อนุ กอ. ครั้งที่ 10 - วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2550
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 4/2550 (ครั้งที่ 10)
วันที่ 25 มิถุนายน 2550 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ขอความเห็นชอบ โครงการศึกษาสนับสนุนการดำเนินงานรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่
2. ขออนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อคืนเงินภาษีโครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
3. ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ขอความเห็นชอบ โครงการศึกษาสนับสนุนการดำเนินงานรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน2549 เห็นชอบนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานของประเทศ โดยในแผนการจัดหาพลังงาน ได้กำหนดให้มีการส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชนให้มีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยเร่งรัดการออกประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) และต่อมา กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2550 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP 2007) ซึ่งกำหนดให้มีการจัดหาไฟฟ้าจาก IPP ด้วย และ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2550 ได้พิจารณาเรื่องการออกประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP และ ได้มีมติดังนี้
(1) เห็นชอบในหลักการแนวทางการออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) สำหรับจัดหาไฟฟ้าในช่วงปี พ.ศ. 2555-2557 และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และคณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ดำเนินการออกประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP ต่อไป
(2) เห็นชอบให้ สนพ. สามารถนำรายได้จากการจำหน่ายเอกสารเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP (RFP Package) ค่าธรรมเนียมการประเมินและคัดเลือก (Evaluation Fee) และค่าธรรมเนียมการจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Contract Finalization Fee) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างที่ปรึกษาตลอดจน การดำเนินการประเมินคัดเลือกผู้ยื่นข้อเสนอจนลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วเสร็จ และหากมีรายได้คงเหลือให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ
โดยในการออกประกาศเชิญชวน สนพ. จะเป็นผู้ดำเนินการออกประกาศเชิญชวนฯ ในช่วงเดือนมิถุนายน 2550 และจะจำหน่ายเอกสาร RFP Package ในราคาชุดละ 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) เป็นเวลาประมาณ 1 เดือน ซึ่งผู้สนใจสามารถซื้อเอกสารดังกล่าวและยื่นข้อเสนอมายัง สนพ. ได้ภายในระยะเวลา 4 เดือน นับจากวันที่เริ่มขายเอกสารฯ และ สนพ. จะจัดการสัมมนาเพื่อตอบข้อซักถามเกี่ยวกับเงื่อนไขการประมูล (Pre-Bid Meeting) ประมาณ 1 เดือนหลังจากวันเริ่มจำหน่ายเอกสารฯ ทั้งนี้ ณ วันที่ยื่นข้อเสนอ ผู้ยื่นข้อเสนอโครงการจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการประเมินและคัดเลือก (Evaluation Fee) จำนวน 2,000,000 บาท และหลังจากประกาศรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือก ผู้ที่ได้รับคัดเลือกจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเพื่อดำเนินการในขั้นตอนการจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Contract Finalization Fee) จำนวนรายละ 4,000,000 บาท (สี่ล้านบาทถ้วน)
2. คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอที่ได้รับจากการประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และดำเนินการเจรจาเพื่อจัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับผู้ยื่นข้อเสนอและเสนอผลการเจรจาและคัดเลือกต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานให้ความเห็นชอบ เพื่อให้ กฟผ. ดำเนินการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับผู้ยื่นข้อเสนอต่อไป โดยการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ สามารถจัดจ้างที่ปรึกษาทางด้านเทคนิค กฎหมาย และการเงิน ตลอดจนจ้างบุคลากรเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ ได้
3. เพื่อให้การออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP และการดำเนินการของคณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนแล้วเสร็จตามแผนการดำเนินงานที่กำหนด ทำให้สามารถจัดหาไฟฟ้าได้เพียงพอกับความต้องการในแผน PDP 2007 สนพ. จึงมีความจำเป็นต้องจ้างที่ปรึกษาโครงการศึกษาสนับสนุนการดำเนินงานรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ สนพ. และ อนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในช่วงเตรียมและช่วงการออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP ดังนั้น สนพ. ใคร่ขอเสนอขอรับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้
1) วัตถุประสงค์
(1) เพื่อจัดจ้างที่ปรึกษาดำเนินการช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงพลังงาน ในโครงการศึกษาสนับสนุนการดำเนินงานรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่
(2) เพื่อให้การจัดหาไฟฟ้าโดยการออกประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ การประเมินคัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้า และการเจรจาร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า แล้วเสร็จและสามารถดำเนินการจ่ายไฟฟ้าได้ทันตามกำหนดการในแผน PDP 2007 ภายใต้กฎเกณฑ์และเงื่อนไขการประมูล ที่มีความชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรมต่อผู้ลงทุน
2) ขอบเขตงาน
แผนการดำเนินงานเป็น 4 ระยะ (Phase) โดยแต่ละระยะจะมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องและมีความจำเป็นต้องจัดจ้างที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และประสบการณ์ทั้งด้านเทคนิค ด้านระบบส่ง ด้านการเงิน ด้านราคาเชื้อเพลิง และด้านกฎหมาย ได้แก่
ระยะ | รายละเอียด | กำหนดเวลา |
ระยะที่ 1:(Pre-RFP Release) | เตรียมการออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าจาก IPP | มิ.ย. 50 |
ระยะที่ 2:(Solicitation) | ระหว่างออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP | ก.ค.-ต.ค. 50 |
ระยะที่ 3:(Evaluation) | ประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน | พ.ย.-ธ.ค. 50 |
ระยะที่ 4:(Contract) | เจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ/ถ่านหิน (Power Purchase Agreement: PPA) สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติหลัก (Master Gas Sale Agreement: MGSA) และกฎระเบียบหรือข้อกำหนดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | ม.ค.-มิ.ย. 51 |
3) ผลที่คาดว่าจะได้รับ : ผลการศึกษาที่ได้รับจะทำให้การจัดหาไฟฟ้าสามารถตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้า ตามแผน PDP 2007 สำหรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในปี พ.ศ. 2555-2557 และเป็นการส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในกิจการผลิตไฟฟ้า กล่าวคือการจัดหาไฟฟ้าด้วยวิธีประมูลแข่งขัน ผู้ผลิตไฟฟ้าจะต้องผลิตไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่ำ และสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตไฟฟ้ารายอื่นๆ จึงต้องมีการเลือกใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ และต้นทุนต่อหน่วยต่ำ ซึ่งก่อให้เกิดการประหยัด และเป็นการอนุรักษ์พลังงาน นอกจากนี้การเปิดประมูลแข่งขันครั้งนี้กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนจะต้องดำเนินการตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่กำหนด ซึ่งเป็นการดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย
2.4 งบประมาณ
ขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 37,000,000 บาท (สามสิบเจ็ดล้านบาทถ้วน) โดยจำแนกรายละเอียดงบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนตามขอบเขตการดำเนินงาน ได้ดังนี้
รายการ | จำนวนเงิน (บาท) |
1. ค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ | 34,000,000 |
1.1 ระยะที่ 1 : ก่อนการออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP (จัดจ้างที่ปรึกษาศึกษา วิเคราะห์ และให้คำปรึกษาต้นทุนระบบส่ง) | 1,500,000 |
1.2 ระยะที่ 2 : การยื่นข้อเสนอ (จัดจ้างที่ปรึกษาศึกษา วิเคราะห์ ต้นทุนระบบส่ง ด้านราคาเชื้อเพลิง ด้านเทคนิค ด้านการเงิน และด้านกฎหมาย) | 14,000,000 |
1.3 ระยะที่ 3 : การประเมินและคัดเลือก IPP (จัดจ้างที่ปรึกษาศึกษา วิเคราะห์ ต้นทุนระบบส่ง ด้านราคาเชื้อเพลิง ด้านเทคนิค ด้านการเงิน และด้านกฎหมาย) | 18,500,000 |
2. ค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ (จัดจ้างลูกจ้างโครงการ บริหารโครงการ จัดสัมมนารับฟังความเห็น ศึกษาดูงาน ประชาสัมพันธ์และอื่นๆ) |
3,000,000 |
รวมทั้งสิ้น | 37,000,000 |
หมายเหตุ: ค่าใช้จ่ายดังกล่าวข้างต้นเป็นเพียงการประมาณการค่าใช้จ่าย ซึ่งจะเบิกจ่ายในวงเงินที่ขอรับการสนับสนุน และตามที่ได้จ่ายไปจริงในการดำเนินงานโครงการฯ โดยสามารถถัวจ่ายได้ทุกรายการ
มติที่ประชุม
เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา วิจัย พัฒนาอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ที่ สนพ. ได้รับอนุมัติไว้แล้วจากคณะกรรมการกองทุนฯ ให้ สนพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการศึกษาสนับสนุนการดำเนินงานรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่" ในวงเงิน 37 ล้านบาท (สามสิบเจ็ดล้านบาทถ้วน) ทั้งนี้ สนพ. สามารถถัวจ่ายได้ทุกรายการตามความเหมาะสม ตามรายละเอียดที่ปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 3.1
เรื่องที่ 2 ขออนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อคืนเงินภาษีโครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2548 ได้พิจารณาแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2549 ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ และมีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2549 ในวงเงิน 100 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับเป็นเงินคืนภาษีให้แก่สถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยในการดำเนินการโครงการดังกล่าว มีขั้นตอนการขอรับการสนับสนุนฯ สรุปได้ ดังนี้
(1) สถานประกอบการยื่นใบสมัครพร้อมเอกสารประกอบต่อ พพ. คณะกรรมการฯ พิจารณาเอกสารและกำหนดผู้ตรวจสอบ และ พพ. แจ้งผลไปยังสถานประกอบการ
(2) สถานประกอบการดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน และอำนวยความสะดวกให้ผู้ตรวจสอบ ได้ตรวจสอบการวัดการใช้พลังงานในสถานประกอบการ ทั้งก่อนและหลังการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานหรือติดตั้งอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน
(3) สถานประกอบการ ดำเนินการจัดทำรายงานฯ และให้ผู้ตรวจสอบลงนามเห็นชอบการตรวจวัด และจัดส่งรายงานฯ มายัง พพ. เพื่อกลั่นกรองและนำเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการฯ
(4) สถานประกอบการ นำหลักฐานการเสียภาษี พร้อมทั้งเอกสารการอนุมัติเงินคืนภาษี จาก พพ. มายื่นขอรับเงินภาษีคืน
2. ความก้าวหน้าในการดำเนินการและปัญหาอุปสรรค : จากผลการดำเนินการโครงการฯ มีสถานประกอบการที่ดำเนินตามขั้นตอน โดยคณะกรรมการพิจารณาสิทธิประโยชน์ทางภาษีฯ ได้ให้ความเห็นชอบในวิธีการตรวจวัด และได้เห็นชอบคืนเงินภาษี ให้แก่ ผู้ประกอบการ จำนวน 75 ราย รวมเป็นเงินประมาณ 43 ล้านบาท และสามารถกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ลงทุนในมาตรการอนุรักษ์พลังงาน เป็นเงิน 546.23 ล้านบาท โดยมีผลประหยัดพลังงานรวม 401.54 ล้านบาท/ปี ประกอบด้วย
(1) ผลประหยัดทางด้านไฟฟ้า (75 มาตรการ) ประมาณ 41.23 ล้านหน่วย/ปี คิดเป็นเงิน 117.27 ล้านบาท/ปี
(2) ผลประหยัดทางด้านความร้อน (34 มาตรการ) 712.32 ล้านเมกะจูล/ปี คิดเป็นเงิน 284.27 ล้านบาท/ปี
โดยการดำเนินการในขั้นตอนการเห็นชอบการจ่ายเงินคืนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการฯ นั้น จะสามารถกระทำได้หลังจากที่สถานประกอบการได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน และมีการพิสูจน์ผลการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งต้องใช้เวลาในการดำเนินการพอสมควร และได้นำเสนอคณะกรรมการพิจารณาสิทธิประโยชน์ทางภาษีฯ เห็นชอบการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานหลังปรับปรุงอุปกรณ์ฯ (Post Audit) และเห็นชอบให้คืนเงินภาษีในช่วงระหว่างเดือน ต.ค. 2549 - ก.พ. 2550 ส่งผลให้ พพ. ก่อหนี้ผูกพันไม่ทันภายในปีงบประมาณที่ได้รับ อนุมัติ (ปีงบประมาณ 2549) ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินฯ ข้อ 16 จึงทำให้ พพ. ไม่สามารถนำเงินกองทุนฯ ที่ พพ. ได้รับในปีงบประมาณ 2549 ในวงเงิน 100 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงานจ่ายคืนเงินภาษีให้สถานประกอบการฯ ได้
3. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้พิจารณาแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ และมีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ในวงเงิน 140 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 โดยประกอบด้วยค่าใช้จ่าย 2 ส่วนดังนี้
(1) ค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการฯ และเพื่อทำการตรวจสอบการตรวจวัดและพิสูจน์ผลการอนุรักษ์พลังงาน ประมาณ 40 ล้านบาท โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษา
(2) ค่าใช้จ่ายเงินสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับสถานประกอบการ (โรงงานและอาคารที่เข้าร่วมโครงการ) ประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งการสนับสนุนเงินในส่วนนี้ เมื่อพิจารณาจากขั้นตอนการดำเนินการของโครงการฯ ประกอบกับข้อมูลการดำเนินการที่ผ่านมาแล้ว จะไม่สามารถผูกพันงบประมาณได้ทั้งหมดภายในปีงบประมาณ 2550 โดยคาดการณ์ว่าจะมีการใช้จ่ายคืนเงินภาษีให้แก่ สถานประกอบการในปีงบประมาณ 2551
ดังนั้น เพื่อให้ พพ. สามารถดำเนินการจ่ายคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่สถานประกอบการที่ได้มีการเห็นชอบคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้ว และอยู่ในขั้นตอนยื่นขอรับคืนภาษีจาก พพ. อยู่ในขณะนี้ จำนวน 75 ราย ในวงเงินรวมประมาณ 43 ล้านบาท สำหรับโครงการที่ได้รับอนุมัติเงินกองทุนฯ ไว้แล้วในปีงบประมาณ 2549 แต่ไม่สามารถผูกพันงบประมาณได้ทันภายในปีงบประมาณได้ พพ. จึงเห็นควรนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติให้ พพ. ใช้เงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 โครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ตามข้อ 3 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว เพื่อคืนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการดังกล่าว ในวงเงิน 43 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับเงินสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 2 ให้นำเสนอของบประมาณจากเงินกองทุนฯ เพิ่มเติมในปีงบประมาณ 2551 ต่อไป
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา อนุมัติให้ พพ. ใช้เงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 โครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว ในวงเงิน 43 ล้านบาท (สี่สิบสามล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นเงินคืนภาษีให้แก่สถานประกอบการที่ได้รับอนุมัติคืนเงินภาษีในโครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการอนุรักษ์ พลังงานแล้ว จำนวน 75 ราย ตามรายละเอียดที่ปรากฏในเอกสารแนบ 3.2.5
เรื่องที่ 3 ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องที่หน่วยงานต่างๆ ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปแล้ว ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้ รวม 30 โครงการ ดังนี้
1. ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 21 โครงการ คือ
โครงการ | เดิม | ขยายถึง | |
1) | โครงการส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียอุตสาหกรรมเพื่อใช้แทนน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบ UASB หน่วยงานรับผิดชอบ : กรมโรงงานอุตสาหกรรม |
เมษายน 2550 | ธันวาคม 2550 |
2) | โครงการบูรณาการงานด้านพลังงานกับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด | ||
หน่วยงานรับผิดชอบ : สำนักงานพลังงานภูมิภาคที่ 4, 7, 9, และ 12 | สพภ. 4 ,12 เมษายน 2550 |
สิงหาคม 2550 | |
สพภ. 7 มิถุนายน 2550 |
สิงหาคม 2550 | ||
สพภ. 9 พฤษภาคม 2550 |
สิงหาคม 2550 | ||
3) | โครงการศึกษาความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ วิศวกรรม และสิ่งแวดล้อม และสำรวจออกแบบเพื่อก่อสร้างสถานีขนส่งทางลำน้ำเพื่อการประหยัดพลังงาน หน่วยงานรับผิดชอบ : กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี |
มกราคม 2550 | ธันวาคม 2550 |
4) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศ จำนวน 2 หน่วยงาน | ||
- กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (นายดุสิต สินสุข) | มีนาคม 2550 | พฤศจิกายน 2550 | |
- วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา (นายปราการรัตน์ ขันธทัต และ นายจีระศักดิ์ สิทธิ) | มีนาคม 2550 | มีนาคม 2551 | |
5) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ จำนวน 1 หน่วยงาน หน่วยงานรับผิดชอบ : การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค |
กุมภาพันธ์ 2550 | มิถุนายน 2550 |
6) | ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือนนับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา จำนวน 7 ราย หน่วยงานรับผิดชอบ : กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน |
- | 3 เดือนนับจากวันที่ได้รับอนุมัติให้ขยายระยะเวลา |
7) | โครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศร้อนชื้น หน่วยงานรับผิดชอบ : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ |
กรกฎาคม 2550 | ธันวาคม 2550 |
8) | โครงการศึกษา จัดทำ และปรับปรุงนโยบายให้สอดคล้องกับสถานการณ์พลังงานโลก หน่วยงานที่รับผิดชอบ : สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน |
พฤษภาคม 2550 | พฤศจิกายน 2550 |
9) | โครงการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานชุดโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียโรงงานอุตสาหกรรม หน่วยงานที่รับผิดชอบ : สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน |
มกราคม 2550 | มกราคม 2551 |
10) | โครงการผลิตภัณฑ์ปูนฉาบฉนวนกันความร้อนมวลเบา หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
มีนาคม 2549 | มิถุนายน 2549 |
11) | โครงการศึกษาอิทธิพลการบังเงาต่อการถ่ายเทความร้อนผ่านผนังทึบ หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
มกราคม 2550 | เมษายน 2550 |
12) | โครงการศึกษาการถ่ายเทความร้อนและปริมาณแสงผ่านกระจกสองชั้นชนิดต่างๆ หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
มกราคม 2550 | เมษายน 2550 |
13) | โครงการ Ceramic Coating หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
มกราคม 2550 | เมษายน 2550 |
14) | โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้ดินเป็นตัวระบายความร้อนทิ้งของเครื่องปรับอากาศในประเทศไทย หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยมหิดล |
มีนาคม 2548 | พฤษภาคม 2550 |
15) | โครงการศึกษาและวิจัยเพื่อการทำความเย็นจากรั้วบ้าน หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
พฤศจิกายน 2549 | พฤษภาคม 2550 |
16) | โครงการศึกษาอิทธิพลของตัวแปรที่มีผลต่อการนำแสงธรรมชาติทางด้านข้างมาใช้ในอาคาร หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
ธันวาคม 2548 | กันยายน 2550 |
17) | โครงการออกแบบบ้านประหยัดพลังงานประเภททาวน์เฮ้าส์ กรณีศึกษา : สงขลาหรือจังหวัดใกล้เคียง หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล |
มกราคม 2550 | มิถุนายน 2550 |
18) | โครงการพัฒนาอิฐก่อสร้างเพื่อการประหยัดพลังงาน หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ |
ธันวาคม 2548 | กันยายน 2550 |
19) | โครงการศึกษาวัสดุระบบการก่อสร้างด้วยโฟมเพื่อใช้ในการออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
ธันวาคม 2549 | มีนาคม 2550 |
20) | โครงการศึกษาอิทธิพลการตกแต่งผิววัสดุในลักษณะต่างๆ ต่อภาระการทำความเย็นของระบบปรับอากาศ หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
มีนาคม 2550 | เมษายน 2550 |
21) | โครงการการปรับปรุงหลังคาเพื่อลดปริมาณความร้อนเข้าสู่อาคาร (โดยสีเคลือบหลังคา) หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยรังสิต |
กันยายน 2549 | มกราคม 2550 |
2. ขอปรับรายละเอียดโครงการ และ/หรือ เปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงิน 9 โครงการ คือ
โครงการ | ขอเปลี่ยนแปลง | |
1) | โครงการการจัดการพลังงานพลังงานทั่วทั้งองค์กรสำหรับโรงแรมและการบริหารเปลี่ยนแปลง
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
1) ขอปรับการรายงานความก้าวหน้าในงวดที่ 1 จากเดิมรายงานผลการอบรมผู้บริหารโรงแรม 45 ราย เป็น 36 ราย
2) โดยที่เหลืออีก 6 ราย จะไปรายงานในงวดถัดไป |
2) | โครงการสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรด้านพลังงานเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมายุครบ 70 พรรษา
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย |
1) ขอเปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบโครงการฯ
2) เปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินของโครงการ 3) ขยายเวลาการรับสมัครขอรับทุนการศึกษาโครงการฯ ออกไปอีก 1 ปี |
3) | โครงการก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : กองบัญชาการตำรวจตะเวนชายแดน |
ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรูปแบบการติดตั้งสายเมนระบบไฟฟ้าแรงสูง พร้อมสายเมนระบบโทรศัพท์ และท่อเมนระบบประปา จากระบบเคเบิลใต้ดินเป็นระบบเคเบิลบนดิน |
4) | โครงการบริหารสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ฯ |
ขออนุมัติเพิ่มบุคลาการในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษทางวิชาการ เพื่อให้เป็นไปตามมติ คณะกรรมการอำนวยการโครงการอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร |
5) | โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการอบแห้งกุนเชียง
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
ขอเปลี่ยนแปลงพื้นที่ดำเนินงานโครงการ โดยปรับลดโรงงานร่วมโครงการในกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน จาก 2 แห่ง เหลือ 1 แห่ง และเพิ่มโรงงานในกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างจาก 2 แห่ง เป็น 3 แห่ง |
6) | การสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษา จำนวน 1 หน่วยงาน
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี |
1) ขอเปลี่ยนชื่อโครงการวิจัย ปีงบประมาณ 2549 2) ขอเปลี่ยนชื่อผู้วิจัยในโครงการ |
7) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ จำนวน 2 หน่วยงาน - สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นางสาววรนุช เอมมาโนชญ์) - สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายสุรพล ศรีเฮือง) |
1) สผ. ขอขยายระยะเวลาและเพิ่มวงเงิน ให้แก่ นางสาววรนุช เอมมาโนชญ์
2) สคช. ขออนุมัติเพิ่มวงเงิน ให้กับ นายสุรพล ศรีเฮือง เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย สำหรับการเดินทางกลับ |
8) | โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3 ส่วนที่ 1 ฟาร์มใหญ่
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
เพื่อขอขออนุมัติปรับแผนการขอซื้อรถยนต์ตรวจการณ์ (4WD) เป็น รถยนต์ตรวจการณ์ (รถตู้) ในวงเงินเดิมที่กำหนด |
9) | โครงการเตรียมการจัดตั้งคณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า
หน่วยงานที่รับผิดชอบ : สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน |
1) ขอเพิ่มวงเงินในการจัดจ้างผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านการเงิน และเทคนิค 2) ขอปรับปรุงระยะเวลาการดำเนินการ ทั้งโครงการจากแผนการดำเนินงาน ซึ่งปรับปรุงครั้งที่ 2 ซึ่งกำหนดไว้ 42 เดือน เป็น 36 เดือน 3) ขอปรับแผนการเบิกจ่ายเงินโครงการเตรียมการจัดตั้งฯ เพื่อให้สอดคล้อง กับการปรับปรุงกิจกรรมการดำเนินงานในข้อ 1 |
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ทั้ง 30 โครงการ ตามข้อ 1และ ข้อ 2 ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา ด้วยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
กอ. ครั้งที่ 45 - วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2550
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2550 (ครั้งที่ 45)
วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2550 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3
2. ขอนุมัติเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับ โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ
3. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
4. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
5. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก"
6. ขอคืนหลักประกันซอง โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
รองนายกรัฐมนตรี (นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กระทรวงพลังงาน ผู้เข้าร่วมประชุม
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่าในช่วงที่ผ่านมา คณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณา อนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน ดังนี้
1.1 คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 40) เมื่อ 25 สิงหาคม 2548
(1) อนุมัติเงินกองทุนฯ 2,000 ล้านบาท ให้ พพ. เพื่อดำเนินโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 2 โดยใช้เงินจาก แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2549 เพื่อให้สถาบันการเงินที่ผ่านการคัดเลือกของ พพ. นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้แก่โรงงาน อาคาร และบริษัทจัดการพลังงาน นำไปใช้ในการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงินนั้น จะต้องปล่อยกู้ภายในระยะเวลา 3 ปี และส่งคืนกองทุนฯ ผ่าน พพ. ในเวลา 10 ปี นับจากวันที่ พพ. ทำสัญญากับสถาบันการเงิน โดยจะมีขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ การเบิกจ่ายเงิน ในการสนับสนุนเหมือนกับโครงการเงินหมุนเวียนฯ ระยะที่ 1
(2) ให้ พพ. ดำเนินการเจรจากับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้จ่ายดอกเบี้ยคืนกองทุนฯ ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 0.5 ของเงินกองทุนฯ ที่สถาบันการเงินนำไปปล่อยให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อเป็นค่าเสียโอกาสในส่วนดอกเบี้ยเงินฝากที่กองทุนฯ ได้รับเป็นประจำ
1.2 คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 ได้อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจำนวน 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ พพ. ดำเนินโครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริม การใช้พลังงานทดแทน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 1 โดยใช้เงินจากแผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550
2. ผลการดำเนินงานโครงการเงินหมุนเวียนฯ
2.1 ผลการดำเนินงานโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 1
การดำเนินงานฯ ระยะที่ 1 โครงการฯ ได้ครบกำหนดระยะเวลาการปล่อยกู้เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2550 โดย พพ. ได้อนุมัติข้อเสนอโครงการจำนวนทั้งสิ้น 78 ข้อเสนอ ประกอบด้วย อาคารจำนวน 13 ข้อเสนอ โรงงาน 63 ข้อเสนอ บริษัทจัดการพลังงาน (ESCO) 2 ข้อเสนอ จำนวนเงินที่ พพ. อนุมัติคิดเป็นเงิน 1,908 ล้านบาท โดยมีเงินลงทุนจำนวน 3,427 ล้านบาท และจากการประเมินศักยภาพผลการอนุรักษ์พลังงานที่ประเทศชาติจะได้รับ คิดเป็นการประหยัดพลังงานรวมเป็นเงิน 1,402 ล้านบาทต่อปี
2.2 ผลการดำเนินงานโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 2
การดำเนินงานฯ ระยะที่ 2 โครงการฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 5 เมษายน 2550) ครบกำหนดระยะเวลาการปล่อยกู้เมื่อ 16 มีนาคม 2552 โดย พพ. ได้อนุมัติข้อเสนอโครงการจำนวนทั้งสิ้น 75 ข้อเสนอ ประกอบด้วย อาคารจำนวน 9 ข้อเสนอ โรงงาน 66 ข้อเสนอ จำนวนเงินที่ พพ. อนุมัติคิดเป็นเงิน 1,446 ล้านบาท (วงเงินคงเหลือ 554 ล้านบาท) โดยมีเงินลงทุนจำนวน 2,794 ล้านบาท และจากการประเมินศักยภาพผลการอนุรักษ์พลังงานที่ประเทศชาติจะได้รับ คิดเป็นการประหยัดพลังงานรวมเป็นเงิน 1,258 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการในระยะที่ 2 ได้ปล่อยสินเชื่อสำหรับโครงการที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนเองในวงเงินกว่า 12,000 ล้านบาท และยังมีข้อเสนอโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ พพ. อีกจำนวน 20 ข้อเสนอ ในวงเงินกว่า 567 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าวงเงินในระยะที่ 2
2.3 สรุปผลการดำเนินงานโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 1 และ 2
พพ. ได้อนุมัติข้อเสนอโครงการจำนวนทั้งสิ้น 153 ข้อเสนอ ประกอบด้วย อาคาร 22 ข้อเสนอ โรงงาน 129 ข้อเสนอ บริษัทจัดการพลังงาน 2 ข้อเสนอ รวมจำนวนเงินที่ พพ. อนุมัติ 3,354 ล้านบาท โดยมีเงินลงทุนทั้งหมดจำนวน 6,221 ล้านบาท มีศักยภาพผลการอนุรักษ์พลังงานที่ประหยัดได้ตลอดอายุอุปกรณ์ สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ 6,329 ล้านหน่วย (คิดเป็นเงิน 20,486 ล้านบาท) ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 2,134 ล้านลิตรเทียบเท่าน้ำมันเตา (คิดเป็นเงิน 15,608 ล้านบาท) รวมประหยัดได้ 36,094 ล้านบาท หรือ 2,384 ktoe
2.4 ความคืบหน้าโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนฯ ระยะที่ 1
เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของโครงการฯ การดำเนินงานของโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ระยะที่ 1 พพ. จะดำเนินการจัดสรรวงเงินให้แก่สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 11 แห่ง โดยจะมีขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ การเบิกจ่ายเงิน ในการสนับสนุนเช่นเดียวกับโครงการเงินหมุนเวียนฯ ในระยะที่ 2 ต่อไป โดยจะเน้นการให้สินเชื่อทางด้านพลังงานทดแทนให้มากขึ้น
3. เหตุผลความจำเป็นในการเพิ่มวงเงินหมุนเวียน
3.1 ความต้องการการลงทุนโครงการด้านพลังงานของภาคสถาบันการเงิน : จากการสำรวจข้อมูลจากสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 11 แห่ง ธนาคารต่างๆ ได้ให้ข้อมูลที่ภาคเอกชนมีความต้องการจะขอสินเชื่อเกี่ยวกับโครงการด้านพลังงานประมาณ 80 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 3,350 ล้านบาท
3.2 โครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอโครงการ : สถาบันการเงินได้ยื่นโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนมายัง พพ. (ข้อมูล ณ วันที่ 5 เมษายน 2550) และอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอโครงการอย่างเป็นทางการอีกจำนวน 20 ข้อเสนอ คิดเป็นเงินลงทุนรวม 1,280 ล้านบาท โดยต้องการเงินในส่วนของเงินโครงการเงินหมุนเวียน จำนวน 567.2 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าวงเงินที่ได้รับอนุมัติในโครงการเงินหมุนเวียน ระยะที่ 2
3.3 การพิจารณาผลกระทบกับฐานะของกองทุนฯ
เมื่อพิจารณาฐานะการเงินของกองทุนฯ โดยอยู่บนฐานของรายได้เฉลี่ยปีละ 1,400 ล้านบาท และประมาณการรายจ่ายปีละ 2,000 ล้านบาท หากมีการจัดสรรเงินเพิ่มเติมอีก 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ พพ. รับไปดำเนินโครงการเงินหมุนเวียนฯ ระยะที่ 3 จะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินของกองทุนฯ ที่จะขาดดุลในปีงบประมาณ 2551 และ 2552 วงเงิน 610 ล้านบาท และ 281 ล้านบาท ตามลำดับ และจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยแสดงรายการได้ดังนี้
ปีงบประมาณ | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | รวม |
1. เงินคงเหลือยกมาต้นปี | 4,915 | 1,239 | (610) | (281) | 184 | 4,915 |
2.ประมาณการรายรับล่วงหน้า | 1,795 | 2,149 | 2,198 | 2,248 | 2,299 | 10,688 |
3. เงินทุนหมุนเวียนรอรับคืน | 413 | 937 | 1,080 | 986 | 936 | 4,351 |
รวมรับ | 2,208 | 3,086 | 3,277 | 3,233 | 3,235 | 19,954 |
4. รายจ่าย ประกอบด้วย | ||||||
4.1 รายจ่ายผูกพัน ปี 2538-2547 | 558 | 468 | 398 | 265 | 76 | 1,764 |
4.2 รายจ่ายผูกพัน ปี 2548-2549 | 3,082 | 824 | 551 | 503 | - | 4,959 |
4.3 ประมาณการรายจ่ายล่วงหน้า | 2,244 | 3,644 | 2,000 | 2,000 | 2,600 | 12,488 |
รวมจ่าย | 5,884 | 4,935 | 2,948 | 2,768 | 2,676 | 19,212 |
5. เงินคงเหลือปลายปี ยกไป | 1,239 | (610) | (281) | 184 | 742 | 742 |
4. คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2550 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2550 ได้เห็นชอบ "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3" ตามที่ พพ. เสนอมา
(1) จากความต้องการของภาคเอกชนที่ให้ความสนใจยื่นขอสินเชื่อเพื่อการลงทุนด้านพลังงานที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก และสถาบันการเงินจะได้มีความเชื่อมั่นสามารถตัดสินใจในการให้สินเชื่อได้เร็วขึ้นหากมีนโยบายหรือสัญญาณที่แสดงว่าจะมีแหล่งเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ จึงเห็นควรสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามการจัดสรรเงินในช่วงปีงบประมาณ 2551 และ 2552 ต้องมีการบริหารจัดการเพื่อลดรายจ่ายตามแผนงานที่คาดว่าจะใช้จ่ายปีละ 2,000 ล้านบาท เพื่อให้ฐานะการเงินของกองทุนฯ อยู่ในลักษณะไม่ขาดดุล
(2) งานด้านอนุรักษ์พลังงานและผลักดันการใช้พลังงานทดแทนมีหลายโครงการที่จำเป็นต้องมีแหล่งทุนสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มสภาพคล่องให้กับกองทุนฯ อาจต้องขอโอนเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีรายได้เฉลี่ยประมาณเดือนละ 2,700 - 3,000 ล้านบาท ซึ่ง ณ เดือนมกราคม 2550 ฐานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแสดงให้เห็นว่ามีแนวโน้มจะสามารถชำระหนี้ชดเชยตรึงราคาน้ำมันค้างชำระและหนี้ชดเชยราคา LPG ที่มีวงเงิน 34,204 ล้านบาท ได้หมดภายในสิ้นปี 2550 จึงควรเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบางส่วนมาสมทบเป็นรายได้ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพช่วยผลักดันการดำเนินการตามนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศได้มากขึ้น
(3) ระหว่างที่รอปรับฐานะการเงินของกองทุนฯ ให้ พพ. ขยายกรอบการใช้เงิน "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ระยะที่ 1" ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติจัดสรรเงินไว้แล้วเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท ให้สามารถปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเพื่อการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานได้ด้วย โดยมีขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ การเบิกจ่ายเงิน ในการสนับสนุนเหมือนกับโครงการเงินหมุนเวียนฯ ระยะที่ 2 และให้รับข้อสังเกตของที่ประชุมไปดำเนินการด้วย
(4) พพ. ควรนำตัวอย่างมาตรการที่ประสบความสำเร็จของโครงการฯ ระยะที่ 1 และ 2 ไปเผยแพร่ให้สาธารณชนสามารถรับทราบได้มากขึ้นเพื่อจะได้มีการนำไปประยุกต์ใช้และก่อให้เกิดการขยายผลในวงกว้าง
มติที่ประชุม
1. อมุมัติให้ พพ. ขยายกรอบการใช้เงิน " โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ระยะที่ " ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติจัดสรรเงินไว้แล้วเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท ให้สามารถปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเพื่อการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน โดยมีขั้นตอนขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ การเบิกจ่ายเงิน ในการให้การสนับสนุนเช่นเดียวกับโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 2
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติม ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3" ให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้แก่โรงงาน อาคาร และบริษัทจัดการพลังงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงินต้องปล่อยกู้ภายในระยะเวลา 3 ปี และ ส่งเงินคืนกองทุนฯ ผ่าน พพ. ในเวลา 10 ปี นับจากวันที่ได้รับอนุมัติ โดยอนุโลมให้ใช้ขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ การเบิกจ่ายเงิน ในการให้การสนับสนุนเช่นเดียวกับโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 2
3. เห็นชอบให้ สนพ. เสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 3,000 ล้านบาท มาสมทบเป็นรายได้ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของฐานะการเงินของกองทุนฯ ทำให้มีศักยภาพช่วยผลักดันการดำเนินการตามนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศได้มากขึ้น
เรื่องที่ 2 ขอนุมัติเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับ โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบถึงมาตรการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ สรุปได้ดังนี้
1.1 คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาพลังงานของประเทศ โดยกำหนดแนวทางในการส่งเสริมการนำก๊าซธรรมชาติ (NGV) มาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลและให้รถยนต์ราชการที่ใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงติดตั้งอุปกรณ์เพื่อเปลี่ยนไปใช้ NGV โดยให้ ปตท. ดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้ก่อน และให้กระทรวงการคลังกำหนดระเบียบการผ่อนจ่ายค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการเพื่อคืนให้ ปตท. โดยบวกเพิ่มในราคาก๊าซฯ อีกกิโลกรัมละ 5 บาท เป็น 9.53 + 5.00 บาท = 14.53 บาท และ คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 40) เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2548 ได้พิจารณาข้อเสนอ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" และมีมติดังนี้
(1) อนุมัติเงินกองทุนฯ จากแผนพลังงานทดแทน ปีงบประมาณ 2548 ให้ ปตท. เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย ในวงเงิน 110 ล้านบาท (หนึ่งร้อยสิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาใช้เงินทั้งหมดคืนกองทุนฯ ภายใน 10 ปี โดยใช้คืนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของวงเงินภายในปีที่ 5 และคืนส่วนที่เหลือภายในปีที่ 10
(2) ก่อนดำเนินโครงการฯ ให้ ปตท. หารือกับกรมบัญชีกลาง เรื่องระเบียบวิธีการเบิกจ่ายและเรียกเก็บเงินคืนกองทุนฯ และให้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 19 เมษายน 2548 ที่ให้ ปตท. ออกค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้ก่อน และให้ส่วนราชการผ่อนจ่ายคืนโดยบวกเพิ่มในราคาก๊าซ ซึ่งหากวิธีดำเนินการขัดกับมติคณะรัฐมนตรีก็ให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
(3) การติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยใช้เงินกองทุนฯ ให้ดำเนินการกับรถยนต์ราชการจำนวน 1,708 คัน ที่แจ้งความประสงค์ไว้ ในราคาประมาณ 65,000 บาท/คัน และสำหรับรถยนต์ราชการที่จะติดตั้งต่อจากนี้ให้ตั้งเรื่องของบประมาณแผ่นดินมาเป็นค่าติดตั้ง
(4) รถยนต์ของส่วนราชการที่ติดตั้งอุปกรณ์ NGV แล้ว และรถยนต์หมดอายุการใช้งานก่อนอุปกรณ์ NGV สามารถนำอุปกรณ์ NGV เปลี่ยนไปติดตั้งกับรถยนต์ราชการคันอื่นได้
1.2 กระทรวงการคลังเห็นว่าการผ่อนชำระคืนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้กับรถยนต์ราชการที่เข้าร่วมโครงการฯ ส่วนราชการต่างๆ ไม่สามารถชำระค่าติดตั้งให้เสร็จสิ้นภายในปีงบประมาณ และจะต้องผูกพันเงินงบประมาณในปีต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการก่อหนี้ผูกพัน ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 23 วรรค 4 ดังนั้นเพื่อเป็นแนวทางให้ส่วนราชการถือปฏิบัติ คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2548 ได้อนุมัติหลักการให้ทุกส่วนราชการที่นำรถยนต์ราชการเข้าร่วม "โครงการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้แก่รถยนต์ราชการ" ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณในการผ่อนชำระคืนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้แก่กองทุนฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และสำหรับแนวทางการชำระคืนเงินค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV มีมติให้ สนพ. เป็นผู้แทนทุกส่วนราชการในการเสนอขอตั้งงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนชดเชยกองทุนฯ เพื่อผูกพันงบประมาณโดยรวม
1.3 ในปี 2549 ปตท. ได้ติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้รถยนต์ราชการรวม 1,209 คัน (เป้าหมายเดิมจำนวน 1,708 คัน) คาดว่าจะประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในภาครัฐคิดเป็นมูลรวม 32,358,856 บาท/ปี ซึ่งกรมธุรกิจพลังงานเห็นว่ายังมีรถยนต์ราชการจำนวน 1,200 คัน ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ยังไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์ NGV จึงเสนอขอใช้เงินจากกองทุนฯ 100,000,000 บาท (หนึ่งร้อยล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ยสำหรับสนับสนุนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้กับหน่วยงานดังกล่าว โดยในครั้งนี้กรมธุรกิจพลังงานจะเป็นผู้แทนทุกส่วนราชการในการเสนอขอตั้งงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนชดเชยกองทุนฯ
1.4 คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สนพ. ในวงเงินรวม 1,188,516,104 บาท (หนึ่งพันหนึ่งร้อยแปดสิบแปดล้านห้าแสนหนึ่งหมื่นหกพันหนึ่งร้อยสี่บาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปี 2550 ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ภายใต้แผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต จะมีงบประมาณส่วนหนึ่งในวงเงิน 100,000,000 บาท (หนึ่งร้อยล้านบาทถ้วน) ที่เตรียมไว้ให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" ซึ่งปัจจุบัน (25 เมษายน 2550) กรมธุรกิจพลังงานกำลังจัดทำรายละเอียดของโครงการฯ เสนอ สนพ.
2. ผลการดำเนินงาน
ในช่วงระยะเวลา 1 ปี ( ธันวาคม 2548 ถึง ธันวาคม 2549) สนพ. ปตท. กรมธุรกิจพลังงาน กรมการพลังงานทหาร กระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมกันดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการ จำนวน 1,209 คัน ประกอบด้วย
รถยนต์เบนซิน ติดระบบ Bi Fuel 1,177 คัน (41,000 ถึง 97,000 บาท/คัน)
รถยนต์ดีเซลขนาดเล็ก ติดระบบ Diesel Dual Fuel 27 คัน ( 45,000 บาท/คัน)
รถบัส เปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ NGV (Re – powering) 5 คัน ( 150,000 บาท/คัน)
การดำเนินงานดังกล่าวคาดว่า ส่วนราชการจะประหยัดน้ำมันเบนซินได้ 1,730,100 ลิตรต่อปี และดีเซล 217,175 ลิตรต่อปี หรือคิดเป็นมูลค่าผลประหยัดรวม 32,358,856 บาทต่อปี โดย ปตท. มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ผ่านเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย รวม 66,091,653 บาท (หกสิบหกล้านเก้าหมื่นหนึ่งพันหกร้อยห้าสิบสามบาทถ้วน) และ สนพ. เตรียมตั้งเป็นรายจ่ายในงบประมาณประจำปี 2551 เสนอสำนักงบประมาณเพื่อนำมาชำระคืนกองทุนฯ ต่อไป
3. การขอเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ
3.1 ปัจจุบันฐานะการเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเมื่อจัดสรรเงินตามประมาณการรายจ่ายตามแผนงาน 2550-2554 แล้วยังอยู่ในลักษณะสมดุล และกระทรวงพลังงานได้ประเมินฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแล้วเห็นว่ามีแนวโน้มจะสามารถชำระหนี้ชดเชยตรึงราคาน้ำมันค้างชำระและหนี้ชดเชยราคา LPG ได้หมดภายในสิ้นปี 2550 จึงจะเสนอขอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบางส่วนมาสมทบเป็นรายได้ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพช่วยผลักดันการดำเนินการตามนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศได้มากขึ้น
3.2 จากเหตุผลตามข้อ 3.1 ประกอบกับภาระค่าใช้จ่ายของงบประมาณแผ่นดินที่รัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากในการผลักดันงานและโครงการต่างๆ เพื่อพัฒนาและสร้างความมั่นคงของประเทศ สนพ. จึงขอเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อโปรดพิจารณาการเปลี่ยนแปลงการใช้เงินจากกองทุนฯ สำหรับ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" ของ ปตท. และ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" ของกรมธุรกิจพลังงาน ดังต่อไปนี้
(1) ให้การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ภายใต้ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" และ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" เปลี่ยนแปลงเป็น "เงินให้เปล่า" แทน "เงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย ที่ต้องคืนกองทุนฯ ภายใน 10 ปี โดยใช้คืนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของวงเงินภายในปีที่ 5 และคืนส่วนที่เหลือภายในปีที่ 10"
(2) จากข้อ (1) สนพ. และกรมธุรกิจพลังงาน ไม่ต้องตั้งรายจ่ายในงบประมาณแผ่นดินประจำปี เพื่อนำมาชำระคืนกองทุนฯ
(3) เปลี่ยนชื่อ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" ที่กรมธุรกิจพลังงานได้รับอนุมัติจัดสรรเงินไว้แล้วจากมติคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 โดยเปลี่ยนชื่อเป็น "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" และให้กรมธุรกิจพลังงานปรับแผนงานโครงการฯ ให้สอดรับกับการดำเนินงานสนับสนุนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการ แบบให้เปล่า
4. มติคณะอนุกรรมการกองทุนฯ
คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 8) เมื่อ 25 เมษายน 2550 เห็นว่า ทั้ง 2 โครงการข้างต้นได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปแล้วโดยให้ใช้ในลักษณะ "เงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย" ที่ สนพ. จะเป็นผู้แทนทุกส่วนราชการในการเสนอขอตั้งงบประมาณแผ่นดินนำมาชำระคืนกองทุนฯ ภายหลังและในเวลาที่กำหนด ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าทั้ง 2 โครงการดังกล่าวเป็นการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้รถยนต์ของส่วนราชการ และฐานะการเงินของกองทุนฯ ที่มีสภาพคล่องดีแล้ว จึงเห็นชอบการเปลี่ยนแปลงการใช้เงินจากกองทุนฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอมาในข้อ 3 .4 และให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณาต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ภายใต้ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" และ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" เปลี่ยนแปลงเป็น "เงินให้เปล่า" แทน "เงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย ที่ต้องคืนกองทุนฯ ภายใน 10 ปี โดยใช้คืนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของวงเงินภายในปีที่ 5 และคืนส่วนที่เหลือภายในปีที่ 10" ทั้งนี้ สนพ. และกรมธุรกิจพลังงาน ไม่ต้องตั้งรายจ่ายในงบประมาณแผ่นดินประจำปี เพื่อนำมาชำระคืนกองทุนฯ ทั้ง 2 โครงการ
2. อนุมัติให้เปลี่ยนชื่อ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" ที่กรมธุรกิจพลังงานได้รับอนุมัติจัดสรรเงินไว้แล้วจากมติคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 โดยเปลี่ยนชื่อเป็น "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" และให้กรมธุรกิจพลังงาน ปรับแผนงานโครงการฯ ให้สอดรับกับการดำเนินงานสนับสนุนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการ แบบให้เปล่า
เรื่องที่ 3 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า พพ. เสนอขอรับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 เพิ่มเติม ในวงเงิน 119,000,000 บาท (หนึ่งร้อยสิบเก้าล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2549 เคยมีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้ พพ. ไปดำเนินการจัดหา ติดตั้ง กังหันลมระบบมีเกียร์ เพื่อสาธิตการผลิตไฟฟ้า ขนาด 1.5 MW บริเวณพื้นที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช โดยมีเงื่อนไขที่สำคัญ ให้ พพ. ทำการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากโครงการและพพ. จะต้องจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับทุนจากกองทุนฯ
พพ. ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในวงเงิน 498,000 บาท ศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และได้ส่งรายงานฉบับสมบูรณ์แล้วเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2549 สรุปได้ ดังนี้
(1) ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางกายภาพทางด้านลบในระดับ "น้อย" ขณะที่คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์และคุณค่าต่อคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับ "มาก"
(2) จัดรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่ มีผู้เข้าร่วม 113 คน โดยร้อยละ 98.7 เห็นด้วยเพราะเห็นว่าจะเป็นแหล่งพลังงาน แหล่งท่องเที่ยวใหม่และช่วยนำรายได้เข้าสู่ท้องถิ่น ส่วนร้อยละ 1.3 มีความกังวลในเรื่องเสียงรบกวน ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และผลกระทบต่อการทำมาหากิน (ผลกระทบกับนกนางแอ่น ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจประจำท้องถิ่น)
2. พพ. ไม่สามารถดำเนินการจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปีได้ จึงนำโครงการดังกล่าว เสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 1/2550 (ครั้งที่ 8) เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2550 เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ อีกครั้ง เพราะจากการดำเนินการจัดหาผู้ติดตั้งระบบฯ ตามขั้นตอนของระเบียบพัสดุด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามประกาศลงวันที่ 11 กันยายน 2549 กำหนดให้ยื่นเอกสารวันที่ 21 กันยายน 2549 ปรากฏว่ามีผู้ยื่นข้อเสนอเพียง 1 ราย พพ. จึงยกเลิกการจัดหาเมื่อ 26 กันยายน 2549 เป็นเหตุให้ พพ. ไม่สามารถจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี แต่การดำเนินงานของโครงการในกิจกรรมอื่น มีความก้าวหน้าไปพอสมควรแล้ว และได้รับความร่วมมือจากท้องถิ่นเป็นอย่างดี เพื่อให้มีทางเลือกในการนำพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่ตามธรรมชาติมาใช้ทดแทนพลังงานสิ้นเปลือง พพ. จึงเสนอขอที่จะดำเนินการโครงการดังกล่าวต่อ โดยใช้เงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ในวงเงิน 119 ล้านบาท ซึ่ง พพ. จะดำเนินการติดตั้งกังหันลม 1 ชุด จะเสียค่าใช้จ่าย Overhead ไม่ต่างกับการติดตั้ง Wind Farm (ตั้งแต่ 5 ชุดขึ้นไป)
3. มติคณะอนุกรรมการฯ 1/2550 และ 2/2550
คณะอนุกรรมการฯ ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติม ในวงเงิน 119 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม"
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติม ในวงเงิน 119,000,000 บาท (หนึ่งร้อยสิบเก้าล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ตามรายละเอียดที่ปรากฎในเอกสารประกอบวาระ 3.3
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้ ขอให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 จำนวน 11 ผลิตภัณฑ์" เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 18.8 ล้านบาท (สิบแปดล้านแปดแสนบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนินงานโครงการดังกล่าว สรุปได้ดังนี้
1) วัตถุประสงค์และสาระสำคัญ
ในช่วงปี 2543-2548 พพ. ได้จัดทำร่างกฎกระทรวงฯ จำนวน 11 ผลิตภัณฑ์ไว้แล้ว คือ กระจก ตู้แช่ เตารีดไฟฟ้า เครื่องซักผ้า เตาไฟฟ้า เตาอบไมโครเวฟ กาต้มน้ำร้อนไฟฟ้า ฉนวนใยแก้ว เครื่องอบผ้า เตาอบไฟฟ้า และเครื่องทำน้ำเย็น แต่เนื่องจากร่างกฎกระทรวงดังกล่าวได้จัดทำไว้หลายปีแล้วโดยอาศัยข้อมูลจากเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์ ณ เวลานั้น ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีของแต่ละผลิตภัณฑ์ได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว จึงจำเป็นต้องทบทวนร่างกฎกระทรวงฯ ให้เหมาะสมกับสภาวะปัจจุบัน เพื่อประกาศใช้ในการส่งเสริมการผลิตและจำหน่าย ตลอดจนจัดทำร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ประสิทธิภาพขั้นต่ำ) เพื่อส่งให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดำเนินการต่อไป
2) งบประมาณรายจ่ายของโครงการฯ ขอรับสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงินรวม 18.8 ล้านบาท แบ่งเป็น
ค่าใช้จ่าย | จำนวน |
1. ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร | 6,337,550 บาท |
2. ค่าใช้จ่ายประชุม-สัมมนา | 1,450,000 บาท |
3. ค่าใช้จ่ายทดสอบผลิตภัณฑ์ | 4,950,000 บาท |
4. ค่าใช้จ่ายประชาสัมพันธ์ | 5,092,100 บาท |
5. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ | 972,100 บาท |
รวม | 18,801,650 บาท |
* ขอสนับสนุนจากกองทุนฯ | 18,800,000 บาท |
3) ประโยชน์ที่มีต่อการประหยัดพลังงาน : ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน คาดว่าการออกกฎกระทรวงของอุปกรณ์ 11 ประเภท จะช่วยให้เกิดการประหยัดพลังงานได้ 90 ktoe/ปี
เห็นระหว่างกันเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเห็นว่ารายละเอียดในข้อเสนอของ พพ. ยังขาดข้อมูลในประเด็นสำคัญ คือ2. สนพ. ได้ประเมินคุณภาพของข้อเสนอฯ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย 1) ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ 2) ศ.ดร.จุลละพงษ์ จุลละโพธิ และ 3) รศ.ดร.อภิชิต เทอดโยธิน ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความ
(1) การทบทวนงานที่หน่วยงานต่างๆ รวมถึง พพ. ที่ได้ดำเนินการศึกษาไว้แล้ว เพื่อศึกษาแนวทาง กระบวนการที่จะผลักดันให้งานจัดทำมาตรฐานประสิทธิภาพ ประสพความสำเร็จ
(2) การทบทวนผลการดำเนินงานศึกษาร่างกฎกระทรวงที่ พพ. ดำเนินการผ่านมา เพื่อบ่งชี้ให้เห็นปัญหาอุปสรรคที่ พพ. ไม่สามารถนำร่างกฎกระทรวงของอุปกรณ์ที่ได้ศึกษาไว้ทั้ง 24 ชนิด มาประกาศใช้ และระบุกระบวนการหรือแนวทางที่จะเชื่อมั่นได้ว่าการศึกษาครั้งนี้ จะผ่านอุปสรรคเดิมและสามารถประกาศกฎกระทรวงได้
(3) การอ้างอิงถึงกระบวนการพิจารณาถึงความเหมาะสมที่แจ้งว่าผลการศึกษาเดิม (ปี 2543-2548) ไม่เป็นปัจจุบัน จำเป็นต้องศึกษาใหม่ ทั้ง 11 อุปกรณ์
(4) เหตุผลที่ต้องศึกษาเพื่อกำหนดค่ามาตรฐานโดยแยกเป็นรายอุปกรณ์ เพราะอุปกรณ์บางชนิดไม่มีความซับซ้อนและเทคโนโลยีไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงเร็ว เช่น กระติกน้ำร้อน กาต้มน้ำร้อน เตาอบไมโครเวฟ เป็นต้น หรือความจำเป็นที่ต้องกำหนดมาตรฐานในอุปกรณ์บางชนิดที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ออกรุ่นใหม่ๆ มาเสมอ เช่น เครื่องซักผ้า และมีแนวทางจะกำหนดมาตรฐานอย่างไรกับอุปกรณ์ลักษณะนี้
(5) ความจำเป็นที่ต้องจ้างที่ปรึกษาเข้ามาดำเนินการแทนในทุกรายการ เพราะการทบทวนกฎกระทรวงฯ ไม่น่าจะจำเป็นที่ต้องจ้างที่ปรึกษามาให้ความเห็นทุกอุปกรณ์ บุคลากรของหน่วยงานเจ้าของโครงการ น่าจะดำเนินการเองได้ เพราะต้องมีความชำนาญการในเรื่องนี้มากกว่าที่ปรึกษาเพื่อการกำกับดูแลคุณภาพงานจะได้เป็นไปด้วยความครบถ้วน
(6) ที่มาของผลการประหยัดพลังงานที่ระบุไว้ หากมีการประกาศใช้กฎกระทรวงของ 11 ผลิตภัณฑ์ จะช่วยให้เกิดการประหยัดพลังงานได้ 90 ktoe/ปี
(7) ยังไม่ควรดำเนินการประชาสัมพันธ์ เพราะเป้าหมายของโครงการฯ เป็นเรื่องทางเทคนิคที่ยังไม่มีผลเป็นนามธรรมหรือจับต้องได้
โดยคณะผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่า พพ. ควรจัดทำข้อเสนอใหม่ โดยเพิ่มเติมข้อมูลที่สำคัญในประเด็น ตามที่มีความเห็นไว้ข้างต้น ประกอบกับในช่วงนี้กระทรวงพลังงานจะทำงบประมาณปี 2551 เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา และงานที่ พพ. มีอยู่เดิมและต้องดำเนินการในปีงบประมาณ 2550 มีปริมาณมากอยู่แล้ว จึงเห็นควรให้ พพ. จัดทำรายละเอียดและปรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ให้เรียบร้อย และยื่นเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในปีงบประมาณ 2551 ต่อไป
3. มติคณะอนุกรรมการกองทุนฯ
ด้วยเรื่องดังกล่าวมีความจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้เครื่องจักรอุปกรณ์และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยเร็ว พพ. จึงได้จัดทำข้อเสนอฯ ที่ได้ปรับปรุงตามความเห็นของคณะผู้ทรงคุณวุฒิตามข้อ 2 เสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 3/2550 (ครั้งที่ 9) เมื่อ 11 มิถุนายน 2550 ซึ่งเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป โดยให้ พพ. ปรับลดงบประมาณในการประชาสัมพันธ์ให้เน้นเพียงการสร้างความเข้าใจกับผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเท่านั้น เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีความจำเป็นและสามารถจัดทำการประชาสัมพันธ์พร้อมกันได้เมื่อประกาศใช้กฎกระทรวงแล้ว
พพ. ได้ดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการฯ เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยการปรับลดงบประมาณในการประชาสัมพันธ์ให้เน้นเพียงการสร้างความเข้าใจกับผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเท่านั้น พร้อมทั้งปรับลดวงเงินงบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงิน 15,700,00 บาท ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา ตามรายละเอียดที่ปรากฏเอกสารประกอบวาระ 3.4.
