช้มาตรการกำหนดอัตราราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเพิ่ม (Adder) และใช้เงินจากกองทุนฯ 2,000 ล้านบาท (1,000 ล้านบาท/ปี) เพื่อให้เอกชนที่จะลงทุนด้านพลังงานทดแทนได้มีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ที่คาดว่าจะช่วยทำให้เพิ่มอัตราส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 4.7 คาดว่าเป็นการผลิตไฟฟ้าเพิ่มจาก 2,055 MW เป็น 2,233 MW เพิ่มการใช้ในกระบวนการความร้อนจาก 1,789 ktoe เป็น 2,217 ktoe และเพิ่มการใช้เอทานอล 0.4 ล้านลิตร/วัน เป็น 0.9 ล้านลิตร/วัน และใช้ไบโอดีเซล 0.3 ล้านลิตร/วัน เป็น 0.5 ล้านลิตร/วัน
4.5 การกระจายความรู้ความเข้าใจสู่ภูมิภาคและท้องถิ่นอย่างทั่วถึง ทั้งเรื่องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานรูปแบบอื่นที่เหมาะสมกับท้องถิ่น
4.6 ให้ความรู้ความเข้าใจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในเรื่องพลังงานทางเลือก ทั้งด้านนโยบายของรัฐ การผลิต การใช้ การกำกับดูแลความปลอดภัย และการจัดการป้องกันผลกระทบ เช่น ก๊าซธรรมชาติ แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล ถ่านหิน นิวเคลียร์ เป็นต้น
4.7 ในปี 2550 คาดว่าจะมีประมาณการรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 3,487,758,344 บาท ประกอบด้วย
1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | |||
ล้านบาท | ล้านบาท | ล้านบาท | |||
1.1 งานศึกษาวิจัยและ | 2.1 งานศึกษาวิจัยและ | 3.1 งานศึกษาเชิงนโยบาย | |||
พัฒนาด้านเทคนิค | 356.22 | พัฒนาด้านเทคนิค | 239.00 | และวิชาการ | 102.00 |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 1,541.05 | 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 548.11 | 3.2 งานบริหารกองทุน | 85.52 |
1.3 งานพัฒนาบุคลากร | 34.50 | 2.3 งานพัฒนาบุคลากร | 180.35 | 3.3 งานอื่นๆ | - |
และประชาสัมพันธ์ | 156.00 | และประชาสัมพันธ์ | 180.00 | ||
1.4 งานบริหารแผนงาน | 42.50 | 2.4 งานบริหารแผนงาน | 22.50 | ||
รวม | 2,130.27 | รวม | 1,169.96 | รวม | 187.52 |
โดยจัดสรรให้ 3 หน่วยงาน คือ พพ. สนพ. และกรมบัญชีกลาง นำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ดังนี้
หน่วยงาน | 1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
1) พพ. | 1,600,772,500 | 697,350,000 | - | 2,298,122,500 |
2) สนพ. | 529,500,000 | 472,611,000 | 186,405,104 | 1,188,516,104 |
3) กรมบัญชีกลาง | - | - | 1,119,740 | 1,119,740 |
รวม | 2,130,272,500 | 1,169,961,000 | 187,524,844 | 3,487,758,344 |
ทั้งนี้ ให้แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายภายในแผนงาน/งานเดียวกันได้
4.8 สรุปผลที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินการในปี 2550 จะสามารถลดปริมาณการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ลง 541 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และจะนำพลังงานทดแทนมาใช้เพิ่มขึ้น 550 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ภายในปี 2550
5. ฐานะการเงินกองทุนฯ ในช่วงปี 2550-2554
5.1 ในช่วงปี 2535-2540 กพช. กำหนดอัตราจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนฯ ไว้ที่ 7 สตางค์/ลิตร เป็นช่วงที่การดำเนินงานอนุรักษ์พลังงานยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เพราะรอการออกกฎกระทรวง รอการจัดทำระเบียบและหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินให้เรียบร้อย จึงทำให้ฐานะการเงินของกองทุนฯ มีรายรับสูงกว่ารายจ่ายมาก ซึ่งในเดือนกรกฎาคม 2540 สถานการรายได้ของรัฐไม่เพียงพอกับงบประมาณที่ตั้งไว้ในปี 2540 และ 2541 กพช. จึงได้เก็บเพิ่มอัตราภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง และให้ลดอัตราการเงินส่งเข้ากองทุนฯ เป็นอัตรา 4 สตางค์ต่อลิตร เป็นการชั่วคราว เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันในช่วงเวลานั้น
การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในช่วงที่ผ่านมา ยังมีสภาพคล่องเพราะมีเงินสะสมมาจากช่วงปี 2535-2540 ที่รายรับสูงกว่ารายจ่ายมาก ปัจจุบันวงเงินดังกล่าวได้มีการใช้จ่ายออกไปตามแผนฯ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ฐานะการเงินของกองทุนฯ ณ 30 กันยายน 2549 เมื่อประเมินกับรายรับของกองทุนฯ ที่เก็บในอัตรา 4 สตางค์/ลิตร จะไม่เพียงพอรองรับกับแผนการดำเนินงานในช่วงต่อไป
5.2 เพื่อช่วยเหลือและส่งเสริมให้มีการผลิตและใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนก่อให้เกิดการผลิตอุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ในการอนุรักษ์พลังงานขึ้นภายในประเทศ และเร่งรัดให้การดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายตามแผนฯ คาดว่าจะขอจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ประมาณ 12,488 ล้านบาท (ปี 2550-2554) และจากสถิติการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ย 3,521 ล้านบาท/ปี เมื่อนำมาเป็นฐานการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ล่วงหน้าแต่ละปี ในระยะเวลา 5 ปี โดยประมาณการรายรับของกองทุนฯ จากปัจจุบันที่กำหนดอัตราเก็บเงินเข้ากองทุนฯ 4 สตางค์/ลิตร หรือประมาณ 1,300-1,400 ล้านบาท/ปี จึงสรุปฐานะการเงินของกองทุนฯ ในช่วง 2550-2554 ได้ดังนี้
ปีงบประมาณ | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | รวม |
1. เงินคงเหลือยกมาต้นปี | 4,915 | (514) | (2,554) | (3,081) | (3,493) | 4,915 |
2. ประมาณการรายรับล่วงหน้า | 1,287 | 1,314 | 1,342 | 1,370 | 1,399 | 6,711 |
3. เงินทุนหมุนเวียนรอรับคืนจาก พพ. | 413 | 937 | 1,080 | 986 | 936 | 4,351 |
รวมรับ | 1,699 | 2,251 | 2,421 | 2,356 | 2,335 | 4,351 |
4. รายจ่าย ประกอบด้วย | ||||||
4.1 รายจ่ายผูกพัน ปี 2538-2547 | 558 | 468 | 398 | 265 | 76 | 1,764 |
4.2 รายจ่ายผูกพัน ปี 2548-2549 | 3,082 | 824 | 551 | 503 | - | 4,959 |
4.3 ประมาณการรายจ่ายล่วงหน้า | 3,488 | 3,000 | 2,000 | 2,000 | 2,000 | 12,488 |
รวมจ่าย | 7,128 | 4,291 | 2,948 | 2,768 | 2,076 | 19,212 |
5. เงินคงเหลือปลายปี ยกไป | (514) | (2,554) | (3,081) | (3,493) | (3,235) | (3,235) |
5.3 เมื่อพิจารณาสถานการงบประมาณของประเทศในปัจจุบันค่อนข้างมั่นคงแล้ว และเพื่อให้ฐานะทางการเงินของกองทุนฯ เพิ่มขึ้นสู่ระดับเดิมและสอดคล้องกับการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ เป็นอัตรา 7 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซล และเตาที่ผลิตในประเทศและนำเข้า และอัตรา 6.3 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ซึ่งจะทำให้ฐานะการเงินของกองทุนฯ ในช่วง 2-3 ปีแรก รายจ่ายยังสูงกว่ารายรับ แต่จากการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ แต่ละปี พบว่าเบิกจ่ายได้เฉลี่ยร้อยละ 70 ของงบประมาณประจำปีที่ได้รับ ซึ่งเมื่อนำมาประมาณการฐานะการเงินในช่วง ปี 2550-2554 ก็เห็นว่าการกำหนดอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ ที่ระดับอัตรา 7 สตางค์ต่อลิตร ก็น่าจะสอดคล้องกับการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ
หน่วย : ล้านบาท
ปีงบประมาณ | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | รวม |
1. เงินคงเหลือยกมาต้นปี | 4,915 | 1,348 | (4) | 25 | 491 | 4,915 |
2. ประมาณการรายรับล่วงหน้า | 2,102 | 2,149 | 2,198 | 2,248 | 2,299 | 10,995 |
3. เงินทุนหมุนเวียนรอรับคืนจาก พพ. | 413 | 937 | 1,080 | 986 | 936 | 4,351 |
รวมรับ | 2,514 | 3,086 | 3,277 | 3,233 | 3,235 | 4,351 |
4. รายจ่าย ประกอบด้วย | ||||||
4.1 รายจ่ายผูกพัน ปี 2538-2547 | 558 | 468 | 398 | 265 | 76 | 1,764 |
4.1 รายจ่ายผูกพัน ปี 2548-2549 | 3,082 | 824 | 551 | 503 | - | 4,959 |
4.3 ประมาณการรายจ่ายล่วงหน้า | 2,441 | 3,146 | 2,300 | 2,000 | 2,600 | 12,488 |
รวมจ่าย | 6,081 | 4,438 | 3,248 | 2,768 | 2,676 | 19,212 |
5. เงินคงเหลือปลายปี ยกไป | 1,348 | (4) | 25 | 491 | 1,049 | 1,049 |
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน และกรอบการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในช่วงปี 2550-2554 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ และก่อนนำเสนอ กพช. ให้ สนพ. ปรับลดเป้าหมายพลังงานแสงอาทิตย์ลงเป็น 45 MW เพิ่มเป้าหมายของพลังงานลมเป็น 115 MW ปรับลดเป้า NGV เป็น 251,600 คัน สำหรับแนวทางดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในขนส่งนั้น เห็นชอบกรอบแผนงานตามที่เสนอ และเมื่อแผนงานทางกระทรวงคมนาคมชัดเจนขึ้นแล้ว คณะกรรมการกองทุนฯ จะพิจารณารายละเอียดภายหลัง
2. อนุมัติแผนอนุรักษ์พลังงาน และงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2550 ในวงเงินรวม 3,484,538,344 บาท โดยจัดสรรให้ พพ. สนพ. และกรมบัญชีกลาง ประกอบด้วย
หน่วย : บาท
หน่วยงาน | 1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
1) พพ. | 1,597,552,500 | 697,350,000 | - | 2,294,902,500 |
2) สนพ. | 529,500,000 | 472,611,000 | 186,405,104 | 1,188,516,104 |
3) กรมบัญชีกลาง | - | - | 1,119,740 | 1,119,740 |
รวม | 2,127,0522,500 | 1,169,961,000 | 187,524,844 | 3,484,538,344 |
ทั้งนี้ ให้แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายภายในแผนงาน/งานเดียวกันได้
3. สำหรับค่าใช้จ่ายในงานบริหารของทั้ง 3 แผนงาน อนุมัติให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2549 โดยให้แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในหมวดต่าง ๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม และในส่วนงบประมาณรายจ่ายปี 2550 ที่ พพ. และ สนพ. ได้รับ ให้ สามารถโอนเปลี่ยนแปลงรายจ่ายระหว่างหน่วยงานและหรือให้หน่วยงานในกระทรวงพลังงานรับไปดำเนินการได้ โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
4. อนุมัติให้โครงการที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปแล้ว สามารถเปลี่ยนแปลงรายละเอียดได้ โดยให้คณะอนุกรรมการกองทุนฯ เป็นผู้พิจารณารายละเอียดและให้ความเห็นชอบในการเปลี่ยนแปลงนั้น
5. ให้ สนพ. และ พพ. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานให้ฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อสรุปรายงานคณะอนุกรรมการฯ ทุก 3 เดือน และคณะกรรมการกองทุนฯ ทุก 6 เดือน
6. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้ทุนอุดหนุนวิจัย ร่วมพิจารณากับคณะอนุกรรมการกองทุนฯ อีกครั้ง ก่อนดำเนินการ เนื่องจากแผนอนุรักษ์พลังงานปีงบประมาณ 2550 มีบางโครงการที่จะดำเนินการ อาจมีความซ้ำซ้อน หรืออาจจะเคยมีการศึกษาวิจัยไปแล้ว
ฝ่ายเลขานุการฯ ต่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดทราบผลการดำเนินงานของโครงการระยาวและได้ผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการกองทุนฯ แล้วในการประชุมครั้งที่ 2/2549 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 และ ครั้งที่ 3/2549 เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2549 รวม 4 โครงการ ดังต่อไปนี้
1. โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3
1.1 คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2544 เมื่อ 19 กันยายน 2444 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในวงเงินรวม 853 ล้านบาท เพื่อดำเนินการส่งเสริมการลงทุนให้เจ้าของฟาร์มสุกรขนาดกลาง (มีสุกร 500-5,000 ตัว) และขนาดใหญ่ (มีสุกรมากกว่า 5,000 ตัว) นำน้ำเสียและมูลสุกรไปผ่านระบบบำบัดและผลิตได้ก๊าซชีวภาพมาใช้ประโยชน์เป็นพลังงานทดแทนด้านความร้อนและนำไปผลิตไฟฟ้า โดยในเวลา 8 ปี จะติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพให้สามารถรองรับของเสียจากสุกรขุนได้ 2 ล้านตัว หรือคิดเป็น 70-80% ของปริมาณสุกรที่เลี้ยงอยู่ในฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยแบ่งกิจกรรมออกเป็น
วงเงินรวม | ส่วนที่ 1: | ส่วนที่ 2: | ส่วนที่ 3: |
ฟาร์มขนาดใหญ่ | ฟาร์มขนาดกลาง | ศูนย์การเรียนรู้ | |
348 ล้านบาท | 419 ล้านบาท | 86 ล้านบาท | |
- ค่าบริหารงาน | 202 ล้านบาท | 118 ล้านบาท | |
- เงินอุดหนุนผู้เข้าร่วมโครงการฯ | 146 ล้านบาท (18% ของค่าก่อสร้าง) |
169 ล้านบาท (15% ของค่าก่อสร้าง) |
|
- ค่าบริษัทที่ปรึกษา | - | 132 ล้านบาท | |
- ศูนย์การเรียนรู้ เครื่องมือทดสอบ | 86 ล้านบาท |
1.2 คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบผลการดำเนินงานปีที่ 2 ตามที่ มช. เสนอมา และผลประเมินจาก บริษัท อีอาร์เอ็มสยาม จำกัด ที่อยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งด้านเทคโนโลยี ผลตอบแทนการลงทุน ความสามารถในการทดแทนเชื้อเพลิง ประสิทธิภาพของเจ้าของโครงการฯ ผลกระทบของโครงการฯ ที่มีต่อปัจจัยอื่นๆ ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม คณะอนุกรรมการฯ จึงเห็นชอบให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้การสนับสนุนการดำเนินงานปีต่อไป มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
2. โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ
2.1 กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ในวงเงินรวม 50 ล้านบาท เพื่อทำการศึกษาวิจัย โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (ปี 2548- 2552) โดยมีเป้าประสงค์ดังนี้
(1) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility) ทั้งด้านสถานภาพของระบบการปลูก การผลิตพืชน้ำมัน ที่มีศักยภาพในพื้นที่นอกเขตภาคใต้และมีปริมาณฝนน้อย เช่นในพื้นที่ภาคเหนือ
(2) เพื่อศึกษากระบวนการสกัดแปรรูปน้ำมันดิบของโรงงานขนาดพอเหมาะแก่ชุมชน เพื่อทำน้ำมัน ไบโอดีเซล ทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อม
(3) เพื่อจัดทำศูนย์เรียนรู้ชุมชน (Farm model) ที่มีแบบจำลอง Process-based ของปาล์มน้ำมันและสบู่ดำ เพื่อการปลูกและผลิตไบโอดีเซลครบวงจร
2.2 คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบผลการดำเนินงานปีที่ 1 ตามที่ มช. เสนอมา และผลประเมินจากคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์ ที่มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับ 4 และประสิทธิผลอยู่ในระดับ 3 คะแนน จาก 5 คะแนนเต็ม คณะอนุกรรมการฯ จึงเห็นชอบให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้การสนับสนุนการดำเนินงานปีต่อไป
3. โครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม
3.1 คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2541 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม ในวงเงินรวม 145.76 ล้าน ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนนักศึกษาที่ได้รับทุนทั้งสิ้น 276 คน แบ่งเป็นระดับปริญญาเอก 135 คน (เป้าหมาย 120 คน) และระดับปริญญาโท 141 คน (เป้าหมาย 210 คน) โดยมีผู้สำเร็จการศึกษา 94 คน แบ่งเป็นระดับปริญญาเอก 27 คน และระดับปริญญาโท 67 คน ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากเป็นหลักสูตรที่เน้นการวิจัย และต้องรอการตีพิมพ์ผลงานให้ครบตามเงื่อนไขจึงจะสำเร็จการศึกษาได้
3.2 คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบผลการดำเนินงานปีที่ 4 ตามที่ มจธ. เสนอมา และผลประเมินจาก Asia Policy Research Co.,Ltd. เป็นที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาระบบติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน (Performance Monitoring System) ของ JGSEE ที่อยู่ในระดับดีโดยเฉพาะด้านบริหารจัดการมีโครงสร้างองค์กรที่ดีและเป็นทางการ มีแผนกลยุทธ์ที่จะนำไปสู่เป้าหมาย การพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง คณะอนุกรรมการฯ จึงเห็นชอบให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้การสนับสนุนการดำเนินงานปีต่อไป
4. การลงทุนอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมของ 3 หน่วยงาน
4.1 ในช่วงปี 2535-2548 กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนแก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าในการศึกษา วางแผนและการลงทุนในการอนุรักษ์พลังงานในแต่ละอาคาร และผู้ได้รับการสนับสนุนที่เป็นหน่วยงานราชการจะต้องทำหนังสือยืนยันกับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ( พพ.) ต่อมาคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 1) เมื่อ 26 มกราคม 2548 มีมติให้ระงับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานแก่เจ้าของอาคารควบคุม ในกรณีที่ยังไม่ดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2548 เป็นต้นไป พพ. ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการดำเนินงานฯ ได้ออกหนังสือแจ้งเตือนไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่ พพ. ได้แจ้งยืนยันไปแล้วว่าจะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยขอให้หน่วยงาน เร่งดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างพร้อมส่งคู่สัญญาจ้างให้ พพ. ตามระยะเวลาที่ระบุในหนังสือแจ้งยืนยันการขอรับการสนับสนุน โดยมีหน่วยงานที่ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้กับผู้รับจ้างได้ โดยมีประเด็นปัญหาในแต่ละกรณีดังนี้
(1) กรณีจังหวัดกระบี่: ได้ทำสัญญาว่าจ้าง บริษัท เค แอนด์ พี ซินเซียริตี้ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นผู้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานอาคารโรงพยาบาลกระบี่ ในวงเงิน 2,248,331 บาท ตามสัญญาเลขที่ 69/2548 ลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2548 แต่ พพ. ได้มีหนังสือด่วนมากที่ พน 0504/50840 ลงวันที่ 19 กันยายน 2548 แจ้งยกเลิกการสนับสนุนโรงพยาบาลกระบี่ เพราะไม่ได้รับหนังสือส่งคู่สัญญาจ้างของจังหวัดกระบี่
(2) กรณีกรมยุทธโยธาทหารบก : ได้ทำสัญญาว่าจ้าง 2 บริษัท คือ (1) บริษัท อี อี แอนด์ ไอ คอนซัลแตนท์ จำกัด 3,189,000 บาท และ (2) บริษัท จินตรงค์ จำกัด 719,967 บาท เป็นผู้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน อาคารของมณฑลทหารบกที่ 23 (ค่ายศรีพัชรินทร) จ.ขอนแก่น ตามสัญญา อ. 11/2547 ลงนามวันที่ 14 มกราคม 2548 และกรมรบพิเศษที่ 1 (ค่ายวชิราลงกรณ์) จ.ลพบุรี ตามสัญญา อ. 25/2547 ลงนามวันที่ 24 มกราคม 2548 ตามลำดับ แต่ พพ. แจ้งยกเลิกการสนับสนุน กรมยุทธโยธาทหารบกจึงยังไม่สามารถเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้กับผู้รับจ้างได้
4.2 คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาแล้ว มีความเห็นว่าปัญหาดังกล่าวเกิดจากความคลาดเคลื่อนในระหว่างการจัดส่งเอกสารระหว่างหน่วยงาน ประกอบกับการลงทุนอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารโรงพยาบาลกระบี่ ในวงเงิน 2,248,331 บาท และการลงทุนอนุรักษ์พลังงานในอาคารมณฑลทหารบกที่ 23 (ค่ายศรีพัชรินทร) จ.ขอนแก่น และอาคารกรมรบพิเศษที่ 1 (ค่ายวชิราลงกรณ์) จ.ลพบุรี ในวงเงินรวม 3,908,967 บาท นั้น ก่อให้เกิดการลดใช้พลังงานคิดเป็นมูลค่า 1,155,400 บาท/ปี จึงเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้การสนับสนุน
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3 ครั้งที่ 2 ตามที่ มช. เสนอมา และอนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน "โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3" ในส่วนบริหารโครงการฯ ให้ มช. ในวงเงินรวม 78,143,841 บาท ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 ฟาร์มขนาดใหญ่ งวดที่ 6-9 ในวงเงิน 60,623,000 บาท และส่วนที่ 2 ฟาร์มขนาดกลาง งวดที่ 8-11 ในวงเงิน 17,520,841 บาท
2. เห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ปีที่ 1 ตามที่ มช. เสนอมา และอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนงานโครงการฯ ในปีที่ 2 ในวงเงิน 8,346,000 บาท
3. เห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม ปีที่ 4 ตามที่ มจธ. เสนอมา และอนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์และห้องปฏิบัติการ โครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม ปีที่ 5 ให้ มจธ. ในวงเงิน 18,811,500 บาท และเห็นชอบให้ มจธ. ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ จากเดิมสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2549 เป็นเดือนกันยายน 2550
4. อนุมัติให้ พพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้จังหวัดกระบี่ เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารโรงพยาบาลกระบี่ ในวงเงิน 2,248,331 บาท ตามสัญญาเลขที่ 69/2548 ลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2548 โดยใช้งบประมาณที่ได้ผูกพันไว้แล้วต่อไป
5. อนุมัติให้ พพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กองทัพบก เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารมณฑลทหารบกที่ 23 (ค่ายศรีพัชรินทร) จ.ขอนแก่น ในวงเงิน 3,189,000 บาท ตามสัญญาเลขที่ อ.11/2547 ลงวันที่ 14 มกราคม 2548 โดยใช้งบประมาณที่ได้ผูกพันไว้แล้วต่อไป
6. อนุมัติให้ พพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กองทัพบก เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารกรมรบพิเศษที่ 1 (ค่ายวชิราลงกรณ์) จ.ลพบุรี ในวงเงิน 719,967 บาท ตามสัญญาเลขที่ อ.25/2547 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2548 โดยใช้งบประมาณที่ได้ผูกพันไว้แล้วต่อไป
7. เห็นชอบให้ พพ. ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุนในการอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนฯ ตามข้อ 4 - ข้อ 6 โดยให้สามารถเบิกจ่ายเงินภายในระยะเวลา 3 เดือน นับจากวันที่ได้รับหนังสือแจ้งมติคณะกรรมการกองทุนฯ ด้วย
เรื่องที่ 5 ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า มีอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 2 ท่าน ได้ขอลาออกจากการเป็นอนุกรรมการฯ ได้แก่ นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ และ นายมานิจ ทองประเสริฐ เพื่อให้การดำเนินการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ในการประชุมครั้งที่ 6/2549 (ครั้งที่ 29) เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2549 ที่ประชุมได้มีมติให้เปลี่ยนชื่อคณะอนุกรรมการฯ จากเดิมเป็น "คณะอนุกรรมการประเมินผลโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน" โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการ ดังนี้
1. องค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ
(1) | นายจุลละพงษ์ จุลละโพธิ | ประธานอนุกรรมการ |
(2) | นายปิยะวัติ บุญ-หลง | อนุกรรมการ |
(3) | นายศุภชาติ จงไพบูลย์พัฒนะ | อนุกรรมการ |
(4) | นายธีระพงษ์ วิกิตเศรษฐ | อนุกรรมการ |
(5) | นายทนงเกียรติ เกียรติศิริโรจน์ | อนุกรรมการ |
(6) | นายสมชาติ โสภณรณฤทธิ์ | อนุกรรมการ |
(7) | นายกล้าณรงค์ ศรีรอต | อนุกรรมการ |
(8) | ผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | อนุกรรมการและเลขานุการ |
2. อำนาจและหน้าที่ของคณะอนุกรรมการ
(1) พิจารณาให้ความเห็นชอบในการจ้างที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลการดำเนินงานของโครงการ ที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ตามหลักเกณฑ์ และวงเงินที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนด
(2) ประเมินผลการดำเนินงานของโครงการที่ได้รับการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ เป็นรายโครงการ
(3) เสนอข้อพิจารณาประกอบรายงานการประเมินผลของโครงการที่ได้รับการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ เป็นรายโครงการ และนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ
(4) มีอำนาจแต่งตั้งคณะทำงาน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่คณะอนุกรรมการฯ มอบหมาย
(5) ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ มอบหมาย
ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะอนุกรรมการดังกล่าว ให้มีอำนาจเชิญผู้แทนของส่วนราชการ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อชี้แจงรายละเอียดในข้อเท็จจริง คำอธิบาย คำแนะนำ หรือจัดส่งเอกสารตามที่เห็นสมควร
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน เป็นคณะอนุกรรมการประเมินผลโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ตามที่คณะอนุกรรมการฯ เสนอ และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดังกล่าว เสนอต่อประธานกรรมการกองทุนฯ เพื่อลงนามต่อไป
อนุ กอ. ครั้งที่ 5 - วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวามคม 2549
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 4/2549 (ครั้งที่ 5)
วันที่ 14 ธันวาคม 2549 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ขอความเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานและการจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายประจำปีงบประมาณ 2550
2. เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
3. รายงานความก้าวหน้าโครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow สำหรับการลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด การผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก รถประจำทางไฟฟ้า และเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
