Super User
กบง. ครั้งที่ 150 - วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 16/2556 (ครั้งที่ 150)
วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายนที ทับมณี เป็นกรรมการและเลขานุการ แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1.รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2556 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคาและค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 0.9442 บาทต่อลิตร และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.60 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่เปลี่ยนแปลง และโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 22 พฤษภาคม 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 27 พฤษภาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ 99.40, 115.98 และ 116.14 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลง 2.10 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.12 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลง 2.75 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากผลการประชุมเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 20 พฤษภาคม 2556) ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2556 อยู่ที่ 30.0591 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง (0.0484 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ) จากวันที่ 20 พฤษภาคม 2556 อยู่ที่ 30.0107 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ผู้ค้าน้ำมันฯ ไม่มีการปรับราคาขายปลีกตั้งแต่วันที่ 21 – 28 พฤษภาคม 2556
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 26 พฤษภาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 12,313 ล้านบาท หนี้สินรวม 14,338 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 2,024 ล้านบาท
6. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลง ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของค่าการตลาดตามโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2556 ดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2556
จากโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว พบว่าค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอลอยู่ในระดับต่ำ และค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับสูง ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 ลง 0.40 บาทต่อลิตร ปรับลดอัตราเงินเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และ E85 ลง 0.60 บาทต่อลิตร และปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล ขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.57 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินอยู่ที่ประมาณ 1.71 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.61 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 13.74 ล้านบาท จากรายรับวันละ 180.85 ล้านบาท เป็นรายรับวันละ 194.59 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล ดังนี้
(หน่วย : บาทต่อลิตร) | |||
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 9.70 | 9.70 | - |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 3.80 | 3.50 | -0.30 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | 1.70 | 1.40 | -0.30 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -0.40 | -0.90 | -0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -10.90 | -11.40 | -0.50 |
น้ำมันดีเซล | 3.00 | 3.40 | +0.40 |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2556 เป็นต้นไป
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 20-26 สิงหาคม 2550
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 02 มกราคม 2557
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 03 มกราคม 2557
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 06 มกราคม 2557
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 07 มกราคม 2557
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 08 มกราคม 2557
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 09 มกราคม 2557
กบง. ครั้งที่ 149 - วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 15/2556 (ครั้งที่ 149)
วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.30 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. สรุปผลการดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ 1/2556