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 13,700,000 บาท (สิบสามล้านเจ็ดแสนบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนินงาน "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2" ตามรายละเอียดที่ปรากฏเอกสารประกอบวาระ 3.4 โดยให้ประสานสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในการดำเนินการด้วย
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้ ขอให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก" เสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 22 ล้านบาท (ยี่สิบสองล้านบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนินงานโครงการ สรุปได้ดังนี้
1) วัตถุประสงค์และสาระสำคัญ
โรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กทั่วประเทศ มีประมาณ 36,000 แห่ง ที่ต้องการความรู้ความเข้าใจวิธีการอนุรักษ์พลังงานอย่างถูกต้องและเป็นระบบ ในช่วงปี 2548 และ 2549 พพ. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเข้าไปดำเนินการโครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กแล้ว 700 แห่ง เกิดผลประหยัดพลังงาน 8.366 ktoe และเพื่อให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่อง พพ. จึงจะว่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินการต่อในปี 2550 อีก 100 แห่ง
2) งบประมาณรายจ่ายของโครงการฯ ขอสนับสนุนจากกองทุนฯ 22 ล้านบาท แบ่งเป็น
ค่าใช้จ่ายต่อกลุ่ม (กลุ่มละ 25 แห่ง) | จำนวน |
1. ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร | 3,306,000 บาท |
2. ค่าใช้จ่ายอื่น | 1,835,250 บาท |
3. ภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 | 359,888 บาท |
รวม | 5,501,138 บาท |
ขอตั้งงบประมาณ ต่อกลุ่ม | 5,500,000 บาท |
รวมงบประมาณ 100 แห่ง (แบ่ง 4 กลุ่มๆ ละ 25 แห่ง) | 22,000,000 บาท |
3) ประโยชน์ที่มีต่อการประหยัดพลังงาน : ระยะเวลา 8 เดือน คาดว่าจะมีผลประหยัดพลังงานเฉลี่ยต่อแห่งไม่ต่ำกว่า 5 toe/ปี หรือเมื่อจบโครงการแล้วจะเกิดผลประหยัดรวมไม่น้อยกว่า 500 toe/ปี ระยะเวลาคืนทุนเฉลี่ยไม่เกิน 2 ปี
2. สนพ. ได้ประเมินคุณภาพของข้อเสนอฯ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย 1) ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ 2) ศ.ดร.จุลละพงษ์ จุลละโพธิ และ 3) รศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกันเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเห็นว่ารายละเอียดในข้อเสนอของ พพ. ยังขาดข้อมูลในประเด็นสำคัญ คือ
(1) การทบทวนการทำงานโครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม ที่ พพ. ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2545 การที่บ่งชี้ถึงสิ่งที่ พพ. ได้เรียนรู้จากประสบการณ์การทำงาน จำแนกกลุ่มของสถานประกอบการที่เข้าไปดำเนินการมาแล้ว แสดงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทั้งด้านพลังงานและมาตรการที่เกิดขึ้น ระบุประเด็นปัญหาหรือข้อจำกัด ที่นำมาสู่การทำโครงการตามที่เสนอมาในครั้งนี้ โดยระบุให้ชัดเจนว่าจะเลือกเข้าไปดำเนินการกับกลุ่มเป้าหมายใน sector ใดบ้าง ด้วยเหตุผลอะไร
(2) ปรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ที่ไม่ใช่การดำเนินการผ่านระบบที่ปรึกษา แต่ควรมุ่งเน้นกระบวนการที่จะก่อให้เกิดความยั่งยืนโดยปลูกฝังพัฒนาไว้ที่บุคลากรของสถานประกอบการ เช่น การนำองค์ความรู้ที่ได้จากการดำเนินงานที่ผ่านมาที่ พพ. จัดทำไว้ในรูปแบบเอกสารเผยแพร่ หรือ VDO อยู่มากนั้น ไปขยายผลด้วยวิธีที่เข้าถึงสถานประกอบการที่ยังไม่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานกว่า 20,000 แห่ง ได้เร็วขึ้น รวมถึงการใช้ทรัพย์สินที่ลงทุนไว้แล้ว เช่น ศูนย์ให้คำปรึกษา ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น หรือหากต้องการให้มีที่ปรึกษาเข้าไปช่วยให้คำแนะนำ ก็ควรให้เจ้าของสถานประกอบการนั้นออกค่าใช้จ่ายด้วยส่วนหนึ่ง
(3) พิจารณาปรับตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ จากที่จะประหยัดพลังงานเฉลี่ยต่อแห่งไม่ต่ำกว่า 5 toe/ปี โดยน่าจะเพิ่มการวัดผลที่ความยั่งยืนที่สถานประกอบการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่องด้วย
โดยคณะผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่า พพ. ควรจัดทำข้อเสนอใหม่ โดยเพิ่มเติมข้อมูลที่สำคัญในประเด็น ตามที่มีความเห็นไว้ข้างต้น ประกอบกับในช่วงนี้กระทรวงพลังงานจะทำงบประมาณปี 2551 เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา และงานที่ พพ. มีอยู่เดิมและต้องดำเนินการในปีงบประมาณ 2550 มีปริมาณมากอยู่แล้ว จึงเห็นควรให้ พพ. จัดทำรายละเอียดและปรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ให้เรียบร้อย และยื่นเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในปีงบประมาณ 2551 ต่อไป
3. มติคณะอนุกรรมการกองทุนฯ
ด้วยเรื่องดังกล่าวมีความจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อช่วยผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ประกอบกับ พพ.ได้จัดทำข้อเสนอที่ปรับปรุงตามความเห็นของคณะผู้ทรงคุณวุฒิตามข้อ 2 เสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2550 (ครั้งที่ 9) เมื่อ 11 มิถุนายน 2550 ได้พิจารณาแล้ว มีมติชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป ตามรายละเอียดปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 3.5
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 22 ล้านบาท (ยี่สิบสองล้านบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนิน "โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก" ตามรายละเอียดปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 3.5 ทั้งนี้ก่อนดำเนินโครงการให้ พพ. พิจารณาปรับข้อเสนอโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะในรายงานของคณะอนุกรรมการประเมินผลโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ด้วย
เรื่องที่ 6 ขอคืนหลักประกันซอง โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอให้ที่ประชุมได้พิจารณาเกี่ยวกับการขอคืนหลักประกันซองโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ที่ไม่ได้ทำสัญญาขอรับการสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าส่วนเพิ่มกับ กฟผ. รวม 6 ราย คือ
(1) อุตสาหกรรมโคราช จำกัด จ.นครราชสีมา
(2) ไฟฟ้าชนบท จำกัด จ.ลพบุรี
(3) น้ำตาลตะวันออก จำกัด จ.สระแก้ว
(4) ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) จ.ลพบุรี
(5) ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (เขื่อนเจ้าพระยา) จ.ชัยนาท
(6) ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (เขื่อนคลองท่าด่าน) จ.นครนายก
2. การคืนหนังสือค้ำประกันซองให้กับ 6 หน่วยงาน สนพ. ได้พิจารณาตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ใน "เอกสารเชิญชวนเพื่อยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" ตามที่แจ้งแล้วในข้อ 1.1 และสรุปผลการพิจารณาได้ดังนี้
2.1 รายที่ 1 บริษัท อุตสาหกรรมโคราช จำกัด สนพ. ได้คืนหนังสือค้ำประกันซองให้บริษัทฯ แล้ว เมื่อ 18 พฤษภาคม 2548 เนื่องจาก เป็นไปตามข้อ 1.1 (3) บริษัทฯ ไม่ผ่านการพิจารณาตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กของการไฟฟ้า เพราะ ไม่สามารถจัดหาเชื้อเพลิงได้สม่ำเสมอและเพียงพอต่อการขายไฟฟ้าตามสัญญา Firm อันเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาอ้อยและน้ำตาล ซึ่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในคราวการประชุมครั้งที่ 2/2547 เมื่อ 28 กรกฎาคม 2547 ได้มีมติเห็นชอบให้ บริษัท อุตสาหกรรมโคราชฯ ยกเลิกคำร้องการขายไฟฟ้าประเภทสัญญา Firm ได้
2.2 รายที่ 2 และ 3 สนพ. จะไม่คืนหนังสือค้ำประกันซองให้ เพราะไม่เข้าลักษณะข้อหนึ่งข้อใดตามที่ปรากฏในข้อ 1.1 (1) - (3) แต่เข้าลักษณะของการริบหลักประกันซองในกรณีบริษัทฯ ผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ที่ สนพ. กำหนด แต่ไม่ไปทำสัญญาขอรับเงินสนับสนุนฯ กับ กฟผ. ภายในเวลาที่กำหนด
2.3 รายที่ 4 ถึง 6 ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้งกับ กฟผ. เพื่อจัดทำโรงไฟฟ้าขนาดเล็กท้ายเขื่อนชลประทาน บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมในทุกด้านเพื่อการลงนามในสัญญากับ กฟผ. แล้ว แต่คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อ 9 ธันวาคม 2546 ได้มีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กท้ายเขื่อนชลประทาน และให้กระทรวงพลังงานเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านเทคนิค จึงเป็นเหตุที่ทำให้บริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินโครงการดังกล่าวได้
สนพ. เห็นว่า กฟผ. ได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะดำเนินโรงไฟฟ้าขนาดเล็กท้ายเขื่อนชลประทานทั้ง 3 แห่ง ทั้งด้านเทคนิค สังคมและสิ่งแวดล้อม แต่เหตุที่ทำให้บริษัทฯ ไม่สามารถทำสัญญาขอรับการสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าส่วนเพิ่มกับ กฟผ. ได้ทันภายในเวลาที่กำหนดเกิดจากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
กรณีที่เกิดขึ้นข้างต้นไม่ได้ระบุไว้ในเอกสารเชิญชวนฯ สนพ. จึงอาศัยข้อความที่ระบุไว้ในเอกสารเชิญชวนฯ ข้อ 10 "ในกรณีที่ข้อความในเอกสารเชิญชวนฯ ไม่ชัดเจน......ให้คำวินิจฉัยของ สนพ. ถือเป็นเด็ดขาด" จึงเห็นว่าควรจะคืนหนังสือค้ำประกันซองให้บริษัทฯ ทั้ง 3 ราย อย่างไรก็ตามโครงการสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนนี้ ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สนพ. จึงเสนอต่อฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ โปรดพิจารณาเรื่องการคืนหลักประกันซอง ตามที่ สนพ. เสนอมา
มติที่ประชุม
ให้ สนพ. เป็นผู้ดำเนินการในการพิจารณาเรื่องดังกล่าว
อนุ กอ. ครั้งที่ 9 - วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2550
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2550 (ครั้งที่ 9)
วันที่ 11 มิถุนายน 2550 เวลา 10.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550
2. ขอความเห็นชอบ โครงการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านอย่างยั่งยืน
3. ขอความเห็นชอบ "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 จำนวน 11 ผลิตภัณฑ์"
4. ขอความเห็นชอบ "โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก"
5. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการโครงการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ระยะที่ 2"
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า มติคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2550 โดยสรุปสาระสำคัญของแผนฯ ได้ดังนี้
(1) เร่งรัดการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 เพื่อบังคับให้โรงงานควบคุม 3,110 แห่ง อาคารควบคุม 1,115 แห่ง (ไม่รวมอาคารของรัฐ 800 แห่ง) ดำเนินการตามแผนและเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานที่เสนอไว้กับ พพ. อย่างจริงจัง
(2) ติดตามการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงในหน่วยงานราชการและอาคารของรัฐให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีกับประชาชน คาดว่าในปี 2550 จาก 1,800 หน่วยงานที่ใช้ไฟฟ้ามากกว่า 10,000 หน่วย/ปี จะลดใช้พลังงาน 38 ktoe/ปี คิดเป็นมูลค่า 1,187 ล้านบาท/ปี
(3) เร่งรัดการจัดการออกกฎกระทรวงเพื่อให้ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย ได้มาตรฐานมีประสิทธิภาพด้านพลังงาน พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีการผลิตและประชาชนนิยมใช้เป็นที่แพร่หลาย คาดว่าจะก่อให้เกิดผลประหยัดพลังงาน 120 ktoe/ปี คิดเป็นมูลค่า 3,493 ล้านบาท/ปี
(4) ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนพัฒนาพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น โดยใช้มาตรการกำหนดอัตราราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเพิ่ม (Adder) และใช้เงินจากกองทุนฯ 2,000 ล้านบาท (1,000 ล้านบาท/ปี) เพื่อให้เอกชนที่จะลงทุนด้านพลังงานทดแทนได้มีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ที่คาดว่าจะช่วยทำให้เพิ่มอัตราส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 4.7 คาดว่าเป็นการผลิตไฟฟ้าเพิ่มจาก 2,055 MW เป็น 2,233 MW เพิ่มการใช้ในกระบวนการความร้อนจาก 1,789 ktoe เป็น 2,217 ktoe และเพิ่มการใช้เอทานอล 0.4 ล้านลิตร/วัน เป็น 0.9 ล้านลิตร/วัน และใช้ไบโอดีเซล 0.3 ล้านลิตร/วัน เป็น 0.5 ล้านลิตร/วัน
(5) การกระจายความรู้ความเข้าใจสู่ภูมิภาคและท้องถิ่นอย่างทั่วถึง ทั้งเรื่องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานรูปแบบอื่นที่เหมาะสมกับท้องถิ่น รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในเรื่องพลังงานทางเลือก ทั้งด้านนโยบายของรัฐ การผลิต การใช้ การกำกับดูแลความปลอดภัย และการจัดการป้องกันผลกระทบ เช่น ก๊าซธรรมชาติ แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล ถ่านหิน นิวเคลียร์ เป็นต้น
(6) เห็นชอบจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในวงเงินรวมทั้งสิ้น 3,484,538,344 บาท ประกอบด้วย
หน่วย : บาท
หน่วยงาน | 1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
1) พพ. | 1,597,552,500 | 697,350,000 | - | 2,294,902,500 |
2) สนพ. | 529,500,000 | 472,611,000 | 186,405,104 | 1,188,516,104 |
3) กรมบัญชีกลาง | - | - | 1,119,740 | 1,119,740 |
รวม | 2,127,052,500 | 1,169,961,000 | 187,524,844 | 3,484,538,344 |
ทั้งนี้ ให้แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายภายในแผนงาน/งานเดียวกันได้
คาดว่าในปี 2550 จะสามารถลดปริมาณการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ลง 541 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และจะนำพลังงานทดแทนมาใช้เพิ่มขึ้น 550 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ภายในปี 2550
2. คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติให้ สนพ. และ พพ. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานให้ฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อสรุปรายงานคณะอนุกรรมการฯ ทุก 3 เดือน และคณะกรรมการกองทุนฯ ทุก 6 เดือน บัดนี้ครบกำหนดระยะเวลา 3 เดือน นับจากวันที่คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2550 แล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงสรุปความคืบหน้ามาเพื่อโปรดทราบ ดังต่อไปนี้
2.1 ความคืบหน้าของงานในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ
มีจำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการรวม 56 โครงการ ลงนามในสัญญาและเริ่มงานแล้ว 10 โครงการ คาดว่าจะลงนามในไตรมาสที่ 3 และ 4 จำนวน 38 โครงการ และ 8 โครงการ ตามลำดับ โดยการดำเนินงานในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบยังคงเป็นไปตามแผน
2.2 ความคืบหน้าของงานในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ
มีจำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการ 121 รายการ ลงนามในสัญญาแล้ว 52 รายการ คาดว่าจะลงนามในเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน ได้อีก 17 รายการ 23 รายการ และ 29 รายการ ตามลำดับ โดย พพ. คาดว่าสามารถลงนามในสัญญาและเริ่มดำเนินงานได้ครบทั้ง 121 รายการ ภายในเดือนมิถุนายน 2550
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ขอความเห็นชอบ โครงการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านอย่างยั่งยืน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้มีหนังสือด่วนที่สุด พน 0506/276 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2550 ขอให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านอย่างยั่งยืน" เสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 150 ล้านบาท (หนึ่งร้อยห้าสิบล้านบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนินงานตามข้อเสนอดังกล่าว สรุปได้ดังนี้
(1) วัตถุประสงค์และสาระสำคัญ
พพ. ได้ดำเนินโครงการไฟฟ้าพลังน้ำระดับหมู่บ้าน ในรูปแบบความร่วมมือกับราษฎร รวม 90 โครงการ ขนาดกำลังผลิตรวม 2,920.50 กิโลวัตต์ ซึ่งต่อมา กฟภ. ได้ขยายเขตระบบจำหน่ายสายส่งไฟฟ้าแรงสูงเข้าไปถึงหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงเลิกใช้ไฟฟ้าจากโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำ จึงมีเพียง 40 โครงการที่ยังคงใช้งานอยู่ ขนาดกำลังผลิตรวม 1,202 กิโลวัตต์ ดังนั้น พพ. จึงมีแผนพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านอย่างยั่งยืน ใช้เวลา 24 เดือน ปรับปรุงโรงไฟฟ้าที่ชาวบ้านเลิกใช้งานแต่ยังมีศักยภาพ 25 โครงการ ขนาดกำลังผลิตรวม 970 กิโลวัตต์ พัฒนาเป็น 1,500 กิโลวัตต์ และเชื่อมโยงกับระบบจำหน่ายของ กฟภ. โดย พพ. จะปรับปรุงเครื่องกังหันน้ำและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า พร้อมทั้งอุปกรณ์ประกอบและระบบผันน้ำ-ระบบส่งน้ำ ระบบสายส่งไฟฟ้า เพื่อรองรับการเชื่อมโยงขนานเข้าระบบ คาดว่าใช้เงินลงทุนประมาณ 100,000 บาทต่อกิโลวัตต์
(2) งบประมาณรายจ่ายของโครงการฯ
รายการ | จำนวน | ต่อโครงการ | รวมทั้งสิ้น | |
(โครงการ) | (บาท) | (บาท) | ||
1 | งานบริหารโครงการ | 25 | 480,000 | 12,000,000 |
ค่าตอบแทน ควบคุมงาน ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก | ||||
ค่าใช้สอย ว่าจ้าง ค่าซ่อม ยานพาหนะ เครื่องจักรกลหนัก | ||||
ค่าวัสดุ ในการสำรวจ ออกแบบ น้ำมันเชื้อเพลิง อื่นๆ | ||||
2 | ค่าจ้างปรับปรุงทางด้านโยธา | 25 | 2,640,000 | 66,000,000 |
จ้างปรับปรุง ฝาย ประตูระบายตะกอน ระบบปันน้ำ ระบบส่งน้ำ อาคารโรงไฟฟ้า | ||||
3 | ค่าจ้างปรับปรุงด้านไฟฟ้าและเครื่องกล | 25 | 2,880,000 | 72,000,000 |
ระบบสายส่งไฟฟ้า เสาไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้า พร้อมอุปกรณ์ยึดโยงและเชื่อมโยงเข้าระบบ กฟภ. | ||||
ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ รวม 25 โครงการ | 6,000,000 | 150,000,000 |
(3) ประโยชน์ที่มีต่อการประหยัดพลังงาน
- เพิ่มพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานทดแทนเข้าสู่ระบบ 1,500 ล้านหน่วย และช่วยเพิ่มความมั่นคงให้กับระบบสายส่งของการไฟฟ้า และเพิ่มอัตถประโยชน์ในแต่ละชุมชนหมู่บ้านจากการได้กระแสไฟฟ้าไปใช้
- มีการใช้พลังงานน้ำที่เป็นทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่สูญเปล่า ทำให้เกิดการรักษาป่าไม้ที่เป็นต้นน้ำ และทำให้น้ำใต้ดินมีความชุ่มชื้นทำให้ป่าอุดมสมบูรณ์ เป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อม
2. สนพ. ได้ประเมินคุณภาพของข้อเสนอฯ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย 1) ผศ.ดร.อุดมเกียรติ นนทแก้ว 2) ดร.ธานี มนต์ไตรเวศย์ และ 3) คุณประหยัด เครื่องประดิษฐ์ ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกันเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเห็นว่ารายละเอียดในข้อเสนอของ พพ. ยังขาดข้อมูลในประเด็นสำคัญที่เห็นควรให้ผู้แทน พพ. ได้เข้าร่วมประชุมและแสดงรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น
(1) ความเชื่อมั่น (ด้านปริมาณน้ำ) โอกาสในการพัฒนา (ความพร้อมของชุมชน) แนวโน้มในการเชื่อมโยง (ระยะห่างจากเครื่องกำเนิดถึงระบบของ กฟภ.)