1. ตามที่คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้ง 3/2549 (ครั้งที่ 4) เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2549 ได้พิจารณาแผนอนุรักษ์พลังงานและงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 แล้วและให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำใหม่ที่แสดงให้เห็นภาพรวมทั้งหมด โดยนำแผนงานที่เสนอของบประมาณแผ่นดินมารวมไว้ด้วย จะได้ทราบว่าแผนงานที่ใช้จ่ายจากเงินกองทุนฯ ได้ไปช่วยเสริมหรือสอดคล้องกับแผนงานตามงบประมาณในส่วนใด รวมถึงกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดความสำเร็จของการดำเนินงานในแต่ละแผนงานให้ชัดเจน และมีความคุ้มค่าในการลงทุน
ในการจัดทำแผนฯ เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ นั้น ควรเพิ่มรายละเอียดของงานที่ยังไม่ชัดเจน และลดความซ้ำซ้อนของงานที่ดำเนินการโดยหลายหน่วยงาน เช่น งานจัดการด้านการใช้ไฟฟ้าหรือการติดฉลาก งานประชาสัมพันธ์ การเพิ่มเติมรายละเอียดของโครงการพัฒนาและส่งเสริมชีวภาพ เป็นต้น โดยผ่านการพิจารณาให้คำแนะนำจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ประกอบด้วย คุณพรายพล คุ้มทรัพย์, คุณเจน นำชัยศิริ และ คุณจุลละพงศ์ จุลละโพธิ แล้วให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำกลับมาเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งในวันที่ 14 ธันวาคม 2549
2. คณะผู้ทรงคุณวุฒิ พร้อมด้วยอธิบดี พพ. และ ผอ.สนพ. ได้ประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2549 เพื่อดำเนินการตามที่คณะอนุกรรมการฯ มอบหมาย โดยการพิจารณาความเหมาะสมของกิจกรรม/งาน/โครงการด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนตามที่เสนอมานั้น มีข้อจำกัดมาก ด้วยคณะผู้ทรงคุณวุฒิทราบเป้าหมายโดยรวมเชิงนโยบาย แต่ในรายละเอียดของแผนงาน หน่วยงานไม่ได้เสนอการทบทวนงานที่ได้ทำไปแล้ว ผลสัมฤทธิ์ ปัญหาอุปสรรค ทั้งที่หน่วยงานดำเนินการเองและที่หน่วยงานอื่นหรือภาคเอกชนดำเนินการ นอกจากนั้นโครงการที่เสนอมาส่วนใหญ่ยังไม่ชัดเจนทั้งในรายละเอียดและตัวชี้วัดผลงาน คณะผู้ทรงคุณวุฒิจึงพิจารณาแบ่งเป็น
2.1 โครงการที่ควรมีรายละเอียดเพิ่มเติมให้ชัดเจน ทั้งด้านแผนงานวิธีดำเนินการ เป้าหมาย ตัวชี้วัด และรายละเอียดงบประมาณ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ พพ. เสนอในลักษณะที่มีโครงการย่อยรวมอยู่ด้วย มีเนื้องานที่ไม่ชัดเจน ไม่ได้แยกรายละเอียดงบประมาณแต่ละกิจกรรมและรายการ หรือมีงบประมาณประชาสัมพันธ์รวมอยู่ด้วยซึ่งอาจจะเร็วเกินไป จึงเห็นควรให้ พพ. จัดทำรายละเอียดให้เรียบร้อยก่อนเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณา หรืออาจจะเห็นชอบกรอบงานและกรอบเงินงบประมาณไปก่อน แล้วจัดทำรายละเอียดมาเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งก่อนดำเนินการ
2.2 โครงการที่ควรรอผลประเมินก่อนดำเนินการ ซึ่งเป็นโครงการที่ พพ. เสนอขอค่าใช้จ่ายเพื่อประเมินผลไว้ จึงเห็นว่าคณะอนุกรรมการฯ อาจเห็นชอบกรอบงานและกรอบเงินงบประมาณไปก่อน โดยมีเงื่อนไขให้ พพ. ดำเนินการประเมินผลให้เรียบร้อย แล้วจัดทำรายละเอียดของแผนงานโครงการนั้นๆ ให้สอดคล้องกับผลประเมิน และให้ฝ่ายเลขานุการฯ สรุปเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบก่อนที่ พพ. จะดำเนินการโครงการนั้นต่อไป
2.3 โครงการที่ควรเพิ่มเติมข้อมูลงานศึกษาวิจัยที่มีผู้ดำเนินการไว้แล้ว เปรียบเทียบกับขอบเขตงานวิจัยที่ พพ. จะดำเนินการ ผลที่คาดว่าจะได้รับ การใช้ประโยชน์จากงานวิจัย เป้าหมายและตัวชี้วัด แล้วเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบก่อนที่ พพ. จะดำเนินการโครงการนั้นต่อไป
2.4 โครงการที่ควรเพิ่มเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องดำเนินการ โดยเฉพาะโครงการศึกษาเกณฑ์มาตรฐานเพิ่มเติมในกลุ่มอุตสาหกรรม 3 ประเภท และโครงการนำร่องนำเกณฑ์มาตรฐานไปสาธิตการใช้งานในกลุ่มอุตสาหกรรม 9 ประเภท เพราะในปี 2550 เข้าใจว่า พพ. กำลังจะนำมาตรฐานการจัดการใช้พลังงานที่ศึกษาไว้เรียบร้อยแล้ว มาใช้ประเมินประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงาน/อาคาร
2.5 โครงการที่ไม่ควรสนับสนุนการดำเนินงาน เนื่องจากมีผลการดำเนินงานที่พิสูจน์ทราบแล้ว หรือเป็นค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อน ได้แก่ โครงการศึกษาการผลิตแก๊สเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าจากไม้โตเร็ว โครงการส่งเสริมเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดในโรงงานอุตสาหกรรม และโครงการส่งเสริมเทคโนโลยีพลังงานทดแทนในรูปแบบการ์ตูน โครงการสนับสนุนการพัฒนาองค์กรสมรรถนะสูง
2.6 โครงการที่ พพ. และ สนพ. เสนอที่จะดำเนินการในลักษณะและเป้าหมายที่ใกล้เคียงกัน 4 โครงการ ดังนี้
- โครงการลดใช้พลังงานในภาครัฐ : พพ. และ สนพ. ได้ชี้แจงรายละเอียดของงานซึ่งไม่มีความเหลื่อมหรือซ้ำซ้อนกันคณะผู้ทรงคุณวุฒิทราบและเข้าใจเรียบร้อยแล้ว
- โครงการศึกษาการจัดการและจัดเตรียมเชื้อเพลิงชีวมวล : ซึ่งมีความซ้ำซ้อนกันในส่วนของภาพรวม แต่เนื่องจากผลจากงานศึกษาของ สนพ. จะได้แนวทางที่ครอบคลุมถึงเสถียรภาพด้านเชื้อเพลิงและราคา โอกาสความเป็นไปได้ของระบบโซนนิ่งรวมถึงการจัดการระบบโลจิสติกส์ คณะผู้ทรงคุณวุฒิจึงเห็นว่าควรให้ สนพ. เป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการ
- โครงการที่เกี่ยวกับการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้าหรือติดฉลากวัสดุ อุปกรณ์ : เห็นควรรอผลสรุปจากการประชุมของกระทรวงพลังงาน
- โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานทางเลือก: ซึ่งมีความซ้ำซ้อนกัน เห็นควรให้คณะทำงานประชาสัมพันธ์ของกระทรวงพลังงานดูในรายละเอียดของทั้ง 2 หน่วยงาน ก่อนดำเนินการ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมให้งานประชาสัมพันธ์มีประสิทธิภาพขึ้น
2.7 ควรมีการจัดระเบียบ รูปแบบ และหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ เพื่อให้เกิดวินัย และใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพราะทุกโครงการของ พพ. ระบุว่า "สามารถดำเนินการโดยการว่าจ้าง หรือดำเนินการเอง หรือการให้การสนับสนุน หรือนำมาจัดสรร หรือดำเนินการหลายวิธีข้างต้นประกอบกันได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้แต่ละวิธีสามารถแยกดำเนินการได้หลายรายการ และหากมีความจำเป็น ให้ พพ. สามารถขยายเวลาได้ตามความเหมาะสม"
2.8 ไม่สามารถให้ความเห็นในเรื่องความเหมาะสมของวงเงินและการใช้ทรัพยากรได้ ให้เป็นหน้าที่ของผู้รับจัดสรรเงินที่ต้องพิสูจน์ว่าสิ่งที่ได้เสนอขอไว้นั้นมีความเหมาะสม
2.9 รับทราบเรื่องที่ พพ. ได้แจ้งต่อที่ประชุมเพื่อขอใช้วงเงินที่ปรับลดลงจากโครงการต่างๆ ไปใช้ดำเนินการโครงการสาธิตผลิตไฟฟ้าโดยใช้ประโยชน์จากน้ำท้ายเขื่อนชลประทาน
2.10 กระทรวงพลังงานได้ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการด้านมาตรฐานการใช้พลังงาน ประกอบด้วย กฟผ. พพ. และ สนพ. เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2549 เพื่อทราบงานที่แต่ละหน่วยงานได้ดำเนินการไว้ ความซ้ำซ้อนของงาน ปัญหาอุปสรรค และได้ปรับกระบวนการบริหารจัดการเพื่อขับเคลื่อนให้งานมาตรฐานการใช้พลังงานมีความก้าวหน้าเร็วขึ้น ดังนี้
1) ให้ พพ. ศึกษาทบทวนและเร่งกำหนดกฎกระทรวงเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
2) ให้ กฟผ. มีหน้าที่ในการติดฉลากแสดงประสิทธิภาพพลังงาน ส่งเสริมการผลิตและการจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง
3) ให้ พพ. มีหน้าที่ในการติดฉลากแสดงประสิทธิภาพพลังงาน ส่งเสริมการผลิตและการจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องใช้พลังงานอื่นๆ (ที่ไม่ใช่พลังไฟฟ้า) ประสิทธิภาพสูง และให้ สนพ. มอบงานติดฉลากเตาหุงต้ม LPG และฉลากรถยนต์ ในระยะต่อไปให้ พพ. รับไปดำเนินการ
4) ปรับปรุงองค์ประกอบคณะทำงานด้านมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน แต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อทำหน้าที่พิจารณามาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน การติดฉลาก การส่งเสริมการผลิตและจำหน่าย โดยมีปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นคณะทำงาน และ พพ. เป็นฝ่ายเลขานุการ
5) ให้ สนพ. ทำหน้าที่ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานให้คณะทำงานฯ คณะอนุกรรมการกองทุนฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ ทราบความก้าวหน้าของการดำเนินงานเป็นระยะ
6) ให้ พพ. และ สนพ. ปรับแผนงานและงบประมาณที่จะเสนอขอจัดสรรจากกองทุนฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการด้านมาตรฐานการใช้พลังงานหรือการติดฉลากต่างๆ พร้อมนี้ได้ให้ พพ. เร่งส่งเสริมเผยแพร่การใช้เตาหุงต้มประสิทธิภาพสูง เพื่อใช้แทนเตาหุงต้มแบบเดิม ที่ยังไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจังด้วย
3. พพ. และ สนพ. ได้ปรับรายละเอียดกิจกรรม/งาน/โครงการด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ตามที่คณะผู้ทรงคุณวุฒิให้คำแนะนำไว้ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงนำมาเสนอที่ประชุมเพื่อพิจารณาโดยคาดว่าจากการดำเนินการดังกล่าวจะสามารถลดปริมาณการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ลง 209.37 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และจะนำพลังงานทดแทนมาใช้เพิ่มขึ้น 25.7 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ภายในปี 2550 โดยมีตัวชี้วัดผลสำเร็จของการดำเนินงาน ดังนี้
ด้านเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
(1) กฎกระทรวงได้รับการแก้ไขให้สามารถเริ่มบังคับใช้กฎหมายควบคุมกับโรงงาน/อาคาร ที่อยู่ในข่ายควบคุมได้ ทั้งที่กำลังใช้งาน และออกแบบก่อสร้างใหม่
(2) ออกกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานการจัดการพลังงานประกาศบังคับใช้ในโรงงานควบคุม ภายในปี 2550
(3) ร้อยละ 75 ของโรงงาน/อาคารที่อยู่ในข่ายควบคุมดำเนินการตามกฎหมาย จัดทำแผนและเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานส่งให้ พพ.
(4) กฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จะมีการประกาศบังคับใช้กับ โทรทัศน์ หม้อหุงข้าว เครื่องทำน้ำอุ่น เตาหุงต้มที่ใช้ LPG เตาอบไมโครเวฟ
(5) ปรับระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศและตู้เย็นให้เข้มข้นขึ้น โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการในการติดฉลากใหม่
(6) สามารถดำเนินการให้กฎหมายของ สมอ. พิจารณากำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักรและเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพด้านพลังงานด้วย โดยในปี 2550 ประกาศใช้มาตรฐานขั้นต่ำกับบัลลาสต์ และหลอดฟลูออเรสเซนต์ และคอมแพคฟลูออเรสเซนต์
(7) หน่วยงานรัฐที่ใช้ไฟฟ้าตั้งแต่ 10,000 หน่วย/ปี จำนวน 450 หน่วยงาน จาก 1,800 หน่วยงาน มีความเข้าใจในวิธีตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานและสามารถดำเนินการลดใช้พลังงาน
(8) ร้อยละ 80 ของจำนวนประชาชนที่สุ่มสัมภาษณ์ (1,000 ตัวอย่าง ทั่วประเทศ) ที่รับรู้และเข้าใจถึงวิธีประหยัดพลังงาน ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการประหยัดพลังงานจนเป็นนิสัยมากขึ้น
ด้านพลังงานทดแทน
(1) สัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3 เป็น ร้อยละ 4
(2) ติดตั้งการใช้งานระบบพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ห่างไกล ให้กับ โรงเรียนชนบท ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน ฐานปฏิบัติการทางทหารและตำรวจตระเวนชายแดน สถานีอนามัย ได้รวม 200 กิโลวัตต์
(3) ทราบศักยภาพพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์มาผลิตไฟฟ้า
(4) ทราบแผนที่ศักยภาพพลังงานลมเฉพาะแหล่งในการผลิตไฟฟ้า ที่มีข้อมูลเชิงวิศวกรรมมากพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการตัดสินใจลงทุน
(5) ทราบแนวทาง/กระบวนการรวบรวมวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวลมาใช้งาน ที่คุ้มค่าในการลงทุน และแนวทางบริหารจัดการซื้อขายวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวล ตลอดจนเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในการรวบรวมทั้งในระดับอุตสาหกรรมและระดับชุมชน เพื่อนำไปสู่ตลาดการซื้อขายวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวลในอนาคต
(6) มีการผลิตและใช้ไบโอดีเซลในชุมชนกว่า 400 แห่ง และมีเครื่องต้นแบบการนำผลพลอยได้ไปใช้ประโยชน์ รวมถึงได้เครื่องต้นแบบระบบบำบัดน้ำเสียที่มีคุณภาพเหมาะสมกับชุมชน
(7) ได้แนวทางการจัดการปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับระบบการเก็บผสมและการขนส่งเอทานอลของประเทศที่มีประสิทธิภาพและมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ต่ำสุด ตลอดจนแนวทางการบริหารจัดการเอทานอลส่วนเกินจากความต้องการใช้ภายในประเทศ
(8) ร้อยละ 80 ของจำนวนประชาชนที่สุ่มสัมภาษณ์ (1,000 ตัวอย่าง ทั่วประเทศ) รู้จักและมั่นใจการเลือกใช้เชื้อเพลิงอื่นเช่น NGV ก๊าซโซฮอล์ และ ไบโอดีเซล รวมถึงรู้จักพลังงานทางเลือกมากขึ้น ทราบวิธีการจัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากกระบวนการผลิตและใช้พลังงาน และผ่อนคลายความกังวลที่มีต่อเชื้อเพลิงบางประเภท เช่น ถ่านหิน และอื่นๆ
4. การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปี 2550 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอนั้น คาดว่าจะมีประมาณการรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 3,346,857,344 บาท ประกอบด้วย
1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | |||
ล้านบาท | ล้านบาท | ล้านบาท | |||
1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 353.00 | 2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 216.00 | 3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 102.00 |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 1,503.98 | 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 481.00 | 3.2 งานบริหารกองทุน | 85.02 |
1.3 งานพัฒนาบุคลากร | 39.50 | 2.3 งานพัฒนาบุคลากร | 180.35 | 3.3 งานอื่นๆ | - |
และประชาสัมพันธ์ | 151.00 | และประชาสัมพันธ์ | 180.00 | ||
1.4 งานบริหารแผนงาน | 32.50 | 2.4 งานบริหารแผนงาน | 22.50 | ||
รวม 2,079.98 | รวม 1,079.85 | รวม 187.02 |
โดยจัดสรรให้ 3 หน่วยงาน คือ พพ. สนพ. และกรมบัญชีกลาง ดังนี้
หน่วยงาน | 1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
1) พพ. | 1,610,482,500 | 644,850,000 | - | 2,255,332,500 |
2) สนพ. | 469,500,000 | 435,000,000 | 185,905,104 | 1,090,405,104 |
3) กรมบัญชีกลาง | - | - | 1,119,740 | 1,119,740 |
รวม | 2,079,982,500 | 1,079,850,000 | 187,024,844 | 3,346,857,344 |
โดย สนพ. ลดงบประมาณลง 216 ล้านบาท และ พพ. ลดงบประมาณลง 100.22 ล้านบาท และ พพ. ของบประมาณใหม่สำหรับโครงการพลังน้ำและเผยแพร่เตาประสิทธิภาพสูง รวม 71.27 ล้านบาท
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้จัดทำทางเลือกเพื่อปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ จากเดิม 4 สตางค์/ลิตร เป็นอัตรา 7 และ 10 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งจากทางเลือกต่างๆ ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าการปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ เป็นอัตรา 7 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซล และเตาที่ผลิตในประเทศและนำเข้า และอัตรา 6.3 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ จะทำให้ฐานะทางการเงินของกองทุนฯ เพิ่มขึ้นสู่ระดับเดิมและสอดคล้องกับการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน
มติที่ประชุม
1. ให้ พพ. และ สนพ. ปรับแผนอนุรักษ์พลังงานและงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 ตามการพิจารณาของที่ประชุม และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ จากเดิมเก็บในอัตรา 4 สตางค์/ลิตร เป็น 7 สตางค์ต่อลิตร และเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบให้ค่าใช้จ่ายในงานบริหารของทั้ง 3 แผนงาน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2549 โดยแต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในหมวดต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
เรื่องที่ 2 เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว รวม 10 โครงการ ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้ ดังนี้
1. ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 7 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | เดิม | ขยายถึง | |
(1) | โครงการกำหนดเกณฑ์และจัดทำฉลากเตาหุงต้ม LPG ประสิทธิภาพสูง | มจธ. | กันยายน 2549 | กันยายน 2550 |
(2) | โครงการออกแบบประตูบานเกล็ดเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน | มจธ. | สิงหาคม 2549 | ธันวาคม 2549 |
(3) | โครงการวิเคราะห์สมรรถนะของระบบทำน้ำร้อนแสงอาทิตย์ร่วมกับปั๊มความร้อนสำหรับอาคารที่อยู่อาศัย | มจธ. | พฤษภาคม 2549 | ธันวาคม 2549 |
(4) | โครงการศึกษาศักยภาพการประหยัดพลังงานในพัดลมในเครื่องปรับอากาศแบบ Split Type | มจธ. | พฤษภาคม 2549 | ธันวาคม 2549 |
(5) | โครงการศึกษาวัสดุระบบการก่อสร้างด้วยโฟมเพื่อใช้ในการออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน | มจธ. | มิถุนายน 2549 | ธันวาคม 2549 |
(6) | โครงการศึกษาอิทธิพลการตกแต่งผิววัสดุในลักษณะต่างๆ ต่อภาระการทำความเย็นของระบบปรับอากาศ | มจธ. | มิถุนายน 2549 | ธันวาคม 2549 |
(7) | โครงการวัสดุผนังจากการเกษตร | มจธ. | มิถุนายน 2549 | ธันวาคม 2549 |
* มจธ. = มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
2. ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รวม 2 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | ขอเปลี่ยนแปลง | |
(1) | โครงการให้คำปรึกษา ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานของเครือข่ายสารสนเทศด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย (ระยะที่ 2) | มจธ. |
1) ขอขยายระยะเวลาจากมิถุนายน 2548 เป็นกันยายน 2549 2) ขอนำเงินจากหมวดค่าใช้สอย จำนวน 100,000 บาท ใช้จ่ายเป็นค่าจ้างบุคลากรฯ ในช่วงที่ขยายเวลา |
(2) | โครงการจัดสร้างเตาเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ | ม.เชียงใหม่ |
1) ขอขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ จากพฤศจิกายน 2549 เป็นพฤศจิกายน 2550 2) ขอปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการจ่ายเงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ จากเดิม จ่ายให้กับผู้ร่วมโครงการเพื่อจัดสร้างเตาเผาศพประหยัดพลังงานชนิดเผาศพมากต่อวัน จำนวน 1 เตา ในวงเงิน 250,000 บาท เป็น จ่ายให้กับผู้ร่วมโครงการเพื่อจัดสร้างเตาเผาศพประหยัดพลังงาน จำนวน 1 เตา ในวงเงิน 250,000 บาท |
(3) | โครงการรณรงค์ประหยัดพลังงานในหน้าร้อนกิจกรรม "ล้างแอร์ลดค่าไฟหน้าร้อน" | สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา |
1) ขอเบิกค่าบริการล้างแอร์ของหน่วยงานราชการในเขต กฟน. เพิ่มจากเดิม 350 บาท/เครื่อง เป็น 400 บาท/เครื่อง รวม 4,350 เครื่อง คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 217,500 บาท |
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ทั้ง 10 โครงการ ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
1. กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้รายงานความก้าวหน้าของความร่วมมือกับบริษัท เซลเลนเนียม (ประเทศไทย) จำกัด ในงานศึกษาวิจัยและพัฒนาการทดสอบการใช้งาน Vanadium Redox Flow ซึ่งเป็นเทคโนโลยีกักเก็บพลังงานไฟฟ้าด้วยเซลล์ไฟฟ้าเคมี โดยเก็บไว้ใน Vanadium Electrolyte เป็นของเหลวที่สามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ได้ทำให้มีประสิทธิภาพสูงกว่าและอายุการใช้งานยาวนานกว่าแบตเตอรี่มาตรฐานที่มีการใช้งานอยู่ทั่วไป โดยทดสอบการใช้งาน 4 รูปแบบ คือ 1) ใช้เป็นอุปกรณ์เก็บสำรองพลังงานไฟฟ้าในระบบสายส่งของไฟฟ้าสำหรับลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด (Load Leveling) 2) พัฒนาใช้เป็นเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรททดลองผลิตไฟฟ้าจากน้ำตาล 3) พัฒนาเพื่อเก็บสำรองไฟฟ้าสำหรับระบบผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก และ 4) พัฒนาเป็นแหล่งพลังงานในรถประจำทางไฟฟ้า เพื่อให้เป็นต้นแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานต่อไป
2. โครงการนี้ได้รับงบประมาณจากกองทุนฯ ในวงเงิน 200 ล้านบาท เพื่อดำเนินงาน 2 ส่วน
2.1 การศึกษาวิจัย ให้บริษัท เซลเลนเนียม (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ดำเนินการศึกษาวิจัยโดยต่อยอดจากสิทธิบัตรที่บริษัทได้รับมอบสิทธิ์จากเจ้าของสิทธิบัตร รวม 10 ฉบับ วงเงินรวม 175 ล้านบาท ศึกษาวิจัย 4 โครงการย่อย ดังนี้
(1) การลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด 60 ล้านบาท
(2) การเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท 65 ล้านบาท
(3) ระบบผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก 20 ล้านบาท (บริษัทฯ สมทบ 20 ล้านบาท)
(4) ทดสอบใช้กับรถประจำทางไฟฟ้า 30 ล้านบาท (บริษัทฯ สมทบเงิน 30 ล้านบาท)
2.2 การติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการศึกษาวิจัย โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ก.วิทยาศาสตร์ฯ ร่วมกับนักวิชาการจากสถาบันการศึกษาในประเทศ เป็นผู้ดำเนินการ
3. ความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการ
3.1 โครงการการลดกำลังภาระสูงสุด บริษัทฯ ยังไม่ได้ส่งรายงานทั้ง 2 งวด คือรายงานการพัฒนาพร้อมต้นแบบแบตเตอรี่ ขนาด 1-3 kW และรายงานการพัฒนาพร้อมต้นแบบแบตเตอรี่ ขนาด 4-10 kW เนื่องจากกำลังพัฒนาให้ได้แบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยต้นทุนต่ำและสะดวกในการผลิตปริมาณมาก โดยมีความก้าวหน้าดังนี้
(1) สามารถเพิ่มความหนาแน่นของกระแสไฟฟ้าในตัวแบตเตอรี่ได้มากกว่าที่เคยตั้งเป้าไว้เดิม 3 เท่า คือ จาก 400 แอมป์/ตารางเมตร เป็น 1,500 แอมป์/ตารางเมตร ทดสอบประสิทธิภาพโดย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และบริษัทฯ ได้นำข้อมูลที่ได้จากการทดสอบไปใช้ในการออกแบบรายละเอียดและวางข้อกำหนดคุณสมบัติสำหรับการออกแบบด้านวิศวกรรม
(2) ออกแบบแบตเตอรี่ที่มี Cell ขนาดใหญ่ขึ้น จาก 200x200 มิลลิเมตร เป็น 400x400 มิลลิเมตร ได้แล้ว
(3) กำลังทำต้นแบบแรก ขนาด 1-3 kW ที่คาดว่าจะมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายและจะแล้วเสร็จไม่เกินเดือนมกราคม 2550 และจะส่งมอบต้นแบบโดยเร็ว
3.2 เซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท บริษัทฯ ยังไม่ได้ส่งรายงานทั้ง 2 งวด โดยแจ้งว่ากำลังศึกษา วิจัย Electrolyte ในแบตเตอรี่ให้สามารถทำงานได้ในขณะอุณหภูมิสูงขึ้น และได้พัฒนาจนสามารถทำงานได้ในอุณหภูมิที่สูงกว่า 60 องศาเซลเซียส ทำให้ประสิทธิภาพของเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรทสูงขึ้นกว่าเดิม โดย สวทช. ได้เข้าไปทดสอบผลการค้นคว้าวิจัยแล้ว และคาดว่าจะส่งรายงานมาได้ไม่เกินเดือนธันวาคม 2549 แต่ก็ยังไม่ได้มีการส่งงานแต่อย่างไร
มติที่ประชุม
รับทราบความก้าวหน้าโครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow ตามที่ พพ. รายงาน
อนุ กอ. ครั้งที่ 4 - วันจันทร์ที่ 4 ธันวามคม 2549
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 4)
วันที่ 4 ธันวาคม 2549 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิติพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. รายงานประมาณการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 และรายงานงบการเงินที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองแล้ว ประจำปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2548 และ 2547
2. ขอความเห็นชอบในการจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ปีงบประมาณ 2550
3. ขอความเห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม
4. ขอความเห็นชอบเพิ่มวงเงินทุนการศึกษาในประเทศและต่างประเทศ
5. เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล รองผู้อำนวยการฯ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน อนุกรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานประมาณการรับ-จ่าย เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 คงเหลือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2549 ดังนี้
เงินคงเหลือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2549 | 4,915.24 |
บวก ประมาณการรายรับ ปี 2550 | 1,400.00 |
รวมเงินคงเหลือ | 6,315.24 |
หัก ประมาณการรายจ่าย ปี 2550 | (5,141.18) |
ประมาณการเงินคงเหลือ ณ วันที่ 30 ก.ย.2550 | 1,174.06 |
