
มติกบง. (350)
กบง. ครั้งที่ 16 - วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2559 (ครั้งที่ 16)
วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 09.30 น.
1. รายงานความคืบหน้าการลอยตัวราคา NGV
3. ข้อสรุปการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล
4. ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง รายงานความคืบหน้าการลอยตัวราคา NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 กบง. มีมติเห็นชอบ Roadmap การปรับโครงสร้างราคาก๊าซ NGV ดังนี้ (1) เห็นชอบให้ลอยตัวราคาขายปลีกก๊าซ NGV ภายในรัศมี 50 กิโลเมตร แบบมีเงื่อนไข โดยตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 ถึง 15 กรกฎาคม 2559 ให้ ปตท. กำหนดเพดานราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม แต่หากต้นทุนราคาก๊าซ NGV อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 13.50 บาทต่อกิโลกรัม ให้ปรับราคา ขายปลีกก๊าซ NGV ลง และตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2559 เป็นต้นไป ให้ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไป ให้สะท้อนต้นทุน ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปรับให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ในวันที่ 16 ของทุกเดือน รวมทั้งให้คงราคา ขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะไว้ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัม และปรับเพิ่มวงเงินช่วยเหลือสำหรับ กลุ่มรถโดยสารสาธารณะจากเดิมที่ได้รับในวงเงิน 9,000 และ 35,000 บาทต่อเดือน เป็น 10,000 และ 40,000 บาทต่อเดือน จนกว่าจะมีกลไกถาวรอื่นมาดูแลแทน เช่น พรบ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และ (2) เห็นชอบการปรับ ค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักตามระยะทางจริง โดยขอความร่วมมือ ปตท. ให้คิดค่าขนส่งโดยใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร ในการคำนวณแต่สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
2. ปัจจุบัน ต้นทุนก๊าซ NGV คำนวณภายใต้หลักเกณฑ์ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยให้ใช้ค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉพาะเอกชนที่ 3.4367 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจากการคำนวณราคาขายปลีกก๊าซ NGV พบว่า ราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนมกราคม และเดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 13.92 และ13.66 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก ปัจจุบันคิดในอัตรา 0.0120 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร และคิดค่าขนส่งก๊าซ NGV สูงสุดที่ไม่เกิน 1.84 บาทต่อกิโลกรัม แต่ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 และเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ก๊าซ NGV โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ห่างไกลจากสถานีหลักมาก สนพ. จึงได้มีการประชุมหารือร่วมกับ ปตท. เรื่องแผนการปรับค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก สรุปได้ดังนี้ (1) ต้นทุนก๊าซ NGV ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV (ภายในรัศมี 50 กิโลเมตร) ในปัจจุบันบวกค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร (สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม) และ (2) ควรให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่จำหน่ายในสถานีบริการ NGV ที่อยู่ห่างไกลจากสถานีหลักมากกว่า 250 กิโลเมตรไว้ที่ 15.34 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษี อบจ.) ไปจนถึงเดือนกรกฎาคม 2559 และตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2559 ให้มีการทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับในสถานีที่อยู่ในช่วงระยะทางดังกล่าว ทั้งนี้ โดยให้สะท้อนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่สูงสุดที่ 4 บาทต่อกิโลกรัม ในเดือนพฤศจิกายน 2559
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2558 กบง. ได้เห็นชอบหลักการการดำเนินโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี ประกอบด้วย (1) เน้นให้เป็นการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองในบ้านและอาคารเป็นหลักแล้วจึงขายไฟฟ้าส่วนที่เกินให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายให้น้อยที่สุด (2) มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) รับไปดำเนินโครงการฯ ในรูปแบบโครงการนำร่อง (Pilot Project) ก่อน และให้ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) คัดเลือกพื้นที่ในการดำเนินโครงการนำร่อง (3) ให้ พพ. สนพ. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ประเมินผลโครงการ หากบรรลุเป้าหมายที่กำหนดก็ให้พิจารณาแนวทางขยายผลการปฏิบัติไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ และ (4) รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี ให้ กบง. ทราบเป็นระยะๆ ต่อไป
2. พพ. ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการดำเนินโครงการนำร่อง สรุปได้ดังนี้ (1) ร่วมกันกำหนดเป้าหมายโครงการ กลุ่มเป้าหมาย พื้นที่เป้าหมาย ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง และรูปแบบโครงการ (2) นำระเบียบเดิมของ กฟภ. และ กฟน. มาปรับใช้รองรับโครงการนำร่องฯ (3) ขั้นตอนดำเนินการ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก คือ 1) การปรับปรุงกฎระเบียบ 2) การประกาศเปิดรับสมัคร 3) การพิจารณาตอบรับ เข้าร่วมโครงการ 4) การติดตั้งระบบ และ 5) ตรวจสอบระบบเชื่อมต่อ (4) ข้อจำกัดทางเทคนิคที่ต้องคำนึงในการดำเนินโครงการ ได้แก่ ข้อกำหนดปริมาณกำลังไฟฟ้า และข้อจำกัดปริมาณการติดตั้ง (5) ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ประกอบด้วย รูปแบบการสนับสนุน การกำกับดูแล การติดตามผล การตรวจวัดข้อมูล การอำนวยความสะดวกในการสมัครเข้าร่วมโครงการ (6) กำหนดปริมาณการติดตั้งที่ 100 MWp ตามลำดับการยื่นขอ จนกว่าจะครบ 100 MWp โดยติดตั้งในพื้นที่ของ กฟน. และ กฟภ. (7) ระยะเวลาดำเนินโครงการ 1 ปี โดยสิ้นปี 2559 จะมีการติดตามและประเมินผลกระทบ เรื่องความมั่นคงของระบบไฟฟ้า และเสนอแนวทางการส่งเสริมในระยะต่อไป