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1.รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2556 กบง. ได้มีการพิจารณาโครงสร้างราคาและค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.1505 บาทต่อลิตร และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่เปลี่ยนแปลง และโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ 101.50, 114.86 และ 118.89 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลง 0.02 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินและดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.36 และ 2.08 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากผลการประชุมเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 8 พฤษภาคม 2556) ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2556 อยู่ที่ 30.0107 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.3015 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 8 พฤษภาคม 2556 ซึ่งอยู่ที่ 29.7092 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2556 ผู้ค้าน้ำมันฯ ได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91, E20 และ E85 ขึ้นชนิดละ 0.40 บาทต่อลิตร ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลคงเดิมที่ 29.99 บาทต่อลิตร
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 19 พฤษภาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 10,399 ล้านบาท หนี้สินรวม 13,564 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 3,165 ล้านบาท
6. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อ่อนค่าลง และการปรับเพิ่มราคาขายปลีกของผู้ค้าน้ำมันภายในประเทศ ทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2556 เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 9 พฤษภาคม 2556
จากโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.60 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นจากเดิมที่อัตรา 0.9442 บาทต่อลิตร อยู่ที่อัตรา 1.5442 บาทต่อลิตร ส่วนค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินอยู่ที่ประมาณ 1.53 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.52 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 33.92 ล้านบาท จากวันละ 214.77 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 180.85 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.60 บาทต่อลิตร จาก 3.60 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 3.00 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2556 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 สรุปผลการดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ 1/2556
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2555 อนุมัติให้ดำเนินการโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2555/56 กำหนดเป้าหมายการรับจำนำหัวมันสด 10 ล้านตัน ทั้งนี้กระทรวงพลังงาน ได้สนับสนุนให้นำมันสำปะหลังผลิตเอทานอล โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้กากน้ำตาลต่อมันสำปะหลังในการผลิตเอทานอลเป็น 62 : 38 และให้ใช้วัตถุดิบจากมันสำปะหลังในการผลิตเอทานอลคิดเป็นปริมาณหัวมันสด 1.6 ล้านตันต่อปี ผลิตเอทานอลได้ 0.76 ล้านลิตรต่อวัน หรือ 255.60 ล้านลิตรต่อปี
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2555 กบง. ได้เห็นชอบการปรับสูตรราคาเอทานอลตามสัดส่วนการใช้เอทานอลจากมันสำปะหลังที่เพิ่มขึ้น โดยกำหนดสัดส่วนการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาลต่อมันสำปะหลัง เท่ากับ 62 : 38 พร้อมทั้งให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ดำเนินการตรวจสอบสัดส่วนปริมาณการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาลและมันสำปะหลังที่ใช้ผสมเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอลรายเดือนของผู้ค้าน้ำมันแต่ละราย ให้เป็นไปตามสัดส่วนที่กำหนด และให้ พพ. ประสานกรมการค้าภายใน เพื่อตรวจสอบว่าผู้ผลิตเอทานอลใช้มันสำปะหลังในโครงการรับจำนำ โดยผู้ผลิตเอทานอลจากมันเส้นให้ใช้มันเส้นจากองค์การคลังสินค้า (อคส.) ส่วนผู้ผลิตจากมันสดให้เปิดจุดรับซื้อ มันสดที่หน้าโรงงาน และผู้ผลิตจากน้ำอ้อยให้ถือว่าอยู่ในกลุ่มกากน้ำตาล โดยให้รวบรวมรายงานการซื้อมันสำปะหลังเป็นรายเดือน และแจ้งให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทราบเป็นรายไตรมาส