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุม เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2547 ได้อนุมัติกรอบแผนอนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) ตามข้อเสนอของคณะกรรมการกองทุนฯ โดยมีเป้าหมายตามยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศที่จะลดอัตราส่วนการใช้พลังงานต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจาก 1.4:1 เป็น 1:1 ภายในปี 2551 และเพิ่มอัตราส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 8 ภายในปี 2554 ซึ่งผลการดำเนินการที่ผ่านมาในปี 2548 และปี 2549 คาดว่าจะลดการใช้พลังงานได้ 2,490 ktoe/ปี หรือคิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 47,310 ล้านบาท การใช้พลังงานต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจปรับจาก 1.4:1 เป็น 1.2:1 และเพิ่มอัตราส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 3
2. การจัดทำแผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ที่นำเสนอในครั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้จัดทำขึ้นตามกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) ที่ กพช. ได้เห็นชอบไว้ และปรับปรุงโดยเร่งรัดแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมให้สอดคล้องกับนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน และ จะขอจัดตั้งเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำเพื่อการลงทุนด้านพลังงานทดแทนโดยเฉพาะ มีเป้าหมายที่จะทำให้นโยบายด้านพลังงานตามมาตรการระยะสั้นเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจังในปี 2550 ตามขอบเขตการดำเนินงานดังนี้
2.1 แผนเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน: ดำเนินการทั้งภาคการขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจและที่อยู่อาศัย ภาครัฐ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ดังนี้
2.1.1 ภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ
(1) งานปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
1) เร่งรัดดำเนินการให้โรงงานควบคุม/อาคารควบคุม ที่กำลังใช้งาน ดำเนินการตามข้อกำหนดตามกฎกระทรวงอย่างเคร่งครัด
2) ออกมาตรฐานการใช้พลังงานในอาคารที่ยื่นแบบขออนุญาตก่อสร้างใหม่ และอบรมบุคลากรที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถตรวจสอบแบบก่อสร้างให้เป็นไปตามมาตรฐานการใช้พลังงานในอาคาร รวมถึงการตรวจสอบและรับรองแบบ
3) เร่งให้มาตรา 9 มีผลบังคับใช้กับโรงงานควบคุม โดยออกกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานการจัดการพลังงานในโรงงานควบคุม เพื่อใช้แทนเกณฑ์การใช้พลังงานในโรงงานควบคุม และนำแนวทางดังกล่าวไปประกาศใช้กับอาคารควบคุมด้วย
4) ปรับขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายกับอาคาร/โรงงาน โดยจัดกลุ่มและปรับเกณฑ์การบังคับอาคาร/โรงงานควบคุมตามขนาดของอาคาร/โรงงาน และแยกอาคารส่วนราชการ (ไม่รวมอาคารของรัฐวิสาหกิจ) ออกจากกรอบของการควบคุมตามพระราชกฤษฎีกาอาคารควบคุม เนื่องจากโครงสร้างของส่วนราชการทั้งด้านคนและงบประมาณไม่เอื้อต่อการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.อนุรักษ์พลังงานฯ
(2) งานส่งเสริมและสาธิต
1) กระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจลงทุนในการอนุรักษ์พลังงาน โดยดำเนินงานต่อเนื่องตามมาตรการจูงใจที่รัฐจัดเตรียมไว้ เช่น มาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษี การอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม และเงินทุนหมุนเวียนการอนุรักษ์พลังงาน
2) ส่งเสริมการลงทุนเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานใหม่ๆ ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประหยัดพลังงานในภาคอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจ ซึ่งรัฐอาจจะสนับสนุนเงินลงทุนบางส่วนในปีแรก แล้วนำใช้เป็นมาตรการมาตรฐานเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจลงทุนในการอนุรักษ์พลังงาน ตามมาตรการจูงใจที่รัฐจัดเตรียมไว้ข้างต้นต่อไป
2.1.2 ภาครัฐ : กำกับดูแลติดตามและช่วยเหลือทุกส่วนราชการและจังหวัดเพื่อดำเนินการลดใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงให้ได้ตามเป้าหมายร้อยละ 10-15 เมื่อเทียบกับปริมาณการใช้ปี 2546 หรือตามเกณฑ์ที่ สนพ. กำหนด
2.1.3 ภาคขนส่ง
1) สนับสนุนเชิงนโยบายให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการจัดทำระบบขนส่งมวลชนและระบบขนส่งสินค้า ให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้
2) ส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชนให้มากขึ้น โดยในปี 2550 จัดเตรียมพื้นที่จอดแล้วจรเพิ่มขึ้นในพื้นที่ชานเมือง และอำนวยความสะดวกด้วยรถให้บริการต่างๆ สำหรับเดินทางเข้าสู่เมือง
3) สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมและหอการค้าไทย พัฒนาศักยภาพของคลังสินค้าและศูนย์ขนถ่ายสินค้า เพื่อสาธิตระบบโลจิสติกส์ในภาคการผลิตและธุรกิจไปสู่การปฏิบัติจริง รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ขนาดเล็กของไทยให้พัฒนายกระดับได้มาตรฐานและเพิ่มสัดส่วนมากขึ้น
2.1.4 การจัดการใช้พลังงาน
1) ศึกษาการจัดตั้งสำนักงานบริหารจัดการด้านมาตรฐานการใช้พลังงานแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการจัดการใช้พลังงานของประเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายและแผนปฏิบัติงานที่ต่อเนื่องทั้งระยะสั้นและระยะยาว ที่มีกฎระเบียบขององค์กรเองที่เอื้อต่อการปฏิบัติงานให้เป็นไปอย่างคล่องตัว
2) ในช่วงการเปลี่ยนผ่านเพื่อจัดตั้งสำนักงานบริหารจัดการด้านมาตรฐานการใช้พลังงานฯ ให้มีคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อกำกับดูแลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการติดฉลากอุปกรณ์ที่มีการศึกษาเกณฑ์มาตรฐานไว้แล้ว
3) ประสานกับกระทรวงการคลังเพื่อขอสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี ทั้งด้าน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมสรรพากร ที่จะเป็นกลไกผลักดันทางการตลาด กระตุ้นให้เกิดการผลิต นำเข้า จำหน่าย หรือซื้อ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยให้แล้วเสร็จภายในปี 2550
4) ประสานกับ สมอ. เพื่อเร่งแก้ไขกฎหมายเพื่อให้การพิจารณากำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพด้านพลังงานด้วย
2.1.5 งานศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงาน และโครงการสาธิตอื่นๆ
- สนับสนุนให้สถาบันการศึกษา ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรเอกชน ดำเนินการเพื่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน เช่น การศึกษาเชิงนโยบาย การศึกษาเพื่อลดการใช้พลังงานในการผลิตสินค้า การจัดการด้านการจราจรและผังเมืองเพื่อการลดการใช้พลังงานในการขนส่ง นโยบายภาษีเพื่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน การวิจัยเครื่องยนต์ต้นแบบที่มีประสิทธิภาพสูง การพัฒนาแนวทางเพื่อส่งเสริมธุรกิจการบริการด้านอนุรักษ์พลังงาน เป็นต้น โดย สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ และประกาศให้ผู้ที่มีความประสงค์จะขอรับการสนับสนุนให้ยื่นข้อเสนอต่อ สนพ. ซึ่งจะกลั่นกรองข้อเสนอ โดยอาจจะมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาช่วยพิจารณาก็ได้ ก่อนนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบในการดำเนินงาน และ สนพ. จะเป็นผู้ติดตามการดำเนินงานของโครงการด้วย
2.2 แผนพลังงานทดแทน
เร่งดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการนำพลังงานทดแทนมาใช้มากขึ้น ดังนี้
2.2.1 ใช้พลังงานอื่นแทนน้ำมัน
ส่งเสริมการใช้ NGV แก๊สโซฮออล์ ไบโอดีเซล ให้เป็นไปตามนโยบายที่รัฐกำหนด ในทุกด้าน
2.2.2 ใช้พลังงานหมุนเวียน
1) สนับสนุนให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น วัสดุเหลือใช้จากการเกษตร ของเสียจากอุตสาหกรรม ก๊าซชีวภาพ ขยะ ลม พลังงานแสงอาทิตย์ ในสัดส่วนและราคาที่เหมาะสม โดยเร่งออกประกาศขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตขนาดเล็กมาก และการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
2) สนับสนุนผู้ประกอบการในการลงทุนด้านพลังงานทดแทน ที่ครอบคลุมทุกเทคโนโลยี โดยจัดสรรเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำจากกองทุนฯ ไว้เป็นการเฉพาะ ในวงเงินรวม 2,000 ล้านบาท
3) ส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนในชุมชน โดยคำนึงถึงศักยภาพและตรงกับความต้องการที่แท้จริงของชุมชน เทคโนโลยีดูแลไม่ยาก ต้นทุนไม่สูง มีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นอาชีพในท้องถิ่นนั้น
4) ประสานกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อหารือแนวทางให้การพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการด้านพลังงานหมุนเวียนผ่านการประเมินโดยระยะเวลาและขั้นตอนลดลง
2.2.3 พลังงานแสงอาทิตย์
1) ส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ห่างไกลสายส่ง โดยหน่วยงานขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมที่จะดำเนินการเอง เช่น กระทรวงศึกษาฯ กระทรวงทรัพย์ฯ เป็นต้น กระทรวงพลังงานจะสนับสนุนเฉพาะเรื่องออกแบบข้อกำหนดรายละเอียด ราคากลาง ข้อมูลทางเทคนิค เท่านั้น และติดตามตรวจสอบการทำงานของระบบที่ใช้งานอยู่ให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
2) ส่งเสริมการใช้พลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ร่วมกับพลังงานความร้อนเหลือทิ้งจากเครื่องปรับอากาศ
3) ศึกษาและพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานความร้อนแสงอาทิตย์ร่วมกับพลังงานชีวมวล เพื่อทราบศักยภาพพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์มาผลิตไฟฟ้า
4) สำรวจติดตามตรวจสอบการทำงานของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใช้งานอยู่ให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
2.2.4 พลังลม
เร่งศึกษาแผนที่ศักยภาพพลังงามลมเฉพาะแหล่งให้ครบทุกภาคของประเทศไทย โดยมีข้อมูลและรายละเอียดที่สร้างความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุนพัฒนาพลังงานลมในการผลิตไฟฟ้า และสาธิตนำร่องการใช้กังหันลมขนาดเล็กสูบน้ำและผลิตไฟฟ้าในระดับชุมชน
2.2.5 พลังน้ำ
เร่งวางแผนพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อให้เกิดการนำมาใช้ประโยชน์ในการผลิตเป็นพลังงานให้ได้มากที่สุดโดยเร็ว
2.2.6 ก๊าซชีวภาพ
1) กำกับดูแลติดตามการดำเนินงานส่งเสริมการนำน้ำเสียจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์มาผลิตเป็นก๊าซชีวภาพ และเร่งพัฒนาให้มีการนำก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ไปใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
2) ส่งเสริมการใช้ระบบก๊าซชีวภาพขนาดเล็ก เพื่อจัดการนำขยะอินทรีย์ หรือน้ำเสีย ในชุมชน ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดเล็ก อุตสาหกรรมขนาดย่อม มาผลิตเป็นก๊าซชีวภาพใช้ประโยชน์เป็นพลังงาน
2.2.7 ชีวมวล
ศึกษาแนวทางรวบรวมวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวลเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ด้านพลังงานหมุนเวียน โอกาสและความสามารถที่จะรวบรวมเชื้อเพลิง ปริมาณศักยภาพที่แท้จริง ความคุ้มค่าในการลงทุน ทั้งทางด้านเศรษฐศาสตร์ สังคมและสิ่งแวดล้อม แนวทางบริหารจัดการซื้อขายวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวล เทคโนโลยีในการรวบรวมทั้งในระดับอุตสาหกรรมและระดับชุมชน เพื่อนำไปสู่ตลาดการซื้อขายวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวลในอนาคต
2.2.8 งานศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน และโครงการสาธิตอื่นๆ
สนับสนุนให้สถาบันการศึกษา ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรเอกชน ดำเนินการเพื่อให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย และช่วยเหลือกิจกรรมในชนบททั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม โดยให้ สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ และประกาศให้ผู้ที่มีความประสงค์จะขอรับการสนับสนุนให้ยื่นข้อเสนอต่อ สนพ. ซึ่งจะกลั่นกรองข้อเสนอ โดยอาจจะมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาช่วยพิจารณาก็ได้ ก่อนนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบในการดำเนินงาน และ สนพ. จะเป็นผู้ติดตามการดำเนินงานของโครงการด้วย
2.3 แผนสนับสนุน
2.3.1 งานพัฒนาบุคลากร
1) เร่งพัฒนากำลังคน พัฒนาและยกระดับบุคลากร ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามวัตถุประสงค์ของการพัฒนาด้านนั้นๆ รวมถึงการจัดเตรียมทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาบุคลากรของภาครัฐในด้านพลังงาน ระดับปริญญาโท-เอก ทุนวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษาเพิ่มทักษะการเรียนรู้ด้านพลังงาน
2) ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนการกำลังคนที่มีความรู้ด้านโลจิสติกส์ที่แท้จริง โดยสนับสนุนสภาอุตสาหกรรมฯ จัดอบรมหลักสูตรด้านโลจิสติกส์และการจัดการระบบห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้อาจารย์ในมหาวิทยาลัยมีโอกาสไปฝึกงานระยะสั้น 6-8 เดือนกับภาคธุรกิจ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาได้ในระยะสั้น และเร่งจัดหลักสูตรในระดับอาชีวะ ปริญญาตรีเฉพาะสาขา หรือเป็นวิชาเลือกในบางสาขา เพื่อเพิ่มกำลังคนระดับหัวหน้างานในอนาคต
3) จัดประชุมสัมมนาเชิงวิชาการโดยเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานจากต่างประเทศมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการไทย หรือการเดินทางไปศึกษาดูงานและแสดงผลงานในเวทีต่างประเทศ
2.3.2 งานประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
1) จัดระบบศูนย์ให้ความรู้ ให้คำปรึกษา ศูนย์สาธิตและเผยแพร่ด้านการประหยัดพลังงานและพลังงานทดแทน ที่มีอยู่ในหลายศูนย์ในกระทรวงพลังงาน ให้มีความชัดเจนในการบริการ กลุ่มลูกค้า เพื่อประโยชน์กับผู้ขอรับบริการและบริหารงบประมาณของประเทศได้มีประสิทธิภาพ รวมถึงกระจายศูนย์ประชาสัมพันธ์ให้มีประจำในส่วนภูมิภาคเพื่อขยายขอบเขตการบริการให้เข้าถึงประชาชนและภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ ทั่วถึงมากขึ้น
2) จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ ด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน
3) โครงการประชาสัมพันธ์ ปี 2550
- เป็นปีแห่งการรณรงค์เพื่อให้เกิดการเลือกซื้อและใช้ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน ที่ติดฉลากแสดงเกณฑ์มาตรฐานการใช้พลังงาน
- เผยแพร่ผลสำเร็จของการดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน ในภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจบริการ ภาครัฐ ภาคประชาชน ให้เป็นที่รับทราบในวงกว้าง
- เป็นปีแห่งการให้ความรู้ความเข้าใจรู้จักพลังงานทางเลือก
- จัดกิจกรรมพิเศษ "เทิดไท้ในหลวง 80 พรรษา ชาวประชาร่วมใจประหยัดพลังงาน"
- ปลูกฝังจิตสำนึกรักษ์พลังงานในกลุ่มเยาวชน ผ่านกิจกรรมที่ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ
- กิจกรรมประชาสัมพันธ์อื่นๆ ตามสถานการณ์ เช่น นโยบายเลิกอุดหนุนราคา LPG ความคืบหน้าการดำเนินงานตามนโยบายด้านพลังงาน การรณรงค์ประหยัดไฟฟ้าและน้ำมันในช่วงหน้าร้อน เป็นต้น
3. ผลที่คาดว่าจะได้รับ จะก่อให้เกิดการประหยัดพลังงาน 312.12 ktoe คิดเป็นเงิน 7,955 ล้านบาท ณ ปี 2550 นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดการใช้พลังงานรูปแบบอื่นทดแทนการใช้ น้ำมันเบนซิน ดีเซล น้ำมันเตา LPG 25.5 ktoe คิดเป็นเงิน 758 ล้านบาท ณ ปี 2550
4. การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปี 2550 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ คาดว่าจะมีประมาณการรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 3,591,990,750 บาท ประกอบด้วย
1. แผนพลังงานทดแทน |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน |
3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | |||
ล้านบาท | ล้านบาท | ล้านบาท | |||
1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 366.22 | 2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 216.00 | 3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 259.0 |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 1,460.21 | 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 530.50 | 3.2 งานบริหารกองทุน | 97.21 |
1.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 227.50 | 2.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 380.35 | 3.3 งานอื่นๆ | - |
1.4 งานบริหารแผนงาน | 32.50 | 2.4 งานบริหารแผนงาน | 22.50 | ||
รวม | 2,086.43 | รวม | 1,149.35 | รวม | 356.21 |
โดยจัดสรรให้ 3 หน่วยงาน คือ พพ. สนพ. และกรมบัญชีกลาง นำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนงานที่ปรากฏในรายละเอียดการของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550
หน่วยงาน | 1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
1) พพ. | 1,589,930,000 | 694,350,000 | - | 2,284,280,000 |
2) สนพ. | 496,500,000 | 455,000,000 | 355,091,010 | 1,306,591,010 |
3) กรมบัญชีกลาง | - | - | 1,119,740 | 1,119,740 |
รวม | 2,086,430,000 | 1,149,350,000 | 356,210,750 | 3,591,990,750 |
ทั้งนี้ ให้แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายภายในแผนงาน/งานเดียวกันได้
5. ข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ
5.1 เห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอในข้อ 3 โดยให้ สนพ. และ พพ. นำความเห็นที่ได้รับจากคณะอนุกรรมการฯ ไปพัฒนารายละเอียดของแต่ละแผนงานให้มีทิศทางเดียวกับแผนงานที่คณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบไว้ โดยผ่านการพิจารณาให้คำแนะนำจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ประกอบด้วย ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์, คุณเจน นำชัยศิริ และ ศ.ดร.จุลละพงศ์ จุลละโพธิ
5.2 การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายปี 2550 ให้อยู่ภายใต้กรอบวงเงินตามที่คณะอนุกรรมการกองทุนฯ เห็นชอบไว้ โดยรอผลสรุปจากการประชุมคณะผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 3 ท่าน ตามข้อ 5.1 และให้ สนพ. และ พพ. ปรับรายละเอียดของแผนงานและการของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 ให้เรียบร้อย และเวียนให้คณะอนุกรรมการฯ ทราบ ก่อนเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
5.3 ขอปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อให้การดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานข้างต้นสำเร็จลงตามเป้าหมายและบรรลุเป้าประสงค์ ฝ่ายเลขานุการฯ ใคร่ขอเสนอปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ จากเดิมเก็บในอัตรา 4 สตางค์/ลิตร เป็นอัตรา 10 สตางค์ต่อลิตร โดยมีหลักการและเหตุผลดังนี้
(1) กพช. ได้อนุมัติกรอบแผนอนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) และเห็นชอบให้คณะกรรมการกองทุนฯ จัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับใช้จ่ายตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ภายในวงเงินรวม 28,826 ล้านบาท โดยมีกรอบการใช้จ่ายเงินตามแผนปฏิบัติการแต่ละปี มีดังนี้
1. แผนพลังงานทดแทน | (50%) | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | (35%) | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | (15%) |
1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 65% | 2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 30% | 3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 33% |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 20% | 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 45% | 3.2 งานบริหารกองทุน | 33% |
1.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 10% | 2.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 20% | 3.3 งานอื่นๆ | 34% |
1.4 งานบริหารแผนงาน | 5% | 2.4 งานบริหารแผนงาน | 5% |
(2) เดิมกองทุนฯ มีพันธะขอบเขตงานตาม พรบ.ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 2535 และที่ผ่านมาการกำหนดให้ดำเนินงานโดยให้อยู่ภายในวงเงิน 1,300-2,000 ล้านบาท/ปี ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การดำเนินการประหยัดพลังงานและการก่อให้เกิดพลังงานทดแทน เห็นผลช้ากว่าที่ควร ซึ่งจากการปรับแผนงานเพื่อเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ จำเป็นต้องใช้จ่ายเงินจากกองทุนฯ ตามงบประมาณที่เสนอไว้ 3,591 ล้านบาท ขณะที่กองทุนฯ มีวงเงินคงเหลือเพียง 1,174 ล้านบาท จะทำให้ฐานะการเงินของกองทุนฯ ติดลบ
(3) ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าตามที่ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2540 ได้มีมติลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ จาก 7 สตางค์/ลิตร เป็นอัตรา 4 สตางค์ต่อลิตร เป็นการชั่วคราว เนื่องจากรายได้ของรัฐไม่เพียงพอกับงบประมาณที่ตั้งไว้ในปี 2540 และ 2541 จึงได้ลดอัตราการเงินส่งเข้ากองทุนฯ ไปเพิ่มอัตราภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันในช่วงเวลานั้น ซึ่งขณะนี้สถานการ งบประมาณของประเทศค่อนข้างมั่นคงแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ เป็นอัตรา 10 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซล และเตาที่ผลิตในประเทศและนำเข้า และอัตรา 9 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2550 เป็นต้นไป เพื่อทำให้ฐานะทางการเงินของกองทุนฯ เพิ่มขึ้นสู่ระดับเดิมและสอดคล้องกับการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ดังนี้
ปีงบประมาณ | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | 2555 | รวม |
1) เงินคงเหลือยกมาต้นปี | 4,915 | (44) | 0 | 2,232 | 4,550 | 7,009 | 4,915 |
2) รายรับ | 2,773 | 3,837 | 3,980 | 3,886 | 3,836 | 3,786 | 22,096 |
- เงินเก็บเข้ากองทุน+ดอกเบี้ย | 2,360 | 2,900 | 2,900 | 2,900 | 2,900 | 2,900 | 16,860 |
- เงินคืนจากทุนหมุนเวียน | 413 | 937 | 1,080 | 986 | 936 | 886 | 5,236 |
3) รายจ่าย | 4,140 | 1,791 | 448 | 268 | 76 | 68 | 6,792 |
- รายจ่ายผูกพัน ปี 38-47 | 558 | 468 | 398 | 265 | 76 | 68 | 1,832 |
- รายจ่ายผูกพัน ปี 48-49 | 3,582 | 1,324 | 51 | 3 | - | - | 4,959 |
4) เงินคงเหลือปลายปี (1)+(2)-(3) | 3,548 | 2,001 | 3,532 | 5,850 | 8,309 | 10,727 | |
5) ประมาณการรายจ่าย | 3,592 | 2,001 | 1,300 | 1,300 | 1,300 | 1,300 | 10,793 |
6) เงินคงเหลือยกไป (4)-(5) | (44) | 0 | 2,232 | 4,550 | 7,009 | 9,427 | 9,427 |
มติที่ประชุม
เห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยให้ สนพ. และ พพ. นำความเห็นที่ได้รับจากคณะอนุกรรมการฯ ไปจัดทำพัฒนารายละเอียดของแต่ละแผนงานให้มีทิศทางเดียวกับแผนงานที่คณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบไว้ โดยผ่านการพิจารณาให้คำแนะนำจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ประกอบด้วย ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์, คุณเจน นำชัยศิริ และ ศ.ดร.จุลละพงศ์ จุลละโพธิ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำกลับมาเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งในวันที่ 14 ธันวาคม 2549 ก่อนเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2541 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2542 ให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม" ในวงเงินรวม 145.76 ล้านบาท โดยให้ สนพ. ประเมินผลการดำเนินโครงการ เมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณในแต่ละปี และรายงานผลต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินงานในปีต่อไป
2. การดำเนินงานของโครงการฯ เป็นรูปเครือข่ายความร่วมมือ "บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE)" โดยมี มจธ. เป็นแกนนำ และมีสถาบันร่วมอีก 4 แห่ง ประกอบด้วย (1) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (2) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (3) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ (4) สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีการบริหารโครงการฯ ภายใต้ "คณะกรรมการอำนวยการบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม"
3. เมื่อปี 2543 JGSEE ได้รับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนจากสำนักงานคณะกรรมการ การอุดมศึกษา ภายใต้โครงการเงินกู้ ADB ทำให้ได้ชะลอการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ในปีดังกล่าว และในปี 2546 ได้รับความเห็นชอบการปรับแผนการดำเนินงานและแผนการเบิกจ่ายเงิน โดยขยายเวลาดำเนินโครงการฯ ไปจนถึงกันยายน 2549 ทั้งนี้ มจธ. ได้เบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ของงบประมาณปีที่ 1 - 4 แล้วเป็นเงิน 126,953,500 บาท คงเหลือเงินงบประมาณปีที่ 5 ที่รอเบิกจ่าย จำนวนเงิน 18,811,500 บาท
4. ผลการดำเนินโครงการฯ (ตั้งแต่ปี 2542 - กันยายน 2549)
4.1 จำนวนนักศึกษาที่ได้รับทุนทั้งสิ้น 276 คน เป็นระดับปริญญาเอก 135 คน และระดับปริญญาโท 141 คน โดยมีผู้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอก 27 คน และปริญญาโท 67 คน รวมจำนวน 94 คน เนื่องจากเป็นหลักสูตรที่เน้นการวิจัย และต้องรอการตีพิมพ์ผลงานให้ครบตามเงื่อนไขจึงจะสำเร็จการศึกษาได้