3. วันที่ 5 มกราคม 2559 กบง. ได้รับทราบแนวทางการดำเนินงานโครงการนำร่อง ที่ พพ. นำเสนอและ มอบหมายให้พิจารณาเพิ่มเติมในประเด็นดังต่อไปนี้ (1) การซื้อขายไฟฟ้าในอนาคต ควรมีการพิจารณาราคาให้เหมาะสม (2) ควรมีการศึกษาระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าให้ชัดเจนก่อนดำเนินการ (3) การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายควรมีการศึกษาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาทางเทคนิค จากการเกิดกระแสไฟฟ้าไหลย้อนจากการดำเนินการโครงการนำร่องและ (4) เพื่อให้การดำเนินการเกิดความชัดเจนมากขึ้น ควรมีการจัดตั้งคณะทำงานเข้ามากำกับดูแลการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งต่อมา พพ. ได้จัดตั้งคณะทำงานกำหนดแนวทางและประสานงาน กำกับติดตามโครงการ นำร่องฯ และได้มีการจัดประชุมแล้ว 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559 และเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559 และมีผลสรุปแนวทางการดำเนินงานดังนี้ (1) คณะทำงานฯ ได้เห็นชอบให้จัดทำหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการโครงการนำร่องฯ เฉพาะเช่นเดียวกับโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากโซล่ารูฟในระบบ FiT ในปี 2556 และเพิ่มเติมในปี 2558 และเมื่อคณะทำงานฯ เห็นชอบแล้ว ให้นำส่งให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาออกระเบียบว่าด้วยการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอย่างเสรี (สำหรับโครงการ นำร่องฯ) และออกประกาศต่อไป (2) คณะทำงานฯ พิจารณาเห็นชอบให้สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถาบันที่มีประสบการณ์ในการศึกษาจัดทำ Solar PV Roadmap ของประเทศไทย ศึกษาวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ของระบบพลังงานแสงอาทิตย์และผลกระทบด้านเทคนิคของระบบพลังงานแสงอาทิตย์ต่อระบบไฟฟ้า รวมทั้งติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ (3) พื้นที่โครงการนำร่องของ กฟน. เป็นพื้นที่ทั้งหมดในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ส่วนพื้นที่โครงการนำร่องของ กฟภ. ได้เสนอนำร่องใน 2 พื้นที่ คือ พัทยา และเกาะสมุย ต่อมา กฟภ. ได้เสนอคณะทำงานฯ ขอปรับเป็นพื้นที่ทั่วประเทศในเขตบริการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (4) คณะทำงานฯ พิจารณาว่า ระยะเวลาการดำเนินงานโครงการฯ คงต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการนานกว่าที่ พพ. เคยนำเสนอ กบง. ไว้เดิม เนื่องจากต้องมีการเพิ่มขั้นตอนการออกระเบียบและประกาศเข้าร่วมโครงการฯ โดยจากเดิมคาดว่าจะเปิดรับสมัครในเดือนมีนาคม 2559 และเริ่มติดตั้งในเดือนเมษายน 2559 นั้น จึงได้ปรับปรุงกำหนดการใหม่ โดยจะทำการประชาสัมพันธ์และเริ่มรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการฯ ได้ในเดือนกรกฎาคม 2559 และเริ่มดำเนินการติดตั้งในช่วงเดือนธันวาคม 2559 – มกราคม 2560 พร้อมทั้งติดตามและประเมินผลโครงการตั้งแต่เดือนมกราคม 2560
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง ข้อสรุปการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล
สนพ. ขอถอนวาระออกก่อน โดยจะนำเสนอในการประชุม กบง. ครั้งต่อไป
เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
สรุปสาระสำคัญ
1. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถูกจัดตั้งตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้กองทุนน้ำมันฯ เป็นเครื่องมือในการป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงและใช้รักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศจากความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงในตลาดโลกเพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่เกิดจากความผันผวนดังกล่าวให้น้อยที่สุด แต่เนื่องจากการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ตั้งแต่เริ่มจนถึงปัจจุบัน ยังมีปัญหาและยังมีความไม่ชัดเจนในการดำเนินงานบางประการที่ต้องแก้ไข เช่น การจัดตั้งกองทุนน้ำมันฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามความเห็นของประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน และการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปใช้เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันจนทำให้เกิดการบิดเบือน ราคาไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เป็นต้น ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องยกร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... (พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ) ขึ้นมาใหม่ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างของกองทุนน้ำมันฯ วัตถุประสงค์ การบริหารงาน และแก้ไขประเด็นปัญหาต่างๆ เพื่อให้ พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2. เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2558 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธาน กบง. ได้ลงนามแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้มีการศึกษาแนวทางในการปฏิรูปบทบาท หน้าที่ และการใช้ประโยชน์ของกองทุนน้ำมันฯ และการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อันเป็นการเตรียมการเสนอแนะนโยบายและมาตรการทางด้านพลังงาน โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้ดำเนินการประชุมเพื่อร่วมพิจารณายกร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ พ.ศ. .... แล้ว จำนวน 4 ครั้ง ซึ่ง สนพ. ได้ดำเนินการยกร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ พ.ศ. .... ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ (1) ร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ พ.ศ. .... มี 7 หมวด และบทเฉพาะกาล จำนวน 42 มาตรา โดยหมวด 1 การจัดตั้งกองทุนน้ำมันฯ เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ หมวด 2 การบริหารกิจการของกองทุนน้ำมันฯ หมวด 3 สำนักงานกองทุนน้ำมันฯ กำหนดฐานะ อำนาจหน้าที่ของกองทุนน้ำมันฯ หมวด 4 การดำเนินการของกองทุนน้ำมันฯ หมวด 5 พนักงานเจ้าหน้าที่ กำหนดอำนาจหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน หมวด 6 การบัญชี การตรวจสอบ และการประเมินผล และหมวด 7 บทกำหนดโทษ และบทเฉพาะกาล (2) ให้ กบง. ยังคงมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับกองทุนน้ำมันฯ เหมือนเดิม (3) โอนอำนาจหน้าที่ของ สบพน. และคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันฯ (อบน.) มารวมไว้ใน พ.