3. เป้าหมายการรับซื้อเอทานอลเพื่อใช้ในการผลิตแก๊สโซฮอลตามโครงการ คือ มีเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลร้อยละ 62 และผลิตจากมันสำปะหลังร้อยละ 38 หรือ 0.76 ล้านลิตร/วัน โดยมีบริษัทผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง เข้าร่วมโครงการ 6 ราย ได้แก่ บจ. ทรัพย์ทิพย์, บมจ. พี.เอส.ซี สตาร์ช โปรดักส์, บมจ.ไทยเอทานอล พาวเวอร์, บจ.ไท่ผิงเอทานอล, บจ. ดั๊บเบิ้ล เอ เอทานอล และ บจ.อุบล ไบโอเอทานอล และมีผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่มีการจัดซื้อเอทานอลเพื่อใช้ในการผสมเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล จำนวน 11 ราย คือ บจ.เชลล์แห่งประเทศไทย, บมจ. เอสโซ่ (ประเทศไทย), บมจ.บางจากปิโตรเลียม, บมจ.ปตท., บมจ.สยามเฆมี, บมจ. ไทยออยล์,บจ.ซัสโก้ ดีลเลอร์ส, บจ.เชฟรอน(ไทย), บมจ. ไออาร์พีซี, บมจ. สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง และ บจ.ทรานส์เทคเอ็นเนอยี่
4. จากการดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ 1/2556 มีการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาลต่อมันสำปะหลัง ในสัดส่วนร้อยละ 77.5 : 22.5 หรือเท่ากับ 157,721,430 ลิตร และ 45,732,235 ลิตร ตามลำดับ คิดเป็นปริมาณการใช้หัวมันสดจำนวน 286,227.45 ตัน แต่มีการใช้หัวมันสดในโครงการฯ เพียง 53,145.32 ตัน เนื่องจากมีเกษตรกรมาจำนำหัวมันสดในปริมาณน้อย ทำให้ไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้ผลิตเอทานอลที่เข้าร่วมโครงการฯ อีกทั้ง อคส. ยังไม่ส่งมอบมันเส้นในโครงการฯ ทำให้ผู้ผลิตเอทานอลจำเป็นต้องใช้มันสดและมันเส้นในประเทศซึ่งอยู่นอกโครงการฯ ซึ่งมันสำปะหลังนอกโครงการฯ ดังกล่าวไม่นับรวมเป็นปริมาณมันสำปะหลังที่ต้องใช้ตามโครงการฯ โดยปริมาณมันสำปะหลังที่ผู้ผลิตเอทานอลจะต้องซื้อชดเชยเพิ่มเติมจากมันสำปะหลังในโครงการสำหรับไตรมาสที่ 1/2556 คิดเป็นหัวมันสด 233,082.12 ตัน หรือคิดเป็นมันเส้น 97,924.28 ตัน สรุปได้ตามตารางดังนี้
5. ปัญหา/อุปสรรค ในการดำเนินโครงการฯ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ในส่วนของผู้ผลิตเอทานอล ได้แก่ (1) เกษตรกรนำหัวมันสดมาจำนำที่โรงงานผู้ผลิตเอทานอลซึ่งเปิดเป็นจุดรับจำนำน้อยกว่าเป้าหมาย (2) ผู้ผลิตเอทานอลไม่ทราบราคามันเส้นที่แน่นอนจากโครงการฯ (3) บริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ เอทานอล จำกัด (กำลังการผลิต 250,000 ลิตรต่อวัน) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังหยุดการผลิตเอทานอลในเดือนกุมภาพันธ์ และมีนาคม 2556 เพื่อปรับปรุงระบบบ่อบำบัด ซึ่งคาดว่าจะเดินเครื่องผลิตเอทานอลได้ในเดือนพฤษภาคม 2556 และ (4) ผู้ผลิตเอทานอลบางรายเป็นผู้ผลิตรายใหม่เพิ่งเริ่มผลิตเอทานอลเชิงพาณิชย์ ในเดือน มกราคม 2556 ทำให้เดินเครื่องได้ไม่เต็มกำลังการผลิต และ ในส่วนของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ได้แก่ (1) ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 บางราย ได้ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับผู้ผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาลไปแล้ว ก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ ทำให้ไม่สามารถซื้อเอทานอลจากมันสำปะหลังได้ตามสัดส่วน และ (2) มีผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังเข้าประมูลน้อยรายและเสนอราคาประมูลสูงเกินไป
6. แนวทางการแก้ไขปัญหาของโครงการฯ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ในส่วนของผู้ผลิตเอทานอล โดยกระทรวงพาณิชย์ได้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณา เพื่อเร่งส่งมอบมันเส้นในโครงการฯ สำหรับไตรมาสที่ 1/2556 ให้กับผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังตามปริมาณเอทานอลที่ได้จำหน่ายให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ไปแล้ว และส่งมอบมันเส้นสำหรับไตรมาสที่ 2/2556 เพื่อให้ผู้ผลิตเอทานอลที่ใช้มันเส้นในโครงการฯ ผลิตเอทานอล และในส่วนของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 กระทรวงพลังงานโดยกรมธุรกิจพลังงานประชุมร่วมกับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เพื่อขอความร่วมมือให้รับซื้อเอทานอลตามสัดส่วนเอทานอลจากกากน้ำตาล : มันสำปะหลังเป็น 62 : 38
มติของที่ประชุม
1. มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน จัดทำรายงานผลการดำเนินการ ปัญหา และอุปสรรค ในไตรมาสที่ 1/2556 เสนอให้คณะรัฐมนตรีทราบ
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานหารือกับกรมธุรกิจพลังงานและกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อปรับสูตรโครงสร้างราคาเอทานอลใหม่ให้เหมาะสม