4.2 จำนวนบทความวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ทั้งสิ้น 511 ฉบับ ซึ่งเป็นการเผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ 154 เรื่อง วารสารวิชาการระดับชาติ 36 เรื่อง การเสนอที่ในประชุมวิชาการนานาชาติ จำนวน 299 เรื่อง และเสนอที่ประชุมวิชาการระดับชาติ 22 เรื่อง
4.3 มีงานวิจัยเพื่อรับใช้สังคมให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลายโครงการ
5. ผลการประเมินโครงการ โดย Asia Policy Research Co.,Ltd. ที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาระบบติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของ JGSEE ได้รายงานผลการติดตามและการประเมินเมื่อเดือนกรกฎาคม 2549 สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
5.1 ด้านการบริหารจัดการ มีการจัดโครงสร้างองค์กรที่ดีและเป็นทางการ มีแผนกลยุทธ์ที่จะนำไปสู่เป้าหมาย แต่ยังขาดนโยบายทางด้านมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และด้านจรรยาบรรณ และยังไม่มีระบบประกันคุณภาพที่เป็นทางการ
5.2 ด้านการพัฒนาวิชาการ มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศมาให้คำแนะนำในการปรับปรุงหลักสูตร และเปิดหลักสูตรใหม่ที่เน้นการพัฒนาวิชาชีพด้านเทคโนโลยีและการจัดการพลังงาน และเทคโนโลยีและการจัดการสิ่งแวดล้อมในระดับปริญญาโทด้วย
5.3 ด้านการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ยังไม่มีระบบการประเมินผลการดำเนินงานอย่างเป็นทางการ แต่กำหนดตัวชี้วัดเชิงปริมาณที่ใช้รายงานผลการดำเนินงานมาตลอด เช่น จำนวนนักศึกษาที่รับเข้า จำนวนผู้สำเร็จการศึกษา จำนวนผลงานตีพิมพ์เผยแพร่ และการประกอบอาชีพของผู้สำเร็จการศึกษา เป็นต้น
5.4 ด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ มีหน่วยอุตสาหกรรมสัมพันธ์ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากเยอรมันมาเป็นที่ปรึกษาประจำ ทำให้ JGSEE มีโครงการวิจัยที่เชื่อมโยงกับทั้งภาครัฐและเอกชน และได้จัดทำเว็บไซด์ วารสารวิชาการ จดหมายข่าว และเอกสารรวมเล่ม
6. แผนการดำเนินงานปีที่ 5 จะรับนักศึกษาเพิ่มในปี 2550 อีกอย่างน้อย จำนวน 30 คน ซึ่งเป็นระดับปริญญาเอก 10 คน และระดับปริญญาโท 20 คน รวมจำนวนนักศึกษาในโครงการทั้งสิ้น 306 คน โดยขอขยายเวลาการดำเนินงานจากเดิมสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2549 เป็นเดือนกันยายน 2550 เพื่อผลิตนักศึกษาให้ครบตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้โดยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบผลการดำเนิน "โครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม" ตามที่ มจธ. เสนอมา และเห็นชอบให้ มจธ. ดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณปีที่ 5 ต่อไป และเห็นชอบการสนับสนุนเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์และห้องปฏิบัติการ "โครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม" ให้ มจธ. จำนวนเงิน 18,811,500 บาท
2. เห็นชอบให้ มจธ. ขยายระยะเวลาโครงการฯ ไปสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2550
3. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
4. ให้ สนพ. ประเมินผลสำเร็จโครงการฯ และให้เชิญ มจธ. มานำเสนอผลงานของโครงการฯ ต่อคณะอนุกรรมการฯ ในโอกาสต่อไปด้วย
เรื่องที่ 4 ขอความเห็นชอบเพิ่มวงเงินทุนการศึกษาในประเทศและต่างประเทศ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่ามีหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศและต่างประเทศ ได้ขอขยายเวลาและขอเพิ่มวงเงินทุนการศึกษาจากที่อนุมัติไว้แล้วให้แก่ผู้รับทุน ดังนี้
1. ทุนการศึกษาในประเทศ
ผู้ขอเปลี่ยนแปลง | รายการ | ความเห็นฝ่ายเลขาฯ |
1) นายปริญญา สีชุมภู วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย ศึกษาในระดับปริญญาโท สาขาวิศวกรรมพลังงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วงเงิน 96,100 บาท |
- ขอขยายเวลาการศึกษาอีก 8 เดือน เพื่อจัดทำวิทยานิพนธ์ให้แล้วเสร็จ - ขออนุมัติเพิ่มวงเงินทุน 24,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียนรักษาสภาพระหว่างการจัดทำวิทยานิพนธ์ |
- เห็นควรขยายเวลาการศึกษา - ไม่ควรเพิ่มวงเงินทุนการศึกษา เนื่องจากกองทุนฯ ได้สนับสนุนทุนการศึกษาตลอดระยะเวลาที่หลักสูตรกำหนดไว้แล้ว |
2) นายประชาสันติ ไตรยสุทธิ์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี วงเงิน 205,200 บาท |
- ขอขยายวงเงินทุนการศึกษา จำนวน 60,000 บาท เพื่อเป็นค่าหนังสือและอุปกรณ์การศึกษา จำนวน 30,000 บาท และค่าวิทยานิพนธ์ จำนวน 30,000 บาท |
- เห็นควรเพิ่มวงเงินทุน ในวงเงิน 30,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำวิทยานิพนธ์ โดยใช้เงินจากแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2550 |
2. ทุนการศึกษาต่างประเทศ
ผู้ขอเปลี่ยนแปลง | รายการ | ความเห็นฝ่ายเลขาฯ |
1) นายรุ่งโรจน์ สงค์ประกอบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมเครื่องกล ณ University of Victoria ประเทศแคนาดา |
- ขอขยายเวลาการศึกษาจนถึงวันที่ 1 มกราคม 2551 เพื่อจัดทำวิทยานิพนธ์ให้แล้วเสร็จ - จำนวน US$ 24,144 (965,760 บาท) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในช่วงการขยายเวลาการศึกษา |
- เห็นควรขยายเวลาการศึกษา - ไม่ควรเพิ่มทุนการศึกษา เนื่องจากผู้รับทุนได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนฯ ตลอดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแล้ว |
2) นางทิพย์วรรณ ฟังสุวรรณรักษ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขา Photovoltaic Engineering The University of New South Wales ประเทศออสเตรเลีย |
- ขออนุมัติขยายวงเงินทุนการศึกษา 695,840 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับภาคเรียนที่ 8 - ทั้งนี้ ผู้รับทุนได้การรับอนุมัติให้ขยายเวลาการศึกษาออกไปอีก 1 ปี จนถึงเดือนมิถุนายน 2549 และได้รับอนุมัติเพิ่มวงเงิน จำนวน 193,176.86 บาท อันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแล้ว |
- ไม่ควรเพิ่มทุนการศึกษา เนื่องจากได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนฯ ตลอดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแล้ว - ไม่เห็นควรให้เบิกเงินงบประมาณเหลือจ่าย (จากยอดงบประมาณเดิมที่เคยได้รับอนุมัติไว้) สำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายในภาคการศึกษาที่ขอขยายเวลา |
3) นางสาวจารุวรรณ ชนม์ธนวัฒน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาวิชา Energy Economics ณ The University of Surrey ประเทศ สหราชอาณาจักร |
- ขอขยายเวลาการศึกษา จนถึง 19 กันยายน 2550 เพื่อจัดทำวิทยานิพนธ์ให้แล้วเสร็จ |
- เห็นควรขยายเวลาการศึกษา |
4) นางสาวเหมือนมาศ วิเชียรสินธุ์ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมการขนส่ง ณ Imperial College London ประเทศสหราชอาณาจักร |
- ขอขยายเวลาการศึกษาออกไปถึง 3 ตุลาคม 2550 เพื่อจัดทำวิทยานิพนธ์ให้แล้วเสร็จ - ขออนุมัติเพิ่มวงเงินทุน 418,153 บาท เนื่องจาก (1) การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (2) ค่าธรรมเนียมการศึกษาในปีการศึกษาที่ 2 และ 3 สูงกว่าที่ประมาณการไว้ (3) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนอนุมัติค่าใช้จ่ายประจำเดือนเพิ่มขึ้นเดือนละ 100 ปอนด์ สำหรับนักเรียนในกรุงลอนดอนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 (4) ค่าตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับและค่าระวางส่งสิ่งของกลับประเทศไทยไม่อยู่ในวงเงินที่อนุมัติไว้ |
- เห็นควรขยายเวลาการศึกษา - เห็นควรเพิ่มวงเงินทุน ในวงเงิน 418,153 บาท โดยใช้จากเงินกองทุนฯ โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปี 2550 |
5) นายพยนต์ ปั้นจาด การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาการวางแผนและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้า ณ University of Strathclyde ประเทศสหราชอาณาจักร |
- ขออนุมัติเพิ่มวงเงินทุน 15,306.92 ปอนด์ (1,132,712.08 บาท) เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและการเปลี่ยนแปลงงบประมาณค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุนรัฐบาลตามระเบียบของสำนักงาน ก.พ. จึงทำให้งบประมาณไม่เพียงพอสำหรับการศึกษาตลอดหลักสูตร 3 ปี |
- เห็นควรเพิ่มวงเงินทุน ในวงเงิน 686,800 บาท โดยใช้จากเงินกองทุนฯ โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปี 2550 |
6) นางสาววรนุช เอมมาโนชญ์ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาการวางแผนการจัดการทรัพยากรด้านพลังงาน ณ Convertry University ประเทศสหราชอาณาจักร |
- ขอเปลี่ยนสถานศึกษาเป็น King's College London ประเทศสหราชอาณาจักร เนื่องจากมหาวิทยาลัยเดิมได้ยุบส่วน School of Science and the Environment ซึ่งเป็นส่วนที่รองรับการศึกษางานวิจัยของผู้รับทุน - ขอขยายเวลาออกไปจนถึงเดือนกรกฎาคม 2552 - ขออนุมัติเพิ่มวงเงินทุน 2,653,281.90 บาท เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการศึกษาระดับปริญญาเอก ระยะเวลา 3 ปี ณ King's College London |
- เห็นควรให้เปลี่ยนแปลงสถานศึกษาจาก Conventry University เป็น King's College London โดยศึกษาในสาขาวิชาเดิมตามที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว - ให้ฝ่ายเลขานุการฯ หารือกับผู้รับทุนหรือ Conventry University เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับการโอนย้ายหน่วยกิต จากสถาบันการศึกษาเดิมเพิ่มเติม เพื่อนำมาพิจารณาเห็นชอบวงเงินเพิ่มให้แก่ผู้รับทุนตามที่ขอมาต่อไป |
1. เห็นชอบให้หน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศและต่างประเทศ ที่ได้ขอขยายเวลาและขอเพิ่มวงเงินทุนการศึกษาจากที่อนุมัติไว้แล้วให้แก่ผู้รับทุน ดำเนินการตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็น
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
เรื่องที่ 5 เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
ฝ่ายเลขานุการฯ แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่ามีหน่วยงานต่างๆ ที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว รวม 6 โครงการ ดังนี้
1. ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 5 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | เดิม | ขยายถึง | |
(1) | โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานควบคุม (กลุ่มที่ 2) | พพ. | มีนาคม 2549 | * |
(2) | โครงการกรุงเทพฯ ฟ้าใสด้วยไบโอดีเซล | พพ. | มิถุนายน 2549 | มีนาคม 2550 |
(3) | โครงการสร้างขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืนในถิ่นทุรกันดาร: กรณีศึกษาพื้นที่อำเภอบ่อเกลือ และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน | ม.พระจอมเกล้าธนบุรี | กันยายน 2549 | กุมภาพันธ์ 2550 |
(4) | โครงการสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา ** | สนพ. | ** | |
(5) | โครงการปรับปรุงระบบรวบรวมก๊าซเพื่อสนับสนุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะ *** | ม.เกษตร | กรกฎาคม 2548 | พฤศจิกายน 2549 |
- โครงการที่ (1) พพ. ขออนุมัติให้สามารถเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ได้ภายในระยะเวลา 3 เดือนนับจากวันที่ได้รับอนุมัติการขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน
- โครงการที่ (4) ประกอบด้วย 3 รายการ คือ
(4)-1 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ขอขยายเวลา "โครงการวิจัยเรื่องศักยภาพแสงธรรมชาติจากช่องเปิดของเรือนพื้นถิ่นอีสาน" จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 เนื่องจากการดำเนินงานและการประสานงานของโครงการเกิดความล่าช้า
(4)-2 มจธ. ขอเปลี่ยนชื่อ "โครงการวิจัยจากเดิมเรื่องการใช้วิธีระบายอากาศแบบธรรมชาติร่วมกับพัดลมแสงอาทิตย์เพื่อควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนเพาะปลูก" เป็น "โรงเรือนเพาะปลูกโครงสร้างไม้ไผ่แบบประหยัดพลังงานสำหรับพื้นที่ห่างไกล" เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินการวิจัยยิ่งขึ้น
(4)-3 มจธ. ขอเปลี่ยนชื่อโครงการวิจัยจากเดิม "เรื่องอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนแบบท่อขดแบบสปริง" เป็น "อุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนแบบท่อขดแบบสปริงติดครีบ" เพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น
- ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรให้โครงการที่ (1)-(4) ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา ด้วยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
- สำหรับโครงการที่ (5) โครงการปรับปรุงระบบรวบรวมก๊าซเพื่อสนับสนุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะนั้น ดำเนินงานวิจัยมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว ยังไม่สามารถรวบรวมก๊าซจากหลุมขยะมาผลิตกระแสไฟฟ้าได้ ปัจจุบันเทคโนโลยีการนำก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ได้มีการดำเนินการและใช้งานได้จริงในประเทศไทยแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้ มก. ปิดโครงการฯ ดังกล่าว และคืนเงินที่เหลือจากทุกโครงการฯ คืนกองทุนฯ และให้ สนพ. นำเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 435 kW จำนวน 2 เครื่อง ที่จัดซื้อด้วยเงินกองทุนฯ ไปใช้งานอื่นที่เป็นประโยชน์
2. กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียด "โครงการจัดซื้อรถเก็บขยะมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง" ที่กองทุนฯ ได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับจัดซื้อรถเก็บขยะมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 69 คัน ในวงเงิน 160 ล้านบาท โดยรวมกับงบประมาณของ กทม. 84 ล้านบาท (ราคาประเมิน ณ วันนั้น 3.5 ล้านบาทต่อคัน) แต่เมื่อ กทม. ดำเนินการจัดซื้อโดยวิธีประกวดราคาแล้วปรากฏว่ามีผู้ยื่นซองเพียง 1 ราย คือ บริษัทนิสสันดีเซล (ประเทศไทย) จำกัด โดยเสนอราคารวมภาษีอากรและอากรขาเข้า เป็นเงินคันละ 5.69 ล้านบาท รวม 69 คัน เป็นเงินทั้งสิ้น 392.54 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่างบประมาณที่ได้ประมาณการไว้ กทม. จึงเสนอขอปรับลดจำนวนรถที่จะจัดซื้อลงจากจำนวน 69 คัน เหลือ 52 คัน หรือ 42 คัน
ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าเหตุที่ราคารถเก็บขยะมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่ กทม. จัดหามีราคาแพงขึ้นนั้น อาจเป็นเหตุจากรถยนต์ที่นำเข้าดังกล่าวต้องออกแบบเครื่องยนต์ใหม่เป็นการเฉพาะประกอบกับปริมาณการจัดซื้อมีจำนวนน้อย ปัจจุบันผู้ประกอบการดัดแปลงรถยนต์ดีเซลให้ใช้ก๊าซธรรมชาติ ในประเทศมีทักษะความรู้ความชำนาญสามารถดัดแปลงรถให้มีสมรรถนะได้ใกล้เคียงกับรถขยะที่ กทม. จะนำเข้ามาจากต่างประเทศ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้ กทม. ยกเลิกการประกวดราคาจัดซื้อรถเก็บขยะมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง แล้วให้ กทม. ประกาศจัดซื้อเฉพาะรถเก็บขยะมูลฝอย เพื่อให้เอกชนในประเทศไทยดำเนินการดัดแปลงรถยนต์ขยะดีเซลนั้นให้ใช้ก๊าซธรรมชาติ ที่มีค่าดัดแปลงประมาณ 1.5-2 ล้านบาทต่อคัน ซึ่งจะทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ไม่ลดลง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้โครงการตามข้อ 1 (1)-(4) ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา ด้วยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
2. เห็นชอบให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ดำเนินการปรับแผน โครงการปรับปรุงระบบรวบรวมก๊าซเพื่อสนับสนุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นไว้
3. เห็นชอบให้กรุงเทพมหานครดำเนินการปรับแผน โครงการจัดซื้อรถเก็บขยะมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นไว้
4. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานกับเจ้าของโครงการ ตามข้อ 2 และ ข้อ 3 เพื่อสอบถามแนวทางขั้นตอน และข้อจำกัดในการดำเนินการปรับแผนงานตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นไว้
อนุ กอ. ครั้งที่ 3 - วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2549
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2549 (ครั้งที่ 3)
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิติพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. เห็นชอบผลการดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3 ปีที่ 2 และพิจารณาแผนงานโครงการฯ ปีที่ 3
2. เห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ปีที่ 1 และพิจารณาแผนงานโครงการฯ ปีที่ 2
3. พิจารณาการลงทุนอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมของ 3 หน่วยงาน
4. เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) อนุกรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เรียนให้ที่ประชุมทราบว่า ตาม พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 หมวด 4 มาตรา 27 ที่ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน 7 คน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ร่วมเป็นเป็นกรรมการ ให้มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละ 3 ปี เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ และด้วยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ รวม 7 ท่าน ได้หมดวาระลง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้จัดทำรายชื่อกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดใหม่เสนอรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ ปรีดิยาธร เทวกุล) ประธานกรรมการกองทุนฯ พิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 โดยมีมติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนฯ เรียบร้อยแล้ว ตามรายนามดังต่อไปนี้
(1) นายปิยะวัติ บุญ-หลง
(2) นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์
(3) นายกฤษณพงศ์ กีรติกร
(4) นายอรรจน์ เศรษฐบุตร
(5) นายยอดเยี่ยม เทพธรานนท์
(6) คุณพรทิพย์ จาละ
(7) นายพรายพล คุ้มทรัพย์
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือแจ้งให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทราบแล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบถึงความก้าวหน้าของผลการดำเนินงานของ "โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3" ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2544 (ครั้งที่ 25) เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2444 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ในวงเงินรวม 853,079,794 บาท มีเป้าหมายดำเนินงานภายในเวลาระยะเวลา 8 ปี (มิถุนายน 2545 ถึงธันวาคม 2553) จะติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพให้สามารถรองรับของเสียจากสุกรขุนได้ 2 ล้านตัว หรือคิดเป็น 70-80% ของปริมาณสุกรที่เลี้ยงอยู่ในฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลงานแต่ละปี ให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ทราบและเห็นชอบก่อนเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ในส่วนบริหารโครงการฯ ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในปีถัดไป
2. คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 7/2547 (ครั้งที่ 14) เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2547 ได้รับทราบผลงานปีที่ 1 และเห็นชอบให้ สนพ.เบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปีที่ 2 ในวงเงิน 43,718,818 บาท ซึ่งบัดนี้ มช. ได้การดำเนินงานตามแผนงานปีที่ 2 ครบเรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยคณะกรรมการกองทุนฯ ได้ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ และคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว โดย ณ ปัจจุบัน ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน คณะนี้ไว้เพื่อพิจารณากลั่นกรองงาน ในการนี้ฝ่ายเลขานุการฯ จึงนำผลการดำเนินงานของโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3 ปีที่ 2 ที่ดำเนินการมาตั้งแต่มิถุนายน 2545 ถึงธันวาคม 2548 มารายงานดังต่อไปนี้
2.1 ผลการดำเนินโครงการฯ ปีที่ 2
ส่วนที่ 1: ฟาร์มขนาดใหญ่ เป้าหมายรวมของโครงการฯ คือ 130,000 ลบ.ม โดยกองทุนฯ สนับสนุนในอัตรา 1,128 บาท/ลบ.ม. (ร้อยละ 18ของราคาระบบ) ผลการดำเนินงาน 43 เดือน มีฟาร์มเข้าร่วมโครงการฯ รวม 24 ฟาร์ม คิดเป็นปริมาตรระบบรวม 82,700 ลบ.ม คาดว่าจะผลิตก๊าซชีวภาพได้ 66,160 ลบ.ม. สามารถนำไปผลิตไฟฟ้าได้ 15 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นเงิน 37 ล้านบาทต่อปี
ส่วนที่ 2: ฟาร์มขนาดกลาง เป้าหมายรวมของโครงการฯ คือ 150,000 ลบ.ม โดยกองทุนฯ สนับสนุนในอัตรา 965 บาท/ลบ.ม. (ร้อยละ 18 ของราคาระบบ) ผลการดำเนินงาน 25 มีฟาร์มเข้าร่วมโครงการฯ รวม 46 ฟาร์ม คิดเป็นปริมาตรระบบรวม 36,500 ลบ.ม คาดว่าจะผลิตก๊าซชีวภาพได้ 29,200 ลบ.ม. สามารถนำไปผลิตไฟฟ้าได้ 5.8 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นเงิน 14.6 ล้านบาทต่อปี
ส่วนที่ 3: งานวัยพัฒนา ได้พัฒนาถังหมัก H-UASB รูปแบบใหม่ เพื่อให้ได้แบบวิศวกรรมที่ง่ายต่อการก่อสร้าง, ราคาลดลง, และมีประสิทธิภาพสูง ผู้ปฏิบัติงานมีความสะดวก และมีความเข้าใจในแบบที่ถูกต้องตรงกัน โดยคาดว่าจะลดภาระค่าก่อสร้างระบบก๊าซชีวภาพได้ถึงร้อยละ 42 ที่ประสิทธิภาพการย่อยสลายสารอินทรีย์คงเดิม และได้มีการพัฒนาเพื่อนำก๊าซชีวภาพไปใช้ประโยชน์ ปรับปรุงคาร์บูเรเตอร์สำหรับเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้ก๊าซชีวภาพ งานวิจัยโครงการพัฒนาเครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงคู่ (ก๊าซชีวภาพ/น้ำมันดีเซล) การสาธิตการใช้ประโยชน์จากความร้อนร่วมของการใช้ก๊าซชีวภาพ ใช้ก๊าซชีวภาพสำหรับรถจักรยานยนต์ รถอีแต๋น และรถยนต์ งานวิจัยการศึกษาการเผากระเบื้องเคลือบโดยใช้ก๊าซชีวภาพ งานวิจัยการปรับปรุงคุณภาพก๊าซชีวภาพ ลดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์โดยใช้ Biofilter เป็นต้น
2.2 ผลการประเมินโครงการฯ
สนพ. ได้ว่าจ้าง บริษัท อีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด ประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ ทั้งด้านเทคโนโลยี ผลตอบแทนการลงทุน ความสามารถในการประหยัดพลังงาน หรือความสามารถในการทดแทนเชื้อเพลิงประเภทอื่น ตรวจสอบความสามารถของผู้เจ้าของโครงการฯ ความเหมาะสมในการบริหารงบประมาณและทรัพยากรของโครงการ ประเมินปัญหาอุปสรรค ประเมินผลกระทบของโครงการฯ ที่มีต่อปัจจัยอื่นๆ ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเลือกตัวแทนของฟาร์มขนาดใหญ่ ได้แก่ วีระชัยฟาร์ม ต.วังมะนาว จ.ราชบุรี และปากช่องฟาร์ม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตัวแทนของฟาร์มขนาดกลาง ได้แก่ ฟาร์มไทยรุ่งโรจน์ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี, จักกริชฟาร์ม อ.บ้างบึง จ.ชลบุรี และฟาร์มเรืองศิริ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น โดยมีผลสรุปว่า มช. ได้ดำเนินงานครบถ้วนตามแผนงานที่เสนอแล้ว พร้อมทั้งมีการประชาสัมพันธ์โครงการอย่างต่อเนื่อง สำหรับปัญหาอุปสรรคในช่วงที่ผ่านมา มช. ได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้ว ดังนี้
(1) การขอปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในฟาร์มขนาดกลางในช่วงแรก ทำให้งานล่าช้าไป 18 เดือน
(2) จำนวนฟาร์มที่เข้าร่วมโครงการฯ เริ่มแรกมี 232 ฟาร์ม คิดเป็น 183,350 ลบ.ม. เมื่อเวลาผ่านไปด้วยปัญหาต่างๆ เช่น ฟาร์มมีพื้นที่ไม่เพียงพอ ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก ไม่พร้อมด้านการเงิน ฯลฯ จึงทำให้เหลือฟาร์มเข้าร่วมโครงการฯ 46 ฟาร์ม คิดเป็นปริมาตรระบบรวม 36,500 ลบ.ม
(3) มีคู่แข่งเทคโนโลยี คือ ระบบบ่อหมักแบบ Anaerobic Lagoon แย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากโครงการฯ ไปค่อนข้างมาก มช. ได้พยายามประชาสัมพันธ์ถึงข้อดีและข้อเสียของทั้งสองระบบฯ เปรียบเทียบกัน เพื่อให้ฟาร์มได้รับความรู้ความเข้าใจมากขึ้น
(4) เกิดความล่าช้าในการก่อสร้างและติดตั้งระบบฯ ซึ่งมีเหตุจากเจ้าของฟาร์มส่วนใหญ่จะดำเนินการก่อสร้างเอง ทำให้ มช. ไม่สามารถเร่งงานก่อสร้างให้เป็นไปตามกำหนดได้
3. แผนการดำเนินงานระยะที่ 3 ปีที่ 3
3.1 ฟาร์มขนาดใหญ่ : ติดตามประเมินผลการทำงานของระบบที่ได้ก่อสร้างในรุ่นที่ 3 และรุ่นที่ 4 งานก่อสร้างและติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพ รุ่นที่ 4 แล้วเสร็จและสามารถเดินระบบได้ ปริมาตรของระบบก๊าซชีวภาพรวมไม่น้อยกว่า 90,000 ลบ.ม. และงานก่อสร้างและติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพ รุ่นที่ 5 ปริมาตรรวม 40,000 ลบ.ม.
3.2 ฟาร์มขนาดกลาง : ก่อสร้างและติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพ รุ่นที่ 3 ปริมาตรรวม 30,000 ลบ.ม. แล้วเสร็จ และสามารถเดินระบบได้ ปริมาตรของระบบก๊าซชีวภาพรวมไม่น้อยกว่า 55,000 ลบ.ม. และเริ่มงานก่อสร้างและติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพ รุ่นที่ 4 ปริมาตรรวม 30,000 ลบ.ม.