ร.บ. นี้ (4) มาตรา 3 เป็นการกำหนดบทนิยามเพื่อให้เกิดความเข้าใจ และสะดวกในการใช้งาน (5) มาตรา 4 เป็นการกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรักษาการตาม พ.ร.บ. นี้ (6) มาตรา 5 เป็นบทการจัดตั้งกองทุนน้ำมันฯ และกำหนดวัตถุประสงค์ (7) มาตรา 6 และ มาตรา 7 เป็นการกำหนดเงินและทรัพย์สิน (8) มาตรา 8 เป็นการกำหนดการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันฯ (9) มาตรา 9 ถึง มาตรา 13 เป็นการกำหนดคุณสมบัติ วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ การประชุมและการได้รับเบี้ยประชุม (10) มาตรา 14 เป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันฯ (11) มาตรา 15 และมาตรา 16 เป็นการจัดตั้งสำนักงาน กองทุนน้ำมันฯ ขึ้นเป็นนิติบุคคล (12) มาตรา 17 ถึงมาตรา 22 เป็นการกำหนดผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารสำนักงาน (13) มาตรา 23 กำหนดให้กองทุนน้ำมันฯ มีสถานะเพียงพอเพื่อใช้ในการบริหารการจัดการกองทุนน้ำมันฯ (14) มาตรา 24 ในกรณีเกิดวิกฤติน้ำมันเชื้อเพลิง ให้คณะกรรมการประกาศและดำเนินการตามแผนรองรับกรณีวิกฤติตามแนวทางและนโยบายที่ กพช. ให้ความเห็นชอบ (15) มาตรา 25 ถึงมาตรา 30 เป็นการกำหนดแนวทางปฎิบัติ ให้ชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเงินเข้า และการจ่ายเงินของกองทุนน้ำมันฯ (16) มาตรา 31 เป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ ของพนักงานเจ้าหน้าที่ (17) มาตรา 32 เป็นการกำหนดการดำเนินการด้านการบัญชี การตรวจสอบ และการประเมินผลของกองทุนน้ำมันฯ (18) มาตรา 33 ถึง มาตรา 36 เป็นการกำหนดบทลงโทษ เพื่อให้การบังคับใช้ พ.ร.บ. และ (19) มาตรา 37 ถึง มาตรา 42 เป็นการกำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อให้การบังคับใช้ พ.ร.บ. เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อกองทุนน้ำมันฯ
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปปรับปรุง และแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของที่ประชุม และนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ในวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2559 เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
กบง. ครั้งที่ 142 - วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 8/2556 (ครั้งที่ 142)
วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) เป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 20 มีนาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ เบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 104.75, 121.81 และ 121.08 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวลดลง 0.35, 1.79 และ 2.29 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาปิดตลาดเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2556 เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ทำให้เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2556 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 ลง 0.50 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 และ 95 ลง 0.30 บาทต่อลิตร ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 21 มีนาคม 2556 เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 21 มีนาคม 2556
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 17 มีนาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 5,171 ล้านบาท หนี้สินรวม 20,657 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 15,486 ล้านบาท
5. จากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง เพื่อรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ และให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซิน 95 และแก๊สโซฮอล 91, 95 และ E20 ขึ้น 0.20 บาทต่อลิตร โดยมีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ใหม่ ดังนี้
หน่วย : บาทต่อลิตร | |||
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 9.20 | 9.40 | +0.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 4.00 | 4.20 | +0.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | 1.90 | 2.10 | +0.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -0.20 | 0.00 | +0.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -10.90 | -10.90 | - |
น้ำมันดีเซล | 2.20 | 2.70 | +0.50 |
จากการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 34.08 ล้านบาท จากวันละ 137.96 ล้านบาท เป็นรายรับวันละ 172.03 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร จาก 2.20 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 2.80 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2556 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 184 - วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 10/2557 (ครั้งที่ 184)
วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม 2557 เวลา 15.30 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุชาลี สุมามาลย์ เป็นกรรมการและเลขานุการ(แทน)
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 23 เมษายน 2557 พบว่าค่าการตลาด ของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.0533 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลง และอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง ส่งผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 24 เมษายน 2557 อยู่ที่ 1.3004 บาท ต่อลิตร โดยราคาขายปลีกไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2557 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับลดราคา ขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอลทุกชนิดลง 0.40 บาทต่อลิตร ยกเว้นน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ปรับลดลง 0.20 บาทต่อลิตร