(2) การวิเคราะห์ทางเลือกและความเหมาะสมของเทคโนโลยีการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้าพลังน้ำ ที่จะเลือกใช้ INDUCTION GENERATOR
(3) แนวทางในการขยายกำลังการผลิต จะเป็นการเปลี่ยนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในขนาดที่ใหญ่ขึ้น หรือ เป็นการเสริมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพิ่มเติมจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเดิมที่มีอยู่ รวมถึงโอกาสที่จะขยายกำลังการผลิตจากเดิมที่เข้าใจว่าออกแบบไว้ประมาณ 80% ของปริมาณน้ำทั้งปี ให้เต็มศักยภาพ
(4) แนวทางบริหารจัดการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ การดูแลบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า อย่างยั่งยืน
(5) แนวทางบริหารจัดการรายได้ที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำภายใต้โครงการ
3. ผู้แทนของ พพ. ได้เข้าร่วมประชุมและให้ข้อมูลรายละเอียดแนวทางการดำเนินงานเพิ่มเติมต่อ ผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว คณะผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่าโครงการนี้ก่อเกิดประโยชน์ต่อประเทศโดยรวมทั้งด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม การรักษาและฟื้นฟูป่าไม้ แหล่งต้นน้ำ จึงเห็นควรที่กองทุนฯ จะสนับสนุนให้ พพ. ดำเนินโครงการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านอย่างยั่งยืน โดยให้ พพ.
(1) ปรับปรุงเพิ่มเติมข้อมูลในข้อเสนอโครงการฯ ให้ครบถ้วนและชัดเจนตามที่ได้ให้ไว้กับคณะผู้ทรงคุณวุฒิ ดังรายละเอียดปรากฏในข้อ 3 ของรายงานการประชุม
(2) เห็นด้วยกับทางเลือกที่จะเสนอเป้าหมายของโครงการฯ ที่ พพ. จะสำรวจออกแบบโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้าน โดยชื่อหรือจำนวนโครงการอาจเปลี่ยนแปลงไปจากรายการที่เสนอมา ซึ่ง พพ. จะปรับปรุงให้โครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำจากที่สำรวจออกแบบไว้ให้กลับมาใช้งานได้ใหม่ในกำลังการผลิตรวมไม่น้อยกว่า 1,500 kW หรือมากกว่า ทั้งนี้จนหมดวงเงินที่จะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ 150 ล้านบาท
หาก พพ. ดำเนินการปรับปรุงได้กำลังการผลิตรวมไม่น้อยกว่า 1,500 kW และหมดวงเงินแล้ว ยังมีโครงการฯ ที่มีศักยภาพเหลืออยู่ พพ. จะได้นำไปเสนอของบประมาณมาดำเนินการต่อไป
(3) ระบุที่มาของการประเมินศักยภาพในการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านที่ พพ. คาดว่าจะสามารถปรับปรุงให้กลับมาใช้งานได้ใหม่ในกำลังการผลิตรวม 1,500 kW
(4) ปรับประมาณการค่าการลงทุนพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้าน ที่ พพ. เสนอไว้ในเบื้องต้น 100,000 บาท/kW โดยควรจำแนกเป็นราคาต่อหน่วยให้สอดคล้องกับงานในแต่ละด้าน เช่น งานด้านไฟฟ้าจัดทำเป็นราคาต่อกิโลวัตต์ และงานด้านโยธาจัดทำเป็นราคาต่อกิโลเมตร ฯลฯ เพื่อเป็นหลักในการพิจารณาความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายในการลงทุน
(5) พิจารณาระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ให้เหมาะสมกับปริมาณงาน เพราะจากการศึกษาสำรวจออกแบบ และจ้างผู้เข้าไปดำเนินการเป็นรายโครงการฯ พพ. จะดำเนินการได้ไม่ทันภายในเวลา 24 เดือน
(6) ให้ สนพ. ประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ และนำคณะผู้ทรงคุณวุฒิไปเยี่ยมชมผลสำเร็จของการดำเนินโครงการฯ ในพื้นที่ต่างๆ ด้วย
พพ. ได้ปรับแผนงานของโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะของคณะผู้ทรงคุณวุฒิข้างต้นเรียบร้อยแล้ว ตามรายละเอียดปรากฏตามเอกสารประกอบวาระ 4.1 ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อโปรดพิจารณา
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ปีงบประมาณ 2550 ที่ สนพ. ได้รับอนุมัติไว้แล้วจากคณะกรรมการกองทุนฯ ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำระดับหมู่บ้านอย่างยั่งยืน" ในวงเงิน 150 ล้านบาท ตามรายละเอียดที่ปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 4.1
2. ให้ พพ. ทำความตกลงกับกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับวิธีการนำรายได้ที่เกิดจากการขายไฟฟ้าในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ช่วงก่อนที่ พพ. จะโอนโรงไฟฟ้าให้แก่ท้องถิ่น นำส่งกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แทนการนำส่งกระทรวงการคลัง
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า พพ. ได้มีหนังสือด่วนที่สุด พน.0509/273 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2550 ขอให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 จำนวน 11 ผลิตภัณฑ์" เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 18.8 ล้านบาท (สิบแปดล้านแปดแสนบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนินงานตามข้อเสนอดังกล่าว สรุปได้ดังนี้
(1) วัตถุประสงค์และสาระสำคัญ
ในช่วงปี 2543-2548 พพ. ได้จัดทำร่างกฎกระทรวงฯ จำนวน 11 ผลิตภัณฑ์ไว้แล้ว คือ กระจก ตู้แช่ เตารีดไฟฟ้า เครื่องซักผ้า เตาไฟฟ้า เตาอบไมโครเวฟ กาต้มน้ำร้อนไฟฟ้า ฉนวนใยแก้ว เครื่องอบผ้า เตาอบไฟฟ้า และเครื่องทำน้ำเย็น ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีของแต่ละผลิตภัณฑ์ได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้วจำเป็นต้องทบทวนร่างกฎกระทรวงฯ ให้เหมาะสมกับสภาวะปัจจุบัน เพื่อประกาศใช้ในการส่งเสริมการผลิตและจำหน่าย ตลอดจนจัดทำร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ประสิทธิภาพขั้นต่ำ) เพื่อส่งให้ สมอ. ดำเนินการต่อไป
(2) งบประมาณรายจ่ายของโครงการฯ ขอรับสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงินรวม 18.8 ล้านบาท แบ่งเป็น
ค่าใช้จ่าย | จำนวน |
1. ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร | 6,337,550 บาท |
2. ค่าใช้จ่ายประชุม-สัมมนา | 1,450,000 บาท |
3. ค่าใช้จ่ายทดสอบผลิตภัณฑ์ | 4,950,000 บาท |
4. ค่าใช้จ่ายประชาสัมพันธ์ | 5,092,100 บาท |
5. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ | 972,100 บาท |
* ขอสนับสนุนจากกองทุนฯ | 18,800,000 บาท |
(3) ประโยชน์ที่มีต่อการประหยัดพลังงาน :ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน คาดว่าการออกกฎกระทรวงของอุปกรณ์ 11 ประเภท จะช่วยให้เกิดการประหยัดพลังงานได้ 90 ktoe/ปี
2. สนพ. ได้ประเมินคุณภาพของข้อเสนอฯ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย 1) ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ 2) ศ.ดร.จุลละพงษ์ จุลละโพธิ และ 3) รศ.ดร.อภิชิต เทอดโยธิน ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกันเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเห็นว่ารายละเอียดในข้อเสนอของ พพ. ยังขาดข้อมูลในประเด็นสำคัญ คือ
(1) การทบทวนงานที่หน่วยงานต่างๆ รวมถึง พพ. ที่ได้ดำเนินการศึกษาไว้แล้ว เพื่อศึกษาแนวทาง กระบวนการที่จะผลักดันให้งานจัดทำมาตรฐานประสิทธิภาพ ประสพความสำเร็จ
(2) การทบทวนผลการดำเนินงานศึกษาร่างกฎกระทรวงที่ พพ. ดำเนินการผ่านมา เพื่อบ่งชี้ให้เห็นปัญหาอุปสรรคที่ พพ. ไม่สามารถนำร่างกฎกระทรวงของอุปกรณ์ที่ได้ศึกษาไว้ทั้ง 24 ชนิด มาประกาศใช้ และระบุกระบวนการหรือแนวทางที่จะเชื่อมั่นได้ว่าการศึกษาครั้งนี้ จะผ่านอุปสรรคเดิมและสามารถประกาศกฎกระทรวงได้
(3) การอ้างอิงถึงกระบวนการพิจารณาถึงความเหมาะสมที่แจ้งว่าผลการศึกษาเดิม (ปี 2543-2548) ไม่เป็นปัจจุบัน จำเป็นต้องศึกษาใหม่ ทั้ง 11 อุปกรณ์
(4) เหตุผลที่ต้องศึกษาเพื่อกำหนดค่ามาตรฐานโดยแยกเป็นรายอุปกรณ์ เพราะอุปกรณ์บางชนิดไม่มีความซับซ้อนและเทคโนโลยีไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงเร็ว เช่น กระติกน้ำร้อน กาต้มน้ำร้อน เตาอบไมโครเวฟ เป็นต้น หรือความจำเป็นที่ต้องกำหนดมาตรฐานในอุปกรณ์บางชนิดที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ออกรุ่นใหม่ๆ มาเสมอ เช่น เครื่องซักผ้า และมีแนวทางจะกำหนดมาตรฐานอย่างไรกับอุปกรณ์ลักษณะนี้
(5) ความจำเป็นที่ต้องจ้างที่ปรึกษาเข้ามาดำเนินการแทนในทุกรายการ เพราะการทบทวนกฎกระทรวงฯ ไม่น่าจะจำเป็นที่ต้องจ้างที่ปรึกษามาให้ความเห็นทุกอุปกรณ์ บุคลากรของหน่วยงานเจ้าของโครงการ น่าจะดำเนินการเองได้ เพราะต้องมีความชำนาญการในเรื่องนี้มากกว่าที่ปรึกษาเพื่อการกำกับดูแลคุณภาพงานจะได้เป็นไปด้วยความครบถ้วน
(6) ที่มาของผลการประหยัดพลังงานที่ระบุไว้ หากมีการประกาศใช้กฎกระทรวงของ 11 ผลิตภัณฑ์ จะช่วยให้เกิดการประหยัดพลังงานได้ 90 ktoe/ปี
(7) ยังไม่ควรดำเนินการประชาสัมพันธ์ เพราะเป้าหมายของโครงการฯ เป็นเรื่องทางเทคนิคที่ยังไม่มีผลเป็นนามธรรมหรือจับต้องได้
โดยคณะผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่า พพ. ควรจัดทำข้อเสนอใหม่ โดยเพิ่มเติมข้อมูลที่สำคัญในประเด็น ตามที่มีความเห็นไว้ข้างต้น ประกอบกับในช่วงนี้กระทรวงพลังงานจะทำงบประมาณปี 2551 เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา และงานที่ พพ. มีอยู่เดิมและต้องดำเนินการในปีงบประมาณ 2550 มีปริมาณมากอยู่แล้ว จึงเห็นควรให้ พพ. จัดทำรายละเอียดและปรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ให้เรียบร้อย และยื่นเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในปีงบประมาณ 2551 ต่อไป
3. ด้วยกระทรวงพลังงานเห็นว่าเรื่องดังกล่าวมีความจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้เครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยเร็ว พพ. จึงได้จัดทำข้อเสนอ "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2" ที่ปรับปรุงตามความเห็นของคณะผู้ทรงคุณวุฒิตามข้อ 2 และเสนอต่อคณะอนุกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณา
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2" เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 18.8 ล้านบาท โดยก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พพ. จะต้องปรับขอบเขตงานประชาสัมพันธ์ และงบประมาณในส่วนการประชาสัมพันธ์ให้เป็นไปตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ ด้วย
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า พพ. ได้มีหนังสือด่วนที่สุด พน.0509/273 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2550 ขอให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก" (เอกสารแนบวาระ 4.3.1) เสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 22 ล้านบาท (ยี่สิบสองล้านบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนินงาน โดยสรุปได้ดังนี้
1) วัตถุประสงค์และสาระสำคัญ
โรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กทั่วประเทศ มีประมาณ 36,000 แห่ง ที่ต้องการความรู้ความเข้าใจวิธีการอนุรักษ์พลังงานอย่างถูกต้องและเป็นระบบ ในช่วงปี 2548 และ 2549 พพ. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเข้าไปดำเนินการโครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กแล้ว 700 แห่ง เกิดผลประหยัดพลังงาน 8.366 ktoe และเพื่อให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่อง พพ. จึงจะว่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินการต่อในปี 2550 อีก 100 แห่ง
2) งบประมาณรายจ่ายของโครงการฯ ขอสนับสนุนจากกองทุนฯ 22 ล้านบาท แบ่งเป็น
ค่าใช้จ่ายต่อกลุ่ม (กลุ่มละ 25 แห่ง) | จำนวน |
1. ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร | 3,306,000 บาท |
2. ค่าใช้จ่ายอื่น | 1,835,250 บาท |
3. ภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 | 359,888 บาท |
รวม | 5,501,138 บาท |
ขอตั้งงบประมาณ ต่อกลุ่ม | 5,500,000 บาท |
รวมงบประมาณ 100 แห่ง (แบ่ง 4 กลุ่มๆ ละ 25 แห่ง) | 22,000,000 บาท |
3) ประโยชน์ที่มีต่อการประหยัดพลังงาน : ระยะเวลา 8 เดือน คาดว่าจะมีผลประหยัดพลังงานเฉลี่ยต่อแห่งไม่ต่ำกว่า 5 toe/ปี หรือเมื่อจบโครงการแล้วจะเกิดผลประหยัดรวมไม่น้อยกว่า 500 toe/ปี ระยะเวลาคืนทุนเฉลี่ยไม่เกิน 2 ปี
2. สนพ. ได้ประเมินคุณภาพของข้อเสนอฯ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย 1) ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ 2) ศ.ดร.จุลละพงษ์ จุลละโพธิ และ 3) รศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกันเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเห็นว่ารายละเอียดในข้อเสนอของ พพ. ยังขาดข้อมูลในประเด็นสำคัญ คือ
(1) การทบทวนการทำงานโครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม ที่ พพ. ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2545 การที่บ่งชี้ถึงสิ่งที่ พพ. ได้เรียนรู้จากประสบการณ์การทำงาน จำแนกกลุ่มของสถานประกอบการที่เข้าไปดำเนินการมาแล้ว แสดงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทั้งด้านพลังงานและมาตรการที่เกิดขึ้น ระบุประเด็นปัญหาหรือข้อจำกัด ที่นำมาสู่การทำโครงการตามที่เสนอมาในครั้งนี้ โดยระบุให้ชัดเจนว่าจะเลือกเข้าไปดำเนินการกับกลุ่มเป้าหมายใน sector ใดบ้าง ด้วยเหตุผลอะไร
(2) ปรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ที่ไม่ใช่การดำเนินการผ่านระบบที่ปรึกษา แต่ควรมุ่งเน้นกระบวนการที่จะก่อให้เกิดความยั่งยืนโดยปลูกฝังพัฒนาไว้ที่บุคลากรของสถานประกอบการ เช่น การนำองค์ความรู้ที่ได้จากการดำเนินงานที่ผ่านมาที่ พพ. จัดทำไว้ในรูปแบบเอกสารเผยแพร่ หรือ VDO อยู่มากนั้น ไปขยายผลด้วยวิธีที่เข้าถึงสถานประกอบการที่ยังไม่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานกว่า 20,000 แห่ง ได้เร็วขึ้น รวมถึงการใช้ทรัพย์สินที่ลงทุนไว้แล้ว เช่น ศูนย์ให้คำปรึกษา ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น หรือหากต้องการให้มีที่ปรึกษาเข้าไปช่วยให้คำแนะนำ ก็ควรให้เจ้าของสถานประกอบการนั้นออกค่าใช้จ่ายด้วยส่วนหนึ่ง
(3) พิจารณาปรับตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ จากที่จะประหยัดพลังงานเฉลี่ยต่อแห่งไม่ต่ำกว่า 5 toe/ปี โดยน่าจะเพิ่มการวัดผลที่ความยั่งยืนที่สถานประกอบการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่องด้วย
โดยคณะผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่า พพ. ควรจัดทำข้อเสนอใหม่ โดยเพิ่มเติมข้อมูลที่สำคัญในประเด็น ตามที่มีความเห็นไว้ข้างต้น ประกอบกับในช่วงนี้กระทรวงพลังงานจะทำงบประมาณปี 2551 เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา และงานที่ พพ. มีอยู่เดิมและต้องดำเนินการในปีงบประมาณ 2550 มีปริมาณมากอยู่แล้ว จึงเห็นควรให้ พพ. จัดทำรายละเอียดและปรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ให้เรียบร้อย และยื่นเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในปีงบประมาณ 2551 ต่อไป
3. ด้วยกระทรวงพลังงานเห็นว่าเรื่องดังกล่าวมีความจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อช่วยผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน พพ. จึงได้จัดทำข้อเสนอ "โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก" ที่ปรับปรุงตามความเห็นของคณะผู้ทรงคุณวุฒิตามข้อ 2 และเสนอต่อคณะอนุกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณา
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก" เสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 22 ล้านบาท
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่มีความผันผวนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในแต่ละปีประเทศไทยต้องจ่ายเงินหลายแสนล้านบาทเพื่อนำเข้าน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป ดังนั้น ทางออกทางหนึ่งของการลดใช้น้ำมัน คือ การส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานทดแทน โดยเฉพาะ "น้ำมันแก๊สโซฮอล์" กระทรวงพลังงานจึงมีนโยบายจะส่งเสริมให้มีการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์เพิ่มมากขึ้น และตั้งเป้าหมายการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้ได้ 8 ล้านลิตรต่อวันภายในสิ้นปี 2550 ดังนั้น สนพ. จึงได้ดำเนินการโครงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2550 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตลอดจนสร้างกระแสการรับรู้ที่ดี ลดอคติ ไม่กล่าวโทษปัญหาของรถยนต์ว่าเป็นผลมาจากการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ และมุ่งหวังให้ประชาชนเปลี่ยนทัศนคติมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ในที่สุด ถึงแม้ว่าปัจจุบันราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์จะมีส่วนต่างกับน้ำมันเบนซินถึง 3.30 บาทต่อลิตร และการดำเนินการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์แบบครบวงจร แต่ปริมาณการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ก็ยังไม่มีทีท่าจะขยับตัวเร็วในระดับที่เชื่อมั่นได้ว่าจะไปถึงเป้าหมายที่ภาครัฐได้ตั้งไว้ที่ 8 ล้านลิตรต่อวันภายในสิ้นปี 2550
2. สนพ. จึงเห็นควรรณรงค์ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ระยะที่ 2 เพื่อเร่งสร้างความมั่นใจกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนสร้างโอกาสให้ผู้ใช้รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ได้ทดลองเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์เพื่อให้เห็นผลว่าไม่ทำให้เครื่องยนต์เสียหาย และจะขอความร่วมมือบริษัทผู้ค้าน้ำมันอีกครั้งให้ยืนยันและรับประกันชดใช้ความเสียหายหากพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายของเครื่องยนต์มาจากนำมันแก๊สโซฮอล์ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหันมาเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์อย่างถาวร
2.1 วัตถุประสงค์
เพื่อตอกย้ำให้ประชาชนลดอคติและเพื่อโน้มน้าวใจผู้บริโภคที่มีต่อน้ำมันแก๊สโซฮอล์ว่าไม่ส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์แต่อย่างใด และสร้างความมั่นใจว่าการหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ (E10) ทดแทนน้ำมันเบนซินก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย ภายใต้แนวคิด "ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ มั่นใจได้ในคุณภาพ ไม่กระทบต่อสมรรถนะของเครื่องยนต์ และประหยัดค่าน้ำมันจริง ใช้แล้วคุณจะติดใจ"
2.2 ขอบเขตงาน
วางแผนงานโครงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยเสนอกลยุทธ์เชิงรุก ผ่านงานสร้างสรรค์ที่สามารถสื่อสารในวงกว้างเพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว และทั่วถึง ตลอดจนสร้างกระแสต่อเนื่องของการรณรงค์เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ เชิญชวนให้ผู้ที่ยังไม่กล้าทดลองใช้ให้หันมาเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ทันที โดยมีการขยายประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ด้วย อาทิ
- ผลิตและเผยแพร่ภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อโทรทัศน์, สปอตวิทยุ และสื่อต่างๆ
- ผลิตและเผยแพร่ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ หรือแนวคิดในการใช้สื่อที่ทันสมัย
- จัดกิจกรรมเผยแพร่ต่างๆ ที่เอื้อต่อการทดลองใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์
- จัดทำแผนงานประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อกระตุ้นสื่อมวลชนให้เผยแพร่ข้อเท็จจริงสู่ภาคประชาชน
- การจัดกิจกรรมเผยแพร่ต่างๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงบางรายการเพื่อความเหมาะสม ฯลฯ
2.3 ผลที่คาดว่าจะได้รับ
ประชาชนผู้ขับขี่มีความมั่นใจในคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และเข้าใจว่าการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ไม่ส่งผลกระทบต่อสมรรถนะของรถยนต์
ประชาชนผู้ใช้รถยนต์ตัดสินใจทดลองเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ในทันที ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้หันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์อย่างถาวร
2.4 งบประมาณ
ขอใช้เงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 40,000,000 บาท (สี่สิบล้านบาทถ้วน) เพื่อจัดจ้างเอกชนเข้ามาเป็นผู้ดำเนินโครงการฯ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและสามารถสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้โดยสามารถถัวจ่ายระหว่างรายการ และแยกรายการและทำสัญญาหรือหนังสือยืนยันได้หลายรายการตามความเหมาะสม
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในวงเงิน 40,000,000 บาท (สี่สิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ระยะที่ 2" โดยให้ สนพ. รับข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ ไปดำเนินการในโครงการดังกล่าวด้วย
2. เห็นชอบให้ถัวจ่ายเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการสนับสนุนการศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงาน ที่ สนพ. ได้รับอนุมัติไว้แล้วจากคณะกรรมการกองทุนฯ ในวงเงิน 40,000,000 บาท (สี่สิบล้านบาทถ้วน) มาสมทบในโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันเก๊สโซฮอล์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ระยะที่ 2
อนุ กอ. ครั้งที่ 8 - วันพุธที่ 25 เมษายน 2550
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 8)
วันที่ 25 เมษายน 2550 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม อาคาร 2 กระทรวงพลังงาน
1. ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550
2. ขอความเห็นชอบ เปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ"
3. ขอความเห็นชอบ เปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับ "โครงการส่งเสริมปั้มอิสระจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ได้คุณภาพ"
4. ขอความเห็นชอบ ขยายระยะเวลา โครงการค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทางในส่วนต่างให้แก่บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน)
5. ความคืบหน้า และขอปรับแผนงาน โครงการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
6. ขอความเห็นชอบ เปลี่ยนชื่อ "โครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5"
7. ขอความเห็นชอบโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า มติคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2550 โดยสรุปสาระสำคัญของแผนฯ ได้ดังนี้