3.3 การพัฒนาศูนย์เทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ : สร้างอาคารปฏิบัติการเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ และจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์วิทยาศาสตร์บางส่วน ที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์งานวิจัยและพัฒนาทางด้านการหมักย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจน รวมถึงการใช้ประโยชน์จากก๊าซชีวภาพ
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอความเห็นต่อที่ประชุมว่า ผลงานของ มช. ในปีที่ 2 อาจล่าช้ากว่าแผนงานที่เสนอไว้บ้าง แต่อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ด้วยเหตุเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ผู้ร่วมโครงการฯ ขอเลื่อนกำหนดการก่อสร้างระบบ ทั้งเพราะขาดสภาพคล่องของเงินทุน ขาดแรงงาน ปัญหาเรื่องฤดูกาล เป็นต้น ซึ่งมิได้เกิดจากเจตนาของ มช. ที่จะไม่ดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน ซึ่งผลงาน ณ เดือนตุลาคม 2549 มช. ได้มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ฟาร์มใหญ่ครบตามเป้าหมายแล้ว และได้ร่วมมือกับ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ เบทาโกรฟาร์ม เพื่อลดข้อจำกัดผู้เข้าร่วมโครงการฯ ฟาร์มขนาดกลาง ที่ไม่มีความพร้อมด้านการเงิน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้ มช. ดำเนินโครงการฯ ตามแผนฯ ในปีที่ 3 ต่อไป
มติที่ประชุม
เห็นชอบรายงานผลการดำเนินงาน "โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3" ปีที่ 2 ตามที่ มช. เสนอมา และเห็นชอบการสนับสนุนเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน "โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3" ในส่วนบริหารโครงการฯ ให้ มช. รวม 78,143,841 บาท ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 ฟาร์มขนาดใหญ่ ในวงเงิน 60,623,000 บาท และส่วนที่ 2 ฟาร์มขนาดกลาง ในวงเงิน 17,520,841 บาท
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบถึงความเป็นมาของโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ที่คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2548 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ในวงเงินรวม 50 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (มิถุนายน 2548-มิถุนายน 2552) โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ โดยการเบิกจ่ายเงินสนับสนุนในปีที่ 2-5 จะพิจารณาอนุมัติจัดสรรปีต่อ
2. มช. ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ตามแผนงานปีที่ 1 ในวงเงิน 9,996,000 บาท ซึ่งบัดนี้ มช. ได้ดำเนินงานครบตามแผนแล้ว โดยฝ่ายเลขานุการฯ สรุปได้ดังนี้
2.1 การคัดเลือกสายพันธ์ : คัดเลือกสายพันธุ์ปาล์มน้ำมัน 3,200 ต้น จาก 4 พันธุ์ คือ พันธุ์สุราษฎร์ธานี 1 และ 2 พันธุ์เดลี่-ลาเม่ และพันธุ์เดลี่-ไนจีเรีย โดยใช้ระยะปลูก 9X9X9 เมตร และคัดเลือกสายพันธุ์สบู่ดำ 10,000 ต้น จาก 6 สายพันธุ์ มีชื่อเรียกตามแหล่งต่างๆ คือ สตูล กำแพงแสน กาญจนบุรี ปราจีนบุรี ชัยภูมิ และ ตากฟ้า ในระยะปลูก 3X3 เมตร
2.2 การปลูกปาล์มน้ำมันและสบู่ดำ
(1) ปลูก ในแปลงวิจัย จะเป็นพื้นที่ที่ควบคุมดูแลการเจริญเติบโต โดยปลูกในพื้นที่ของ มช. 2 แห่ง รวม 155 ไร่ คือ แปลงวิจัยศรีบัวบาน จ.ลำพูน 120 ไร่ ควบคุมสภาวะแวดล้อม 100% และที่แปลงวิจัยแม่เหียะ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ 35 ไร่ ควบคุมสภาวะแวดล้อม 50% ปัจจุบันปาล์มน้ำมัน อายุ 14 เดือน สามารถออกดอกเกสรตัวผู้และตัวเมียแล้ว
(2) ปลูกในแปลงสาธิต เป็นพื้นที่ปลูกตามสภาวะแวดล้อมปกติ โดยอบรมให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้ปลูกและมอบสายพันธุ์ปาล์มน้ำมันและสบู่ดำให้นำกลับไปปลูกในพื้นที่ โดยแนะนำให้ปลูกเป็นพืชแซมในไร่สับปะรด ที่รกร้างในนาข้าว ในสวนลำไย
- ปาล์มน้ำมัน มี 2 พื้นที่ คือ ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ 270 ต้น ที่กองพันสัตว์ต่าง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 80 ต้น พื้นที่ของเกษตรกรคือ นายไพฑูรย์ หล้าโสด อ.เมือง จ.ลำพูน 90 ต้น และนายรังสรรค์ สุรินทร์ ต.น้ำดิบ อ.เมือง จ.ลำพูน 54 ต้น
- สบู่ดำ มี 3 พื้นที่ คือ บ้านร้องวัวแดง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ขนาด 20 ไร่, บ้านแม่กรณ์ อ.เมือง จ.เชียงราย 10,000 ต้น และพื้นที่ในหมู่บ้านของ นายไพฑูรย์ ล่าโสต ต.ศรีบัวบาน อ.เมือง จ.ลำพูน 10 ไร่ ซึ่งอยู่ระหว่างเริ่มดำเนินการและจัดเก็บข้อมูลการปลูก
2.3 งานด้านวิศวกรรม : พัฒนาออกแบบเครื่องสกัดน้ำมันสบู่ดำแบบสกรู ขนาด 3 กิโลกรัมต่อชั่วโมง หีบน้ำมันได้ 30% ของเมล็ดสบู่ดำ ที่อุณหภูมิ 95 องศาเซลเซียส ที่ราคา 35,000 บาทต่อเครื่อง ขณะที่ราคาในท้องตลาดประมาณ 60,000 บาทต่อเครื่อง โดยจะสร้างเครื่องสกัดและสาธิตใช้งานร่วมกับเกษตรกรหลังจากที่เก็บผลผลิตสบู่ดำได้ในปีที่ 2 ซึ่งจะได้เครื่องที่เหมาะสมจะนำไปส่งเสริมในชุมชนได้
2.4 งานด้านเศรษฐกิจ สังคม และ ICT :
การประชุมสำรวจความเห็นของประชาชนในพื้นที่รอบแปลงสาธิตจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน เกี่ยวกับการผลิตและใช้ไบโอดีเซล พบว่าส่วนมากรู้จักนโยบายของรัฐ และเห็นด้วยกับการส่งเสริมการผลิตและใช้ ตลอดจนยินดีที่จะทดลองใช้น้ำมันไบโอดีเซล แต่อยากให้ภาครัฐและบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รับรองและชี้แจงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับรถยนต์เมื่อใช้น้ำมันไบโอดีเซลด้วย ตลอดจนพัฒนาศูนย์เผยแพร่ข้อมูลการปลูกพืชน้ำมัน โดยจัดทำสื่อสารสนเทศเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชน้ำมัน ประกอบด้วย จัดทำ Website www.thaiodiesel.com และ www.thaibioenergy.com พร้อมทั้งเผยแพร่ข้อมูลความรู้การปลูกพืชน้ำมันโดยสื่อสิ่งพิมพ์เช่นนิตยสาร หนังสือพิมพ์ รายการโทรทัศน์ และรายการวิทยุ
3. ผลการประเมินโครงการฯ คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์ ในการประชุมครั้งที่ 4/2549 (ครั้งที่ 27) เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2549 ได้รับทราบผลประเมินโครงการฯ โดยด้านประสิทธิผล อยู่ในระดับ 4 คือ ดีมาก ด้านประสิทธิภาพ อยู่ในระดับ 3 คือ ดี และที่ปรึกษาประเมินผลฯ ได้มีข้อเสนอแนะดังนี้
(1) การศึกษาวิจัยการปลูกสบู่ดำ สามารถทราบผลวิจัยได้ภายใน 2 ปี เนื่องจากเป็นพืชที่ให้ผลผลิตเร็ว ภายในระยะเวลาดังกล่าวผู้ร่วมโครงการฯ ควรสรุปผลการวิจัยการปลูกสบู่ดำในเขตภาคเหนือได้
(2) การศึกษาวิจัยการปลูกปาล์มน้ำมัน จะใช้เวลาในการสรุปผลวิจัยมากกว่า 5 ปี ดังนั้นระยะเวลาของโครงการอาจไม่เพียงพอที่จะสรุปผลการวิจัยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาวิจัยการปลูกในเขตภาคเหนือ ซึ่งมีสภาพพื้นที่และสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม
(3) การศึกษาวิจัยการปลูกสบู่ดำและปาล์มน้ำมัน ควรเพิ่มดัชนีชี้วัดการเจริญเติบโตและผลผลิตที่ชัดเจนในแต่ละปีที่ดำเนินการวิจัย
4. แผนการดำเนินงาน ปีที่ 2
4.1 งานด้านเกษตรกรรม
(1) วิจัย เก็บข้อมูล และวิเคราะห์ผลการเจริญเติบโตปาล์มและสบู่ดำต่อเนื่องจากปีที่ 1
(2) ขยายพื้นที่ปลูกปาล์มที่สถานีวิจัยศรีบัวบาน จ.ลำพูน อีก 230 ไร่ เป็นพื้นที่เพาะพันธุ์ และเน้นเป็นระบบกึ่งควบคุมจัดการน้ำและปล่อยตามฤดูกาลปกติ ซึ่งจะเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ชุมชนและเกษตรกรจะเข้ามามีส่วนร่วมในการศึกษาวิจัยมากขึ้น
4.2 งานด้านวิศวกรรม
(1) ปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องหีบน้ำมันสบู่ดำ และสาธิตใช้งานในเครื่องยนต์การเกษตร
(2) วิจัยและสร้างเครื่องผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์ม และน้ำมันสบู่ดำในระดับชุมชน
(3) พัฒนาระบบการใช้ประโยชน์จากกลีเซอรีน
4.3 งานด้านเศรษฐกิจ สังคมและ ICT
(1) เก็บและจัดทำข้อมูลด้านสภาพแวดล้อม การเจริญเติบโต และการให้ผลผลิตพืช ต่อเนื่องจากปีที่ 1 เพื่อทำแบบจำลอง Process-base ตลอดจนการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ และสังคม
(2) จ้ดตั้งศูนย์ให้บริการแนะนำส่งเสริมและแก้ปัญหาการปลูกพืช ปาล์มน้ำมัน และสบู่ดำในสวนครบวงจร
มติที่ประชุม
รับทราบและเห็นชอบรายงานผลการดำเนิน "โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ" ปีที่ 1 และเห็นชอบแผนดำเนินงานของโครงการฯ ในปีที่ 2 ตามที่ มช.เสนอมา และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2549 ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนงานโครงการฯ ดังกล่าว ในวงเงินรวม 8,346,000 บาท
เรื่องที่ 3 พิจารณาการลงทุนอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมของ 3 หน่วยงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2547 (ครั้งที่ 39) เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 มีมติให้ยกเลิกการสนับสนุนฯ ในส่วนเงินผูกพันภายใต้แผนงานภาคบังคับที่เป็นเงินลงทุนกับหน่วยงานภาครัฐที่ยังไม่ได้มีการลงทุน และคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 1) เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2548 มีมติให้ระงับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานแก่เจ้าของอาคารควบคุมในกรณีที่ยังไม่ดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2548 เป็นต้นไป พพ. ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการดำเนินงานภายใต้แผนงานภาคบังคับ ที่จะสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ให้แก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จึงได้เร่งออกหนังสือแจ้งเตือนไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่ พพ. ได้แจ้งยืนยันไปแล้วว่าจะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ขอให้หน่วยงานนั้นๆ เร่งดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างพร้อมส่งคู่สัญญาจ้างให้ พพ. ตามระยะเวลาที่ระบุในหนังสือแจ้งยืนยันการขอรับการสนับสนุน
2. มีหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติการสนับสนุนการลงทุนอนุรักษ์พลังงานจาก พพ. แล้ว แต่ยังไม่สามารถเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ ให้กับผู้รับจ้างได้ เนื่องจาก
2.1 กรณีจังหวัดกระบี่ : พพ. ได้แจ้งให้จังหวัดกระบี่ ทราบการสนับสนุนการลงทุนอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารโรงพยาบาลกระบี่ ในวงเงิน 2,256,294 บาท โดยจังหวัดกระบี่ได้ว่าจ้าง บริษัท เค แอนด์ พี ซินเซียริตี้ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นผู้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานอาคารโรงพยาบาลกระบี่ ในวงเงิน 2,248,331 บาท ตามสัญญาเลขที่ 69/2548 ลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2548 แต่ พพ. ไม่ได้รับคู่สัญญาจ้าง จึงได้แจ้งยกเลิกการสนับสนุนฯ ซึ่งเมื่อจังหวัดกระบี่ได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและพบว่า มีการผิดพลาดในการจัดส่งสำเนาสัญญาจ้างให้ พพ. เพราะเจ้าหน้าที่ของจังหวัดได้จัดส่งเรื่องดังกล่าวไปผิดที่ โดยส่งไปที่ สำนักงานโครงการส่งเสริมอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงสาธารณสุข
2.2 กรณีกรมยุทธโยธาทหารบก : พพ. ได้แจ้งให้กรมยุทธโยธาทหารบก ทราบการสนับสนุนการลงทุนอนุรักษ์พลังงาน วงเงินรวม 3,914,238 บาท สำหรับ 2 อาคาร คือ
- มณฑลทหารบกที่ 23 (ค่ายศรีพัชรินทร) จ.ขอนแก่น โดยว่าจ้าง บริษัท อี อี แอนด์ ไอ คอนซัลแตนท์ จำกัด ในวงเงิน 3,189,000 บาท เป็นผู้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน ตามสัญญาเลขที่ อ.14/2547 ลงนาม 14 ม.ค. 2548 ส่งให้ พพ. 18 ม.ค. 2548
- กรมรบพิเศษที่ 1 (ค่ายวชิราลงกรณ์) จ.ลพบุรี โดยว่าจ้าง บริษัท จินตรงค์ จำกัด ในวงเงิน 719,967 บาท เป็นผู้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน ตามสัญญาเลขที่ อ. 25/2547 ลงนาม 24 ม.ค. 2548 ส่งให้ พพ. 10 ก.พ. 2548
แต่ พพ. ไม่ได้รับคู่สัญญาจ้างทั้ง 2 สัญญา จึงได้แจ้งยกเลิกการสนับสนุนฯ
บริษัท อี อี แอนด์ ไอ คอนซัลแตนท์ จำกัด และบริษัท จินตรงค์ จำกัด ได้ร้องเรียนต่อสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา และมีผลสรุปการวินิจฉัยว่า ผู้รับจ้างทั้ง 2 ราย ได้ลงนามในสัญญากับกรมยุทธโยธาฯ ก่อนที่ พพ. จะบอกยกเลิกการสนับสนุน ทำให้เกิดความผูกพันทางนิติกรรมระหว่างคู่สัญญาแล้ว ขณะที่เมื่อกรมยุทธโยธาฯ ขอเปลี่ยนแปลงมาตรการของอาคารมณฑลทหารบกที่ 23 (ค่ายศรีพัชรินทร) เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2548 พพ. มิได้ทักท้วงแต่อย่างใด ประกอบกับงานที่ปรับปรุงได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงไม่เป็นธรรมกับผู้ร้องเรียนทั้งสองซึ่งได้ดำเนินการตามสัญญาครบถ้วนแล้ว จึงเสนอแนะต่อคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ เพื่อเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้กับผู้ร้องเรียนทั้งสองต่อไป
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ พพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้จังหวัดกระบี่ เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารโรงพยาบาลกระบี่ ในวงเงิน 2,248,331 บาท ตามสัญญาเลขที่ 69/2548 ลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2548 โดยใช้งบประมาณที่ได้ผูกพันไว้แล้วต่อไป
2. เห็นชอบให้ พพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กองทัพบก เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารมณฑลทหารบกที่ 23 (ค่ายศรีพัชรินทร) จ.ขอนแก่น ในวงเงิน 3,189,000 บาท ตามสัญญาเลขที่ อ. 11/2547 ลงวันที่ 14 มกราคม 2548 โดยใช้งบประมาณที่ได้ผูกพันไว้แล้วต่อไป
3. เห็นชอบให้ พพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กองทัพบก เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารกรมรบพิเศษที่ 1 (ค่ายวชิราลงกรณ์) จ.ลพบุรี ในวงเงิน 719,967 บาท (เจ็ดแสนหนึ่งหมื่นเก้าพันเก้าร้อยหกสิบเจ็ดบาทถ้วน) ตามสัญญาเลขที่ อ. 25/2547 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2548 โดยใช้งบประมาณที่ได้ผูกพันไว้แล้ว
4. เห็นชอบให้ พพ. ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุนในการอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนฯ ตามข้อ 1 ถึง ข้อ 3 โดยให้สามารถเบิกจ่ายเงินภายในระยะเวลา 3 เดือน นับจากวันที่ได้รับหนังสือแจ้งมติคณะกรรมการกองทุนฯ ด้วย
5. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำมติของอนุกรรมการฯ ข้อ 1ถึง ข้อ 4 เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
เรื่องที่ 4 เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดว่า การเปลี่ยนแปลงรายการ ระยะเวลาดำเนินการ ไปจากรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนได้อนุมัติไว้แล้ว จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ก่อน จึงจะเปลี่ยนแปลงได้
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 40) เมื่อ 25 สิงหาคม 2548 เห็นชอบระบบการบริหารงานของกองทุนฯ ให้สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยภารกิจในเรื่องที่มีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ แล้ว หากจะเปลี่ยนแปลงรายการ ระยะเวลาดำเนินการ ไปจากรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนได้เห็นชอบหรืออนุมัติไว้ ให้ดำเนินการโดยการประชุมคณะอนุกรรมการฯ และเสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ
3. มีหน่วยงานต่างๆ ที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว รวม 18 โครงการ ดังนี้
3.1 ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 16 โครงการ คือ
โครงการ | เจ้าของโครงการ | |
(1) | โครงการการใช้ก๊าซชีวภาพผลิตไฟฟ้าและทำความเย็นในโรงเลี้ยงสุกร | ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
(2) | โครงการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1 | สนพ. |
(3) | โครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซชีวภาพจากระบบจัดการน้ำเสียโรงฆ่าสัตว์ | มูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม |
(4) | โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อเป็นพลังงานทดแทนในโรงงานอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง | ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
(5) | โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียในโรงงานอุตสาหกรรม | พพ. |
(6) | โครงการสาธิตเตาเผาอิฐแบบประหยัดพลังงาน | มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
(7) | โครงการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอนด้านพลังงาน ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา | มูลนิธิสิ่งแวดล้อมไทย |
(8) | โครงการศูนย์เผยแพร่ความรู้ด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ | สนพ. |
(9) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ | สนพ. |
(10) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศ | สนพ. |
(11) | โครงการศึกษาวิศวกรรมแบบบูรณาการเพื่อการอนุรักษ์พลังงานสำหรับพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม | ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
(12) | โครงการวิจัยการนำความร้อนทิ้งกลับมาใช้ในใหม่ใน Heat Processes | มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ |
(13) | โครงการปรับปรุงระบบงานฐานข้อมูลอนุรักษ์พลังงาน | พพ. |
(14) | โครงการปรับปรุงโปรแกรมประยุกต์และฐานข้อมูลการอนุรักษ์พลังงาน | พพ. |
(15) | โครงการ (ร่าง) กฎกระทรวงมาตรฐานการจัดการพลังงาน | พพ. |
(16) | การสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษา | 7 หน่วยงาน |
3.2 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รวม 2 โครงการ คือ
โครงการ | เจ้าของโครงการ | |
(1) | โครงการก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร | กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) |
(2) | โครงการเตรียมการจัดตั้งคณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า | สนพ. |
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้โครงการตามข้อ 3.1 และ 3.2 รวม 18 โครงการ ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา ด้วยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
2. ไม่เห็นชอบให้กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนใช้เงินเหลือจ่ายของโครงการก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ไปใช้ในการสร้างอาคารบ้านพัก ตามที่ขอมาในข้อ 3.2 (1) ทั้งนี้เพราะเห็นว่า ตชด. มีบ้านพักเพียงพอรับรองวิทยากรและพนักงานแล้ว
กอ. ครั้งที่ 43 - วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2549
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2553 (ครั้งที่ 52)
วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม 2553 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. รายงานฐานะการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2553
3. ประมาณการกระแสเงินสดของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในปี 2554-2557
4. รายงานการดำเนินโครงการและการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2553
5. รายงานการตรวจสอบประเมินผลกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
6. บทบาทคณะกรรมการทุนหมุนเวียนตามตัวชี้วัดภาคบังคับของกรมบัญชีกลาง
7. งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2554 กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
1. เลขานุการฯ ได้แจ้งที่ประชุมทราบว่า คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2553 ได้มีมติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนฯ จำนวน 7 ราย ดังนี้
1.1 นายสวัสดิ์ ตันตระรัตน์ | ผู้ทรงคุณวุฒิด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม |
1.2 นายสมชาติ โสภณรณฤทธิ์ | ผู้ทรงคุณวุฒิด้านพลังงาน |
1.3 นายกฤษณพงศ์ กีรติกร | ผู้ทรงคุณวุฒิด้านพลังงาน |
1.4 หม่อมราชวงศ์พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ | ผู้ทรงคุณวุฒิด้านพลังงาน |
1.5 นายยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ | ผู้ทรงคุณวุฒิด้านพลังงาน |
1.6 นางสาวพวงเพชร สารคุณ | ผู้ทรงคุณวุฒิด้านพลังงาน |
1.7 นายพรายพล คุ้มทรัพย์ | ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ |
2. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2553 ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2553 เป็นต้นไป และฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านทราบแล้ว
มติที่ประชุม
รับทราบการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
เรื่องที่ 2 รายงานฐานะการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2553
เลขานุการฯ ได้รายงานผลการใช้จ่ายเงินและฐานะเงินกองทุนฯ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2553 ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท | |
ยอดยกมา ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2553 | 16,385.31 |
บวก รายรับ | 1,232.38 |
รวม | 17,617.69 |
หัก รายจ่าย | 901.63 |
คงเหลือ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2553 | 16,716.06 |
มติที่ประชุม
1. รับทราบรายงานฐานะการเงินกองทุนฯ สิ้นสุด ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2553 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำข้อเสนอแนะของผู้แทนกรมบัญชีกลางไปพิจารณาดำเนินการ และเสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาเห็นชอบก่อนดำเนินการ และให้รายงานต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบ
เรื่องที่ 3 ประมาณการกระแสเงินสดของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในปี 2554-2557
1. กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2552 ได้มีมติให้ยกเลิกการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ในส่วนที่เก็บเพื่อส่งเสริมโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งของทั้งน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล ที่จัดเก็บในอัตรา 0.50 บาท/ลิตร และให้โอนเงินที่ได้จัดเก็บไว้แล้ว มาสบทบกับเงินสำหรับส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และลดอัตราจัดเก็บเงินกองทุนอนุรักษ์ฯ ของน้ำมันดีเซลสำหรับส่งเสริมอนุรักษ์พลังงาน จากที่เก็บอยู่ 0.25 บาท/ลิตร เหลือ 0.05 บาท/ลิตร เป็นระยะเวลา 1 ปี และให้จัดเก็บในอัตราเดิม คือ 0.25 บาท/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2553
2. รายได้ที่จัดเก็บเงินเข้ากองทุนฯ สำหรับ "โครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่ง" ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2551 - 1 ตุลาคม 2552 รวมทั้งสิ้น 8,151.37 ล้านบาท โดยปัจจุบันได้โอนเงินดังกล่าวเข้าสมทบกับเงินกองทุนอนุรักษ์ฯ ทั้งนี้ฐานะเงิน "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ณ วันที่ 30 กันยายน 2553 มีจำนวนทั้งสิ้น 16,385 ล้านบาท
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้จัดทำประมาณการกระแสเงินสดของกองทุนฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2553 สรุปได้ดังนี้
หน่วย: ล้านบาท
ปีงบประมาณ | 2554 | 2555 | 2556 | 2557 | รวมช่วงปี54-57 |
1.เงินคงเหลือณวันที่ 30 กันยายน 2553 | 16,385 | 16,385 | |||
2.ยอดยกมาต้นปีงบประมาณ | 17,536 | 22,272 | 29,666 | ||
3.รายรับประกอบด้วย | |||||
3.1 ประมาณรายรับจากผู้ผลิต/ผู้นำเข้าน้ำมัน | 7,083 | 7,214 | 7,379 | 7,453 | 29,129 |
3.2 เงินทุนหมุนเวียนรอรับคืนจากพพ. | 968 | 862 | 671 | 710 | 3,210 |
3.3 เงินทุนหมุนเวียนรอรับคืนจากปตท. | 211 | 212 | 204 | 135 | 762 |
หน่วย: ล้านบาท
ปีงบประมาณ | 2554 | 2555 | 2556 | 2557 | รวมช่วงปี54-57 |
3.4 เงินทุนหมุนเวียนรอรับคืนจากกฟผ. | 550 | - | - | 400 | 950 |
รวมรับ | 8,812 | 8,288 | 8,254 | 8,698 | 34,051 |
4.รายจ่ายประกอบด้วย | |||||
4.1 รายจ่ายผูกพันปี 2538-2547 | 274 | 132 | 21 | - | 426 |
4.2 รายจ่ายผูกพันปี 2548-2552 | 4,701 | 3,420 | 838 | 766 | 9,726 |
4.3 รายจ่ายผูกพันปี 2553 (สนพ.) | 1,281 | 1,281 | |||
4.4 รายจ่ายผูกพันปี 2553 (พพ.) | 1,406 | 1,406 | |||
รวมจ่าย | 7,661 | 3,552 | 860 | 766 | 12,839 |
5.เงินคงเหลือปลายปี (1+2+3-4) ยกไป | 17,536 | 22,272 | 29,666 | 37,598 | 37,598 |
ประมาณการรายได้/รายจ่ายสุทธิ (3-4) | 1,151 | 4,736 | 7,394 | 7,932 | 21,213 |
มติที่ประชุม
รับทราบประมาณการกระแสเงินสดของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในปี 2554-2557 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
เรื่องที่ 4 รายงานการดำเนินโครงการและการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2553
1. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2553 ได้อนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2553 ให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ในวงเงิน 1,823,952,000 บาท และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในวงเงิน 1,379,613,752 บาท รวมเป็นเงิน 3,203,565,752 บาท โดยแยกเป็นแผนพลังงานทดแทน ในวงเงิน 1,039,305,450 บาท แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ในวงเงิน 2,034,859,090 บาท และแผนงานบริหารทางกลยุทธ์ ในวงเงิน 129,401,212 บาท
2. พพ. และ สนพ. ได้ดำเนินโครงการภายใต้แผนพลังงานทดแทน แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และแผนงานบริหารทางกลยุทธ์ ปีงบประมาณ 2553 ตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ไว้แล้ว โดยมีการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ เป็นจำนวนเงิน 2,931,520,752 บาท คิดเป็นร้อยละ 91.51 ของงบประมาณรวม และได้เบิกจ่ายเงินคิดเป็นร้อยละ 23 ของงบที่ผูกพัน ดังนี้
2.1 การดำเนินโครงการภายใต้แผนพลังงานทดแทน ได้มีการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ และผูกพันงบประมาณ เป็นเงิน 979.95 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 94 ของงบที่ได้รับ
2.2 การดำเนินโครงการภายใต้แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ได้มีใช้จ่ายเงินกองทุนฯ และผูกพันงบประมาณ เป็นเงิน 1,822.17 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 90 ของงบที่ได้รับ
2.3 การดำเนินงานภายใต้แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ ได้มีการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ และผูกพันงบประมาณ เป็นเงิน 129.40 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 100 ของงบที่ได้รับ
มติที่ประชุม
รับทราบรายงานการดำเนินโครงการและการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2553 ตามที่ ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
เรื่องที่ 5 รายงานการตรวจสอบประเมินผลกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
1. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบประเมินผลกองทุนฯ ระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2551 - 31 กรกฎาคม 2552 เพื่อให้ทราบว่าการดำเนินงานของกองทุนฯ และโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ มีผลการดำเนินงานบรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายหรือไม่การใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ประหยัด และคุ้มค่าหรือไม่ อย่างไร โดยขอตรวจสอบตั้งแต่ปีงบประมาณ 2549-2551 และได้ขอความร่วมมือ สนพ. จัดเตรียมเอกสารและข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับกองทุนฯ และสถานที่ให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานระหว่างการตรวจสอบ
2. สตง. ได้แจ้งผลและส่งรายงานการตรวจสอบประเมินผลกองทุนฯ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2549-2551 มายัง สนพ. เพื่อทราบและดำเนินการตามข้อเสนอแนะ ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ 2 ประเด็น ดังนี้
2.1 การใช้จ่ายเงินไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ โดยครอบคลุมการใช้จ่ายเงินเพื่อบริหารกองทุนฯ ทั้งในส่วนของ สนพ. และ พพ. ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามภารกิจหน้าที่ของกองทุนฯ ซึ่งกำหนดไว้ในวัตถุประสงค์ตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
2.2 ผลการดำเนินงานโครงการที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไม่บรรลุวัตถุประสงค์และไม่มีการใช้ประโยชน์ ซึ่ง สตง. ได้ตรวจสอบทั้งหมด 42 โครงการ ตามแผนพลังงานทดแทน และแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยมีผลการดำเนินงานโครงการไม่บรรลุวัตถุประสงค์ และไม่มีการใช้ประโยชน์จากโครงการ จำนวน 11 โครงการ (พพ. จำนวน 10 โครงการ และ สนพ. จำนวน 1 โครงการ)
3. สตง. เสนอแนะให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอผลการตรวจสอบของ สตง. ให้ประธานกรรมการกองทุนฯ รับทราบและพิจารณา ดังต่อไปนี้
3.1 กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ ในส่วนของงานบริหาร เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
3.2 จัดให้มีการติดตามประเมินผลการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ในส่วนของงานบริหารเพื่อให้การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ เป็นไปตามวัตถุประสงค์และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งทราบปัญหา อุปสรรค