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 22 เมษายน 2557 พบว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวลดลง 2.39 6.70 และ 3.38 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 103.91 116.84 และ 121.63 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 7 พฤษภาคม 2557 อยู่ที่ 32.5136 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.08 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันอยู่ที่ 31.59 บาทต่อลิตร ลดลง 0.29 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 8 พฤษภาคม 2557 อยู่ที่ 1.8856 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาด ประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อ่อนค่าลง 0.08 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.07 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันลดลง 3.0133 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร และ (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 ลดลง 0.2900 บาทต่อลิตร ส่งผลทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.01 บาทต่อลิตร
4. ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอ ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.40 บาท ซึ่งผลจากการปรับลดอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.4856 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายลดลงประมาณวันละ 23.61 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 23.72 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 0.11 ล้านบาท ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 4 พฤษภาคม 2557 มีทรัพย์สินรวม 10,221 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 17,550 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 7,329 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.45 บาทต่อลิตร จาก 0.10 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อัตรา 0.55 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 183 - วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 9/2557 (ครั้งที่ 183)
วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 15.00 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 27 มีนาคม 2557 พบว่าค่าการตลาด ของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 0.8957 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ส่งผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 28 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 1.3396 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2557 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอลทุกชนิดขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร ยกเว้นน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ปรับเพิ่ม 0.20 บาทต่อลิตร
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 22 เมษายน 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 26 มีนาคม 2557 พบว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.00 5.93 และ 3.08 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 106.30 123.54 และ 125.01 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 22 เมษายน 2557 อยู่ที่ 32.4329 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.30 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันอยู่ที่ 31.88 บาทต่อลิตร ลดลง 3.27 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 23 เมษายน 2557 อยู่ที่ 1.0533 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาด ประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่แข็งค่าขึ้น 0.30 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.23 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันเพิ่มขึ้น 3.0200 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดลดลง 0.59 บาทต่อลิตร และ (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 ลดลง 3.27 บาทต่อลิตร ส่งผลทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.11 บาทต่อลิตร
4. ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอ ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 0.30 บาท ซึ่งผลจากการปรับลดอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.3533 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 17.98 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 5.45 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 22.83 ล้านบาท ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 20 เมษายน 2557 มีทรัพย์สินรวม 9,568 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 16,791 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 7,223 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.30 บาทต่อลิตร จาก 0.40 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อัตรา 0.10 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 182 - วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 8/2557 (ครั้งที่ 182)
วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 10.30 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุชาลี สุมามาลย์ เป็นกรรมการและเลขานุการ(แทน)
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 19 มีนาคม 2557 พบว่าค่าการตลาด ของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.9265 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลง และอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 20 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 1.4919 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกไม่เปลี่ยนแปลง