(1) เร่งรัดการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535 เพื่อบังคับให้โรงงานควบคุม 3,110 แห่ง อาคารควบคุม 1,115 แห่ง (ไม่รวมอาคารของรัฐ 800 แห่ง) ดำเนินการตามแผนและเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานที่เสนอไว้กับ พพ. อย่างจริงจัง โดยแก้ไขกฎกระทรวง ใช้มาตรการส่งเสริม สนับสนุนและจูงใจทั้งด้านการเงิน มาตรการทางภาษี และคำแนะนำทางด้านเทคนิค
(2) ติดตามการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงในหน่วยงานราชการและอาคารของรัฐให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีกับประชาชน คาดว่าในปี 2550 จาก 1,800 หน่วยงานที่ใช้ไฟฟ้ามากกว่า 10,000 หน่วย/ปี จะลดใช้พลังงาน 38 ktoe/ปี คิดเป็นมูลค่า 1,187 ล้านบาท/ปี
(3) เร่งรัดการจัดการออกกฎกระทรวงเพื่อให้ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย ได้มาตรฐานมีประสิทธิภาพด้านพลังงาน พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีการผลิตและประชาชนนิยมใช้เป็นที่แพร่หลาย คาดว่าจะก่อให้เกิดผลประหยัดพลังงาน 120 ktoe/ปี คิดเป็นมูลค่า 3,493 ล้านบาท/ปี
(4) ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนพัฒนาพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น โดยใช้มาตรการกำหนดอัตราราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเพิ่ม (Adder) และใช้เงินจากกองทุนฯ 2,000 ล้านบาท (1,000 ล้านบาท/ปี) เพื่อให้เอกชนที่จะลงทุนด้านพลังงานทดแทนได้มีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ที่คาดว่าจะช่วยทำให้เพิ่มอัตราส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 4.7 คาดว่าเป็นการผลิตไฟฟ้าเพิ่มจาก 2,055 MW เป็น 2,233 MW เพิ่มการใช้ในกระบวนการความร้อนจาก 1,789 ktoe เป็น 2,217 ktoe และเพิ่มการใช้เอทานอล 0.4 ล้านลิตร/วัน เป็น 0.9 ล้านลิตร/วัน และใช้ไบโอดีเซล 0.3 ล้านลิตร/วัน เป็น 0.5 ล้านลิตร/วัน
(5) การกระจายความรู้ความเข้าใจสู่ภูมิภาคและท้องถิ่นอย่างทั่วถึง ทั้งเรื่องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานรูปแบบอื่นที่เหมาะสมกับท้องถิ่น รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในเรื่องพลังงานทางเลือก ทั้งด้านนโยบายของรัฐ การผลิต การใช้ การกำกับดูแลความปลอดภัย และการจัดการป้องกันผลกระทบ เช่น ก๊าซธรรมชาติ แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล ถ่านหิน นิวเคลียร์ เป็นต้น
(6) เห็นชอบจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในวงเงินรวมทั้งสิ้น 3,484,538,344 บาท ประกอบด้วย
หน่วย : บาท
หน่วยงาน | 1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
1) พพ. | 1,597,552,500 | 697,350,000 | - | 2,294,902,500 |
2) สนพ. | 529,500,000 | 472,611,000 | 186,405,104 | 1,188,516,104 |
3) กรมบัญชีกลาง | - | - | 1,119,740 | 1,119,740 |
รวม | 2,127,052,500 | 1,169,961,000 | 187,524,844 | 3,484,538,344 |
ทั้งนี้ ให้แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายภายในแผนงาน/งานเดียวกันได้
คาดว่าในปี 2550 จะสามารถลดปริมาณการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ลง 541 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และจะนำพลังงานทดแทนมาใช้เพิ่มขึ้น 550 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ภายในปี 2550
2. คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติให้ สนพ. และ พพ. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานให้ฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อสรุปรายงานคณะอนุกรรมการฯ ทุก 3 เดือน และคณะกรรมการกองทุนฯ ทุก 6 เดือน บัดนี้ครบกำหนดระยะเวลา 3 เดือน นับจากวันที่คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2550 แล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงสรุปความคืบหน้ามาเพื่อโปรดทราบ ดังต่อไปนี้
2.1 ความคืบหน้าของงานในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ
- มีจำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการรวม 56 โครงการ ลงนามในสัญญาและเริ่มงานแล้ว 10 โครงการ คาดว่าจะลงนามในไตรมาสที่ 3 และ 4 จำนวน 38 โครงการ และ 8 โครงการ ตามลำดับ
2.2 ความคืบหน้าของงานในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ
- มีจำนวนเรื่องที่ต้องดำเนินการ 259 รายการ ลงนามในสัญญาแล้ว 43 รายการ คาดว่าจะลงนามในเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน ได้อีก 16 รายการ 161 รายการ และ 39 รายการ ตามลำดับ โดย พพ. คาดว่าสามารถลงนามในสัญญาและเริ่มดำเนินงานได้ครบทั้ง 259 รายการ ภายในเดือนมิถุนายน 2550
มติที่ประชุม
ให้ พพ. และ สนพ. ปรับปรุงเอกสารประกอบการรายงานความก้าวหน้าให้มีรายละเอียดและข้อมูลที่ชัดเจนมากพอเพื่อคณะอนุกรรมการฯ จักได้สามารถเปรียบเทียบกับเป้าหมายและแผนงานที่เข้าใจง่าย และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบความเป็นมาของโครงการนี้ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ที่ได้กำหนดให้รถยนต์ราชการที่ใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงติดตั้งอุปกรณ์เพื่อเปลี่ยนไปใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) โดยให้ บริษัท ปตท. (มหาชน) จำกัด ดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้ก่อน และให้กระทรวงการคลังกำหนดระเบียบการผ่อนจ่ายค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการเพื่อคืนให้ ปตท. โดยบวกเพิ่มในราคาก๊าซธรรมชาติอีกกิโลกรัมละ 5 บาท เป็น 9.53 + 5.00 บาท = 14.53 บาท
มีส่วนราชการ 20 กระทรวง ขอติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการรวม 1,708 คัน แต่ส่วนราชการไม่มีงบประมาณรายจ่ายเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ NGV และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุฯ ในเรื่องการเบิกจ่ายวัสดุ (ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง) ไม่เอื้อต่อการติดตั้งอุปกรณ์ไปก่อนและผ่อนชำระคืนผู้รับจ้าง
ปตท. จึงยื่นข้อเสนอ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" ขอใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เป็นเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย สำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ของราชการ ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อ 25 สิงหาคม 2548 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2548 ให้ ปตท. ในวงเงิน 110 ล้านบาท (หนึ่งร้อยสิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาใช้เงินทั้งหมดคืนกองทุนฯ ภายใน 10 ปี โดยให้ ปตท. หารือกับกรมบัญชีกลางเรื่องระเบียบวิธีการเบิกจ่ายและเรียกเก็บเงินคืนกองทุนฯ
กระทรวงการคลังเห็นว่าส่วนราชการไม่สามารถผ่อนชำระค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ได้ทันภายในปีงบประมาณ และการผูกพันเงินงบประมาณในปีต่อไปต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการก่อหนี้ผูกพัน คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2548 จึงได้อนุมัติหลักการให้ทุกส่วนราชการที่นำรถยนต์ราชการเข้าร่วมโครงการฯ ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณในการผ่อนชำระคืนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้แก่กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ สนพ. เป็นผู้แทนทุกส่วนราชการในการเสนอขอตั้งงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนชดเชยกองทุนฯ เพื่อผูกพันงบประมาณโดยรวม
ในช่วงระยะเวลา 1 ปี ( ธันวาคม 2548 ถึง ธันวาคม 2549) ปตท. ได้ติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้รถยนต์ราชการรวม 1,209 คัน คาดว่าจะประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในภาครัฐคิดเป็นมูลรวม 32,358,856 บาท/ปี โดย ปตท. มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ผ่านเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย รวม 66,091,653 บาท (หกสิบหกล้านเก้าหมื่นหนึ่งพันหกร้อยห้าสิบสามบาทถ้วน) และ สนพ. เตรียมตั้งเป็นรายจ่ายในงบประมาณประจำปี 2551 เสนอสำนักงบประมาณเพื่อนำมาชำระคืนกองทุนฯ ต่อไป
กรมธุรกิจพลังงานเห็นว่ายังมีรถยนต์ราชการจำนวน 1,200 คัน ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลที่ยังไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์ NGV จึงเสนอขอใช้เงินจากกองทุนฯ 100 ล้านบาท (หนึ่งร้อยล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ยสำหรับสนับสนุนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้กับหน่วยงานดังกล่าว โดยในครั้งนี้กรมธุรกิจพลังงานจะเป็นเป็นผู้แทนทุกส่วนราชการในการเสนอขอตั้งงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนชดเชยกองทุนฯ ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติจัดสรรวงเงินดังกล่าวให้กรมธุรกิจพลังงานแล้วในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อ 21 ธันวาคม 2549
2. กระทรวงพลังงานได้เสนอที่ประชุมเพื่อพิจารณาเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับทั้ง 2 โครงการข้างต้น โดยให้ใช้ในลักษณะ "เงินให้เปล่า" แทน "เงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย" โดยมีเหตุผลดังนี้
2.1 ในช่วงเวลาที่พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ สำหรับ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" เมื่อ 25 สิงหาคม 2548 นั้น สถานการณ์พลังงานของประเทศอยู่ในช่วงเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาไปพร้อมๆ กันทุกด้าน ฐานะของกองทุนฯ จึงขาดสภาพคล่อง แต่เพื่อให้มาตรการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่งดำเนินการไปได้โดยไม่หยุดชะงัก สนพ. จึงได้เสนอขอให้การสนับสนุนฯ โครงการดังกล่าวในรูปของเงินยืมเป็นเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย และให้ ปตท. เร่งคืนเงินกองทุนฯ โดยเร็ว
2.2 ด้วยรัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงินงบประมาณแผ่นดินเป็นจำนวนมากในการผลักดันงานและโครงการต่างๆ เพื่อพัฒนาและสร้างความมั่นคงของประเทศ ประกอบกับปัจจุบันฐานะการเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเมื่อจัดสรรเงินตามประมาณการรายจ่ายตามแผนงาน 2550-2554 แล้วยังอยู่ในลักษณะสมดุล และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีแนวโน้มจะสามารถชำระหนี้ชดเชยตรึงราคาน้ำมันค้างชำระและหนี้ชดเชยราคา LPG ได้หมดภายในสิ้นปี 2550 การโอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบางส่วนมาสมทบเป็นรายได้ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ก็จะเพิ่มศักยภาพช่วยผลักดันการดำเนินการตามนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศได้มากขึ้น
2.3 สนพ. จึงขอเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อโปรดพิจารณาการเปลี่ยนแปลงการใช้เงินจากกองทุนฯ สำหรับ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" ของ ปตท. และ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" ของกรมธุรกิจพลังงาน ดังต่อไปนี้
(1) ให้การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ภายใต้ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" และ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" เปลี่ยนแปลงเป็น "เงินให้เปล่า" แทน "เงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย ที่ต้องคืนกองทุนฯ ภายใน 10 ปี โดยใช้คืนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของวงเงินภายในปีที่ 5 และคืนส่วนที่เหลือภายในปีที่ 10"
(2) จากข้อ (1) สนพ. และกรมธุรกิจพลังงาน ไม่ต้องตั้งรายจ่ายในงบประมาณแผ่นดินประจำปี เพื่อนำมาชำระคืนกองทุนฯ
(3) เปลี่ยนชื่อ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" ที่กรมธุรกิจพลังงานได้รับอนุมัติจัดสรรเงินไว้แล้วจากมติคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 โดยเปลี่ยนชื่อเป็น "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" และให้กรมธุรกิจพลังงานปรับแผนงานโครงการฯ ให้สอดรับกับการดำเนินงานสนับสนุนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการ แบบให้เปล่า
มติที่ประชุม
เห็นชอบการเปลี่ยนแปลงการใช้เงินจากกองทุนฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอมาในข้อ 2.3 และให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณาต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบความเป็นมาของ "โครงการส่งเสริมปั้มอิสระจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ได้คุณภาพ" ที่กรมธุรกิจพลังงานได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ในวงเงิน 20 ล้านบาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) ตามมติคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 โดยมีวัตถุประสงค์จะจ้างผู้เข้ามาดำเนินการล้างถังน้ำมันของปั้มอิสระ 2,200 ปั้มๆ ละ 7,000 บาท คิดเป็นเงินค่าล้างถังรวม 15,400,000 บาท และเป็นค่าดำเนินการและจัดสัมมนา 4,600,000 บาท
2. กรมธุรกิจพลังงานได้ขอเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินงานโดยขอให้สำนักงานพลังงานภูมิภาคทั้ง 12 แห่งเข้ามาร่วมดำเนินการและเป็นผู้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ โดยตรงจาก สนพ. ทั้งนี้ให้บริหารจัดการภายในวงเงินรวม 20 ล้านบาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) ที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว และขอปรับเปลี่ยนเป้าหมายของโครงการฯ เป็นล้างถังน้ำมันของปั้มอิสระ 1,400 ปั้ม โดยมีเหตุผลและความจำเป็นดังนี้
2.1 กรมธุรกิจพลังงานได้ทราบว่าการล้างถังมีด้วยกัน 2 วิธี คือ (1) ล้างด้วยเครื่อง (Flushing) โดยใช้เครื่องดูดทั้งน้ำมัน พร้อมตะกอนสิ่งสกปรกออกมาผ่านตัวกรองในลักษณะหมุนเวียนจนกว่าจะได้น้ำมันมันที่สะอาด ไม่มีตะกอน-สารแขวนลอย ไม่มีน้ำ มีค่าใช้จ่ายประมาณ 6,000-20,000 บาท/ถัง/ครั้ง และ (2) ใช้คนล้าง ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสูงประมาณ 10,000-38,000 บาท/ถัง/ครั้ง โดยค่าจ้างล้างถังขึ้นอยู่กับขนาดและสภาพถัง ซึ่งจากข้อมูลที่ได้รับทำให้ทราบว่ากรมธุรกิจพลังงานได้ประมาณการค่าล้างถังน้ำมันไว้ที่ 7,000 บาท/รายนั้น เป็นอัตราค่าจ้างที่ต่ำกว่าความเป็นจริง
2.2 จำนวนผู้รับจ้างล้างถังและสนใจเข้าร่วมโครงการฯ มี 6 ราย หากกรมธุรกิจพลังงานเป็นหน่วยงานเดียวที่ดำเนินการทั่วประเทศ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 18 เดือน ซึ่งมีผลกระทบต่อการกระตุ้นและสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้เร็วขึ้นจึงขอให้สำนักงานพลังงานภูมิภาค 1-12 ร่วมเป็นเจ้าของโครงการฯ ล้างถังให้กับปั๊มอิสระในพื้นที่รับผิดชอบ
2.3 กรมธุรกิจพลังงานเสนอขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในการดำเนินโครงการฯ ดังนี้
(1) ขอเปลี่ยนแปลงเจ้าของโครงการฯ โดยประกอบด้วย กรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานพลังงานภูมิภาค 1-12
(2) กรมธุรกิจพลังงาน รับผิดชอบในการกำหนดรายละเอียดขอบเขตงานจ้างผู้ประกอบการล้างถัง จัดทำทะเบียนผู้ประกอบการ แจ้งรายชื่อปั๊มอิสระให้สำนักงานพลังงานภูมิภาค 1-12 และคุณสมบัติและเงื่อนไขของปั๊มอิสระที่จะเข้าร่วมโครงการฯ จัดทำราคากลางค่าจ้างล้างถัง ตามวิธีล้าง ขนาด ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง จัดทำเกณฑ์หรือแนวทางในการตรวจสอบคุณภาพงานของผู้รับจ้าง โดยรับจัดสรรเงินกองทุนฯ จาก สนพ. ในวงเงิน 200,000 บาท (สองแสนบาทถ้วน)
(3) สำนักงานพลังงานภูมิภาคแต่ละแห่ง รับผิดชอบในการจัดจ้างผู้รับจ้างล้างถังจากรายชื่อที่กรมธุรกิจพลังงานขึ้นทะเบียนไว้ ล้างถังกับปั๊มอิสระในพื้นที่รับผิดชอบตามขอบเขตงานและปริมาณงานที่กรมธุรกิจพลังงานแจ้งให้ทราบ โดยให้ สพภ. รับจัดสรรเงินกองทุนฯ โดยตรงจาก สนพ. ในวงเงินรวมทั้ง 12 สพภ. ไม่เกิน 19,800,000 บาท (สิบเก้าล้านแปดแสนบาทถ้วน) สำหรับการจ่ายค่าจ้างล้างถังให้ผู้รับจ้าง แต่ละ สพภ. จะจ่ายตามจำนวนถังที่ได้รับการล้างจริง และจะนำเงินส่วนที่เหลือส่งคืนกองทุนฯ
(4) กำหนดวิธีล้างถังน้ำมันไว้ทั้ง 2 วิธี เพื่อเปิดกว้างให้ผู้รับจ้างล้างถังน้ำมันสามารถเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมกับสภาพจริงของถังน้ำมันของปั๊มที่เข้าร่วมโครงการฯ
(5) ขอเปลี่ยนแปลงราคากลางค่าจ้างล้างถังจากเดิมที่เสนอไว้ 7,000 บาท/ถัง/ครั้ง โดยให้กรมธุรกิจพลังงานจัดทำราคากลางตามขนาดและสภาพถังของปั๊ม เพื่อเป็นเกณฑ์ให้ สพภ. 1-12 ใช้เป็นหลักในการพิจารณาราคาที่เหมาะสม โดยในเบื้องต้นกำหนดราคากลางที่ 12,000 บาท/ถัง/ครั้ง
(6) จากอัตราค่าล้างถังน้ำมันที่อาจเปลี่ยนแปลงตามข้อ (5) และจะทำให้เป้าหมายของโครงการฯ เปลี่ยนแปลงลดลง ซึ่งยังไม่ทราบจำนวนปั๊มที่จะสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ที่แน่นอน จึงขอเสนอดังนี้
- กรณีมีปั๊มสมัครเข้าร่วมโครงการมากกว่า 1,400 ราย จะล้างถังให้ปั๊มที่มีขนาดความจุถังมากก่อน และจำแนกพื้นที่ตามสำนักงานพลังงานภูมิภาคที่ 1-12
- กรณีปั๊มสมัครเข้าร่วมโครงการน้อยกว่า 1,400 ราย จะขอเบิกจ่ายค่าล้างถังตามจำนวนที่ล้างจริง
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงรายละเอียด "โครงการส่งเสริมปั้มอิสระจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ได้คุณภาพ" จากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติโครงการฯ ไว้แล้ว ตามที่กรมธุรกิจพลังงานเสนอ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบความเป็นมาของ "โครงการค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทางในส่วนต่างให้แก่บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน)" เป็นการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 21 ธันวาคม 2547 ที่ได้เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิต ตามที่กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เสนอ โดยให้บริษัททางยกระดับฯ ปรับลดราคาค่าผ่านทางตลอดสาย ทางยกระดับอุตราภิมุข เป็นระยะเวลา 3 เดือน (ตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2547 ถึง 21 มีนาคม 2548) ในอัตรา 20 บาทต่อคัน สำหรับรถยนต์ไม่เกิน 4 ล้อ และไม่เกิน 50 บาทต่อคัน สำหรับรถยนต์ที่เกินกว่า 4 ล้อ กรณีที่รายได้จากค่าผ่านทางของบริษัททางยกระดับฯ ลดลงต่ำกว่าวันละ 3.3 ล้านบาท รัฐจะต้องชดเชยในส่วนต่างให้กับบริษัททางยกระดับฯ ร้อยละ 80 ของส่วนต่าง โดยให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดสรรเงินชดเชยให้ โดยให้กรมทางหลาวงจัดทำเรื่องเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ด้วย
หลังการทดลองปรับลดค่าผ่านทาง 90 วัน (ตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2547 ถึง 21 มีนาคม 2548) กรมทางหลวงได้ตรวจสอบค่าผ่านทางและพบว่ามีรายได้ 258,745,192 บาท หรือเฉลี่ยวันละ 2.87 ต่อวัน เท่ากับรายได้ลดลงรวม 297,000,000 บาท - 258,745,192 บาท = 38,254,807 บาท ซึ่งรัฐต้องจ่ายชดเชยในวงเงิน 30,603,845 บาท (ร้อยละ 80 ของส่วนต่าง) และกรมทางหลวงได้มีหนังสือที่ คค 0637/ฝส./10614 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2548 ขอให้ สนพ. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในส่วนที่รัฐต้องชดเชยค่าผ่านทางยกระดับอุตราภิมุขตลอดสายเนื่องจากรายได้จากค่าผ่านทางของบริษัททางยกระดับฯ ลดลงต่ำกว่าวันละ 3.3 ล้านบาท
คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อ 10 มีนาคม 2549 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ปี 2549 ให้แก่กรมทางหลวง ในวงเงิน 30,603,845 บาท เพื่อนำไปจ่ายชดเชยค่าผ่านทางในส่วนต่างให้แก่บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) โดยให้กรมทางหลวงรวบรวมเอกสารหลักฐานการเบิกจ่ายเงินให้ครบถ้วนตามจำนวนเงิน 30,603,845 บาท พร้อมรับรองความถูกต้องในเอกสารที่ขอเบิกทุกฉบับ และให้กรมทางหลวงคำนวณผลประหยัดพลังงานและประเมินความคุ้มค่าของการดำเนินโครงการฯ ในช่วงดังกล่าวส่งให้ สนพ. ด้วย
2. กรมทางหลวงได้ คำนวณผลประหยัดและประเมินความคุ้มค่าของการดำเนินโครงการฯ โดยสรุปได้ว่าในช่วงทดลอง 90 วัน มีรถยนต์เปลี่ยนมาใช้ทางยกระดับมากขึ้น 37,081 คันต่อวัน (เพิ่มขึ้นน้อยกว่า 70,000 คันต่อวัน บริษัทฯ จึงมีรายได้ลดลงจากเดิม) และความเร็วเฉลี่ยบนถนนวิภาวดีรังสิตเพิ่มขึ้นเป็น 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มูลค่าผลประหยัดที่ได้จากโครงการประมาณ 134,778,565 บาท โดยแบ่งเป็น
บนถนนวิภาวดี | บนทางยกระดับดอนเมือง | รวมผลประหยัด | |
ประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้รถ (Vehicle Operating Cost) ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่น ยางรถ อะไหล่ และ ค่าซ่อมบำรุง |
32,167,613 บาท | 31,824,882 บาท | 63,992,495 บาท |
ประหยัดเวลาในการเดินทาง (Vehicle Operating Time) ค่าเสียเวลา คิดจากรายได้เฉลี่ยของผู้ใช้รถ แยกตามประเภทยานพาหนะ |
38,521,726 บาท | 32,264,344 บาท | 70,786,070 บาท |
3. กรมทางหลวงได้มีหนังสือที่ คค 0637/ฝส./00107 ลงวันที่ 23 มกราคม 2550 ขอขยายระยะเวลาโครงการฯ ออกไป 1 เดือนเป็นสิ้นสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 โดยเหตุแห่งความล่าช้าเกิดจากการคำนวณผลประหยัดพลังงานและประเมินความคุ้มค่าของการดำเนินโครงการฯ ต้องตรวจสอบจากข้อมูลที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก และต้องใช้เวลาในการดำเนินงานมากกว่าแผนงานที่กำหนดไว้
การพิจารณาของที่ประชุม
1. ที่ประชุมไม่มีข้อขัดข้องในประเด็นการขอขยายระยะเวลาโครงการฯ เพราะกรมทางหลวงมีเหตุผลที่จำเป็นในการรวบรวมข้อมูลย้อนหลัง ตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2547 ถึง 21 มีนาคม 2548 และกระบวนการตรวจสอบรับรองความถูกต้องของข้อมูลก่อนนำมาประเมินความคุ้มค่าของการดำเนินโครงการฯ ซึ่งผู้แทนของกรมทางหลวงได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าปัจจุบันเอกสารหลักฐานได้ส่งให้ สนพ. เรียบร้อยแล้ว คงเหลือเพียงเอกสารหลักฐานด้านการเงินของเดือนธันวาคม 2548 ที่พร้อมจะจัดส่งให้ สนพ. แล้ว และเพื่อความรอบคอบในการพิจารณาเห็นควรให้กรมทางหลวงจัดส่งสัญญาที่กรมทางหลวงได้จัดทำกับบริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ให้ที่ประชุมได้พิจารณาในรายละเอียดก่อนเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาโครงการฯ
2. เรื่องดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ซึ่งกระทรวงคมนาคมดำเนินการโดยผิดขั้นตอน ที่เสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบก่อนผ่านความเห็นของคณะกรรมการกองทุนฯ จึงทำให้ขาดการเตรียมข้อมูลหรือเอกสารหลักฐาน ที่นำมาซึ่งปัญหาของงานที่ล่าช้าในปัจจุบัน จึงได้ฝากผู้แทนจากกรมทางหลวงไว้หากมีงาน/โครงการที่จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ อีกในอนาคต ก็ขอให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนก่อนดำเนินการด้วย
มติที่ประชุม
เห็นควรให้กรมทางหลวงจัดส่งสัญญาที่กรมทางหลวงได้จัดทำกับบริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อนำเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้ง
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบความเป็นมาของ "โครงการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน" ที่คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 2) เมื่อ 9 มีนาคม 2548 ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เป็นผู้ดำเนินการในวงเงินรวม 60 ล้านบาท (หกสิบล้านบาทถ้วน) มีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์และนำเสนอมาตรการเพื่อแก้ปัญหาด้านพลังงานของประเทศ โดยการส่งเสริมให้มีการศึกษาวิจัยเชิงนโยบายบนพื้นฐานของการประเมินศักยภาพ และความเป็นไปได้ของแหล่งพลังงานหมุนเวียน ศักยภาพในการประหยัดพลังงาน และการประเมินเทคโนโลยีพลังงานแต่ละด้านทั้งในเชิงเทคนิคและเชิงเศรษฐศาสตร์ การจัดลำดับความสำคัญของทางเลือก แหล่งพลังงาน เทคโนโลยีพลังงาน และมาตรการที่เหมาะสม การเสนอแนะแผนงานวิจัยและพัฒนาและแผนงานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านพลังงาน
2. ผู้แทนจาก สกว. ได้รายงานต่อที่ประชุมเพื่อทราบความคืบหน้าของการดำเนินงาน ซึ่งมีคณะกรรมการกำกับทิศทาง คณะกรรมการที่ปรึกษา การจัดตั้งสำนักประสานงานชุดโครงการวิจัยเชิงนโยบายขึ้นที่บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม เพื่อทำหน้าที่กำหนดกรอบและเงื่อนไขการวิจัย (TOR) ของแต่ละหัวข้อตลอดจนกำกับดูแล ประสานงาน ให้มีการดำเนินการตามกรอบที่กำหนด โดยแบ่งกลุ่มวิจัยออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่
(1) กลุ่มพลังงานหมุนเวียนประเภทชีวมวล ขยะและก๊าซชีวภาพ
(2) กลุ่มพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ นอกเหนือจาก (1)
(3) กลุ่มประหยัดพลังงาน
(4) กลุ่มผลกระทบเศรษฐศาสตร์ สังคมและสิ่งแวดล้อม ในภาพรวมของประเทศ
การดำเนินงานวิจัยได้เกิดหัวข้อวิจัย 25 หัวข้อ เป็นการทำงานร่วมกันของนักวิจัยกว่า 50 คน ผู้ช่วยนักวิจัยกว่า 30 คน และผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ 10 คน
ผลการศึกษาได้ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีศักยภาพด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและการประหยัดพลังงาน โดยในระยะเวลา 5-10 ปีข้างหน้า หากมีการใช้พลังงานหมุนเวียนและประหยัดพลังงานเต็มศักยภาพซึ่งต้องอาศัยมาตรการที่เข้มข้นและต่อเนื่อง อาจช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานและทดแทนพลังงานรูปแบบปกติได้ถึง 15-20%
(1) การส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนผลิตไฟฟ้า
- ปรับปรุงมาตรการ VSPP ใหม่ ด้วยการเพิ่มค่า Adder สำหรับกรณีที่ไม่คุ้มทุน เช่น Biomass ผลิตไฟฟ้าอย่างเดียว ขยะ ลม และ PV
- กำหนดอัตรารับซื้อให้สะท้อน avoided cost โดยปรับปรุงมาตรการ "Adder" ในปัจจุบันเพื่อสร้างความมั่นใจมากขึ้น เช่น ใช้หลักการให้ผู้ลงทุนอยู่ได้ ( IRR ที่ยอมรับได้) แต่ไม่ควรเกิน External benefit)
- กำหนดให้มีระยะเวลาสนับสนุนให้นานพอสมควร (15-20 ปี) และให้ผู้ใช้ไฟฟ้ารับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เพิ่มผ่าน Ft
(2) การส่งเสริมการใช้เพลิงทดแทนภาคขนส่ง : ควรมีการกำหนดกลไกประสานงานงานและแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพอย่างครบวงจรในรูปของ "cluster" ที่ประกอบด้วย multi-stakeholders เพื่อพิจารณา : ราคา วัตถุดิบ ตลาด กฎหมาย เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และกำลังคน
(3) การส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
- ควรเพิ่มความเข้มการบังคับใช้มาตรฐานและฉลากประสิทธิภาพพลังงานของอุปกรณ์/เครื่องใช้ อาคาร และเครื่องจักร รวมทั้งยานยนต์
- ควรกำหนดให้มีกลไกที่สามารถดำเนินการด้านการจัดการอุปสงค์ การเดินทาง (Travel Demand Management ) อย่างเป็นรูปธรรม
- ควรเร่งรัดการบังคับใช้ข้อกำหนดด้านพลังงานของอาคาร (Energy Building Code) การจัดทำดัชนีการใช้พลังงานของแต่ละสาขาอุตสาหกรรม (Specific Energy Consumption) รวมทั้งการส่งเสริมการสร้างขีดความสามารถของอุตสาหกรรมวิศวกรรมและการผลิตในประเทศ
(4) ควรกำหนดนโยบายและกลยุทธ์การส่งเสริมการวิจัยและการพัฒนาระดับชาติ โดยควรจัดให้มีองค์ทีรับผิดชอบการบริการจัดการในเรื่องดังกล่าว "National programs" และ "Key national facilties"
3. สกว. ได้ดำเนินการครอบคลุมขอบเขตและเป้าหมายที่กำหนดไว้แล้ว แต่ด้วยข้อจำกัดด้านเวลาและข้อมูลที่มีอยู่ ทำให้ผลการวิจัยในบางเรื่องยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน สกว. จึงขอขยายระยะเวลาโครงการไปสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม 2551 เพื่อศึกษาในรายละเอียดและเชิงลึกเพิ่มเติม ได้แก่
3.1 ประเด็นเชิงนโยบายที่ต้องการข้อยุติเร่งด่วน (ภายในประมาณ 4 เดือน)
(1) การใช้ทรัพยากรแหล่งน้ำ เพื่อการผลิตไฟฟ้า
(2) การใช้พื้นที่สาธารณะเพื่อการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
(3) โอกาสความเป็นไปได้ในการเพิ่มศักยภาพพืชน้ำมันสำหรับการผลิตไบโอดีเซล
(4) มาตรการการคิด Carbon tax เป็นส่วนหนึ่งของ Avoided cost เพื่อส่งเสริมการประหยัดพลังงานในภาคขนส่ง (กรณีการกำหนด Emission tax)
(5) การบังคับใช้ Building Energy Code
(6) การประเมินผลกระทบของ SPP ต่อการส่งเสริม CHP ที่ผ่านมาและแนวทางการปรับปรุงระเบียบ SPP ในอนาคต
3.2 ประเด็นที่ต้องการการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้ผลของการศึกษาระยะที่ 1 มีความครบถ้วนสมบรูณ์ยิ่งขึ้น (ใช้เวลาประมาณ 1 ปี)
3.2.1 ด้านการประเมินศักยภาพ
(1) การประเมินศักยภาพที่อาจมีเพิ่มเติมของแหล่งพลังน้ำขนาดเล็ก เช่น การใช้น้ำทิ้งท้ายเขื่อน การสร้างเขื่อน Run-of-river แบบขั้นบันได (Cascade) ปรับปรุงนิยามของ "พลังน้ำขนาดเล็ก" หรือ "Small hydro" โดยรวมเขื่อนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่เลือกใช้เทคโนโลยีสร้างเขื่อนประเภทที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย เป็นต้น
(2) การประเมินความเป็นไปได้ของการใช้ป่าเสื่อมโทรมเพื่อปลูกไม้โตเร็ว
(3) การประเมินความเป็นไปได้ในการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกอ้อย มันสำปะหลังและปาล์มน้ำมัน
(4) การประเมินศักยภาพและเทคโนโลยีการประหยัดพลังงานเฉพาะอุตสาหกรรมบางสาขาที่มีการใช้พลังงานมาก (industry/process-specific)
3.2.2 ด้านการประเมินทางเทคนิคและเศรษฐศาสตร์
(1) การประเมินทางเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ของการเก็บรวบรวมและใช้วัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรประเภทยอดและใบอ้อย และฟางข้าว เพื่อผลิตความร้อนและไฟฟ้า
(2) การประเมินทางเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ของการผลิตก๊าซชีวภาพจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร และ Energy crop
(3) การพัฒนากระบวนการและเครื่องมือการประเมินแนวทางการจัดการพลังงานชีวภาพในแนวทางที่ยั่งยืนในเบื้องต้น โดยคำนึงถึงยุทธศาสตร์การใช้ทรัพยากรชีวมวลเพื่อพลังงานอย่างคุ้มค่าและลดปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2
3.2.3 ด้านมาตรการเชิงนโยบาย
(1) การศึกษานโยบายการกำหนดราคาของเอทานอลและไบโอดีเซลที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย
(2) การประเมิน Cost-effectiveness ของการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนและการประหยัดพลังงาน ในภาพรวมของประเทศ
(3) การพัฒนาและสาธิตกระบวนการเพื่อปรับปรุงการวางแผนการสร้างโรงไฟฟ้าในระยะยาวของประเทศแบบบูรณาการ โดยคำนึงถึงการประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียน และความมีส่วนร่วมของประชาชน
(4) การพัฒนากรอบและแนวทางการจัดทำฐานข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการประเมินศักยภาพและติดตามผลกระทบของทางเลือกการประหยัดพลังงานในภาคขนส่ง
การพิจารณาของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบผลการศึกษาของโครงการฯ ตามที่ผู้แทน สกว. รายงาน โดยมีข้อสังเกตว่า การศึกษาของ สกว. เป็นการศึกษาศักยภาพทางด้านเทคนิค เท่านั้น และเงื่อนไขและข้อสมมุติฐานที่นำมาใช้ในการศึกษาในแต่ละภาคส่วน ข้อมูลบางตัวอ้างอิงเป้าหมายเดิมที่ยังไม่ได้ปรับให้เป็นปัจจุบัน ข้อมูลบางส่วนต่างไปจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอุรักษ์พลังงาน บางตัวก็อ้างอิงจากต่างประเทศ จึงทำให้ผลการศึกษาอาจคลาดเคลื่อนกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ระดับความลึกของรายละเอียดของข้อมูลอาจไม่เท่ากันด้วย เช่น สัดส่วนความยืดหยุ่นการใช้พลังงานต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศไทย สมมุติฐานการคำนวณ Externality cost ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน สมมุติฐานในการคำนวณศักยภาพพลังงานทดแทนอื่นๆ เป็นต้น ประกอบกับเอกสารงานวิจัยของ สกว. มีเป็นจำนวนมาก คณะอนุกรรมการฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องใช้เวลาในการศึกษาในรายละเอียด
มติที่ประชุม
ให้ สนพ. และ พพ. ประชุมกับ สกว. เพื่อร่วมกันพิจารณาข้อมูลและปรับตัวเลขเป้าหมายของการศึกษาให้ตรงกัน และพิจารณาประเด็นงานวิจัยที่ สกว. เสนอขอศึกษาเพิ่มเติมเพื่อลดความซ้ำซ้อนของงานและกำหนดขอบเขตงานวิจัยให้ สกว. เพื่อให้ผลการศึกษาได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจได้แม่นยำมากขึ้น เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้ง
เรื่องที่ 6 ขอความเห็นชอบ เปลี่ยนชื่อ "โครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5"
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุม ทราบว่า ตามที่คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2550 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2550 ได้เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในวงเงิน 80,000,000 บาท (แปดสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5 " มีวัตถุประสงค์ที่จะดำเนินมาตรการประหยัดพลังงานของประเทศด้วยการปฏิบัติการให้มีการยุติการผลิต การนำเข้าและการใช้หลอดอินแคนเดสเซนต์ (หลอดไส้) และส่งเสริมให้มีการใช้หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ (หลอดตะเกียบ) ทดแทน
2. กฟผ. ได้มีหนังสือที่ กฟผ.982000/15642 ลงวันที่ 17 เมษายน 2550 ขอเปลี่ยนแปลงชื่อโครงการเป็น "โครงการ เพื่อชาติ เลิกหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5" และขอเปลี่ยนกำหนดเวลาดำเนินงานโครงการฯ ตามตารางต่อไปนี้
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ กฟผ. เปลี่ยนแปลงชื่อโครงการเป็น "โครงการ เพื่อชาติ เลิกหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5" และเปลี่ยนกำหนดเวลาดำเนินงานโครงการฯ ได้ตามที่เสนอมา
เรื่องที่ 7 ขอความเห็นชอบโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้ที่ประชุมพิจารณา "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" ที่ พพ. เสนอขอรับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 เพิ่มเติม ในวงเงิน 119 ล้านบาท (หนึ่งร้อยสิบเก้าล้านบาทถ้วน) เพื่อสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ขนาด 1.5 MW บริเวณพื้นที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช
2. คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2550 (ครั้งที่ 8) เมื่อ 12 เมษายน 2550 ได้พิจารณาโครงการนี้ไปแล้ว โดยมีมติไม่มีข้อขัดข้องที่ พพ. จะดำเนินโครงการฯ แต่อาจมีบางรายการของวงเงินที่ได้รับจัดสรรงบประมาณปี 2550 สามารถเปลี่ยนแปลงงบประมาณมาใช้กับโครงการนี้ได้ จึงให้ พพ. พิจารณาใช้จ่ายเงินเพื่อโครงการนี้จากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไว้และอาจเหลือจ่ายดังกล่าวก่อน หากไม่เพียงพอให้นำเสนอที่ประชุมพิจารณาอีกครั้ง
3. พพ. ได้ดำเนินการตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ แล้วและพบว่างบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 ที่ พพ. ได้รับจัดสรรไว้ได้มีการทำข้อผูกพันไว้ครบถ้วนแล้วและไม่มีเงินเหลือจ่ายที่จะเปลี่ยนแปลงมาใช้กับ "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" พพ. จึงขอเสนอโครงการฯ มาเพื่อโปรดพิจารณาอีกครั้ง
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติม ในวงเงิน 119,000,000 บาท (หนึ่งร้อยสิบเก้าล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" ตามรายละเอียดแผนงานที่ พพ. เสนอมา
- ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน
- ขอความเห็นชอบ
- การใช้จ่ายเงินกองทุน
- โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ
- โครงการส่งเสริมปั้มอิสระจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ได้คุณภาพ
- โครงการค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทาง
- โครงการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบาย
- โครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5
- โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
อนุ กอ. ครั้งที่ 7 - วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน 2550
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2550 (ครั้งที่ 7)
วันที่ 12 เมษายน 2550 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิติพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ความคืบหน้าการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
2. ความคืบหน้าการส่งเสริม ช่วยเหลือ อุดหนุน ด้านอนุรักษ์พลังงาน
3. ความคืบหน้าในการกำหนดมาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้พลังงาน
4. ความคืบหน้าโครงการส่งเสริมไบโอดีเซล
5. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5
6. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการเทอดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 "ตามรอยพระยุคลบาท พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย"
7. ขอความเห็นชอบโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3
8. ขอความเห็นชอบโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
9. ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
10. ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียด โครงการ กรุงเทพฯ ฟ้าใส ด้วยไบโอดีเซล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายชวลิต พิชาลัย) รองผู้อำนวยการฯ รักษาราชการแทน ผอ.สนพ. อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ความคืบหน้าการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบความคืบหน้าการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ดังต่อไปนี้
1. การดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ ตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
ณ วันที่ 10 เมษายน 2550 อาคารควบคุมที่กำลังใช้งานที่จะต้องดำเนินการอนุรักษ์พลังงานตามกฎหมาย มีจำนวน 1,917 แห่ง ประกอบด้วย อาคารส่วนราชการ 800 แห่ง และเอกชน 1,117 แห่ง สำหรับโรงงานควบคุมที่กำลังใช้งานที่จะต้องดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน มีจำนวน 3,160 แห่ง ซึ่งเจ้าของอาคารควบคุม และเจ้าของโรงงานควบคุมได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานตามกิจกรรมต่างๆ ตามที่พระราชบัญญัติฯ และกฎกระทรวงกำหนด โดยนำมาสรุปได้ดังนี้
กิจกรรม | อาคารควบคุม (แห่ง) | โรงงานควบคุม (แห่ง) | ||||
ทั้งหมด | รับ | อนุมัติ | ทั้งหมด | รับ | อนุมัติ | |
การแต่งตั้งผู้รับผิดชอบด้านพลังงาน | 1,917 | 1,749 | 1,598 | 3,160 | 2,623 | 2,253 |
ส่งข้อมูลการใช้พลังงาน | 1,917 | 1,777 | 1,743 | 3,160 | 2,702 | 2,587 |
รายงานเป้าหมายและแผนฯ | 1,917 | 1,532 | 1,384 | 3,160 | 2,055 | 1,598 |
2. การปรับปรุงแก้ไข พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
พรบ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ได้ใช้มาระยะหนึ่งแล้ว บทบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน จึงได้มีการปรับปรุงให้เหมาะสมครอบคลุมกิจกรรมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกภาคส่วน โดยมีสาระสำคัญในการแก้ไขและความคืบหน้าในการดำเนินการสรุปได้ดังนี้
2.1 สาระสำคัญในการแก้ไข
(1) ขยายขอบเขตให้มีการอนุรักษ์พลังงานเพิ่มเติมถึงเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในภาคคมนาคมขนส่ง ที่อยู่อาศัย และการเกษตร ทั้งนี้เพราะเพื่อให้กฎหมายมีความเหมาะสม ครอบคลุมกิจกรรมการใช้พลังงานทุกภาคส่วน
(2) เปลี่ยนโครงสร้างการอนุรักษ์พลังงานไม่ให้เป็นภาระต่อผู้ที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
(3) เปลี่ยนแปลงขั้นตอนการออก กฎ ระเบียบให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อให้ทันต่อสภาพการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
2.2 ความคืบหน้าในการดำเนินการ
(1) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ มีมติเห็นชอบแล้ว เมื่อ 2 มีนาคม 2550
(2) คณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการ เมื่อ 13 มีนาคม 2550
(3) ณ ปัจจุบัน (12 เมษายน 2550) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากำลังพิจารณาแก้ไขถ้อยคำ และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการให้กระทรวงพลังงานเก็บรักษาเงินกองทุน
2.3 การดำเนินการในขั้นต่อไป
คาดว่าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฯ แล้วเสร็จในช่วงเดือนพฤษภาคม 2550 และจะส่งร่าง พ.ร.บ.ฯ คืนให้คณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาเป็นลำดับต่อไปได้ ภายในเดือนมิถุนายน 2550
2.4 การพัฒนากฎหมายลำดับรอง
ได้มีการแก้ไขและพัฒนากฎหมายลำดับรอง เพื่อให้สอดคล้องกับ ร่าง พ.ร.บ.ฯ และคาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาได้พร้อมกับ ร่าง พ.ร.บ.ฯ ในเดือนมิถุนายน 2550 ประกอบด้วย
(1) กฎกระทรวง ข้อกำหนดการจัดการพลังงาน ตามมาตรา 9 มาตรา 21
(2) กฎกระทรวง หลักเกณฑ์ วิธีการแจ้งแต่งตั้งผู้รับผิดชอบพลังงาน ตามมาตรา 9
(3) กฎกระทรวง ประเภทขนาดอาคารที่จะทำการก่อสร้างใหม่ ตามมาตรา 19
(4) กฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพของเครื่องจักร /อุปกรณ์ ตามมาตรา 23
(5) กฎกระทรวง กำหนดคุณสมบัติผู้ตรวจประเมิน ตามมาตรา 48
ขั้นตอน ปี พ.ศ. 2550 | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. |
· ยกร่างกฎกระทรวง 5 ฉบับ | √ | |||||
· รับฟังความคิดเห็น | √ | |||||
· ปรับปรุงแก้ไขเสนอ อพพ. | √ | |||||
· เสนอคณะกรรมการพัฒนากฎหมายกระทรวงพลังงาน | √ | |||||
· เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ | การนำเสนอขั้นตอนต่อจากนี้ ต้องรอให้ร่างกฎหมายหลักมีผลใช้บังคับแล้ว | |||||
· เสนอคณะรัฐมนตรี |
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้ พพ. รับความเห็นของที่ประชุมไปดำเนินการต่อไป
เรื่องที่ 2 ความคืบหน้าการส่งเสริม ช่วยเหลือ อุดหนุน ด้านอนุรักษ์พลังงาน
อธิบดี พพ. ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบความคืบหน้าการดำเนินการส่งเสริม ช่วยเหลือ อุดหนุน ด้านอนุรักษ์พลังงาน ดังนี้
1. โครงอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม
เป็นการมุ่งเน้นให้เกิดผลการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้ผู้ปฏิบัติงานในสถานประกอบการมีความรู้ความเข้าใจทั้งทางด้านทฤษฎีและปฏิบัติด้วยตัวเองในการจัดการใช้พลังงานได้อย่างถูกวิธีและคุ้มค่า โดย พพ. จัดส่งคณะผู้เชี่ยวชาญไปให้ความรู้ความเข้าใจแก่ทีมงานอนุรักษ์พลังงานที่โรงงานและอาคารแต่ละแห่ง ช่วยหามาตรการในการอนุรักษ์พลังงาน และผลักดันให้มีการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ซึ่ง พพ. ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2545 และมีผลการดำเนินงานดังนี้
ในช่วงปี 2545-2549 พพ. ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมไปแล้ว 2,027 แห่ง คาดว่าเกิดผลประหยัดพลังงานคิดเป็นมูลค่า 2,071 ล้านบาทต่อปี สำหรับในปี 2550 พพ. ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ 107,000,000 บาท มีเป้าหมายดำเนินการในโรงงานควบคุม 300 แห่ง และอาคารควบคุม 50 แห่ง คาดว่าจะลงนามในการจ้างที่ปรึกษาฯ เข้ามาดำเนินการได้ในเดือนเมษายน 2550
2. โครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษี
เป็นการกระตุ้นให้เกิดการปรับปรุงการใช้พลังงาน โดยพิจารณาคืนภาษีของรายได้ส่วนที่เกิดจากการดำเนินการตามมาตรการอนุรักษ์พลังงานแก่โรงงานและอาคารเอกชน เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีความคืบหน้า ณ เดือนมีนาคม 2550 ดังนี้
กิจกรรม | จำนวน | เงินสนับสนุนจากภาครัฐ | เงินลงทุนเอกชน | ผลประหยัด |
(แห่ง) | (ล้านบาท) | (ล้านบาท) | (ล้านบาท/ปี) | |
1) Performance Based | 76 | 44.4 | 582 | 408 |
(เห็นชอบการตรวจวัดแล้ว) | (55) | (29.4) | (358) | (226) |
2) Cost based | 94 | 112.4 | 597 | 375 |
ในปี 2550 พพ. ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ 140 ล้านบาท เพื่อดำเนินการกระตุ้นให้เกิดการปรับปรุงการใช้พลังงาน ตามแนวทาง Performance Based ซึ่ง ณ เดือนมีนาคม 2550 อยู่ระหว่างการคัดเลือกบริษัทเอกชนเข้ามาดำเนินการแทน พพ.
3. โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน
เป็นโครงการที่ช่วยส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานในกลุ่มเป้าหมายที่เป็นโรงงาน อาคาร และบริษัทจัดการพลังงาน (Energy Service Company) และเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่สถาบันการเงินในการกู้ยืมเงินเพื่อลงทุนในโครงการอนุรักษ์พลังงาน โดย พพ. ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการฯ ระยะที่ 1 (ปี 2546-2548) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท และระยะที่ 2 (ปี 2549-2551) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท ซึ่ง ณ เดือนมีนาคม 2550 ได้เกิดการลงทุนอนุรักษ์พลังงาน 153 โครงการ เป็นเงินให้กู้ดอกเบี้ยต่ำจากกองทุนฯ 3,354 ล้านบาท สถาบันการเงินและภาคเอกชนลงทุนเอง 2,867 ล้านบาท ก่อให้เกิดผลประหยัดพลังงานตลอดอายุการใช้งาน ประมาณ 36,094 ล้านบาท
อธิบดี พพ. แจ้งว่ายังมีผู้สนใจลงทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานอีกมาก พพ. จึงเสนอขอเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันบันการเงิน ระยะที่ 3 โดยจะเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาในระเบียบวาระการประชุมที่ 4.3 พร้อมด้วยรายละเอียดและตัวอย่างของมาตรการที่ภาคเอกชนลงทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว
4. การส่งเสริมธุรกิจบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO)
เป็นโครงการทางเลือกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการเรื่องการขาดแหล่งเงินทุนและความเชื่อมั่นในการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงาน พพ. ได้สนับสนุนให้ผู้ประกอบการเลือกใช้บริการของ ESCO โดยการให้ความรู้และจัดทำคู่มือการตรวจวัดและประเมินผล รวมทั้งรูปแบบสัญญาเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานระหว่างผู้ประกอบการ และ ESCO นอกจากนี้ ESCO ยังสามารถขอรับสิทธิประโยชน์ ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร หรือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในโครงการ และได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก BOI ได้อีกด้วย โดยมีความคืบหน้าในการดำเนินการโครงการ ดังนี้
(1) ปัจจุบันมีโครงการที่ได้รับความเห็นชอบให้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการด้านการจัดการพลังงาน (ESCO) แล้ว จำนวน 6 ราย ส่วนใหญ่เป็นโครงการด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้าและความร้อนร่วม (Cogeneration) นอกจากนี้ยังมีมาตรการการอนุรักษ์พลังงานอื่นๆ เช่น การปรับเปลี่ยน Chiller, การเปลี่ยน เชื้อเพลิงใน Boiler, การควบคุมระบบแสงสว่าง เป็นต้น จากจำนวน 6 โครงการนี้ จะมีการลงทุนทั้งสิ้น 557.69 ล้านบาท และเกิดผลการประหยัดพลังงานมีมูลค่าทั้งสิ้น ประมาณ 149.36 ล้านบาทต่อปี
(2) พพ. ได้ทำการจัดสรรงบประมาณจำนวน 5 ล้านบาท เพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์ เรื่องธุรกิจจัดการพลังงาน ภายใต้โครงการ ESCO Fair and Road Show 2007 ซึ่งจะมีการจัดการสัมมนาและนิทรรศการ เพื่อแสดงผลงานของธุรกิจบริษัทจัดการพลังงานที่ผ่านมา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการโรงงาน/อาคาร อีกทั้งยังมีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลบริษัทจัดการพลังงาน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถค้นหาข้อมูลของบริษัทจัดการพลังงาน และโครงการที่ผ่านมาเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาเลือกใช้บริษัทจัดการพลังงาน โดยจะมีการจัดงาน ESCO Fair 2007 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ ในเดือน กรกฎาคม และจะมีการจัดสัมมนาในลักษณะ Road Show อีก 3 ครั้ง ในจังหวัดที่มีนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง รวมทั้งจะมีการจัดตั้งเครือข่ายระหว่างบริษัทจัดการพลังงาน สถาบันการเงินและภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้สามารถติดต่อประสานงานกันได้สะดวกและกว้างขวางขึ้น
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ความคืบหน้าในการกำหนดมาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้พลังงาน
อธิบดี พพ. ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบความคืบหน้าการดำเนินการกำหนดมาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์ วัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้พลังงาน ดังนี้
1. การกำหนดมาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้พลังงาน
พพ. ได้จัดทำแผน 5 ปี (2550-2554) เพื่อออกกฎกระทรวงและกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ (MEPs) ตลอดจนแผนส่งเสริม (ติดฉลาก) เครื่องจักรและอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง รวมถึงวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยจะดำเนินการรวมทั้งสิ้น 35 ผลิตภัณฑ์ (รวมรถยนต์ 1 ผลิตภัณฑ์) และจะนำมากำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพขั้นต่ำ (MEPs) รวม 21 ผลิตภัณฑ์ โดย พพ. ได้ประสานกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์แล้ว เพื่อออกพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ
ในปี 2550 ระยะที่ 1 พพ. จะจัดทำร่างกฎกระทรวงให้แล้วเสร็จ จำนวน 10 ผลิตภัณฑ์ และดำเนินการติดฉลากได้ 10 ผลิตภัณฑ์ และกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำได้ 9 ผลิตภัณฑ์ สำหรับระยะที่ 2 จะจัดทำร่างกฎกระทรวงอีก 11 ผลิตภัณฑ์ (ยังไม่มีงบประมาณ
2. การอนุรักษ์พลังงานในอาคารและบ้านที่อยู่อาศัย
พพ. จะออกกฎกระทรวงการใช้พลังงานในอาคารที่อยู่ในข่ายควบคุมที่จะขออนุญาตก่อสร้างใหม่ หรือดัดแปลง พื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป และจะส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในอาคารที่ไม่เข้าข่ายควบคุมและบ้านที่อยู่อาศัย โดยการติดฉลาก มีเป้าหมาย 200 แห่ง เป็นโครงการต่อเนื่อง 3 ปี (2550-2552) และในปี 2550 จะจัดหาผู้เข้าร่วมโครงการไม่น้อยกว่า 175 แห่ง และจะจัดประกวดบ้านจัดสรรอนุรักษ์พลังงานดีเด่น ปี 2550 ให้ผู้ประกอบการบ้านจัดสรรทั่วประเทศส่งบ้านเข้าประกวดไม่น้อยกว่า 90 แบบ
ความเห็นของที่ประชุม
ที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานและมีความเห็นเพิ่มเติมดังนี้
1. ให้ พพ. รับไปหารือกับ กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ข้อกำหนดการใช้พลังงานในอาคารที่จะขออนุญาตก่อสร้างที่จะบังคับใช้กับอาคารขนาดพื้นที่รวมตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป ได้แก่ อาคารสำนักงานสถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า สถานบริการ สถานพยาบาล โรงแรม อาคารชุด ซึ่งอยู่ระหว่างการแก้ไขกฎกระทรวงนั้น ครอบคลุมถึงอาคารของส่วนราชการที่ออกแบบสร้างใหม่ด้วย
2. ให้ พพ. เร่งดำเนินการตามเป้าหมายการจัดทำร่างกฎกระทรวงฯ ที่จะดำเนินงานเป็นรายอุปกรณ์ พร้อมกำหนดแล้ว เสร็จ ระยะที่ 1 จำนวน 15 ผลิตภัณฑ์ ตามที่ พพ. ได้แจ้งต่อที่ประชุม ดังนี้
ลำดับที่ | เครื่องจักร/อุปกรณ์/วัสดุ ปี 2551 | ปี 2550 | ปี 2551 | ||
ก.ค. 50 | ต.ค.50 | ธ.ค. 50 | |||
1 | ตู้เย็น | √ | |||
2 | เครื่องปรับอากาศ | √ | |||
3 | พัดลมไฟฟ้า | √ | |||
4 | หม้อหุงข้าวไฟฟ้า | √ | |||
5 | กระติกน้ำร้อนไฟฟ้า | √ | |||
6 | เครื่องทำน้ำอุ่น | √ | |||
7 | มอเตอร์ไฟฟ้า | √ | |||
8 | เตาแก๊ส | √ | |||
9 | อุปกรณ์ปรับความเร็วรอบ | √ | |||
10 | หลอดฟลูออเรสเซนต์ | √ | |||
11 | บัลลาสต์แกนเหล็ก | √ | |||
12 | บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ | √ | |||
13 | โคมไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง | √ | |||
14 | หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนซ์ | √ | |||
15 | รถยนต์ | √ |
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้ พพ. รับความเห็นของที่ประชุมไปดำเนินการต่อไป
เรื่องที่ 4 ความคืบหน้าโครงการส่งเสริมไบโอดีเซล
การพัฒนาและส่งเสริมการผลิตและการใช้ไบโอดีเซล เป็นแนวทางการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการที่เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ซึ่ง สรุปความคืบหน้าได้ดังนี้
1. ปีงบประมาณ 2549 : พพ. ได้จัดทำต้นแบบ จำนวน 72 แห่ง โดยได้ติดตั้งระบบผลิตไบโอดีเซล พร้อมทั้งฝึกอบรมให้กับชุมชนได้ทราบถึง ขั้นตอนการผลิตไบโอดีเซล ตลอดจนการบริหารจัดการชุมชนเพื่อให้เกิดการใช้ไบโอดีเซลอย่างยั่งยืนต่อไป พร้อมทั้งได้สุ่มเก็บตัวอย่างไบโอดีเซลที่ผลิตได้จากชุมชนเพื่อตรวจสอบคุณภาพตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของ ไบโอดีเซลสำหรับเครื่องยนต์การเกษตร (ไบโอดีเซลชุมชน) พ.ศ. 2549
2. ปีงบประมาณ 2550 : พพ. ได้ปรับปรุงรูปแบบการดำเนินการจากเดิมที่ได้สนับสนุนระบบผลิต ขนาดกำลังผลิต 100 ลิตรต่อวันให้กับชุมชน อบรมให้มีความรู้ด้านเทคนิคการผลิตไบโอดีเซลให้กับชุมชน และติดตามการดำเนินงานของชุมชนเพื่อผลิตไบโอดีเซลนั้น พพ. จะดำเนินการสนับสนุนเฉพาะความรู้ด้านเทคนิคการผลิตไบโอดีเซลให้กับชุมชนและติดตามการดำเนินงานของชุมชนเพื่อผลิตไบโอดีเซลให้มีคุณภาพ โดยเงินลงทุนระบบผลิตไบโอดีเซลนั้นทางชุมชนที่เข้าร่วมโครงการจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย โดยมีจำนวนชุมชนต้นแบบเพิ่มขึ้นเป็น 400 แห่ง ซึ่ง พพ. ได้รับงบจากกองทุนฯ ประมาณ 155,000,000 บาท เพื่อดำเนินโครงการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานด้วยไบโอดีเซลชุมชน ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อดำเนิน โครงการฯ
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้ พพ. รับความเห็นของที่ประชุมไปดำเนินการ
เรื่องที่ 5 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอที่ประชุมพิจารณา "โครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5" ที่สำนักการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ยื่นข้อเสนอ ไว้กับ สนพ. เพื่อขอสนับสนุนทุนดำเนินโครงการฯ จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 80,000,000 บาท (แปดสิบล้านบาทถ้วน) ภายในระยะเวลา 36 เดือน ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญของโครงการดังนี้
(1) วัตถุประสงค์โครงการฯ : เพื่อดำเนินมาตรการประหยัดพลังงานของประเทศ อย่างยั่งยืนด้วยการปฏิบัติการในด้านต่างๆ ให้มีการยุติ การผลิต การนำเข้า (ด้านซัพพลาย) และยุติการใช้ (ด้านดีมานต์) หลอดอินแคนเดสเซนต์ (หลอดไส้) และส่งเสริมให้มีการใช้หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ (หลอดตะเกียบ) ทดแทน ตลอดไป
(2) สาระสำคัญของโครงการฯ : การบริหารจัดการทางการตลาดเพื่อยุติการผลิต การนำเข้า และการจำหน่ายหลอดไส้ และส่งเสริมการใช้หลอดตะเกียบ ดังนี้
- โฆษณาประชาสัมพันธ์ให้เกิดความต้องการใช้หลอดตะเกียบแทนหลอดไส้ โดย กฟผ. รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ในวงเงินประมาณ 50 ล้านบาท
- ประมาณเดือนมิถุนายน-กันยายน 2550 จัดซื้อหลอดตะเกียบจำนวน 800,000 หลอด เพื่อแจกจ่ายให้มีการเปลี่ยนในสถานที่สาธารณะ ให้เห็นผลประหยัดโดยชัดเจน โดย กฟผ. ขอสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เป็นเงินให้เปล่า 48 ล้านบาท
- ในช่วงปี 2551-2553 จะดึงราคาตลาดหลอดตะเกียบให้ลดต่ำลงด้วยการจัดซื้อรวม 15 ล้านหลอด แล้วขายปลีกในราคาซื้อ 60 บาท/หลอด โดย กฟผ. ขอสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เป็นเงินหมุนเวียนเพื่อซื้อหลอดตะเกียบ 3 ปี ในวงเงิน 32 ล้านบาท
- สร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพและอายุการใช้งานด้วยการกำหนดให้มีการรับประกัน 1 ปี
- เสนอการกำหนดมาตรการภาครัฐ ในด้านกฎระเบียบ และภาษีเพื่อให้เกิดผลอย่างยั่งยืน
(3) ประโยชน์ที่มีต่อการประหยัดพลังงาน : เมื่อใช้หลอดตะเกียบ 15.8 ล้านหลอด แทนหลอดไส้
- ประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 536 ล้านหน่วย และลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุดได้ 162 เมกะวัตต์
- ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ 300,000 ตัน
- ลดการนำเข้า LNG เพื่อผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 1,106 ล้านบาท
2. สนพ. ได้ประเมินคุณภาพของข้อเสนอฯ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ 4 ท่าน ประกอบด้วย 1) ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ 2) รศ.ดร.อภิชิต เทอดโยธิน 3) ดร.ปีเตอร์ ดูปอง และ 4) นายเกชา ธีระโกเมน ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกันเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2550 ซึ่งเห็นว่ารายละเอียดในข้อเสนอของ กฟผ. ยังขาดข้อมูลในประเด็นสำคัญ จึงได้ให้ผู้แทน กฟผ. ได้เข้าร่วมประชุมและให้รายละเอียดเพิ่มเติม ดังนี้
ประเด็นที่ 1: ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ในมุมมองระดับประเทศและมุมของประชาชน
ข้อมูลเพิ่มเติม: เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคในการใช้งานหลอดไส้เทียบกับหลอดตะเกียบ 1 หลอดที่มีการใช้งาน 6,000 ชั่วโมง หลอดตะเกียบมีค่าใช้จ่ายรวมเพียงประมาณ 1 ใน 3 ของหลอดไส้ และมีระยะเวลาคืนทุนเพียง 1 ปี หากผู้บริโภคหันมาใช้หลอดตะเกียบจะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าหลอดไส้ มี B/C Ratio ของผู้บริโภคที่ 7.3 เท่า ส่วนในกรณีของประเทศนั้นหากคิดในกรณีแจกและจำหน่ายหลอด 15.8 ล้านหลอด ตั้งแต่ปี 2550-2553 (Base Case) จะลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุด 162 เมกะวัตต์ และลดการใช้พลังงานไฟฟ้า 536 ล้านหน่วย โครงการให้ความคุ้มค่าสูง คือ B/C Ratio ของระบบที่ 6.5 เท่า และ โดยมีต้นทุนต่อหน่วยที่ประหยัดได้ 18.06 สตางค์/kWh และ 599.23 บาท/kW
ประเด็นที่ 2: วิธีทราบผลกระทบต่อผู้ประกอบการและนำผลที่รับทราบไปปรับปรุงการดำเนินการ
ข้อมูลเพิ่มเติม: กฟผ. จัดประชุมผู้ผลิต/ผู้นำเข้า เพื่อรับฟังความเห็นด้านต่างๆ โดยประชุมไปแล้ว 2 ครั้ง เมื่อเดือนมีนาคม 2550 ทราบว่ามีผู้ผลิตหลอดตะเกียบในประเทศ 2 ราย และได้เลิกกิจการไปแล้ว ดังนั้นหลอดตะเกียบในประเทศไทย จึงเป็นการนำเข้าทั้งหมด ผู้ผลิตและนำเข้าหลอดไฟฟ้ามีความเห็นในเชิงบวกและยินดีร่วมมือกับโครงการฯ โดยจะเสนอแนวทางเพื่อลดผลกระทบอันเกิดจากการยุติการผลิตหลอดไส้มาเสนอต่อ กฟผ. ในการประชุมครั้งต่อไปที่จะจัดขึ้นประมาณปลายเดือนเมษายน 2550
ประเด็นที่ 3: วิธีแจกและจำหน่ายหลอดตะเกียบ รวมถึงวิธีจัดการกับหลอดไส้ของเดิม
ข้อมูลเพิ่มเติม: กฟผ. จะโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้เกิดความต้องการใช้หลอดตะเกียบแทนหลอดไส้ พร้อมกับดึงราคาตลาดหลอดตะเกียบให้ลดต่ำลง ด้วยการจัดซื้อในปริมาณมาก ในช่วง 3 ปี ประมาณ 15.8 ล้านหลอด พร้อมทั้งการรับประกันการใช้งาน 1 ปี โดยใช้เงินที่จะขอสนับสนุนจากกองทุนฯ 80 ล้านบาท
- เป็นเงินให้เปล่า 48 ล้านบาท เพื่อซื้อหลอดตะเกียบแจกฟรีสู่ชุมชนและชาวบ้าน จำนวน 800,000 หลอด สำหรับหลอดไส้ที่ปลดออก กฟผ. จะทำลายทิ้ง เพื่อไม่ให้มีการนำกลับไปใช้งานอีก
- เป็นเงินหมุนเวียน 32 ล้านบาท เพื่อซื้อหลอดตะเกียบจำหน่ายให้กับชุมชนและชาวบ้าน ในราคา 60 บาท/หลอด และ กฟผ. จะคืนเงินส่วนนี้ให้กองทุนฯ ในปี 2553
ประเด็นที่ 4: ความเชื่อมั่นว่าการดำเนินการตามแผนงานจะทำให้ราคาเฉลี่ยของหลอดตะเกียบในปีสุดท้ายของโครงการอยู่ที่ 60 บาท (± 10%)
ข้อมูลเพิ่มเติม: ด้วยประสบการณ์และความสำเร็จที่ กฟผ. ได้รับจากโครงการประชาร่วมใจประหยัดไฟฟ้า และแนวทางการดำเนินการด้านซัพพลายและดีมานต์ตามที่เสนอไว้โดยต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี กฟผ. เชื่อว่าราคาหลอดตะเกียบจะสามารถลดต่ำลงและกลไกตลาดจะทำงานต่อไปได้
สรุปความเห็นของคณะผู้ทรงคุณวุฒิ
คณะผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่าโครงการนี้มีวัตถุประสงค์ที่ดีและหากสามารถดำเนินการได้ตามที่เสนอไว้ จะก่อเกิดประโยชน์ต่อประเทศโดยรวม จึงเห็นควรที่กองทุนฯ จะสนับสนุนให้ดำเนินการ โดยให้ กฟผ
(1) ปรับปรุงเพิ่มเติมข้อมูลในข้อเสนอโครงการฯ ให้ครบถ้วนและชัดเจนตามประเด็นต่างๆ ที่ได้ให้ไว้กับคณะผู้ทรงคุณวุฒิ ดังรายละเอียดปรากฏในข้อ 2.2
(2) ระบุแนวทางที่จะนำเสนอให้รัฐมีมาตรการในการป้องกันไม่ให้ตลอดตะเกียบที่มีคุณภาพต่ำกระจายสู่ผู้บริโภคในประเทศ
(3) ระบุแนวทางที่จะศึกษาและเตรียมมาตรการรองรับกับผลกระทบที่อาจเกิดจากการรณรงค์เลิกใช้หลอดไส้ เพื่อให้มีคำแนะนำในการใช้งานเพื่อให้ถูกที่ถูกทาง คำแนะนำทางออกเพื่อแก้ปัญหาด้านการออกแบบตกแต่ง สถาปัตยกรรม
(4) ให้ สนพ. ประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ เมื่อจะครบ18 เดือน
3. ที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้ คุณบรรพต แสงเขียว ผู้ช่วยผู้ว่าการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า ผู้แทนจาก กฟผ. ได้นำเสนอรายละเอียดของโครงการ สรุปได้ดังนี้
3.1 แนวทางการดำเนินโครงการ
เพื่อให้โครงการนี้บรรลุตามวัตถุประสงค์เป็นมาตรการประหยัดพลังงานที่ยั่งยืนของประเทศ กฟผ. กำหนดแนวทางดำเนินการตามโครงสร้างดังนี้
กฟผ. ได้แจ้งต่อที่ประชุมเพื่อพิจารณาด้วยว่า ในการเปลี่ยนหลอดไส้ และนำหลอดตะเกียบไปใช้แทนนั้น บางรายอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนขั้วหลอดให้กับประชาชนด้วย จึงเสนอขอใช้เงินกองทุนแบบให้เปล่าเพิ่มอีก 2 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าซื้อขั้วหลอดและการจัดกิจกรรมใน 5 จังหวัด เมื่อรวมกับงบประมาณเดิมที่ขอจากกองทุนฯ 48 ล้านบาท รวมเป็นเงินสนับสนุนแบบให้เปล่า 50 ล้านบาท
ภาพตัวอย่างรูปแบบกล่องหลอดตะเกียบของโครงการฯและแบบฟอร์มที่ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าครัวเรือนแจ้งความจำนง
1. ชื่อ..........นามสกุล.................. 2. หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน............................. 3. บ้านเลขที่.................. หมู่......... หมู่บ้าน........... ถนน..............ตำบล............ อำเภอ........... จังหวัด.......... โทรศัพท์............................ |
4. หลอดตะเกียบเบอร์ 5 ที่ต้องการ 4.1 ขนาด __ 15 วัตต์ __ 20 วัตต์ 4.2 แสงไฟสี __ สีขาว __ สีเหลือง/ส้ม 5. มีหลอดไส้แลกคืน __ มี __ ไม่มี 6. ต้องการรับหลอดที่ __ ผู้ใหญ่บ้าน __ กำนัน __ อำเภอ __ ศาลากลางจังหวัด __ ตลาดสด...... |
3.2 แผนปฏิบัติการ
กฟผ. ได้นำเสนอขั้นตอนและแผนปฏิบัติการต่อที่ประชุมดังนี้
การพิจารณาของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ กฟผ. ใช้จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 80,000,000 บาท (แปดสิบล้านบาทถ้วน) โดย
- เป็นเงินให้เปล่า 48 ล้านบาท เพื่อซื้อหลอดตะเกียบแจกฟรีสู่ชุมชนและชาวบ้าน จำนวน 800,000 หลอด
- เป็นเงินหมุนเวียน 30 ล้านบาท เพื่อซื้อหลอดตะเกียบจำหน่ายให้กับชุมชนและชาวบ้าน ในราคา 60 บาท/หลอด และ กฟผ. จะคืนเงินส่วนนี้ให้กองทุนฯ ในปี 2553
- เป็นเงินให้เปล่า 2 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าเปลี่ยนขั้วหลอดไส้และค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมรณรงค์เปลี่ยนหลอด 5 จังหวัด
2. ระบุแนวทางที่จะนำเสนอให้รัฐมีมาตรการในการป้องกันไม่ให้ตลอดตะเกียบที่มีคุณภาพต่ำกระจายสู่ผู้บริโภคในประเทศ รวมทั้งคำแนะนำในการใช้งานเพื่อให้ถูกที่ถูกทาง คำแนะนำทางออกเพื่อแก้ปัญหาด้านการออกแบบตกแต่ง สถาปัตยกรรม
3. ควรกำหนดกรอบระยะเวลาในการยกเลิกหลอดไส้ให้ชัดเจน และประสานงานกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อส่งเสริมการผลิตหลอดตะเกียบในประเทศ
4. เตรียมการจัดการให้เรื่องการกระจายหลอดตะเกียบไปยังกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ต่างๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
5. ให้ สนพ. ประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ เมื่อจะครบ 18 เดือน
เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานโครงการสนับสนุนการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในวงเงิน 80,000,000 บาท (แปดสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5 " และ ให้ กฟผ. และกระทรวงพลังงานรับข้อสังเกตของที่ประชุมไปดำเนินการด้วย
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอที่ประชุมพิจารณา "โครงการเทอดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 "ตามรอยพระยุคลบาท พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย" ที่ สนพ. เสนอขอจัดสรรเงินกองทุนฯ ในวงเงิน 50,000,000 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อนำไปดำเนินโครงการดังนี้
วัตถุประสงค์ รวบรวมแนวพระราชดำริด้านพัฒนาพลังงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากข้อมูลของหลายหน่วยงานที่ได้มีโอกาสทำงานสนองพระราชดำริด้านการพัฒนาพลังงาน ตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์สมบัติ และเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ ที่เหมาะสม ให้พสกนิกร สถาบันการศึกษาทุกระดับ ภาครัฐ ภาคเอกชน ได้น้อมนำต้นแบบทางความคิดและเป็นแรงบันดาลใจในการนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อการพัฒนาสู่การพึ่งพาตนเองอย่างแท้จริง ตามรอยพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตัวอย่างเนื้อหา "ตามรอยพระยุคลบาท พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย"
ขอบเขตงาน วางแผนเผยแพร่แนวพระราชดำริด้านพัฒนาพลังงานและพลังงานทดแทนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2550 โดยเสนอกลยุทธ์และงานสร้างสรรค์ที่สื่อสารเข้าถึงพสกนิกร ภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษาทุกระดับ ได้อย่างเข้าใจและน้อมนำต้นแบบทางความคิด เป็นแรงบันดาลใจในการนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อการพัฒนาสู่การพึ่งพาตนเอง เช่น
- ผลิตและเผยแพร่ภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อโทรทัศน์ สปอตวิทยุ และสื่อต่างๆ
- ผลิตและเผยแพร่สารคดีสั้น ทางสื่อโทรทัศน์ ไม่น้อยกว่า 25 ตอน
- การผลิตและเผยแพร่ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ หรือแนวคิดในการใช้สื่อรูปแบบใหม่
- การจัดกิจกรรมเผยแพร่ต่างๆ ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงบางรายการเพื่อความเหมาะสม ฯลฯ
ผลที่จะได้รับ พสกนิกร นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ เอกชน ได้ทราบพระอัจฉริยภาพด้านพัฒนาพลังงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวน้อมนำเป็นแนวทางให้รู้จักมองปัญหาและแก้ไขปัญหา โดยมองไปรอบๆ ตัวด้วยปัญญา และนำสิ่งที่มีอยู่มาพัฒนาใช้ให้เกิดประโยชน์ และทำให้ครบวงจร
ขอสนับสนุนจากกองทุนฯ 50,000,000 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อจัดจ้างผู้มีประสบการณ์ มีความชำนาญการเข้ามาดำเนินงาน โดยสามารถถัวจ่ายระหว่างรายการ และแยกรายการและทำสัญญาหรือหนังสือยืนยันได้หลายรายการตามความเหมาะสม
มติที่ประชุม
เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้ สนพ. ในวงเงิน 50,000,000 บาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 "ตามรอยพระยุคลบาท พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย" โดยถัวจ่ายเงินกองทุนฯ จากแผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ปีงบประมาณ 2550 ที่ สนพ. ได้รับอนุมัติไว้แล้ว มาสมทบในโครงการประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพลังงานทางเลือก และให้ สนพ. รับข้อสังเกตของที่ประชุมไปดำเนินการด้วย
เรื่องที่ 7 ขอความเห็นชอบโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอที่ประชุมพิจารณา "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3" ที่ พพ. เสนอขอรับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท (หนึ่งพันล้านบาท) ซึ่ง พพ. เคยได้รับเงินจากกองทุนฯ นำไปใช้จ่ายในโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน และส่งเสริมพลังงานทดแทน รวม 3 ครั้ง
(1) ระยะที่ 1 เมื่อ 11 ตุลาคม 2544 วงเงิน 2,000 ล้านบาท (เฉพาะอนุรักษ์ฯ)
(2) ระยะที่ 2 เมื่อ 25 สิงหาคม 2548 วงเงิน 2,000 ล้านบาท (อนุรักษ์ฯ+ทดแทน)
(3) ระยะที่ 1 เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 วงเงิน 1,000 ล้านบาท (เฉพาะทดแทน)
การใช้จ่ายเงินดังกล่าว พพ. ได้ให้สถาบันการเงินที่ผ่านการคัดเลือกของ พพ. นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้แก่โรงงาน อาคาร และบริษัทจัดการพลังงาน นำไปใช้ในการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงิน ปล่อยกู้ภายใน 3 ปี และส่งคืนกองทุนฯ ผ่าน พพ. ในเวลา 10 ปี นับจากวันที่ พพ. ทำสัญญากับสถาบันการเงิน
สถาบันการเงินฯ จะจ่ายดอกเบี้ยคืนกองทุนฯ ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 0.5 ของเงินกองทุนฯ ที่สถาบันการเงินนำไปปล่อยให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อเป็นค่าเสียโอกาสในส่วนดอกเบี้ยเงินฝากที่กองทุนฯ ได้รับเป็นประจำ
2. ปัจจุบัน มีสถาบันการเงินเข้าร่วมโครงการฯ 11 ธนาคาร ได้แก่ ทหารไทย กรุงเทพ ไทยธนาคาร นครหลวงไทย กรุงศรีอยุธยา ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย กรุงไทย ยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ (ไทย) และ SMEs Bank ซึ่งสรุปผลงานโดยรวมของโครงการเงินหมุนเวียนเพื่ออนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 1 และ 2 ได้ปล่อยกู้รวม 153 ราย คิดเป็นจำนวนเงิน 1,908 ล้านบาท +1,446 ล้านบาท รวม 3,354 ล้านบาท รวมผลประหยัด 2,660 ล้านบาท/ปี ดังนี้
ประเภทจำนวน (ข้อเสนอ) |
เงินลงทุน (ล้านบาท) |
วงเงินสนับสนุนที่ พพ. อนุมัติ (ล้านบาท) |
ผลประหยัดไฟฟ้า (ล้านหน่วย/ปี) |
ผลประหยัดเชื้อเพลิง (เทียบเท่าน้ำมันเตา) (ล้านลิตร/ปี) |
รวมผลประหยัด (ล้านบาท/ปี) |
|
อาคาร | 22 | 256 | 221 | 26 | 1 | 77 |
โรงงาน | 129 | 5,787 | 3,075 | 376 | 162 | 2,477 |
ESCO | 2 | 178 | 58 | 11 | 8 | 106 |
รวม | 153 | 6,221 | 3,354 | 413 | 171 | 2,660 |
3. เหตุผลและความจำเป็นที่ พพ. ต้องขอสนับสนุนจากกองทุนฯ เพิ่มเติม ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท เนื่องจากมีเอกชนให้ความสนใจยื่นขอสินเชื่อเพื่อการลงทุนด้านพลังงานไว้กับสถาบันการเงินกว่า 80 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3,350 ล้านบาท และมีข้อเสนอโครงการอีก 20 ราย ที่ พพ. อยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติมูลค่ารวม 567.2 ล้านบาท ขณะที่วงเงินหมุนเวียน ระยะที่ 1 คงเหลืออยู่ 96 ล้านบาท จะครบกำหนดเวลาปล่อยกู้ในวันที่ 29 เมษายน 2550 และระยะที่ 2 คงเหลืออยู่ 554 ล้านบาท เท่านั้น