3.3 ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาของการดำเนินงานโครงการที่ได้รับการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ โดยการพิจารณาดำเนินการตามรายงานประเมินผลและข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประเมินผลโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน และแจ้งปัญหาในการดำเนินงานของทั้ง 11 โครงการ ตามผลการตรวจสอบให้ สนพ. และ พพ. ทราบและดำเนินการแก้ไข เพื่อให้การดำเนินงานโครงการมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและยั่งยืน
3.4 กำหนดกฎระเบียบให้ สนพ. และ พพ. ซึ่งได้รับการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ จัดส่งข้อมูล โครงการให้กองทุนฯ เพื่อให้คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ใช้ในการติดตามประเมินผล
3.5 การพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กับโครงการที่มีลักษณะการส่งเสริมและสาธิต ในอนาคตต้องกำหนดหลักเกณฑ์ให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ก่อน เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับพิจารณาตัดสินใจให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ สำหรับการดำเนินงานโครงการต่อไป
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ สตง. แล้ว สรุปได้ดังนี้
4.1 ได้จัดทำหลักเกณฑ์การพิจารณาจัดสรรงบประมาณ ในส่วนงานบริหารแผนและงานบริหารจัดการประจำปี 2554 เพื่อใช้ในการพิจารณางบประมาณกองทุนฯ ปี 2554 ดังนี้
1) เกณฑ์การพิจารณาจัดสรรงบประมาณ ในส่วนงานบริหารแผนและงานบริหารจัดการ ประจำปี 2554
เพื่อให้ใช้จ่ายเงินกองทุนในส่วนของงานบริหารงานกองทุนฯ เป็นไปตามเจตนารมณ์ ของพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 มาตรการ 25 (4) ที่กำหนดวัตถุประสงค์ให้ "เป็นค่าใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในการบริหารงานการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้" การพิจารณาจัดสรรงบประมาณ ในส่วนงานบริหารแผนและงานบริหารจัดการ ประจำปี 2554 คณะทำงานพิจารณากลั่นกรองงบประมาณประจำ 2554 ใช้หลักเกณฑ์เบื้องต้นในการพิจารณาจัดสรร ดังนี้
1.1) เป็นรายการค่าใช้จ่ายที่มีความเกี่ยวข้องกับภารกิจและหน้าที่ของกองทุนเพื่อส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงาน
1.2) อัตราค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังกำหนด และรายการค่าจ้างที่ปรึกษาให้เป็นไปตามที่สำนักงบประมาณกำหนด
1.3) เป็นรายการค่าใช้จ่ายที่เป็นไปตามภารกิจที่คณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการกองทุนฯ มอบหมาย
1.4) เป็นรายการค่าใช้จ่ายที่ดำเนินการตามตัวชี้วัดเงินทุนหมุนเวียนของกรมบัญชีกลาง
1.5) นำผลประเมินของคณะอนุกรรมการประเมินผลฯ มาประกอบการพิจารณาในการจัดสรรงบประมาณแต่ละปี
2) แนวทางการดำเนินงานในปีงบประมาณต่อไป
2.1) ฝ่ายเลขานุการฯ จะจัดตั้งคณะทำงานกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาจัดสรรงบประมาณในส่วนงานบริหารแผนและงานบริหารจัดการ ของกองทุนฯ เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และตามภารกิจ หน้าที่ของกองทุนฯ ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนจาก สนพ. พพ. กรมบัญชีกลาง และผู้แทนสำนักงบประมาณ
2.2) นำหลักเกณฑ์การพิจารณาจัดสรรงบประมาณ ในส่วนงานบริหารแผนและงานบริหารจัดการ ของกองทุนฯ ที่กำหนดโดยคณะทำงานมาใช้ในการจัดสรรงบประมาณแต่ละปี
4.2 ฝ่ายเลขานุการฯ จะดำเนินการจัดทำหนังสือแจ้งประธานอนุกรรมการประเมินผลฯ เพื่อติดตามประเมินผลการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ในส่วนของงานบริหารต่อไป
4.3 สนพ. และ พพ. ได้ชี้แจงเหตุที่ไม่บรรลุวัตถประสงค์หรือไม่มีการใช้ประโยชน์ พร้อมทั้งเสนอแนวทางการแก้ไขการดำเนินโครงการให้เกิดการใช้ประโยชน์สูงสุด ทั้ง 11 โครงการแล้ว ซึ่งมีรายละเอียดตามเอกสารแนบของระเบียบวาระ
4.4 การจัดส่งข้อมูลโครงการให้กองทุนฯ นั้น ได้เพิ่มเติมข้อเสนอในเรื่องที่ 4.1 เพื่อเป็นมติให้ สนพ. และ พพ. จัดส่งข้อมูลโครงการให้กองทุนฯ เพื่อให้คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ใช้ในการติดตามประเมินผลแล้ว
4.5 สนพ. ได้มีหนังสือแจ้ง สตง. ให้ทราบผลการดำเนินงานเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว
มติที่ประชุม
รับทราบรายงานการตรวจสอบประเมินผลกองทุนฯ ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตามที่ ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ และประธานกรรมการกองทุนฯ ให้ฝ่ายเลขานุการฯ และหน่วยงานทั้ง สนพ. และ พพ. นำข้อท้วงติงของ สตง. ไปเป็นแนวปฏิบัติในการดำเนินงานต่อไป เพื่อมิให้มีรายการค่าใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ที่ผิดวัตถุประสงค์เกิดขึ้นอีก
เรื่องที่ 6 บทบาทคณะกรรมการทุนหมุนเวียนตามตัวชี้วัดภาคบังคับของกรมบัญชีกลาง
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 มีมติอนุมัติให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงินนอกงบประมาณ ถือปฏิบัติตามมาตรการกำกับดูแลเงินนอกงบประมาณ ที่กระทรวงการคลังเสนออย่างเคร่งครัด โดยให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติติดตามผล การดำเนินการ และกรมบัญชีกลางเริ่มใช้ระบบประเมินผลทุนหมุนเวียน ตั้งแต่ปีบัญชี 2547 ซึ่งกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเป็นทุนหมุนเวียนที่เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงาน ตั้งแต่ปีบัญชี 2549
2. ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 กรมบัญชีกลางได้กำหนดตัวชี้วัดภาคบังคับ "บทบาทคณะกรรมการทุนหมุนเวียน" ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ทุกทุนหมุนเวียนในความรับผิดชอบของกรมบัญชีกลางจะต้องปฏิบัติตาม โดยมีความมุ่งหวังเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลของคณะกรรมการทุนหมุนเวียน โดย จะประเมินจาก 4 ประเด็นหลักที่สำคัญ ดังนี้
2.1 การจัดให้มีทิศทาง แผนยุทธศาสตร์ และแผนปฏิบัติการประจำปี โดยพิจารณาจากคณะกรรมการทุนหมุนเวียนกำหนดทิศทาง ยุทธศาสตร์ และจัดให้มีแผนยุทธศาสตร์หรือแผนระยะยาว และแผนปฏิบัติการประจำปี ที่มีองค์ประกอบครบถ้วน มีคุณภาพ และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์จัดตั้ง รวมถึง พันธกิจของทุนหมุนเวียน
2.2 การติดตามระบบการบริหารจัดการและผลการปฏิบัติงานตามภารกิจของทุนหมุนเวียน โดยพิจารณาจากคณะกรรมการทุนหมุนเวียนมีการติดตามผลการปฏิบัติงานตามพันธกิจและระบบบริหารจัดการที่สำคัญ ได้แก่ ระบบการควบคุมภายใน ระบบการตรวจสอบภายใน ระบบการบริหารความเสี่ยง ระบบบริหารจัดการสารสนเทศ และระบบบริหารทรัพยากรบุคคลของทุนหมุนเวียนอย่างครบถ้วน เพียงพอ และสม่ำเสมอทั้งปี
2.3 การจัดให้มีระบบประเมินผลผู้บริหารทุนหมุนเวียน โดยพิจารณาจากการประเมินผลผู้บริหารระดับสูงที่เป็นระบบ โดยมีหลักเกณฑ์ชัดเจนสอดคล้องและเชื่อมโยงกับหลักเกณฑ์ และเป้าหมายระดับองค์กร
2.4 การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยพิจารณาจากการเปิดเผยข้อมูลสารสนเทศที่ครบถ้วน ถูกต้อง เชื่อถือได้ ทันกาล
3. การกำหนดเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2554 นั้น ฝ่ายเลขานุการฯ กำลังดำเนินการเจรจาต่อรองระหว่างผู้ถูกประเมิน คือ กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (สนพ. และ พพ.) กับผู้ประเมิน คือ กรมบัญชีกลางและทริส เพื่อให้ได้ตัวชี้วัดที่เหมาะสมกับการดำเนินงานของกองทุนฯ มากที่สุด ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จกลางเดือนมกราคม 2554
มติที่ประชุม
รับทราบบทบาทคณะกรรมการทุนหมุนเวียนตามตัวชี้วัดภาคบังคับของกรมบัญชีกลาง ตามที่ ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลการประเมินการดำเนินงานของกองทุนฯ ในแต่ละรอบ ต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไปด้วย
เรื่องที่ 7 งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2554 กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2550 ได้รับทราบแผนอนุรักษ์พลังงานและเป้าหมาย ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2551-2554 ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เสนอ โดยมีเป้าหมายและการดำเนินการจะลดปริมาณการใช้พลังงานลง 7,820 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือคิดเป็นร้อยละ 10.8 ของความต้องการใช้พลังงานทั้งหมดของประเทศในปี 2554 และกำหนดเป้าหมายการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้แทนพลังงานเชิงพาณิชย์ 8,858 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือคิดเป็นร้อยละ 12.2 ของความต้องการใช้พลังงานในปี 2554 และ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2552 ได้เห็นชอบแผนพัฒนาพลังงานทดแทน 15 ปี โดยกำหนดเป้าหมายการนำพลังงานทดแทนรวม 10,961 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือคิดเป็นร้อยละ 15.6 ของความต้องการใช้พลังงานในปี 2554
2. สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ได้รวบรวมงบประมาณรายจ่ายตามแผนงานและโครงการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ สำหรับ ใช้จ่ายเป็นเงินหมุนเวียน เงินช่วยเหลือ หรือเงินอุดหนุนสำหรับการลงทุน และดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน มาตรา 25 แห่ง "พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" โดยมีหน่วยงานยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในปีงบประมาณ 2554 เป็นจำนวน 125 โครงการ ในวงเงินทั้งสิ้น 5,365,911,205 บาท
3. การพิจารณากลั่นกรองงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2554 ดำเนินการโดย "คณะทำงานพิจารณากลั่นกรองงบประมาณประจำปี 2554 ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ที่ประธานคณะอนุกรรมการกองทุนฯ ได้แต่งตั้งเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2553 โดยมีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานคณะทำงานฯ ซึ่งได้เริ่มประชุมพิจารณางบประมาณตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2553 - 3 ธันวาคม 2553 รวม 9 ครั้ง และคณะทำงานฯ ได้ยึดแนวทาง/หลักเกณฑ์การพิจารณากลั่นกรองโครงการฯ ของกองทุนฯ โดยมีหลักเกณฑ์ที่สำคัญ ดังนี้
1) การจัดลำดับความสำคัญตามนโยบายและแผน โดยทำการพิจารณาถึงความสอดคล้องของโครงการกับภารกิจที่สำคัญ ดังนี้
- ภารกิจตามข้อกำหนดและกฎหมาย พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
- ภารกิจตามยุทธศาสตร์ระดับชาติ นโยบายรัฐบาล และกระทรวงพลังงาน
- ภารกิจตามเจตนารมณ์ของกองทุนฯ ตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และตามแผนและเป้าหมายอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2551-2554
- ภารกิจตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทน 15 ปี (พ.ศ. 2551-2565)
2) ระยะเวลาการเกิดผลสัมฤทธิ์ โดยใช้เป็นเกณฑ์ในการแบ่งช่วงเวลาที่โครงการดังกล่าวสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริงหรือขยายผลได้ในอนาคต โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะ "สั้น" (เกิดผลสัมฤทธิ์ได้ใน 1-2 ปี) ระยะ "กลาง" (เกิดผลสัมฤทธิ์ได้ใน 3-5 ปี) และ ระยะ "ยาว" (เกิดผลสัมฤทธิ์ต้องใช้เวลามากกว่า 5 ปี)
3) ศักยภาพในการขยายผล โดยเน้นโครงการวิจัยและ/หรือดำเนินการแล้วสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงหรือขยายผลได้จริง (Deployment Potential) โดยแบ่งตามศักยภาพการขยายผลเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่มีศักยภาพในการขยายผล "มาก" และกลุ่มที่มีศักยภาพในการขยายผล "น้อย"
4) โครงการต่อเนื่อง โดยพิจารณาผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา ถ้ามีความก้าวหน้าเกินกว่าร้อยละ 50 ของแผนงาน และผลการดำเนินงานอยู่ในระดับดี จึงจะได้รับงบประมาณสำหรับปีต่อไป
5) งานประชาสัมพันธ์ ดำเนินงานเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการสื่อสารอย่างแท้จริง
6) งบบริหารแผนการดำเนินงาน จะต้องเป็นภารกิจหรืองานที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และปรับอัตราค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ แนวทาง และขอบเขตการพิจารณางบประมาณตามที่สำนักงบประมาณกำหนด
4. คณะทำงานฯ ได้พิจารณารายละเอียดการของบประมาณรายจ่ายโครงการของกองทุนฯ ตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะอนุกรรมการฯ แล้ว โดยเห็นสมควรสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายตามโครงการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ของกองทุนฯ เป็นจำนวนไม่เกิน 2,614,335,136 บาท รวม 81 โครงการ ซึ่งได้ครอบคลุมการดำเนินงานทั้งในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ การจัดการด้านการใช้พลังงาน รวมถึงการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานทดแทนในการผลิตไฟฟ้า และผลิตความร้อนในเทคโนโลยีต่างๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ พลังงานชีวมวล และเชื้อเพลิงชีวภาพ โดยแบ่งรายจ่ายออกเป็น 2 หน่วยงานผู้เบิกเงิน กองทุนฯ ดังนี้
1) พพ. จำนวน 883,618,960 บาท คิดเป็นร้อยละ 33.80 รวม 54 โครงการ
2) สนพ. จำนวน 1,730,716,176 บาท คิดเป็นร้อยละ 66.20 รวม 27 โครงการ
5. คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2553 ได้พิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2554 ของกองทุนฯ แล้ว ที่ประชุมมีมติเห็นชอบงบประมาณรายจ่าย เป็นจำนวน 2,614,335,136 บาท ตามที่คณะทำงานฯ เห็นสมควร และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ดังนี้
จำแนกตามแผนอนุรักษ์พลังงาน | จำนวนโครงการ | รวม | ร้อยละ | จำแนกตามหน่วยผู้เบิก (บาท) | |
พพ. | สนพ. | ||||
1. แผนพลังงานทดแทน | 39 | 1,449,445,340 | 55.44 | 318,758,500 | 1,130,686,840 |
1.1 งานศึกษาวิจัยพัฒนา | 10 | 214,635,000 | 8.21 | 61,635,000 | 153,000,000 |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 20 | 341,945,340 | 13.08 | 228,703,500 | 113,241,840 |
1.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 9 | 864,445,000 | 33.07 | - | 864,445,000 |
1.4 งานบริหารแผนงาน | - | 28,420,000 | 1.09 | 28,420,000 | - |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 40 | 1,087,318,060 | 41.59 | 564,860,460 | 522,457,600 |
2.1 งานศึกษาวิจัยพัฒนา | 3 | 107,800,000 | 4.12 | 7,800,000 | 100,000,000 |
2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 21 | 492,940,000 | 18.86 | 492,940,000 | - |
2.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 16 | 479,543,060 | 18.34 | 57,085,460 | 422,457,600 |
2.4 งานบริหารแผนงาน | - | 7,035,000 | 0.27 | 7,035,000 | - |
3. แผนบริหารเชิงกลยุทธ์ | 2 | 77,571,736 | 2.97 | - | 77,571,736 |
3.1 งานศึกษาวิจัยเชิงนโยบาย | 2 | 14,000,000 | 0.54 | - | 14,000,000 |
3.2 งานบริหารแผนงาน | - | 63,571,736 | 2.43 | - | 63,571,736 |
รวมงบประมาณ กทอ.ปี 2554 | 81 | 2,614,335,136 | 100.00 | 883,618,960 | 1,730,716,176 |
6. ฝ่ายเลขานุการฯ มีข้อเสนอในการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ดังนี้
1) เนื่องจาก พพ. และ สนพ. มีงานบริหารเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานที่ต้องดำเนินงานต่อเนื่อง เช่น การเบิกจ่ายเงินให้หน่วยงาน โครงการ ตามข้อผูกพันสัญญาฯ การประสานหน่วยงาน โรงงาน อาคาร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายอนุรักษ์พลังงาน การให้คำแนะนำกับประชาชนในเรื่องวิธีประหยัดพลังงาน ฯลฯ จึงมีรายจ่ายประจำที่จำเป็นเพื่อการบริหารงานที่เกิดขึ้นแล้ว เช่น ค่าจ้างพนักงานราชการ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปให้ความรู้ความเข้าใจ การร่วมประชุมให้ความเห็น ค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาเห็นชอบให้งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2554 ของกองทุนฯ งานบริหารของทั้ง 3 แผนงาน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553
2) การพิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการภายใต้งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ทั้งแผนพลังงานทดแทนและแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ขอเสนอวิธีการดำเนินงานในลักษณะเดียวกับปีงบประมาณ 2553 โดยให้ สนพ. ทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองรายละเอียดของโครงการที่มีผู้ยื่นขอรับการสนับสนุน ตามรายละเอียดการของบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2554 แล้วนำเสนอผู้มีอำนาจอนุมัติภายในวงเงิน ดังต่อไปนี้
(1) ผอ.สนพ. ไม่เกิน 10,000,000 บาท
(2) คณะอนุกรรมการกองทุนฯ เกิน 10,000,000 บาท แต่ไม่เกิน 50,000,000 บาท
(3) คณะกรรมการกองทุนฯ เกิน 50,000,000 บาท
3) เพื่อให้งานประชาสัมพันธ์มีความเป็นเอกภาพ และมีทิศทางการปฏิบัติไปในแนวเดียวกัน จึงขอเสนอพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในแผนพลังงานทดแทนและแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ไว้เป็นกรอบวงเงินแผนงานละ 350 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 700 ล้านบาท ให้ผ่านการพิจารณาและเห็นชอบจาก "คณะกรรมการประชาสัมพันธ์และการสื่อสารของกระทรวงพลังงาน" ที่ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน และให้สามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในแผนงาน/งานเดียวกันได้ ทั้งนี้เมื่อคณะกรรมการประชาสัมพันธ์ฯ เห็นชอบแล้ว ให้เสนอต่อคณะอนุกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติก่อนดำเนินโครงการต่อไป และให้กระทรวงพลังงานดำเนินการประเมินผลการประชาสัมพันธ์ที่ได้รับงบประมาณจากกองทุนฯ ต่อไปด้วย
4) เพื่อให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ให้ สนพ. และ พพ. จัดส่งข้อมูลการดำเนินโครงการที่ได้รับจัดสรรในปีงบประมาณ 2554 พร้อมทั้งเอกสารรายงานที่ได้ตรวจรับแล้ว (ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์) ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทุก 4 เดือน เพื่อจัดส่งให้คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ใช้ในการติดตามประเมินผลโครงการต่อไป
มติที่ประชุม
ประธานกรรมการกองทุนฯ ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ไปดำเนินการทบทวนและตรวจสอบงบประมาณรายจ่ายในแต่ละโครงการตามข้อกำหนดในมาตรา 25 ของ พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พร้อมทั้งตรวจสอบโครงการในมิติตามเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงาน เพิ่มเติม และจัดทำข้อมูลดังกล่าวเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อประกอบการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2554 ในการประชุมครั้งต่อไป
กอ. ครั้งที่ 42 - วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2549
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 42)
วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2549 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
3. โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV
4. ข้อเสนอขอปรับโครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ
5. ขออนุมัติโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม 2 โครงการ
7. โครงการรณรงค์ประหยัดพลังงานในหน้าร้อน
8. ขออนุมัติโครงการทีมเทคนิคและอาชีวศึกษาเพื่อการประหยัดพลังงาน
รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) กระทรวงพลังงาน ผู้เข้าร่วมประชุม
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบรับรองงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2547 และ 2546 เรียบร้อยแล้ว โดย สตง. มีข้อสังเกตว่าสินทรัพย์ถาวรที่จัดซื้อจากเงินกองทุนฯ ยังไม่ได้บันทึกเป็นสินทรัพย์ของส่วนราชการที่จัดซื้อ ซึ่งไม่เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 สตง. ได้เสนอแนะให้กองทุนฯ ประสานงานกับส่วนราชการ (หน่วยผู้เบิก) ให้สำรวจและจัดทำทะเบียนคุมทรัพย์ให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อให้ส่วนราชการดังกล่าวนำไปบันทึกเป็นสินทรัพย์ ในบัญชีชุดส่วนราชการต่อไป
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ ได้แจ้งให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานและกรมบัญชีกลางทราบและถือปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของ สตง. โดยเคร่งครัดต่อไปแล้ว
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ได้เห็นชอบการปรับเปลี่ยนแนวทางในการติดตามประเมินผลใหม่ โดยการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 (2548 - 2554) จะใช้แนวทางการติดตามและประเมินผลแบบมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นการประเมินที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับเจ้าของโครงการ ผู้ร่วมโครงการและผู้ประเมินผลได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการประเมิน และเป็นการประเมินผลโครงการอย่างต่อเนื่องทั้งโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ (Ongoing Evaluation) และโครงการที่เสร็จสิ้นแล้ว (Post Evaluation) ซึ่งจะทำให้สามารถนำผลการประเมินไปปรับปรุงการดำเนินโครงการและแผนงานได้อย่างทันท่วงที โดยการประเมินผลในระดับแผนงาน จะนำผลการประเมินระดับโครงการมาเป็นข้อมูลวิเคราะห์และประเมินผล โดยจะพิจารณาประเด็น4 ด้าน คือ ด้านพันธกิจ ด้านกลุ่มเป้าหมาย ด้านการบริหารจัดการ และด้านการเรียนรู้และพัฒนา
2. การติดตามประเมินผลปี 2548 เป็นการติดตามประเมินผลโครงการทั้งหมดภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 3 ปีงบประมาณ 2548 มีทั้งสิ้น 84 โครงการ งบประมาณรวม 1,571.92 ล้านบาท โดยที่ปรึกษาได้แบ่งกลุ่มโครงการเพื่อการติดตามและประเมินผลออกเป็น 4 กลุ่มเพื่อให้สอดคล้องตามดัชนีชี้วัดของโครงการ ดังนี้
2.1 โครงการภายใต้แผนงานพลังงานทดแทน (กลุ่มงานวิจัยและสาธิต)
2.2 โครงการภายใต้แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (กลุ่มงานวิจัยและสาธิต)
2.3 โครงการภายใต้แผนงานบริหารเชิงกลยุทธ์
2.4 โครงการกลุ่มประชาสัมพันธ์และบุคลากรภายใต้แผนงานพลังงานทดแทนและแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
3. สรุปผลการติดตามประเมินผล : การดำเนินงานติดตามและประเมินผลที่ผ่านมามีความคืบหน้าไปด้วยดี โดย ณ สิ้นเดือนมกราคม 2549 สถานะการประเมินผลโครงการมีรายระเอียดดังนี้คือ
โครงการอยู่ระหว่างขอข้อมูลโครงการ จำนวน 1 โครงการ
โครงการอยู่ระหว่างการพัฒนาดัชนีชี้วัดรายโครงการ จำนวน 13 โครงการ
โครงการที่สรุปดัชนีชี้วัด และกำลังพัฒนาเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล จำนวน 47 โครงการ
อยู่ในขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล จำนวน 18 โครงการ
อยู่ในขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูล จำนวน 1 โครงการ
อยู่ในขั้นตอนการสรุปผลการประเมิน และจัดทำข้อเสนอแนะ จำนวน 4 โครงการ
โดยคาดว่าจะสามารถสรุปผลการประเมินโครงการและแผนงานทั้งหมดภายในเดือนพฤษภาคม 2549 นี้
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2548 ได้พิจารณาโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ตามที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เสนอ และได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ จำนวน 2,000 ล้านบาท จากแผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2549 ให้ ปตท. เพื่อนำไปใช้ในโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV โดยมีเงื่อนไขให้ ปตท. จัดทำรายละเอียดของโครงการฯ เสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณา เช่น การเบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ เท่าที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละช่วงเวลา ระยะเวลาการส่งเงินคืนกองทุนฯ และอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น และเมื่อ ปตท. ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขดังกล่าว และได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบ ต่อไป
2. ปตท.ได้เสนอสาระสำคัญและขั้นตอน วิธีการดำเนินโครงการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสรุปได้ ดังนี้
2.1 ปตท. จัดตั้งกองทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV เพื่อขยายการใช้ NGV จำนวน 5,000 ล้านบาท และเงินทุนจากกองทุนฯ สมทบกองทุนหมุนเวียนฯ อีกจำนวน 2,000 ล้านบาท ปตท. จะเบิกเงินเป็นรายเดือนตามรายละเอียดการจ่ายจริง
2.2 ปตท. เชิญธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ เข้าร่วมในโครงการให้สินเชื่อแก่เจ้าของยานยนต์ ซึ่งมีความประสงค์ที่จะดัดแปลง และ/หรือ ติดตั้งอุปกรณ์ใช้ NGV โดย ปตท. จะนำเงินเข้าฝากในบัญชีที่ ปตท. เปิดไว้กับแต่ละธนาคารและสถาบันการเงินให้เพียงพอกับวงเงินสินเชื่อที่ธนาคาร/สถาบันการเงินนั้นปล่อยกู้เพื่อโครงการ ฯ
2.3 ปตท. เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อร่วมกับธนาคาร/สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
2.4 ปตท. จะทำการลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) กับธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ
2.5 ปตท. โอนเงินไปฝากไว้ในบัญชีให้แต่ละธนาคาร/สถาบันการเงินตามที่ธนาคาร/สถาบันการเงินแจ้งประมาณการปล่อยสินเชื่อ
2.6 ธนาคาร/สถาบันการเงิน จะดำเนินการปล่อยสินเชื่อตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ได้ตกลงกับ ปตท.
2.7 ปตท. จัดทำรายละเอียดการเบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ พร้อมทั้งรายงานความก้าวหน้าการปล่อยสินเชื่อโครงการให้แก่ สนพ. ทราบทุกไตรมาส
2.8 ปตท. จะชำระคืนเงินกองทุนฯ เป็นรายไตรมาส พร้อมอัตราดอกเบี้ย 0.50% ต่อปี
ทั้งนี้ การเบิกจ่ายเงิน และการคืนเงินกองทุนฯ เป็นการประมาณการ โดยอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ตามการเบิกจ่ายจริง
3. คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2549 ได้พิจารณาแล้วมีมติดังนี้
3.1 เห็นชอบในรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงานของโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ตามข้อเสนอโครงการที่ ปตท. เสนอ ทั้งนี้ หากกองทุนฯ มีปัญหาในเรื่องสภาพคล่องทางด้านการเงินในปีแรก ปตท. จะต้องจ่ายเพิ่มให้เพียงพอกับความต้องการใช้เงินของธนาคารด้วย
3.2 เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำโครงการดังกล่าว เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไป
3.3 กองทุนฯ ต้องไม่มีความเสี่ยงใดๆ ในการปล่อยกู้ หากมีหนี้สูญ ปตท. จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอง
3.4 มอบหมายให้ ปตท. สนพ. และกรมบัญชีกลางหารือเรื่องรายละเอียดการเบิกจ่ายเงิน และการส่งเงินคืนกองทุนฯ โดยให้คำนึงถึงสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนฯ ด้วย
3.5 มอบหมายให้ สนพ. ศึกษาความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศในระยะยาวหากมีการส่งเสริมให้มีการใช้ NGV อย่างแพร่หลาย
4. ผู้แทน ปตท. ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่าสำหรับประเด็นที่อนุกรรมการฯ ได้ให้ข้อสังเกตไว้นั้น ปตท. ได้ร่วมหารือกับ สนพ. แล้ว และ ปตท. สามารถดำเนินการได้ตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบมติคณะอนุกรรมการฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
เรื่องที่ 4 ข้อเสนอขอปรับโครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 40) เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2548 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ จำนวน 110 ล้านบาท จากแผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2548 ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อนำไปใช้ในโครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ โดยมีจำนวนรถที่สนใจเข้าร่วมโครงการ จากหน่วยงานราชการต่างๆ จำนวน 21 กระทรวง เป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,708 คัน โดยให้ ปตท. เป็นผู้จัดหาอุปกรณ์ NGV กรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้จัดทำแผนการติดตั้ง และมีหน่วยงานทหารและสถาบันอาชีวศึกษาต่างๆ จำนวน 15 แห่ง เป็นผู้ติดตั้ง
2. ผลการดำเนินโครงการ ปรากฏว่าการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ของหน่วยงานราชการตามข้อมูล ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2549 มีรถราชการติดตั้งอุปกรณ์ NGV แล้ว จำนวนทั้งสิ้น 314 คัน โดยการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถราชการไม่เป็นไปตามแผนที่กรมธุรกิจพลังงานได้กำหนด เนื่องจาก จำนวนรถที่หน่วยงานราชการแต่ละหน่วยงานยืนยันเข้าร่วมโครงการ ได้มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งบางหน่วยงานมีจำนวนรถลดลง ปตท. จึงได้มีหนังสือที่ 71063000/329/2549 ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2549 เพื่อขอปรับรายละเอียดในโครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซ NGV ในรถราชการ ดังนี้
2.1 ขอปรับรายงานความก้าวหน้าและรายงานการเงิน โดยรวมส่งรายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 ซึ่งเป็นการรายงานความก้าวหน้าการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถราชการ จำนวน 500 คัน และ 1,000 คันตามลำดับ เป็นรายงานฉบับเดียวกัน โดยขอส่งรายงานความก้าวหน้า ณ สิ้นเดือนที่ 8 (พฤษภาคม 2549) และขอรวมการเบิกเงินตามรายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 เป็นครั้งเดียวกันจำนวนทั้งสิ้น 75,500,000 บาท เมื่อรายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 1 ได้รับความเห็นชอบจาก สนพ.