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 26 มีนาคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 18 มีนาคม 2557 พบว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.85 0.40 และ 1.96 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 104.30 117.61 และ 121.93 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 26 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 32.7358 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.43 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันอยู่ที่ 35.15 บาทต่อลิตร ลดลง 2.37 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 27 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 0.8957 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อ ค่าการตลาด ประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อ่อนค่าลง 0.4331 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ ค่าการตลาดลดลง 0.33 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันเพิ่มขึ้น 1.4733 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดลดลง 0.28 บาทต่อลิตร และ (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 ลดลง 2.37 บาทต่อลิตร ส่งผลทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.08 บาทต่อลิตร
4. ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอ ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 0.50 บาท ซึ่งผลจากการปรับลดอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.3957 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลงประมาณวันละ 28.97 ล้านบาท จากมีรายรับวันละ 24.29 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 4.68 ล้านบาท ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 23 มีนาคม 2557 มีทรัพย์สินรวม 12,597 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 19,873 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 7,276 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร จาก 0.80 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อัตรา 0.40 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2557 เป็นต้นไป
2. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานไปศึกษาข้อกฎหมายและบทลงโทษในการกระทำความผิดเกี่ยวกับการลักลอบจำหน่ายก๊าซ LPG เพื่อนำมาเสนอให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบในการประชุม ครั้งต่อไป
กบง. ครั้งที่ 181 - วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 7/2557 (ครั้งที่ 181)
วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 14.00 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุชาลี สุมามาลย์ เป็นกรรมการและเลขานุการ(แทน)
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. 1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 11 มีนาคม 2557 พบว่าค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 2.4130 และ 1.8532 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าระดับ ที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 และน้ำมันดีเซลขึ้น 0.25 และ 0.40 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลง และอัตราแลกเปลี่ยน ที่อ่อนค่าลง ส่งผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 12 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 2.2045 และ 1.4905 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยราคาขายปลีกของน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งสองชนิดไม่เปลี่ยนแปลง
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 18 มีนาคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 10 มีนาคม 2557 พบว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวลดลง0.75, 3.87 และ 1.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 103.45, 117.21 และ 119.97 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 18 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 32.3207 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.24 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันอยู่ที่ 37.52 บาทต่อลิตร ลดลง 0.24 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 19 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 1.9265 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาด ประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่แข็งค่าขึ้น 0.236 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.18 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันลดลง 1.4767 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.27 บาทต่อลิตร และ (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 ลดลง 0.24 บาทต่อลิตร ส่งผล ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.02 บาทต่อลิตร
4. ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอ ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.50 บาท ซึ่งผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.4265 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 28.97 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 4.68 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 24.29 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จาก 0.30 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อัตรา 0.80 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 180 - วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 6/2557 (ครั้งที่ 180)
วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 15.00 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 6 มีนาคม 2557 พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.8603 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลง และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่งผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 7 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 1.7610 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกยังคงเดิมอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 10 มีนาคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 5 มีนาคม 2557 พบว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวลดลง1.15, 0.28 และ 1.60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 104.20, 121.08 และ 121.85 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 10 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 32.5387 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.0078 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันอยู่ที่ 37.76 บาทต่อลิตร ลดลง 1.52 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 11 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 1.8532 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาด ประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อ่อนค่าลง 0.0078 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.01 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันลดลง 1.7733 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.29 บาทต่อลิตร และ (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 ลดลง 1.52 บาทต่อลิตร ส่งผล ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.11 บาทต่อลิตร นอกจากนี้ยังพบว่าค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 ที่ 2.4130 บาทต่อลิตร ถือว่าอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม
4. ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลและน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.40 บาท และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 ขึ้นลิตรละ 0.25 บาท ซึ่งผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลและน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 อยู่ที่ประมาณ 1.4532 และ 2.1630 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายลดลงประมาณวันละ 23.98 ล้านบาท จากมีรายจ่าย วันละ 37.66 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 13.68 ล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 9 มีนาคม 2557 พบว่า กองทุนน้ำมันฯ มีทรัพย์สินรวมอยู่ 12,339 ล้านบาท มีหนี้สินรวมอยู่ 19,744 ล้านบาท ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 7,405 ล้านบาท และหากนำมารวมกับวงเงินกู้ 30,000 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ จะมีวงเงินบริหารจัดการรายจ่ายดังกล่าวได้อีกประมาณ 1,651 วัน กรณีที่อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดไม่เปลี่ยนแปลง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร จากชดเชยที่อัตรา 0.10 บาทต่อลิตร เป็นส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อัตรา 0.30 บาทต่อลิตร และ ให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 ขึ้น 0.25 บาทต่อลิตร จากชดเชยที่อัตรา 1.30 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยที่อัตรา 1.05 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 179 - วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2557 (ครั้งที่ 179)
วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 15.00 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2557 พบว่า ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.0064 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ส่งผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2557 อยู่ที่ 1.5048 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกยังคงเดิมอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 5 มีนาคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 30 มกราคม 2557 พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.64, 3.09 และ 1.32 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 105.35, 121.36 และ 123.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 5 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 32.5309 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.61 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันอยู่ที่ 39.28 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 1.14 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 6 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 1.8603 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาดจะประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่แข็งค่าขึ้น 0.6104 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.47 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันเพิ่มขึ้น 1.4933 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดลดลง 0.32 บาทต่อลิตร (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 เพิ่มขึ้น 1.14 บาทต่อลิตร ส่งผลทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.08 บาทต่อลิตร และ (4) การเปลี่ยนแปลงสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 3.5 ส่งผลทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.48 บาทต่อลิตร
4. ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอ ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.40 บาท ซึ่งผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.4603 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายลดลงประมาณวันละ 23.17 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 60.83 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 37.66 ล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 2 มีนาคม 2557 พบว่า กองทุนน้ำมันฯ มีทรัพย์สินรวมอยู่ 13,805 ล้านบาท มีหนี้สินรวมอยู่ 20,608 ล้านบาท ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 6,803 ล้านบาท และหากนำมารวมกับวงเงินกู้ 30,000 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ จะมีวงเงินบริหารจัดการรายจ่ายดังกล่าวได้อีกประมาณ 610 วัน กรณีที่อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดไม่เปลี่ยนแปลง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร จากชดเชยที่อัตรา 0.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยที่อัตรา 0.10 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 178 - วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2557 (ครั้งที่ 178)