2.2 ขอเพิ่มเติมรถยนต์ราชการที่สามารถเข้าร่วมโครงการจากเดิม เฉพาะเครื่องยนต์เบนซิน เป็นเครื่องยนต์เบนซิน หรือดีเซล
2.3 ขออนุมัติถัวจำนวนรถยนต์ในโครงการระหว่างหน่วยงานราชการต่างๆ รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,708 คัน
2.4 ขอเพิ่มหน่วยงานราชการอื่นที่ไม่ได้แจ้งความจำนงไว้ ตั้งแต่เริ่มโครงการแต่ได้ยื่นความจำนงเพิ่มเติมในภายหลัง โดย ปตท. จะทำการติดตั้งอุปกรณ์ให้กับหน่วยงานที่ได้ยื่นความจำนงไว้ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการก่อนเป็นลำดับแรก หากติดตั้งแล้วเสร็จทั้งหมด แต่จำนวนรถราชการที่ติดตั้งยังไม่ครบจำนวน 1,708 คัน และหรืองบประมาณยังคงเหลือ ปตท. จะแจ้งให้หน่วยงานที่แจ้งความจำนงภายหลัง นำรถของหน่วยงานมาติดตั้งอุปกรณ์ NGV
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ ปตท. ปรับโครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ตามรายละเอียดที่เสนอในข้อ 2 และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการต่อไป
เรื่องที่ 5 ขออนุมัติโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม 2 โครงการ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 8/2547 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2547 ได้อนุมัติข้อเสนอของ 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่ได้ยื่นขอทุนจากกองทุนฯ เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการสาธิตการใช้พลังงานลมเพื่อผลิตไฟฟ้าจ่ายขนานเข้าระบบจำหน่าย รวม 3 โครงการ โดย พพ. กฟผ. และ กฟภ. จะติดตั้งกังหันลมหน่วยงานละ 1 ชุด เพื่อเก็บสถิติข้อมูลจากการใช้งานจริง โดยแต่ละระบบมีความแตกต่างกันในด้านขนาดกำลังการผลิต เทคโนโลยี และสถานที่ติดตั้ง ดังนี้
หน่วยงาน | สถานที่ติดตั้ง | กำลังการผลิต | ขอทุน (ล้านบาท) |
ร่วมลงทุน (ล้านบาท) |
รวมทั้งสิ้น (ล้านบาท) |
(1) พพ. | ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช |
900 kW | 50.000 | - | 50.000 |
(2) กฟภ. | ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย อ.สทิงพระ จ.สงขลา |
600 kW | 41.108 | 13.980 | 55.088 |
(3) กฟผ. | ชายฝั่งทะเลอันดามัน แหลมพรหมเทพ จ.ภูเก็ต |
600 kW | 31.037 | 13.302 | 44.339 |
รวมทั้งสิ้น | 2,100 kW | 122.145 | 27.282 | 149.427 |
2. พพ. ได้มีหนังสือที่ พน.0506/31097 ลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2548 เพื่อขอเปลี่ยนแปลงการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามนโยบายกระทรวงพลังงาน จากวิธีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายบางส่วนให้กับแต่ละหน่วยงานโดยตรงเพื่อดำเนินการติดตั้งระบบสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เป็น พพ. กฟภ. และ กฟผ.ร่วมดำเนินการโครงการฯ โดยเปิดให้เอกชนลงทุน จัดตั้งกังหันลมเพื่อขายไฟฟ้าที่ผลิตได้ให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย และนำเงินที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว รวมทั้งสิ้น 122,145,194 บาท มาจัดทำ "โครงการสนับสนุนการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานลม" เพื่อเปิดให้เอกชนลงทุนเพื่อติดตั้งระบบสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม โดยให้เงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าส่วนเพิ่มไม่เกินหน่วยละ 8 บาท มีระยะเวลาการรับเงินชดเชย 5 ปี
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 1) เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2548 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วมีความเห็นว่าเนื่องจากการจัดทำโครงการพลังงานลม 3 โครงการเดิมนั้น มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิจัย พัฒนาและสาธิต เทคโนโลยีที่ยังไม่มีในประเทศ ดังนั้นควรเป็นการสาธิตกังหันขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อการวิจัยพัฒนาในอนาคตมากกว่า โดยควรสาธิตที่ขนาด 1.5 MW ขึ้นไป และเพื่อไม่ให้กระทบต่อวงเงินเดิมที่ได้อนุมัติไว้ จึงเห็นควรให้มีการปรับลดหน่วยงานที่ดำเนินการจากเดิม ลงเหลือ 2 แห่ง คือ พพ. และ กฟภ. ซึ่งที่ประชุมได้มีมติในเรื่องดังกล่าว ดังนี้
(1) เห็นควรสนับสนุนให้มีการส่งเสริมและสาธิตการผลิตไฟฟ้าโดยมอบหมายให้ พพ. และ กฟภ. ดำเนินโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมโดยปรับเปลี่ยนจากการดำเนินงาน 3 โครงการ เหลือ 2 โครงการ และแต่ละโครงการมีขนาดติดตั้ง 1.5 MW ขึ้นไป และเสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
(2) เห็นชอบให้ กฟผ. กฟภ. และ พพ. ปิดบัญชีโครงการเดิม และส่งเงินที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยคืนกองทุนฯ โดยให้แต่ละหน่วยงานสามารถหักรายจ่ายที่เกิดขึ้นจากดำเนินโครงการได้ตามที่เกิดขึ้นจริง
4. พพ. และ กฟภ. ได้จัดทำข้อเสนอโครงการตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว โดยจะติดตั้งกังหันลมหน่วยงานละ 1 ชุด เพื่อเก็บสถิติข้อมูลจากการใช้งานจริง สรุปได้ดังนี้
หน่วยงาน | สถานที่ติดตั้ง | กำลังผลิต | ขอทุน (ล้านบาท) |
ร่วมลงทุน (ล้านบาท) |
รวมทั้งสิ้น (ล้านบาท) |
เทคโนโลยี |
พพ. | ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช |
1.5 MW | 87.000 | - | 87.000 | Gear Box |
กฟภ. | ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย อ.สทิงพระ จ.สงขลา |
1.5 MW | 76.828 | 24.552 | 101.380 | Gearless |
รวมทั้งสิ้น | 3.0 MW | 163.828 | 188.380 |
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. กฟภ. และ กฟผ. ยกเลิกการดำเนินโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากลม ทั้ง 3 หน่วยงาน ตามที่คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุม เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2547 ได้อนุมัติไว้ และให้ พพ. กฟภ. และ กฟผ. ทำการปิดโครงการฯ พร้อมทั้งคืนเงินส่วนที่เหลือทั้งหมดต่อกองทุนฯ
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้แก่ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ในวงเงิน 87,000,000 บาท (แปดสิบเจ็ดล้านบาทถ้วน) ทั้งนี้ พพ. จะต้องดำเนินการจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับทุนจากกองทุนฯ โดยให้ พพ. จะต้องพิจารณาเลือกชนิด ขนาด เทคโนโลยีของกังหันลมให้มีความสอดคล้องกับศักยภาพของพลังลมในพื้นที่ที่จะติดตั้ง และควรคำนึงถึงความสามารถในการผลิตไฟฟ้าของกังหันลมด้วย
3. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้แก่ กฟภ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้าจ่ายขนานเข้าระบบจำหน่าย ในวงเงิน 76,828,000 บาท (เจ็ดสิบหกล้านแปดแสนสองหมื่นแปดพันบาทถ้วน) ทั้งนี้ กฟภ. จะต้องดำเนินการจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับทุนจากกองทุนฯ โดยให้ กฟภ. จะต้องพิจารณาเลือกชนิด ขนาด เทคโนโลยีของกังหันลมให้มีความสอดคล้องกับศักยภาพของพลังลมในพื้นที่ที่จะติดตั้ง และควรคำนึงถึงความสามารถในการผลิตไฟฟ้าของกังหันลมด้วย
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอขอความเห็นชอบ ปรับเปลี่ยนค่าผ่านทางของ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) สำหรับรถยนต์ที่มีล้อไม่เกิน 4 ล้อ เป็น 20 บาทต่อคัน ตลอดทั้งสาย และลดค่าผ่านทางสำหรับรถยนต์ที่มีล้อเกินกว่า 4 ล้อ ลงเหลือไม่เกิน 50 บาทต่อคัน ในช่วงทดลองเป็นระยะเวลา 3 เดือน ในกรณีรายได้จากค่าผ่านทางที่บริษัทฯ เก็บได้ลดลงต่ำกว่าวันละ 3.3 ล้านบาท รัฐจะต้องชดเชยในส่วนต่างให้กับบริษัทฯ ร้อยละ 80 ของส่วนต่าง โดยให้กองทุนฯ จัดสรรเงินชดเชยให้ ส่วนกรณีรายได้สูงกว่า 3.3 ล้านบาท ก็เห็นควรแบ่งรายได้กันฝ่ายละครึ่ง ซึ่งคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2547 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการ แนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิต ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ แต่เนื่องจากการจัดสรรเงิน กองทุนฯ เพื่อชดเชยค่าผ่านทางในส่วนต่างให้แก่บริษัทฯ เป็นอำนาจของคณะกรรมการกองทุนฯ ตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535 จึงให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง คือการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการฯ ดังกล่าวด้วย
2. บริษัทฯ ได้ปรับลดค่าผ่านทางของทางยกระดับอุตราภิมุขตลอดสายตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2547 - 21 มีนาคม 2548 เป็นระยะเวลา 3 เดือนแล้ว กรมทางหลวง ได้ทำการตรวจสอบรายได้ หลังจากทดลองปรับลดค่าผ่านทาง สรุปผลได้ดังนี้ รายได้ค่าผ่านทางตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2547 - 21 มีนาคม 2548 เป็นเงิน 258,408,950 บาท ซึ่งต่ำกว่ารายได้ของบริษัทฯ ก่อนปรับลดค่าผ่านทาง คือ 297,000,000 บาท ดังนั้น กรมทางหลวง จึงมีหนังสือที่ คค 0637/ฝส./10614 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2548 ขอให้ สนพ. ดำเนินการ ในส่วนที่รัฐต้องชดเชยค่าผ่านทางร้อยละ 80 ของส่วนต่าง เป็นจำนวน 30,603,845 บาท ให้กับบริษัทฯ ตามมติคณะรัฐมนตรี
3. ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรให้จ่ายค่าชดเชยให้กับบริษัทฯ เป็นจำนวนเงิน 30,603,845 บาท เนื่องจากเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี และผลจากการดำเนินการดังกล่าวนั้น คาดว่าจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคขนส่ง
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2549 ในวงเงิน 30,603,845 บาท ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทาง ในส่วนต่างให้แก่ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2547
2. การเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทางในส่วนต่างให้แก่ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2547 โดยมอบหมายให้กรมทางหลวง รวบรวมเอกสาร หลักฐาน การเบิกจ่ายเงิน ให้ครบถ้วนตามจำนวนเงิน 30,603,845 บาท แล้วจัดส่งให้ สนพ. เพื่อใช้เป็นเอกสาร หลักฐาน การเบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ พร้อมทั้งตรวจสอบผลประหยัดที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการในช่วงดังกล่าวส่งให้ฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อประเมินความคุ้มค่าของโครงการต่อไปด้วย
เรื่องที่ 7 โครงการรณรงค์ประหยัดพลังงานในหน้าร้อน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (สอศ.) ประสานและหารือมายังกระทรวงพลังงาน (พน.) ถึงแนวทางความร่วมมือในการดำเนินงานด้านพลังงานทั้งในระยะสั้น และระยะยาว เพื่อให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือ และเกิดผลในการปฏิบัติโดยเร็ว ดังนั้น พน. จึงได้จัดให้มีการประชุมเพื่อพิจารณาแนวทางความร่วมมือร่วมกันระหว่าง พน. และ สอศ. ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบให้เร่งดำเนินงานในระยะสั้น โดยการจัดกิจกรรมการรณรงค์ประหยัดพลังงานในหน้าร้อน คือ โครงการล้างแอร์ และโครงการตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ทั่วประเทศ
2. พน. ได้จัดทำโครงการประหยัดพลังงานหน้าร้อนเพื่อให้เกิดผลในทุกภาคส่วน โดยดำเนินกิจกรรมล้างแอร์และตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ ร่วมกับ สอศ. พร้อมกับประสานขอความร่วมมือกับพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ บมจ. กฟผ. จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) บริษัทผู้ให้บริการล้างเครื่องปรับอากาศ บริษัทน้ำมัน และกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้บริการแก่ประชาชน ซึ่ง พน. จำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการร่วมกับ สอศ. ในการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ และการประชาสัมพันธ์ในพื้นที่ภูมิภาค ดังนี้
2.1 โครงการล้างแอร์ลดค่าไฟหน้าร้อน เพื่อลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าในช่วงหน้าร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศ โดยสนับสนุนให้ สอศ. ล้างเครื่องปรับอากาศสำหรับภาคราชการ จำนวน 20,000 เครื่อง ในวงเงิน 10,000,000 บาท และในภาคประชาชน/เอกชน ไม่ต่ำกว่า 20,000 เครื่อง (ไม่รวมเป้าหมายจากพันธมิตร เช่น กฟน. ร่วมให้บริการในพื้นที่ของ กฟน. จำนวน 10,000 เครื่อง บริษัทน้ำมันต่างๆ ร่วมล้างเครื่องปรับอากาศในร้านสะดวกซื้อและสำนักงานทั่วประเทศ) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้ไฟฟ้าหน่วยงานราชการ ประชาชน และภาคธุรกิจ ไม่ต่ำกว่า 4,500,000 หน่วย คิดเป็นเงิน 13,500,000 บาท/เดือน ลดการใช้น้ำมันเตาในการผลิตไฟฟ้าในช่วง Peak ไม่ต่ำกว่า 19,485,000 บาท
2.2 โครงการตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ (Tune up) เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำมันในช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเดินทางไปต่างจังหวัด เพื่อพักผ่อนและเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ โดยความร่วมมือระหว่างกองทุนฯ ผู้ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายจำนวน 4,886,400 บาท ร่วมกับ สอศ. และบริษัทเชลล์ ออร์โตเซิร์ฟ สนับสนุนด้านบุคลากรในการปรับแต่งเครื่องยนต์ กรมการขนส่งทางบก และบริษัทน้ำมันต่างๆ อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด บริษัท น้ำมันคาลเท็กซ์ (ไทย) จำกัด และบริษัท คอนอโค (ประเทศไทย) จำกัด สนับสนุนในการจัดพื้นที่ให้บริการ สนพ. สนับสนุนงานด้านการประชาสัมพันธ์โครงการ โดยมีระยะเวลาการดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 1-10 เมษายน 2549 จำนวน 200 แห่ง ทั่วประเทศ มีเป้าหมายเพื่อให้มีการปรับแต่งเครื่องยนต์สำหรับรถยนต์ทั่วไป จำนวน 25,000 คัน คาดว่าประหยัดน้ำมันเบนซิน 190,000 ลิตร/เดือน และประหยัดน้ำมันดีเซล 72,000 ลิตร/เดือน คิดเป็นผลประหยัด 6.55 ล้านบาท/เดือน
2.3 การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ โครงการ "พลังไทย ฉลาดใช้พลังงาน...หน้าร้อน" เพื่อสร้างกระแสให้กลุ่มเป้าหมายทุกภาคส่วนลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันในช่วงฤดูร้อน และเพื่อรณรงค์ประหยัดพลังงาน ด้วยการกระตุ้นและจูงใจให้กลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งสามารถเห็นผลการประหยัดไฟฟ้า และน้ำมันได้อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้การประชาสัมพันธ์ยังเป็นการให้คำแนะนำถึงวิธีการปฏิบัติ หรือวิธีการดูแลและรักษาเครื่องปรับอากาศ และเครื่องยนต์อย่างถูกวิธีที่กลุ่มเป้าหมายสามารถนำไปปฏิบัติให้เคยชินเป็นนิสัย ซึ่งจะลดค่าใช้จ่ายให้กับตนเองได้ โดยขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 27,855,000 บาท ซึ่ง สนพ. ใช้งบประมาณประจำปี 2549 ที่กองทุนฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว จำนวนเงิน 20,245,000 บาท และขออนุมัติเพิ่มเติมอีกจำนวน 7,610,000 บาท โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือประชาชนทั่วไป หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ บริษัทเอกชน และภาคอุตสาหกรรมต่างๆ
2.4 ค่าใช้จ่ายในการติดต่อประสานงานกับหน่วยราชการในจังหวัดและการดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์ เพื่อสนับสนุนโครงการนี้ในระดับจังหวัดของสำนักงานพลังงานภูมิภาค ในสังกัดของสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน จำนวน 600,000 บาท
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2549 ให้สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา ในวงเงิน 14,184,400 บาท ( สิบสี่ล้านหนึ่งแสนแปดหมื่นสี่พันสี่ร้อยบาทถ้วน) โดยแบ่งเป็น โครงการล้างแอร์ลดค่าไฟหน้าร้อน จำนวน 9,298,000 บาท (เก้าล้านสองแสนเก้าหมื่นแปดพันบาทถ้วน) และ โครงการตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ จำนวน 4,886,400 บาท (สี่ล้านแปดแสนแปดหมื่นหกพันสี่ร้อยบาทถ้วน)
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2549 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เพิ่มเติมอีกในวงเงิน 7,610,000 บาท (เจ็ดล้านหกแสนหนึ่งหมื่นบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการรณรงค์ประหยัดพลังงานในหน้าร้อน ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ
3. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2549 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) ในวงเงิน 600,000 บาท (หกแสนบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการรณรงค์ประหยัดพลังงานในหน้าร้อน ในส่วนที่ สป.พน. รับผิดชอบ
เรื่องที่ 8 ขออนุมัติโครงการทีมเทคนิคและอาชีวศึกษาเพื่อการประหยัดพลังงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ โดยให้แต่งตั้งคณะกรรมการประสานการรณรงค์ และติดตามการประหยัดพลังงาน เพื่อทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาและแนะนำการประหยัดพลังงานกับทุกภาคส่วน
2. ประธานคณะกรรมการฯ (นายเชิดพงษ์ สิริวิชช์) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านเทคนิคเพื่อการประหยัดพลังงาน เพื่อทำหน้าที่ในการประสานและให้คำแนะนำด้านเทคนิคและแนวทางปฏิบัติในการประหยัดพลังงานในทุกภาคส่วน จากการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการด้านเทคนิคฯ ที่ผ่านมา ได้มีการจัดตั้ง ทีมเทคนิคเพื่อการประหยัดพลังงาน ซึ่งประกอบไปด้วยทีมวิศวกรของ พพ. กฟน. กฟภ. และ กฟผ. ประมาณ 80 ทีม โดย พพ. กฟน. และ กฟผ. รับผิดชอบอาคารในเขตกรุงเทพฯ สมุทรปราการ และนนทบุรี ส่วน กฟภ. รับผิดชอบอาคารในภูมิภาค 73 จังหวัด ซึ่งในช่วงระยะเวลา 10 เดือนที่ผ่านมา (มิถุนายน 2548 - กุมภาพันธ์ 2549) พพ. กฟผ. กฟน. และ กฟภ. ได้จัดส่งทีมเทคนิคไปยังหน่วยงานต่างๆ ดังนี้
2.1 พพ. ได้จัดส่งทีมเทคนิคไปฝึกอบรมให้ความรู้กับหน่วยงานของรัฐ จำนวน 39 แห่ง รวมทั้งได้มีการบรรยายข้าราชการไทยลดใช้พลังงาน ให้กับกลุ่มหน่วยงานราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค อีก 5 ครั้ง
2.2 กฟผ. ได้จัดส่งทีมเทคนิคไปฝึกอบรมให้ความรู้กับหน่วยงานของรัฐ จำนวน 56 แห่ง มีผู้เข้าร่วมสัมมนาจำนวนมากกว่า 3,745 คน
2.3 กฟน. ได้จัดส่งทีมเทคนิคไปฝึกอบรมให้ความรู้กับหน่วยงานต่างๆ จำนวน 56 แห่ง มีผู้เข้าร่วมสัมมนาจำนวน 5,732 คน
2.4 กฟภ. ได้จัดส่งทีมเทคนิคไปฝึกอบรมให้ความรู้กับหน่วยงานต่างๆ จำนวน 128 แห่ง มีผู้เข้าร่วมสัมมนาจำนวน 8,355 คน
3. ปัญหาและอุปสรรคการดำเนินงานทีมเทคนิคเพื่อการประหยัดพลังงาน สรุปได้ ดังนี้
3.1 การประสานงาน: ในการเข้าไปประสานงานกับหน่วยงานราชการบางแห่ง ผู้ประสานงานของหน่วยงานยังไม่เข้าใจหน้าที่ของตน ที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามมติ ครม. ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ จะต้องชี้แจงเพิ่มเติมทางโทรศัพท์ เพื่อให้ผู้ประสานงานของหน่วยงานเข้าใจเรื่องดังกล่าว
3.2 งบประมาณ: เนื่องจากการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ และทีมเทคนิคเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ไม่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้ จึงมีอุปสรรคในด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ เช่น การจัดทำสื่อที่ใช้ประชาสัมพันธ์ การจัดฝึกอบรม เป็นต้น
4. แผนการดำเนินงานทีมเทคนิคเพื่อการประหยัดพลังงานในปี 2549: จากความสำเร็จในการดำเนินงานที่ผ่านมาในช่วงระยะเวลา 10 เดือน (มิถุนายน 2548 - กุมภาพันธ์ 2549) กระทรวงพลังงานมีนโยบายในการขยายการทำงานของทีมเทคนิค โดยจะร่วมมือกับ สอศ. เพื่อเพิ่มศักยภาพและสร้างเครือข่ายการทำงานของทีมเทคนิคเพื่อการประหยัดพลังงาน โดยให้นักศึกษาและคณาจารย์ที่มีความรู้ความเข้าใจทางด้านเทคนิคเข้ามาช่วยสนับสนุนการทำงานของทีมเทคนิคที่จะช่วยเหลือโรงงานอุตสาหกรรม/อาคารในด้านการประหยัดพลังงาน ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการทีมเทคนิคและอาชีวศึกษาเพื่อการประหยัดพลังงานในปี 2549 จำนวน 15,000,000 บาท
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้ พพ. ในวงเงิน 15 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการทีมเทคนิคและอาชีวศึกษาเพื่อการประหยัดพลังงาน
อนุ กอ. ครั้งที่ 2 - วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2549
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 2)
วันที่ 6 มีนาคม 2549 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิติพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2548 ได้พิจารณาโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ตามที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เสนอ และได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 2,000 ล้านบาท (สองพันล้านบาท) จากแผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2549 ให้ ปตท. เพื่อนำไปใช้ในโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV โดยมีเงื่อนไขให้ ปตท. จัดทำรายละเอียดของโครงการฯ เสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณา เช่น การเบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ เท่าที่จำเป็นต้องใช้แต่ละช่วงเวลา ระยะเวลาการส่งเงินคืนกองทุนฯ และอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น และเมื่อ ปตท. ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขดังกล่าว และได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบ ต่อไป
2. ปตท. ได้เสนอสาระสำคัญและขั้นตอนวิธีการดำเนินโครงการฯ ตามมติของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว ซึ่งสรุปได้ดังนี้
2.1 ปตท. จัดตั้งกองทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV เพื่อขยายการใช้ NGV จำนวน 5,000 ล้านบาท และเงินทุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสมทบกองทุนหมุนเวียนฯ อีกจำนวน 2,000 ล้านบาท ปตท.จะเบิกเงินเป็นรายเดือนตามรายละเอียดการจ่ายจริง
2.2 ปตท. เชิญธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ เข้าร่วมในโครงการให้สินเชื่อแก่เจ้าของยานยนต์ซึ่งมีความประสงค์ที่จะดัดแปลง และ/หรือ ติดตั้งอุปกรณ์ใช้ NGV โดย ปตท. จะนำเงินเข้าฝากในบัญชีที่ปตท.เปิดไว้กับแต่ละธนาคารและสถาบันการเงินให้เพียงพอกับวงเงินสินเชื่อที่ ธนาคาร/สถาบันการเงิน นั้นปล่อยกู้เพื่อโครงการ NGV
2.3 ปตท. กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อร่วมกับธนาคาร/สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
2.4 ทำการลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) ในการเข้าร่วมโครงการ
2.5 ปตท. โอนเงินไปฝากไว้ในบัญชีให้แต่ละธนาคาร/สถาบันการเงินตามที่ธนาคาร/สถาบันการเงินแจ้งประมาณการปล่อยสินเชื่อ
2.6 ธนาคาร/สถาบันการเงินจะดำเนินการปล่อยสินเชื่อตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ได้ตกลงกับ ปตท.
2.7 ปตท. จัดทำรายละเอียดการเบิกจ่ายเงินจากกองทุนพร้อมทั้งรายงานความก้าวหน้าการปล่อยสินเชื่อโครงการให้แก่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานทราบทุกไตรมาส
2.8 ปตท. จะชำระคืนเงินกองทุนเป็นรายไตรมาส พร้อมอัตราดอกเบี้ย 0.50% ต่อปี
ทั้งนี้ การเบิกจ่ายเงิน และการคืนเงินกองทุนฯ เป็นการประมาณการ โดยอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ตามการเบิกจ่ายจริง
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงานของโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ตามข้อเสนอโครงการที่ ปตท. เสนอ ทั้งนี้ หากกองทุนฯ มีปัญหาในเรื่องสภาพคล่องทางด้านการเงินในปีแรก ปตท. จะต้องจ่ายเพิ่มให้เพียงพอกับความต้องการใช้เงินของธนาคาร ด้วย
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำโครงการดังกล่าว เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไป
3. กองทุนฯ ต้องไม่มีความเสี่ยงใดๆ ในการปล่อยกู้ หากมีหนี้สูญ ปตท. จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเองทั้งหมด
4. มอบหมายให้ ปตท. สนพ. และกรมบัญชีกลางหารือเรื่องรายละเอียดการเบิกจ่ายเงิน และการส่งเงินคืนกองทุนฯ โดยให้คำนึงถึงสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนฯ ด้วย
5. มอบหมายให้ สนพ. ศึกษาความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศในระยะยาวหากมีการส่งเสริมให้มีการใช้ NGV อย่างแพร่หลาย
กอ. ครั้งที่ 41 - วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2548
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 41)
วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2548 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
2. คำสั่งแต่งตั้ง "คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3. ผลการประชุมคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
5. การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกรมบัญชีกลาง
6. โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV
7. การยื่นแบบและรับชำระภาษีผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ผู้เข้าร่วมประชุม
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานงบการเงินที่กรมบัญชีกลางได้ส่งให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบ ประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2547 ซึ่งมีหนี้สินและส่วนของทุน รวมทั้งสิ้น 10,599 ล้านบาท และรายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2547 - 30 มิถุนายน 2548 โดยมีเงินคงเหลือ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2548 รวมทั้งสิ้น 7,827 ล้านบาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 คำสั่งแต่งตั้ง "คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน"
ฝ่ายเลขานุการฯ แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 40) เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 1/2547 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2547 และเห็นชอบให้แต่งตั้ง "คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ขึ้นแทน เพื่อทำหน้าที่ ในการพิจารณาหรือปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ มอบหมาย โดยประธานคณะกรรมการกองทุนฯ (นายวิษณุ เครืองาม) ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกองทุนฯ เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2548 โดยองค์ประกอบ "คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" มีดังนี้
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน | ประธานอนุกรรมการ |
2. ปลัดกระทรวงพลังงาน | อนุกรรมการ |
3. อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | อนุกรรมการ |
4. ผู้แทนกรมบัญชีกลาง | อนุกรรมการ |
5. ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย | อนุกรรมการ |
6. นายปิยะวัติ บุญ-หลง | อนุกรรมการ |
7. นายพรายพล คุ้มทรัพย์ | อนุกรรมการ |
8. ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | อนุกรรมการและเลขานุการ |
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ผลการประชุมคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ได้ประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ช่วงปี 2543 - 2547 และได้นำผลการประเมิน ไปจัดสัมมนาระดมความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว และเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบความเห็นและข้อเสนอของคณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ดังต่อไปนี้
1. การพัฒนาพลังงานทดแทน
การติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้า ไม่คุ้มค่าเชิงพาณิชย์ จึงควรสนับสนุน เป็นทางเลือกสุดท้าย ยกเว้นโครงการเพื่อการศึกษาวิจัยที่มีจุดประสงค์ชัดเจนเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านพลังงานทดแทน
ควรมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ให้เกิดเอกภาพในการดำเนินการพัฒนาพลังงานทดแทน
การพัฒนาพลังงานทดแทนที่สำคัญและเร่งด่วน ควรเน้น 4 เรื่อง ได้แก่ Gasohol NGV Biodiesel และกังหันลมขนาดใหญ่
2. การประหยัดพลังงาน
ควรดำเนินการให้มีการกำหนดค่ามาตรฐานการประหยัดพลังงานในอาคารมีผลในทางปฏิบัติ
การเก็บภาษีรถยนต์ ควรพิจารณาจากเกณฑ์การประหยัดพลังงาน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการอนุรักษ์พลังงาน
3. การวิจัยและพัฒนา
ควรส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาในโครงการที่มีความเสี่ยงน้อย มีศักยภาพ และมีผลกระทบสูง
งานศึกษาวิจัยและพัฒนา ต้องมีการศึกษาวิจัยเชิงนโยบายก่อน เพื่อให้สามารถจัดสรรงบประมาณได้อย่างสอดคล้องชัดเจน
4. การพัฒนาบุคลากร
งบประมาณในการพัฒนาบุคลากรมีวงเงินสูง จึงควรกำหนดคุณสมบัติของผู้รับเงินสนับสนุนให้เป็นไปอย่างเหมาะสม
5. การบริหารงานกองทุนฯ
การกำหนดเป้าหมายของแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ควรให้มีการปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์
เป้าหมายของโครงการที่ขอรับการสนับสนุน ควรระบุได้ชัดเจนว่าสามารถตอบสนองต่อเป้าหมายของแผนอนุรักษ์ฯ ได้อย่างไร
ควรกำหนดเกณฑ์ความคุ้มค่าเชิงพาณิชย์ของโครงการให้ชัดเจนเหมาะสม เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกโครงการ
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบผลการประเมินฯ โดยที่ประชุมได้มีข้อสังเกต ดังนี้
1. การติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้ายังคงเป็นทางเลือกในการใช้พลังงาน เพราะยังมีความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม สิ่งแวดล้อม รวมทั้งความความมั่นคง ซึ่งควรแยกให้ละเอียดว่า เหมาะสมกับระดับไหน และไม่เหมาะสมระดับไหน นอกจากนี้ การสรุปผลควรคำนึงถึงการให้กำลังใจกับภาคเอกชนที่เข้ามาลงทุนสร้างโรงงานในประเทศไทย เพื่อจะได้มีความต่อเนื่องในระยะยาวด้วย
2. การส่งเสริมบุคลากร โดยการให้ทุนเรียนทั้งในและต่างประเทศ ควรมีการกำหนดคุณสมบัติ ให้เหมาะสมและรัดกุม ไม่ควรให้ความสำคัญอันดับแรกกับหน่วยงาน ซึ่งอาจจะได้บุคคลที่ไม่เหมาะสม
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอที่ประชุมพิจารณางบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2549 ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามลำดับดังนี้
1. สถานภาพของกองทุนฯ ประมาณการ ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 สรุปได้ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
ยอดเงินคงเหลือยกมา ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2547 | 9,856.20 |
บวก ประมาณการรายรับ ถึงเดือน 30 กันยายน 2548 บวก ประมาณการรายรับ จากเงินทุนหมุนเวียน |
2,103.66 240.00 |
รวมเป็นเงิน (ก่อนหักรายจ่าย) | 12,199.71 |
หัก รายจ่าย ณ เดือน 30 กันยายน 2548 | 4,749.57 |
|
|
รวมเงินคงเหลือในบัญชี ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 | 7,350.18 |
บวก เงินสดในมือ (สนพ. 583 +พพ. 610) | 1,193.00 |
รวมเงินคงเหลือทั้งสิ้น ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 | 8,543.18 |
รายได้ รอรับคืน (เงินหมุนเวียน 2 ระยะ และ NGV ราชการ) | 3,820.00 |
รายจ่าย ค้างจ่าย (ผูกพันตามแผนงานฯ ปี 2538-2539) | 8,860.00 |
2. รายจ่ายผูกพันตามแผนฯ ปี 2538-2548 จำแนกตามแผนงาน ได้ดังนี้
หน่วย: ล้านบาท
ปีงบประมาณ | 2549 | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | รวม |
แผนงานภาคบังคับ | 980 | 980 | 980 | - | - | - | 2,940 |
แผนงานสนับสนุน | 272 | 137 | 137 | - | - | - | 546 |
แผนงานภาคความร่วมมือ | 1,383 | 403 | 496 | 194 | 56 | 5 | 2,537 |
รวมผูกพันจากปี 38-47 | 2,635 | 1,520 | 1,613 | 194 | 56 | 5 | 6,023 |
แผนพลังงานทดแทน | 285 | - | - | - | - | - | 285 |
แผนเพิ่มประสิทธิภาพ | 435 | - | - | - | - | - | 435 |
แผนบริหารทางกลยุทธ์ | 218 | - | - | - | - | - | 218 |
เงินทุนหมุนเวียนระยะที่ 2 | 800 | 600 | 600 | - | - | - | 2,000 |
รวมผูกพันปี 48 | 937 | - | - | - | - | - | 937 |
รวมผูกพันทั้งสิ้น | 4,272 | 2,120 | 2,213 | 194 | 56 | 5 | 8,860 |
3. นโยบายการจัดสรรเงินกองทุนฯ ตามที่ คณะกรรมการกองทุนฯ (กทอ.) เห็นชอบเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 และ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2547 โดยให้ กทอ. สามารถพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ ส่วนที่เกินจากประมาณการรายจ่ายล่วงหน้า (ในวงเงิน 1,300 ล้านบาท) ได้ในวงเงิน 700 ล้านบาท (ตามระดับรายรับต่อปีของกองทุนฯ) หรือมากกว่านั้น สามารถสรุปได้ดังนี้
วัตถุประสงค์ของการจัดทำนโยบายการจัดสรรเงินกองทุนฯ
เพื่อควบคุมการใช้จ่ายเงินไม่สูงกว่ารายรับที่มีอยู่ โดยรายได้เฉลี่ยกองทุนฯ ประมาณ 2,000 ล้านบาท/ปี และเดิมกองทุนฯ มีรายจ่ายเฉลี่ย 1,847 ล้านบาท/ปี จึงมีการกำหนดขอบเขตการใช้จ่ายประมาณ 70% ของรายจ่ายเฉลี่ยเดิม หรือ 1,300 ล้านบาท เพื่อให้มีจำนวนเงินคงเหลือไว้ดำเนินการหากรัฐบาลมีนโยบายเพิ่มเติมในปีนั้นๆ ให้สามารถเพิ่มเติมรายจ่ายรายปีเกิน 1,300 ล้านบาท ได้ในวงเงิน 700 ล้านบาท หรือมากกว่านั้น ตามความจำเป็นและความเหมาะสม
เพื่อกำหนดทิศทางการใช้จ่ายให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์และเป้าหมายของรัฐบาล โดยกำหนดสัดส่วนวงเงินใช้จ่ายในแต่ละแผนงานเป็นการจัดสรร ซึ่ง ณ ปี 2548 เน้นที่การพัฒนาพลังงานทดแทน 50% เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 35% และงานบริหารทางกลยุทธ์ 15%
โดย กพช. กำหนดให้ กทอ. มีอำนาจปรับปรุงแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข ลำดับความสำคัญ และการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
4. การจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2548 ได้มีการจัดสรรทั้งสิ้น 4 ครั้ง รวมเป็นวงเงิน 1,901.49 ล้านบาท ตามรายละเอียดดังนี้
แผนงาน | กรอบเงิน | ร้อยละ | อนุมัติ | ร้อยละ |
1. แผนพลังงานทดแทน | 650.00 | 50.00 | 586.50 | 30.80 |
1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 422.00 | 65.00 | 230.00 | 39.20 |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 130.00 | 20.00 | 239.00 | 40.80 |
1.3 งานพัฒนาบุคลกรและประชาสัมพันธ์ | 65.00 | 10.00 | 85.00 | 14.50 |
1.4 งานบริหารแผนงาน (พพ.) | 33.00 | 5.00 | 32.5 | 5.50 |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 455.00 | 35.00 | 869.92 | 45.70 |
2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 137.00 | 30.00 | 28.00 | 3.20 |
2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 205.00 | 45.00 | 547.20 | 62.90 |
2.3 งานพัฒนาบุคลกรและประชาสัมพันธ์ | 91.00 | 20.00 | 147.22 | 16.90 |
PR เพิ่มเติม (Kick-off, ลดผลกระทบราคาน้ำมัน) | - | 125.00 | 14.40 | |
2.4 งานบริหารแผนงาน (พพ.) | 22.00 | 5.00 | 22.50 | 2.60 |
3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | 195.00 | 15.00 | 445.07 | 23.40 |
3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 65.00 | 33.00 | 250.50 | 56.30 |
3.2 งานบริหารจัดการ (สนพ.+บก.) | 65.00 | 33.00 | 62.57 | 14.10 |
3.3 งานอื่นๆ (บรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมัน) | 65.00 | 34.00 | 132.00 | 29.70 |
รวมงบประมาณปี 2548 | 1,300 | 100 | 1,901.49 | 100 |
* * โดยให้สามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในแผนงานเดียวกันได้
การจัดสรรเงินกองทุนฯ ในปีงบประมาณ 2548 ไม่เป็นไปตามกรอบจัดสรรนั้น เนื่องมาจากกรอบนโยบายเดิมมุ่งเน้นสร้างงานวิจัยด้านพลังงานเพื่อเป็นองค์ความรู้ เมื่อนำกรอบมาปฏิบัติในปีงบประมาณ 2548 พบว่า สัดส่วนการจัดสรรเงินกองทุนฯ ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมดังตารางข้างต้น เนื่องจาก ปี 2548 ประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตด้านราคาน้ำมัน จึงต้องเน้นการแก้ปัญหาระยะสั้น ทำให้งานด้านการลดใช้พลังงานของประเทศ เป็นงานสำคัญเร่งด่วน โดยคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ได้เห็นชอบยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศและได้กำหนดให้การประหยัดการใช้พลังงานและการใช้ไฟฟ้า เป็นวาระแห่งชาติ
5. แผนอนุรักษ์พลังงานปี 2549
ในปี 2549 ประเทศยังประสบปัญหาวิกฤตด้านราคาน้ำมันอยู่ ทำให้การดำเนินงานในปีงบประมาณ 2549 ยังเน้นที่การแก้ไขปัญหาระยะสั้น คือ การเน้นงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ดังนั้นกรอบแผนงาน/โครงการ ในปี 2549 สรุปได้ดังนี้
5.1 เพิ่มประสิทธิภาพ ภาคขนส่ง (สนพ.) 40 ล้านบาท
ลดปัญหาจราจร และ Taxi วิ่งเที่ยวเปล่า (10 ล้านบาท)
ร่วมมือกับ กทม. จัดจุดจอด Taxi และระบบรับส่ง ผู้โดยสารในศูนย์การค้า โรงพยาบาล หน่วยราชการ
Park & ride (30 ล้านบาท)
ลดปริมาณรถเข้าเมือง โดยสร้าง Park & ride ชานเมือง (รถบุคคล / car pool รถโรงเรียน/รถหมู่บ้าน) นำร่อง 1 แห่ง พร้อมจัดระบบ Feeder
ปรับปรุง Park & ride ที่บางซื่อ เพื่อเป็นจุดเชื่อมต่อ รถขนส่งสาธารณะต่างจังหวัด และรถขนส่งพนักงานองค์กรขนาดใหญ่ กับระบบขนส่งสายหลัก
5.2 เพิ่มประสิทธิภาพ อุตสาหกรรม/อาคาร/บ้านอยู่อาศัย (พพ.) 653 ล้านบาท
การอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม (313 ล้านบาท)
สิทธิประโยชน์ทางภาษี
Tax Incentive (100 ล้านบาท)
สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้จากกรมสรรพากร (100 ล้านบาท)
สนับสนุนการดำเนินงานตาม พรบ. (50 ล้านบาท)
การบริหารงานโครงการเงินทุนหมุนเวียน (10 ล้านบาท)
ศึกษาเกณฑ์การใช้พลังงานในอุตสาหกรรมและอาคารต่างๆ (SEC) (40 ล้านบาท)
การศึกษาจัดทำแผนการส่งเสริมเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (3.5 ล้านบาท)
การจัดตั้งเครือข่ายศูนย์ทดสอบวัสดุอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (6.5 ล้านบาท)
ศึกษาจัดทำเกณฑ์การสนับสนุนและดำเนินการส่งเสริมการจำหน่ายเครื่องปรับอากาศและตู้เย็น Premium เบอร์ 5 (10 ล้านบาท)
นำร่องปรับปรุงบ้านพักอาศัยเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (20 ล้านบาท)
5.3 ใช้พลังงานทดแทน 497.14 ล้านบาท
5.3.1 ส่วนของ พพ. 492.1 ล้านบาท
ส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวมวล/ชีวภาพ 60.5 ล้านบาท
ส่งเสริมก๊าซชีวภาพในโรงงานอุตสาหกรรม (15 ล้านบาท)
ส่งเสริมก๊าซชีวภาพจากขยะระดับชุมชน (30 ล้านบาท)
พัฒนา/สาธิตระบบผลิตพลังงานจากชีวมวลชุมชน (7 ล้านบาท)
พัฒนาเตาเผาก๊าซชีวมวลในอุตสาหกรรมเซรามิค (1.5 ล้านบาท)
ศึกษาเทคโนโลยีการผลิตก๊าซเชื้อเพลิงถ่านหิน (7 ล้านบาท)
ส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ / ลม 60 ล้านบาท
พัฒนาเซลแสงแดดสู่ความเป็นเลิศ (30 ล้านบาท)
พัฒนามาตรฐานและทดสอบระบบเซลแสงอาทิตย์ (30 ล้านบาท)
ส่งเสริมเชื้อเพลิง ไบโอดีเซล/เอทานอล 95.64 ล้านบาท
ส่งเสริมไบโอดีเซลชุมชน (51 ล้านบาท)
ส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลใน กทม. และ เชียงใหม่ (30 ล้านบาท)
กำหนดคุณสมบัติแก๊สโซฮอล์ที่เหมาะสมหลังปี 2550 (6.4 ล้านบาท)
วงจรชีวิตการผลิตและใช้เอทานอลจากมันสำปะหลังและอ้อย (8.24 ล้านบาท)
ส่งเสริมพลังงานทดแทนอื่นๆ 276 ล้านบาท
ฐานข้อมูลการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนใน SME (5 ล้านบาท)
สาธิตเซลเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า SOFC (25 ล้านบาท)
สาธิตผลิตไฮโดรเจนจากขบวนการความร้อนทางเคมี (6 ล้านบาท)
พัฒนาระบบติดตาม / สำรวจการใช้พลังงานทดแทน (15 ล้านบาท)
พัฒนาศูนย์รวมองค์ความรู้พลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (19 ล้านบาท)
ปรับปรุงระเบียบเพื่อการพัฒนาการผลิตการใช้พลังงาน (2 ล้านบาท)
ประเมินศักยภาพแหล่งน้ำพุร้อนในประเทศไทย (4 ล้านบาท)
วิจัยพัฒนาการใช้ Vanadium แบตเตอรี่ -พพ. (200 ล้านบาท)
5.3.2 ส่วนของ สนพ. 5 ล้านบาท
ส่งเสริมพลังงานทดแทนอื่นๆ 5 ล้านบาท
ติดตามประเมินผล วิจัยพัฒนาการใช้ Vanadium -สนพ. (5 ล้านบาท)
5.4 ใช้เชื้อเพลิงทางเลือก (สนพ.) 40.5 ล้านบาท
ส่งเสริมการใช้ NGV ด้วยระบบสินเชื่อ (22 ล้านบาท)
เรือประมงเล็ก 100 ลำ และรถส่วนบุคคล 10,000 คัน
สร้างความเชื่อมั่น NGV กับเครื่องยนต์ดีเซลโดยทดสอบชุด Kit แต่ละเทคโนโลยีกับเครื่องยนต์แต่ละประเภทของรถปิคอัพและรถตู้ (10 ล้านบาท)
พัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพในภาคเหนือ (โครงการต่อเนื่องปี 2) (8.5 ล้านบาท)
5.5 การดำเนินการเชิงนโยบาย (สนพ.) 34 ล้านบาท
ศึกษา/จัดทำ/ปรับปรุงนโยบายให้สอดคล้องสถานการณ์พลังงานโลก (20 ล้านบาท)
ศึกษานโยบาย เทคโนโลยีด้านพลังงานและด้านทางการจัดการปัญหาราคาน้ำมันของประเทศที่ประสบความสำเร็จ เพื่อนำมาปรับใช้กับประเทศไทย
บูรณาการแผนพลังงานกับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด (24 ล้านบาท)
5.6 รณรงค์การเปลี่ยนพฤติกรรมให้ประหยัดพลังงาน(สนพ.) 127 ล้านบาท
กระทรวงพลังงานจับมือพันธมิตร (50 ล้านบาท)
อสมท. กระทรวงวัฒนธรรม อาชีวศึกษา (Fix it Center) กระทรวงศึกษาธิการ (ต่อยอด MOU) กระทรวงคมนาคม บริษัทไปรษณีย์ไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
Energy Fantasia ระยะที่ 2 (30 ล้านบาท)
บ้านประหยัดพลังงานร่วมกับธุรกิจบ้านจัดสรร (25 ล้านบาท)
PR ตามสถานการณ์ + ผลิตสื่อสนับสนุนอื่นๆ + ประเมินผล (22 ล้านบาท)
5.7 รณรงค์การใช้พลังงานทดแทนน้ำมัน (สนพ.) 45 ล้านบาท
สร้างความรู้ความเข้าใจการใช้ NGV (15 ล้านบาท)
เผยแพร่ความสำเร็จของการใช้พลังงานทดแทน (30 ล้านบาท)
5.8 การสร้างทรัพยากรบุคลากรด้านพลังงาน (สนพ.) 104 ล้านบาท
ให้ทุนการศึกษาใน+ต่างประเทศ (ข้าราชการ) ระดับ ตรี-โท-เอก
ให้ทุนวิจัย ทุนดูงาน/ฝึกอบรม (หน่วยงานต่างๆ)
อบรมข้าราชการไทย ลดใช้พลังงาน
อบรมอาชีวศึกษา Fix it center
อบรมบุคลากรเรื่องบูรณาการการเรียนการสอนด้านพลังงานระดับประถมและมัธยมศึกษา
5.9 พัฒนาบุคลากรด้านพลังงาน (พพ.) 54.55 ล้านบาท
พัฒนาหลักสูตรอนุรักษ์พลังงาน/พลังงานทดแทน (10 ล้านบาท)
เอกสารเผยแพร่การอนุรักษ์พลังงาน (0.8 ล้าน)
อบรมและพัฒนาคุณภาพผู้รับผิดชอบด้านพลังงาน (23.25 ล้านบาท)
อบรมเทคนิคพลังงานสำหรับราชการ (3 ล้านบาท)
จัดทำโปรแกรมจำลอง Mini Plant (3.5 ล้านบาท)
เผยแพร่เทคโนโลยีของอาคารอนุรักษ์พลังงานเฉลิมพระเกียรติ (3 ล้านบาท)
อบรม/ดูงาน/ประชาสัมพันธ์ความรู้ด้านเชื้อเพลิงชีวภาพ (7 ล้านบาท)
อบรมสร้างจิตสำนึก การใช้พลังงานอาคารราชการ (4 ล้านบาท)
5.10 ประชาสัมพันธ์ (พพ.) 103.8 ล้านบาท
Feedback Report สำหรับโรงงาน/อาคารควบคุม (5 ล้านบาท)
รายงานสถานภาพการใช้พลังงานและผลการดำเนินงาน ของ พพ. (3.5 ล้านบาท)
ประกวดโรงงาน/อาคาร/บุคลากรด้านพลังงาน (9 ล้านบาท)
จัดกิจกรรมอนุรักษ์พลังงาน (9.5 ล้านบาท)
ประชาสัมพันธ์อนุรักษ์พลังงาน (10 ล้านบาท)
ศูนย์ปรึกษาการประหยัดพลังงาน (8 ล้านบาท)
พัฒนาหน่วยลูกค้าสัมพันธ์ (15 ล้านบาท)
ประชาสัมพันธ์พลังงานทดแทน (25 ล้านบาท)
เผยแพร่การอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน (10 ล้านบาท)
ค่าสมาชิกเว็บไซต์ (0.3 ล้านบาท)
จัดทำแผนและบริหารงานวิชาการด้านเพิ่มประสิทธิภาพและพลังงานทดแทน (8.5 ล้านบาท)
5.11 งานบริหารจัดการ/บริหารแผนงาน 126.63 ล้านบาท
พพ. (55 ล้านบาท)
สนพ. (68.5 ล้านบาท)
บก. (3.13 ล้านบาท)
6. ผลประโยชน์ที่จะได้รับถึงปี 2549
เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (ขนส่ง อุตสาหกรรม บ้าน) 2,975 ktoe คิดเป็นมูลค่าประมาณ 47,600 ล้านบาท
ใช้พลังงานหมุนเวียน (เอทานอล ชีวมวล ฯลฯ) 1,402 ktoe ใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 2,258 ktoe ทดแทนการนำเข้าพลังงาน 58,560 ล้านบาท
7. สรุปงบประมาณการรายจ่ายตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ประจำปี 2549
หน่วย : ล้านบาท
แผนงาน | สนพ. | พพ. | บก. | รวม* | ร้อยละ |
1. แผนพลังงานทดแทน | 100.00 | 579.44 | 0.00 | 679.44 | 36.80 |
1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 5.00 | 260.00 | 0.00 | 265.00 | 39.00 |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 0.00 | 232.14 | 0.00 | 232.14 | 34.17 |
1.3 งานพัฒนาบุคลากร | 50.00 | 11.00 | 0.00 | 61.00 | 8.98 |
และประชาสัมพันธ์ | 45.00 | 43.80 | 0.00 | 88.80 | 13.07 |
1.4 งานบริหารจัดการ (พพ.) ** | 0.00 | 32.50 | 0.00 | 32.50 | 4.78 |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน | 191.00 | 779.05 | 0.00 | 970.05 | 52.55 |
2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 0.00 | 60.00 | 0.00 | 60.00 | 6.19 |
2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 0.00 | 593.00 | 0.00 | 593.00 | 61.13 |
2.3 งานพัฒนาบุคลากร | 54.00 | 43.55 | 0.00 | 97.55 | 10.06 |
และประชาสัมพันธ์ | 137.00 | 60.00 | 0.00 | 197.00 | 20.30 |
2.4 งานบริหารจัดการ (พพ.) | 0.00 | 22.50 | 0.00 | 22.50 | 2.32 |
3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | 193.50 | 0.00 | 3.13 | 196.63 | 10.65 |
3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 125.00 | 0.00 | 0.00 | 125.00 | 63.57 |
3.2 งานบริหารจัดการ (สนพ.+บก.) ** | 68.50 | 0.00 | 3.13 | 71.63 | 36.43 |
3.3 งานอื่นๆ | 0.00 | 0.00 | 0.00 | 0.00 | 0.00 |
รวมงบประมาณปี 2549 | 484.50 | 1,358.49 | 3.13 | 1,846.12 | 100.00 |
หมายเหตุ :
* โดยให้สามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในแผน/งานเดียวกัน ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
** ให้มีผลบังคับใช้และสามารถเบิกจ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมพิจารณากลั่นกรองแผนงานปี 2549 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2548 ในโครงการ Vanadium Battery วงเงินงบประมาณ 205 ล้านบาทนั้น บัดนี้ พพ. ยังไม่สามารถลงนามในข้อผูกพันกับ สวทช. ได้ทันในปีงบประมาณ 2548 ซึ่งปัญหาเกิดจากขั้นตอน การเจรจาตกลงเรื่องสิทธิประโยชน์ ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอขอคณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติใช้เงินปีงบประมาณ 2549 แทน โดยมีเงื่อนไขคือ หาก พพ.ไม่สามารถตกลงและลงนามในสัญญากับ สวทช.ได้ทันภายในเดือนธันวาคม 2548 ก็เห็นควรยกเลิกการสนับสนุนโครงการนี้ ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบในเงื่อนไขที่นำเสนอ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สนพ. ในวงเงินรวม 479,500,000 บาท (สี่ร้อยเจ็ดสิบเก้าล้านห้าแสนบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2549 ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ โดยแยกรายจ่ายตามแผน/งาน ได้ดังนี้
1. แผนพลังงานทดแทน | |
1.1 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 95,000,000 บาท |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | |
2.1 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 191,000,000 บาท |
3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | |
3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 125,000,000 บาท |
3.2 งานบริหารจัดการ | 68,500,000 บาท |
รวมทั้งสิ้น | 479,500,000 บาท |
* โดยให้สามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในแผนงาน/งานเดียวกัน ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
ทั้งนี้ สำหรับรายจ่ายงานบริหารจัดการ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548 โดยให้ สนพ. สามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในหมวดต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ พพ. ในวงเงินรวม 1,158,490,000 บาท (หนึ่งพันหนึ่งร้อยห้าสิบแปดล้านสี่แสนเก้าหมื่นบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2549 ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ โดยแยกรายจ่ายตามแผน/งาน ได้ดังนี้
งาน | แผนพลังงานทดแทน | แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน |
งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 60,000,000 บาท | 60,000,000 บาท |
งานส่งเสริมและสาธิต | 232,140,000 บาท | 593,000,000 บาท |
งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 54,800,000 บาท | 103,550,000 บาท |
งานบริหารแผนงาน | 32,500,000 บาท | 22,500,000 บาท |
รวมทั้งสิ้น | 379,440,000 บาท | 779,050,000 บาท |
* โดยให้สามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในแผนงาน/งานเดียวกัน ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
ทั้งนี้ สำหรับรายจ่ายงานบริหารแผนงานพลังงานทดแทน และงานบริหารแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548 โดย พพ. สามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในหมวดต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
3. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ งานบริหารจัดการ ให้กรมบัญชีกลาง ในวงเงินรวม 3,130,000 บาท (สามล้านหนึ่งแสนสามหมื่นบาทถ้วน) ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2548 โดยกรมบัญชีกลางสามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในหมวดต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
4. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow สำหรับการลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด การผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก รถประจำทางไฟฟ้า และเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท" ในวงเงินรวม 200 ล้านบาท (สองร้อยล้านบาทถ้วน) ทั้งนี้ หากไม่สามารถดำเนินการได้ภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2548 ก็ให้ยกเลิกการสนับสนุนโครงการนี้
5. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้ สนพ. ในวงเงิน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการติดตามประเมินผล โครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow สำหรับการลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด การผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก รถประจำทางไฟฟ้า และเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท" ทั้งนี้ หาก พพ. ไม่สามารถดำเนินโครงการฯ ได้ภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2548 ก็ให้ยกเลิกรายจ่ายโครงการนี้
เรื่องที่ 5 การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกรมบัญชีกลาง
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า กระทรวงการคลังจะมีคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนเข้ามาประเมินผลกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยเริ่มตั้งแต่ ปีบัญชี 2549 เป็นต้นไป โดยเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2548 กรมบัญชีกลาง และ สนพ. ได้ประชุมหารือกรอบแนวทาง วิธีการ และขั้นตอนในการจัดทำร่างบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ซึ่งมีหลายหน่วยงานที่มี ส่วนเกี่ยวข้องในการใช้จ่ายเงินจากกองทุนฯ แล้ว และเห็นควรจัดตั้ง "คณะทำงานเตรียมการเพื่อดำเนินการตามระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน" และให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ รายงานเรื่องดังกล่าว ให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบด้วย
2. เพื่อให้การจัดทำวิสัยทัศน์ ภารกิจหลัก และวัตถุประสงค์หลักของกองทุนฯ รวมทั้งการจัดทำเกณฑ์วัดผลการดำเนินงาน ตัวชี้วัด และเป้าหมายในการดำเนินงานของกองทุนฯ ตอบสนองต่อการดำเนินงานของกองทุนฯ และเป็นไปตามข้อกำหนดในการจัดทำบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้มีการแต่งตั้ง "คณะทำงานเตรียมการเพื่อดำเนินการตามระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน" เพื่อทำหน้าที่ดังกล่าว โดยมีปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานคณะทำงาน และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินกองทุนฯ เป็นคณะทำงาน และผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นคณะทำงานและเลขานุการ
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้แต่งตั้ง "คณะทำงานเตรียมการเพื่อดำเนินการตามระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน" ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ และให้แต่งตั้ง นายพรายพล คุ้มทรัพย์ และ นายอัศวิน คงสิริ เป็นคณะทำงานในชุดดังกล่าวด้วย
2. เมื่อคณะทำงานเตรียมการเพื่อดำเนินการตามระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ดำเนินการยกร่างบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบก่อนเสนอประธานกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว
เรื่องที่ 6 โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งรัดการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เพื่อเป็นทางออกให้กับประเทศในการแก้ไขปัญหาและบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชนที่มีภาระในการใช้น้ำมันในราคาสูงเนื่องจากก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่สามารถใช้ทดแทนน้ำมันได้ทั้งหมด ก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศสูง ในขณะที่เชื้อเพลิงชีวภาพเป็นการทดแทนเพียงบางส่วนเท่านั้น ประมาณ 10% อีกทั้งระยะเวลาในการจัดหา และเตรียมเชื้อเพลิงสั้นกว่า เนื่องจากไม่ต้องรอระยะเวลาในการปลูกพืช ดังนั้น มาตรการหลักที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาทั้งในภาคประชาชน ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ภาคการขนส่งทางบก ทางรถไฟ ทางน้ำ เป็นต้น ซึ่งจากนโยบายดังกล่าว รัฐจึงได้ขยายเป้าหมาย การส่งเสริม NGV มาเป็นลำดับดังนี้
เป้าหมาย | มติ ครม. 6 ม.ค.48 |
มติ ครม. 17 พ.ค. 48 |
29 ก.ย. 48 (รอนำเสนอ ครม. ) |
สถานี NG (แห่ง) | 180 | 240 | 740 |
รถยนต์ (คัน) | 61,000 | 180,000 | 500,000 |
2. รัฐบาลมอบหมายให้ ปตท. เป็นหน่วยงานหลักในการทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการให้นโยบายที่กำหนดไว้เกิดผลในทางปฏิบัติโดยเร็วที่สุด ซึ่งทำให้ ปตท. มีภาระทางการเงินอย่างสูงในการลงทุน ทั้งด้านการสร้างสถานีบริการ การจัดซื้ออุปกรณ์ การสร้างแรงจูงใจให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาใช้ก๊าซธรรมชาติ เช่น รถ Taxi รถยนต์ส่วนบุคคล รถเมล์ รถบรรทุก รถขยะ เรือประมง รถไฟ ภาคอุตสาหกรรม District cooling CHP ในอุตสาหกรรม เป็นต้น ดังนั้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้ ปตท. สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่ขยายตัวไปอย่างมาก ปตท. จึงขอรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนฯ ในรูปเงินยืมเพื่อนำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียน สร้างแรงจูงใจ ให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาติดตั้งอุปกรณ์ โดยมีแนวทางดำเนินการดังนี้
วงเงินทุนหมุนเวียน | 7,000 ล้านบาท โดยมีแหล่งเงินสนับสนุนจาก - ปตท. 5,000 ล้านบาท - กองทุนฯ 2,000 ล้านบาท |
วัตถุประสงค์ | เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนให้เจ้าของยานยนต์ใช้ในการดัดแปลง และ/หรือติดตั้งชุด Kit NGV รวมถึงค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มในการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ |
การเรียกเก็บคืน | เพิ่มจากราคาจำหน่าย NGV 5 บาท/กก. โดยมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เทียบเท่าธนาคารอื่นๆ ที่ให้สินเชื่อ NGV |
ระยะเวลาเก็บคืน | เฉลี่ย 2-3 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทรถ การดัดแปลง และระยะการใช้งาน |
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ให้ ปตท. ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน สำหรับยานยนต์ NGV โดยมีเงื่อนไขให้ ปตท. จัดทำรายละเอียดของโครงการฯ เสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณา เช่น การเบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ เท่าที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละช่วงเวลา ระยะเวลาการส่งเงินคืนกองทุนฯ และ อัตราดอกเบี้ย เป็นต้น
2. เมื่อ ปตท. ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขดังกล่าวและได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบ ต่อไป
เรื่องที่ 7 การยื่นแบบและรับชำระภาษีผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า กรมสรรพสามิตแจ้งว่าเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบอุตสาหกรรมน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันในการชำระภาษีสรรพสามิต กรมจึงมีนโยบายที่จะเพิ่มวิธีการนำส่งเงินค่าภาษีและการนำเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยจะให้ผู้เสียภาษีสามารถชำระค่าภาษีผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตและสามารถโอนเงินเข้าบัญชีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานโดยโอนผ่านทางธนาคารพาณิชย์ของรัฐหรือธนาคารพาณิชย์อื่นด้วยระบบอัตโนมัติ (Automatic Sweep) จึงขอให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์อื่นที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่เป็นของรัฐเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับวิธีการยื่นแบบและชำระภาษีสรรพสามิตประเภทสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของผู้มีหน้าที่ เสียภาษี ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะทำให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้รับเงินเข้ากองทุนเร็วขึ้น (ภายในวันเดียวกันกับวันที่ผู้ประกอบการชำระเงิน) จากเดิมที่กองทุนจะได้รับเงินที่นำเข้าบัญชีโดยกรมสรรพสามิต ในวันที่ 2 นับจากวันที่ผู้ประกอบการน้ำมันนำเงินมาชำระ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้กรมบัญชีกลาง (กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน) เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์อื่นที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่เป็นของรัฐที่ได้รับมอบหมายจากกรมสรรพสามิตให้เป็นผู้ดำเนินโครงการรับชำระภาษีน้ำมันผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
2. มอบอำนาจให้กรมบัญชีกลาง (กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน) เข้าไปดูยอดเงินฝากจากบัญชีเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานที่ฝากไว้ที่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้ดำเนินการโครงการรับชำระภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้
3. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเรื่องการขอเปิดบัญชีกับธนาคารพาณิชย์อื่นที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่เป็นของรัฐเสนอขอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินของกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 6