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 15.30 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 15 มกราคม 2557 พบว่า ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.7046 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ส่งผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 16 มกราคม 2557 อยู่ที่ 1.5603 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกยังคงเดิมอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร
จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 30 มกราคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 14 มกราคม 2557 พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.51, 1.05 และ 1.68 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 103.71, 118.27 และ 122.13 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 31 มกราคม 2557 อยู่ที่ 33.1413 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.10 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันอยู่ที่ 38.14 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.65 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2557 อยู่ที่ 1.0064 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาด จะประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อ่อนค่าลง 0.1038 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.0788 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันเพิ่มขึ้น 1.4500 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดลดลง 0.2904 บาทต่อลิตร และ (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 เพิ่มขึ้น 0.6500 บาทต่อลิตร ส่งผลทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.0455 บาทต่อลิตร
4. ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอ ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 0.40 บาท ซึ่งผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.4064 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 22.27 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 109.60 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 131.87 ล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 พบว่า กองทุนน้ำมันฯ มีทรัพย์สินรวมอยู่ 18,053 ล้านบาท มีหนี้สินรวมอยู่ 21,489 ล้านบาท ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 3,436 ล้านบาท และหากนำมารวมกับวงเงินกู้ 30,000 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ จะมีวงเงินบริหารจัดการรายจ่ายดังกล่าวได้อีกประมาณ 201 วัน กรณีที่อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดไม่เปลี่ยนแปลง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.30 บาทต่อลิตร จากชดเชยที่อัตรา 0.20 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยที่อัตรา 0.50 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 177 - วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2557 (ครั้งที่ 177)
วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.00 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับ ที่เหมาะสมเป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 6 มกราคม 2557 พบว่า ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 2.0487 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร ซึ่งผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ส่งผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 8 มกราคม 2557 อยู่ที่ 1.4482 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกยังคงเดิมอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 14 มกราคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 6 มกราคม 2557 พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวลดลง 1.06, 0.70 และ 0.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 103.20, 117.22 และ 120.45 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราอยู่ที่ 33.0375 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.1885 บาท ต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันอยู่ที่ 37.49 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 1.10 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 15 มกราคม 2557 อยู่ที่ 1.7046 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาดจะประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่แข็งค่าขึ้น 0.1885 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.14 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันลดลง 1.0233 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.19 บาทต่อลิตร และ (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 เพิ่มขึ้น 1.10 บาทต่อลิตร ส่งผลทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.08 บาทต่อลิตร
4. ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.30 บาท ซึ่งผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.40 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 16.70 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 125.43 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 108.73 ล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 12 มกราคม 2557 พบว่า กองทุนน้ำมันฯ มีทรัพย์สินรวมอยู่ 19,010 ล้านบาท มีหนี้สินรวมอยู่ 20,265 ล้านบาท ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็น ติดลบ 1,255 ล้านบาท และหากนำมารวมกับวงเงินกู้ 30,000 ล้านบาท กองทุนจะมีวงเงินบริหารจัดการรายจ่ายดังกล่าวได้อีกประมาณ 264 วัน กรณีที่อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดไม่เปลี่ยนแปลง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร จากชดเชยที่อัตรา 0.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยที่อัตรา 0.20 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2557 เป็นต้นไป