4. เมื่อพิจารณาฐานะการเงินของกองทุนฯ โดยอยู่บนฐานของรายได้เฉลี่ยปีละ 1,400 ล้านบาท และประมาณการรายจ่ายปีละ 2,000 ล้านบาท หากมีการจัดสรรเงินเพิ่มเติมอีก 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ พพ. รับไปดำเนินโครงการเงินหมุนเวียนฯ ระยะที่ 3 จะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินของกองทุนฯ ที่จะขาดดุลในปีงบประมาณ 2551 และ 2552 วงเงิน 610 ล้านบาท และ 281 ล้านบาท ตามลำดับ และจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยแสดงรายการได้ดังนี้
ปีงบประมาณ | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | รวม |
1. เงินคงเหลือยกมาต้นปี | 4,915 | 1,239 | (610) | (281) | 184 | 4,915 |
2.ประมาณการรายรับล่วงหน้า | 1,795 | 2,149 | 2,198 | 2,248 | 2,299 | 10,688 |
3. เงินทุนหมุนเวียนรอรับคืน | 413 | 937 | 1,080 | 986 | 936 | 4,351 |
รวมรับ | 2,208 | 3,086 | 3,277 | 3,233 | 3,235 | 4,351 |
4. รายจ่าย ประกอบด้วย | ||||||
4.1 รายจ่ายผูกพัน ปี 2538-2547 | 558 | 468 | 398 | 265 | 76 | 1,764 |
4.1 รายจ่ายผูกพัน ปี 2548-2549 | 3,082 | 824 | 551 | 503 | - | 4,959 |
4.3 ประมาณการรายจ่ายล่วงหน้า | 2,244 | 3,644 | 2,000 | 2,000 | 2,600 | 12,488 |
รวมจ่าย | 5,884 | 4,935 | 2,948 | 2,768 | 2,676 | 19,212 |
5. เงินคงเหลือปลายปี ยกไป | 1,239 | (610) | (281) | 184 | 742 | 742 |
5. อธิบดี พพ. ได้ยกตัวอย่างมาตรการและความสำเร็จที่ได้รับจากการดำเนินโครงการฯ เช่น
- เอส พี เอ็ม อาหารสัตว์ เปลี่ยน Boiler จากเชื้อเพลิงน้ำมันเตา เป็น Boiler เชื้อเพลิงจากขี้เลื่อย/เศษฟืน เงินลงทุน 10.6 ล้านบาท ประหยัด 6.3 ล้านบาท/ปี คืนทุน 1.7 ปี
- นันยางการทออุตสาหกรรม เปลี่ยนเครื่องจักร (เครื่องย้อม) ประสิทธิภาพสูง เงินลงทุน 47ล้านบาท ประหยัด 11 ล้านบาท/ปี คืนทุน 4.3 ปี
- ฟิวเจอร์เท็กซ์ เปลี่ยนหม้อต้มไอน้ำมันร้อนโดยใช้เชื้อเพลิงขี้เลื่อยและวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรทดแทนน้ำมันเตา เงินลงทุน 10 ล้านบาท ประหยัด 13 ล้านบาท/ปี คืนทุน 0.8 ปี
- ไทยเพิ่มพูนอุตสาหกรรม ติดตั้งเครื่องอบกากอ้อยเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันเตา เงินลงทุน 9.2 ล้านบาท ประหยัด 5.2 ล้านบาท/ปี คืนทุน 1.8 ปี
ภาพรวมความสำเร็จของโครงการฯ ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 สรุปได้ว่าเกิดผลประหยัดพลังงานมากกว่า 2,660 ล้านบาทต่อปี นอกจากจะช่วยประหยัดพลังงานตลอดอายุอุปกรณ์กว่า 32,000 ล้านบาท และลดการนำเข้าน้ำมันดิบ 171 ล้านลิตร/ปี ชะลอการลงทุนเพื่อสร้างโรงไฟฟ้า 1,885 ล้านบาท แล้วยังลดปัญหาด้านมลภาวะที่เกิดจากการใช้พลังงานอีกด้วย รวมถึงได้ช่วยกระตุ้นสถาบันการเงิน 11 แห่งให้ความสนใจในตลาดสินเชื่อด้านอนุรักษ์พลังงาน โดยได้ใช้เงินของสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อไปมากกว่า 15,000 ล้านบาท
มติที่ประชุม
เห็นชอบการดำเนิน "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3" ตามที่ พพ. เสนอขอมา โดยให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
1. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติม ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท โดยเสนอขอนายกรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 3,000 ล้านบาท มาสมทบเป็นรายได้ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของฐานะการเงินของกองทุนฯ ทำให้มีศักยภาพช่วยผลักดันการดำเนินการตามนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศได้มากขึ้น
2. ในระหว่างที่รอปรับฐานะการเงินของกองทุนฯ ให้ พพ. ขยายกรอบการใช้เงิน "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ระยะที่ 1" ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติจัดสรรเงินไว้แล้วเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2550 ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท ให้สามารถปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเพื่อการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานได้ด้วย โดยมีขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ การเบิกจ่ายเงิน ในการสนับสนุนเหมือนกับโครงการเงินหมุนเวียนฯ ระยะที่ 2 และให้รับข้อสังเกตของที่ประชุมไปดำเนินการด้วย
เรื่องที่ 8 ขอความเห็นชอบโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอที่ประชุมพิจารณา "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" ที่ พพ. เสนอขอรับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 เพิ่มเติม ในวงเงิน 87,000,000 บาท (แปดสิบเจ็ดล้านบาทถ้วน) ซึ่งโครงการนี้ คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2549 เคยมีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้ พพ. ไปดำเนินการจัดหา ติดตั้ง กังหันลมระบบมีเกียร์ เพื่อสาธิตการผลิตไฟฟ้า ขนาด 1.5 MW บริเวณพื้นที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช โดยมีเงื่อนไขให้ พพ. จะต้องดำเนินการพิจารณาทบทวนรายละเอียดของโครงการให้มีความชัดเจนก่อน ในประเด็น ดังนี้
- การศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากโครงการ
- ประสานกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อทำการกำหนดแนวทางการคำนวณผลตอบแทนและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการดำเนินโครงการ ให้มีสมมติฐานในการคำนวณแบบเดียวกัน
- พิจารณาทบทวน ชนิด และขนาดของกังหันลมให้มี Power Curve เหมาะสมกับความเร็วลมเฉลี่ยในพื้นที่ที่ติดตั้ง รวมถึงทบทวนการติดตั้งกังหันลมทั้งในด้านเทคนิค ศักยภาพการผลิตไฟฟ้า ที่ตั้ง เพื่อให้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
- พพ. จะต้องดำเนินการจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับทุนจากกองทุนฯ และจะต้องรายงานความก้าวหน้าของผลการดำเนินโครงการดังกล่าวให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบ
2. พพ. ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในวงเงิน 498,000 บาท ศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และได้ส่งรายงานฉบับสมบูรณ์แล้วเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2549 สรุปได้ดังนี้
- ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางกายภาพทางด้านลบในระดับ "น้อย" ขณะที่คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์และคุณค่าต่อคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับ "มาก"
- จัดรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่ มีผู้เข้าร่วม 113 คน โดยร้อยละ 98.7 เห็นด้วยเพราะเห็นว่าจะเป็นแหล่งพลังงาน แหล่งท่องเที่ยวใหม่และช่วยนำรายได้เข้าสู่ท้องถิ่น ส่วนร้อยละ 1.3 มีความกังวลในเรื่องเสียงรบกวน ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และผลกระทบต่อการทำมาหากิน (ผลกระทบกับนกนางแอ่น ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจประจำท้องถิ่น) แล้ว
3. เหตุผลและความจำเป็นที่ พพ. เสนอโครงการฯ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ อีกครั้ง เพราะจากการดำเนินการจัดหาผู้ติดตั้งระบบฯ ตามขั้นตอนของระเบียบพัสดุด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามประกาศลงวันที่ 11 กันยายน 2549 กำหนดให้ยื่นเอกสาร 21 กันยายน 2549 ปรากฏว่ามีผู้ยื่นข้อเสนอเพียง 1 ราย พพ. จึงยกเลิกการจัดหาเมื่อ 26 กันยายน 2549 เป็นเหตุให้ พพ. ไม่สามารถจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติไว้
โครงการมีความก้าวหน้าไปพอสมควรแล้ว และได้รับความร่วมมือจากท้องถิ่นเป็นอย่างดี เพื่อให้มีทางเลือกในการนำพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่ตามธรรมชาติมาใช้ทดแทนพลังงานสิ้นเปลือง พพ. จึงเสนอขอที่จะดำเนินการโครงการดังกล่าวต่อ โดยใช้เงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550
4. อธิบดี พพ. ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า เนื่องจากการติดตั้งกังหันลมฯ 1 ชุด จะเสียค่าใช้จ่าย Overhead ไม่ต่างกับการติดตั้ง Wind Farm (ตั้งแต่ 5 ชุดขึ้นไป) ดังนั้นวงเงิน 86,502,000 บาท ที่เสนอไว้อาจจะเป็นราคาที่ไม่จูงใจให้ผู้ประกอบการเข้ามาดำเนินการ พพ. จึงเสนอขอใช้เงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 เป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" ในวงเงิน 119 ล้านบาท
มติที่ประชุม
ให้ พพ. จัดทำสรุปการใช้จ่ายเงินตามแผนงานฯ ปี 2550 และพิจารณาโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายบางรายการไปเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" ในวงเงิน 119 ล้านบาทหากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 มีข้อผูกพันครบถ้วนแล้วไม่สามารถโอนเปลี่ยนแปลงรายการได้ ก็ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอที่ประชุมพิจารณาอีกครั้ง
เรื่องที่ 9 ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอที่ประชุมพิจารณาเรื่องที่หน่วยงานต่างๆ ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปแล้ว ได้ยื่นเรื่องขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการฯ จากที่ได้รับอนุมัติไว้ รวม 14 โครงการ ดังนี้
1.1 ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 9 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | เดิม | ขยายถึง | |
(1) | โครงการนำร่องปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ดีเซล เป็น NGV | บริษัท ปตท. จำกัด | ธันวาคม 2549 | มิถุนายน 2550 |
(2) | โครงการวิจัยการนำความร้อนทิ้งกลับมาใช้ใน HEAT PROCESS | ม.เชียงใหม่ | ธันวาคม 2549 | มิถุนายน 2550 |
(3) | โครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการปลูกไม้โตเร็วเพื่อเป็นพลังงานชีวมวล | ม.สุรนารี | สิงหาคม 2549 | สิงหาคม 2550 |
(4) | โครงการเทคโนโลยีการอบไม้สวนป่าโดยใช้เศษวัสดุเหลือใช้จากสวนป่าเป็นพลังงาน | ม.เกษตรศาสตร์ | ตุลาคม 2549 | กุมภาพันธ์ 2550 |
(5) | โครงการศึกษาการใช้ประโยชน์จากเครื่องยนต์ ก๊าซชีวภาพ | ม.เชียงใหม่ | มีนาคม 2550 | กันยายน 2550 |
(6) | โครงการพัฒนาความรู้ด้านพลังงานทดแทนสู่ชุมชน | ม. พระจอมเกล้าธนบุรี | กันยายน 2550 | พฤษภาคม 2551 |
(7) | โครงการบูรณาการงานด้านพลังงาน กับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด | สพภ. 1 สพภ. 2 สพภ. 7 สพภ. 8 และ สพภ. 11 |
เมษายน 2550 เมษายน 2550 เมษายน 2550 เมษายน 2550 เมษายน 2550 |
กันยายน 2550 กันยายน 2550 มิถุนายน 2550 สิงหาคม 2550 กันยายน 2550 |
(8) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ | สนพ. | - | - |
(9) | ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือน นับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา 2 ราย | พพ. | - | 3 เดือนนับจากวันที่ได้รับอนุมัติการขยายระยะเวลา |
1.2 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รวม 6 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | ขอเปลี่ยนแปลง | |
(1) | โครงการบูรณาการงานด้านพลังงานกับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด | สพภ. 3 สพภ. 9 และ สพภ. 10 |
1) สพภ. 3 ขอขยายระยะเวลาจากเมษายน 2550 เป็นพฤษภาคม 2550 และขอนำเงินจากหมวดบริหารโครงการฯ มาจัดซื้อครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ (Notebook) จำนวน 3 เครื่อง เครื่องละ 33,000 บาท รวมเป็นเงิน 99,000 บาท 2) สพภ. 9 ขอขยายระยะเวลาจากเมษายน 2550 เป็นพฤษภาคม 2550 และ ขอนำเงินจากหมวดบริหารโครงการฯ มาจัดซื้อครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ (Notebook) จำนวน 4 เครื่อง เครื่องละ 24,500 บาท รวมเป็นเงิน 98,000 บาท 3) สพภ. 10 ขอขยายระยะเวลาจากเมษายน 2550 เป็นมิถุนายน 2550 และ ขอนำเงินจากหมวดบริหารโครงการฯ มาจัดซื้อครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ (Notebook) จำนวน 3 เครื่อง เครื่องละ 33,000 บาท รวมเป็นเงิน 99,000 บาท |
(2) | โครงการค่ายอนุชนพลังงานกับมหาวิทยาลัยในฝัน | ม. พระจอมเกล้าธนบุรี |
1) ขอขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ จากพฤษภาคม 2549 เป็นเดือนกรกฎาคม 2550 2) ปรับกลุ่มเป้าหมาย จากเดิม เป็นนักเรียนจากโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร และโรงเรียนจังหวัดแม่ฮ่องสอน น่าน สกลนคร ฉะเชิงเทรา ราชบุรี และกาญจนบุรี เป็น นักเรียน และครู จากโรงเรียนที่สนใจทั่วประเทศ |
(3) | โครงการสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา | ม. ธรรมศาสตร์ | * ขอเปลี่ยนชื่อโครงการวิจัย จำนวน 3 โครงการ |
* หมายเหตุ (1) ชื่อเดิม เรื่อง "แนวทางการประเมินและการออกแบบการระบายอากาศด้วยวิธีธรรมชาติ สำหรับอาคารบ้านพักอาศัยโดยอิทธิพลของช่องเปิด" เป็น "การออกแบบและการประเมินการระบายอากาศโดยวิธีธรรมชาติในบ้านพักอาศัยด้วยอิทธิพลของการใช้ช่องเปิด" (2) ชื่อเดิม เรื่อง "แนวทางการสร้างแบบประเมินค่าการระบายอากาศโดยวิธีธรรมชาติ เนื่องจากการจัดสภาพแวดล้อมของผังบริเวณ" เป็น "แนวทางการออกแบบการระบายอากาศโดยวิธีธรรมชาติในบ้านพักอาศัยด้วยองค์ประกอบทางภูมิสถาปัตยกรรม" (3) ชื่อเดิม เรื่อง "การศึกษาคุณสมบัติของผังบังแดดพันธุ์พืช" เป็น "ประสิทธิภาพของผนังไม้เลื้อยในการลดการถ่ายเทความร้อนผ่านผนังอาคาร" |
|||
(4) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ | สนพ. |
ขอระงับทุนการศึกษาของนายอุทัย ม่วงศรีเมือง ศึกษาต่อที่ The University of Surrey ประเทศ สหราชอาณาจักร ระดับปริญญาเอก สาขา Energy Economics & Policy เนื่องจากมหาวิทยาลัยไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จการศึกษาได้ในเวลาที่กำหนด |
(5) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศ | ม. เกษตรศาสตร์ |
1) ขอขยายเวลาการศึกษาให้กับนายอุ่นกัง แซ่ลิ้ม ถึง พฤษภาคม 2550 2) ขอใช้เงินคงเหลือจากงบประมาณเดิมที่ได้รับอนุมัติไว้ ในวงเงิน 135,776.85 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาเพิ่มเติมอีก 1 ภาคการศึกษา |
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
เรื่องที่ 10 ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียด โครงการ กรุงเทพฯ ฟ้าใส ด้วยไบโอดีเซล
1. อธิบดี พพ. ได้นำเสนอที่ประชุมพิจารณา "โครงการ กรุงเทพฯ ฟ้าใส ด้วยไบโอดีเซล" ที่ พพ. ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 9,985,500 บาท (เก้าล้านเก้าแสนแปดหมื่นห้าพันห้าร้อยบาทถ้วน) โดยทำหนังสือยืนยันการขอรับทุนฯ ไว้กับ สนพ. เมื่อปีงบประมาณ 2547 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นโครงการนำร่องการใช้ไบโอดีเซลในรถยนต์ในเขตกรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งจะพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของไบโอดีเซลผสมกับน้ำมันดีเซลอย่างยั่งยืน ตลอดจนจะทดสอบไบโอดีเซลผสมกับน้ำมันดีเซล เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน รณรงค์สร้างการยอมรับเกี่ยวกับการใช้เชื้อเพลิงไบโอดีเซล
2. พพ. ได้ตั้งสถานีจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล (B5) ใน กทม. ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2548 และได้สร้างความเข้าใจจนมีความต้องการใช้น้ำมันไบโอดีเซลในตลาดเพิ่มขึ้น จนเกิดการผลิตของภาคเอกชนและพัฒนาเป็นเชิงพาณิชย์แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะดำเนินการงานทดสอบสมรรถนะของรถทั้งก่อนและหลังใช้ไบโอดีเซล ประกอบกับการตรวจสอบมลภาวะอากาศใน กทม. จากการใช้ไบโอดีเซลได้มีการดำเนินการโดยหน่วยงานอื่นแล้ว เช่น กรมธุรกิจพลังงาน กรมควบคุมมลพิษ และกรมอู่ทหารเรือ เป็นต้น
3. พพ. ได้ดำเนินการเผยแพร่และส่งเสริมระบบผลิตไบโอดีเซลไประยะเวลาหนึ่ง พบว่าในกระบวนการผลิตไบโอดีเซลจะเกิดน้ำเสียที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหากจัดการไม่เหมาะสม ซึ่งระบบของโครงการฯ ยังไม่มีการบำบัดน้ำเสีย
ดังนั้นเพื่อให้เกิดการผลิตไบโอดีเซลแบบครบวงจรและเป็นแนวทางที่ พพ. จะนำไปเผยแพร่และส่งเสริมต่อชุมชนและภาคเอกชนได้ต่อไปนั้น พพ. จึงขอปรับปรุงการดำเนินกิจกรรมของโครงการฯ โดยการตัดลด(ยกเลิก)กิจกรรมที่ พพ. เห็นว่าหมดความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการดังนี้
1) การตรวจสมรรถนะและมลพิษของรถก่อนใช้น้ำมันไบโอดีเซล
2) การสาธิตการใช้ไบโอดีเซล B5 กับรถ ขสมก. รถร่วมเอกชน รถกรมการพลังงานทหาร และรถประชาชนทั่วไป
3) การตรวจสอบมลภาวะทางอากาศใน กทม.
และนำเงินส่วนที่เหลือในวงเงิน 4,364,533 บาท ไปใช้จ่ายในการจัดสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย โดยมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมดังนี้
กิจกรรม | งบประมาณ (บาท) |
งบประมาณ ที่ใช้ไป (บาท) |
หมายเหตุ |
1. การสาธิตการใช้ไบโอดีเซลในกรุงเทพมหานคร | 5,850,000 | 3,328,467 | ติดตั้งระบบผลิตไบโอดีเซลและระบบกลั่นกลีซอรีนเรียบร้อยแล้ว |
2. ค่าจัดทำประชาสัมพันธ์ | 2,300,000 | 1,031,625 | ผูกพันในสัญญาอีก 1,260,875 บาท |
3. การตรวจมลพิษและสมรรถนะ | 1,210,000 | - | ขอเปลี่ยนแปลงไปใช้ในการสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย รวมทั้งงบประมาณที่เหลือจากกิจกรรมอื่นๆ |
4. ค่าจัดทำรายงาน | 150,000 | - | |
5. ค่านักวิจัยและบริหารโครงการ 5% | 475,500 | - | |
รวมทั้งสิ้น | 9,985,500 | 4,360,092 | เหลืองบประมาณที่มิได้ผูกพันรวม 4,364,533 บาท |
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
- ความคืบหน้าการปฏิบัติตาม พรบ
- การอนุรักษ์พลังงาน
- การกำหนดมาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์
- โครงการส่งเสริมไบโอดีเซล
- ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการ
- โครงการยุติหลอดไส้ ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5
- ขอความเห็นชอบ
- โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
- โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
- โครงการกรุงเทพฯฟ้าใสด้วยไบโอดีเซล
อนุ กอ. ครั้งที่ 6 - วันจันทร์ที่ 25 ธันวามคม 2549
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 5/2549 (ครั้งที่ 6)
วันที่ 25 ธันวาคม 2549 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิติพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้พิจารณาแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2550-2554 แล้วและเห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในช่วงปีงบประมาณ 2550-2554 โดยให้ปรับลดเป้าหมายพลังงานแสงอาทิตย์ลงเป็น 45 MW เพิ่มเป้าหมายของพลังงานลมเป็น 115 MW ปรับลดเป้า NGV เป็น 251,600 คัน สำหรับแนวทางดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในขนส่งนั้น เห็นชอบกรอบแผนงานตามที่เสนอ และเมื่อแผนงานทางกระทรวงคมนาคมชัดเจนขึ้นแล้ว คณะกรรมการกองทุนฯ จะพิจารณารายละเอียดภายหลัง
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้พิจารณาแผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 แล้ว และได้อนุมัติตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ แต่เนื่องจากอาจมีโครงการที่บรรจุอยู่ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 อาจจะซ้ำซ้อนกับงานวิจัยที่หน่วยงานอื่นได้ดำเนินการแล้ว จึงเห็นควรให้คณะอนุกรรมการกองทุนฯ พิจารณารายละเอียดโครงการอีกครั้ง ก่อนนำไปดำเนินการ โดยเชิญผู้แทนจาก 3 หน่วยงานได้แก่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เข้าร่วมให้ความเห็นด้วย ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอให้ผู้แทนจาก 3 หน่วยดังกล่าวที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ได้พิจารณาให้ความเห็นแผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ด้วย
มติที่ประชุม
เห็นด้วยกับแผนปฏิบัติการการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบไว้แล้ว
กอ. ครั้งที่ 44 - วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม 2549
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44)
วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม 2549 เวลา 13.30 น
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
4. เห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการที่เป็นงานต่อเนื่องและผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการกองทุนฯ แล้ว
5. ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กระทรวงพลังงาน ผู้เข้าร่วมการประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เนื่องจากประธานกรรมการกองทุนฯ ติดภารกิจเร่งด่วน จึงมอบหมายให้ทำหน้าที่ประธานในการประชุมไปพรางก่อน
เรื่องที่ 1 แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 ได้มติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนฯ เรียบร้อยแล้ว จำนวน 7 ท่าน ตามรายนามดังต่อไปนี้
1. นายปิยะวัติ บุญ-หลง
2. นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์
3. นายกฤษณพงศ์ กีรติกร
4. นายอรรจน์ เศรษฐบุตร
5. นายยอดเยี่ยม เทพธรานนท์
6. นางสาวพรทิพย์ จาละ
7. นายพรายพล คุ้มทรัพย์
มติที่ประชุม
รับทราบ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงาน ประมาณการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและงบการเงินที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบเรียบร้อยแล้วให้ที่ประชุมรับทราบ ซึ่งมีประมาณการรับ-จ่ายเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 คงเหลือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2550 ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท | |
เงินคงเหลือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2549 | 4,915.24 |
บวก ประมาณการรายรับ ปี 2550 | 1,400.00 |
รวมเงินคงเหลือ | 6,315.24 |
หัก ประมาณการรายจ่าย ปี 2550 | (3,641.18) |
ประมาณการเงินคงเหลือ ณ วันที่ 30 ก.ย. 2550 | 2,674.06 |
มติที่ประชุม
รับทราบ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้คณะกรรมกองทุนฯ รับทราบถึงกรอบแผนอนุรักษ์ฯ ระยะที่ 3 โดยสรุป ดังนี้
1. ความเป็นมา
1.1 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุม เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2547 ได้อนุมัติกรอบแผนอนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) ตามข้อเสนอของคณะกรรมการกองทุนฯ และเห็นชอบให้คณะกรรมการกองทุนฯ โดยมีเป้าหมายตามยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศที่จะลดอัตราส่วนการใช้พลังงานต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจาก 1.4:1 เป็น 1:1 ภายในปี 2551 และเพิ่มอัตราส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 8 ภายในปี 2554
1.2 ผลการดำเนินการในปี 2548 และปี 2549 คาดว่าเมื่อโครงการดำเนินงานจนครบอายุการใช้งานของอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีแล้ว จะลดการใช้พลังงานได้ 2,490 ktoe/ปี หรือคิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 47,310 ล้านบาท อัตราการใช้พลังงานต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจาก 1.4:1 เป็น 1.2:1 เพิ่มอัตราส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 3 และยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่น ลดการก่อมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
2. ทบทวนแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ในช่วงที่เหลือ (ปี 2550-2554)
เป็นการทบทวนแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) จากที่ กพช. เห็นชอบไว้เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2547 โดยพิจารณาจากความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันทั้งด้านศักยภาพและมาตรการที่จะดำเนินการ รวมถึงความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านพลังงานของประเทศ และนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
2.1 ยุทธศาสตร์ด้านพลังงานของประเทศ ในช่วงปี 2548-2554
ยุทธศาสตร์หลักของการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ ประกอบด้วย (1) การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด (2) การใช้พลังงานทดแทน เช่น NGV ก๊าซโซฮอล์ และไบโอดีเซล และ (3) ความมั่นคงในการจัดหาแหล่งพลังงานในประเทศและต่างประเทศ (4) การพัฒนาศูนย์กลางพลังงาน และมีมาตรการประหยัดพลังงานมาตามลำดับ โดยมุ่งเน้นใน 3 ภาคเศรษฐกิจหลักที่มีการใช้พลังงานรวมมากถึงร้อยละ 95 ได้แก่ ภาคการขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจและที่อยู่อาศัย โดยมีภาครัฐทำตัวเป็นตัวอย่างด้านประหยัดพลังงาน
2.2 นโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
"ส่งเสริมประสิทธิภาพและประหยัดการใช้พลังงาน การพัฒนาและใช้ประโยชน์พลังงานทดแทน การสำรวจและพัฒนาแหล่งพลังงานทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ รวมถึงเขตพัฒนาร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้าน การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด การกำหนดโครงสร้างราคาพลังงานที่เหมาะสม และการปรับโครงสร้างบริหารกิจการพลังงานให้เหมาะสม โดยแยกงานนโยบายและการกำกับดูแลให้มีความชัดเจน รวมทั้งส่งเสริมการแข่งขันในธุรกิจพลังงานในระยะยาว และการศึกษาวิจัยพลังงานทางเลือก" โดยกระทรวงพลังงานได้จัดทำแนวนโยบายพลังงานดังกล่าวให้มีรายละเอียดและชัดเจนมากขึ้น และเสนอ กพช. เห็นชอบเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 โดยเป็นการมุ่งเน้นการวางพื้นฐานการพัฒนาพลังงานของประเทศให้มีความมั่นคงและยั่งยืน สอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
3. แผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2550-2554
3.1 จากการทบทวนแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 เพื่อดำเนินการในช่วงปี 2550-2554 องค์ประกอบของแผนฯ ยังคงดำเนินการใน 3 แผนงาน
(1) แผนงานพัฒนาพลังงานทดแทน เป็นแผนงานเกี่ยวกับ
งานศึกษา วิจัยพัฒนา และส่งเสริมเพื่อก่อให้เกิดการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้นในการผลิตไฟฟ้า ความร้อน และเชื้อเพลิงชีวภาพ เพื่อใช้ในภาคคมนาคมขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม บ้านอยู่อาศัย ได้แก่ แสงอาทิตย์ น้ำ ลม ชีวมวล ชีวภาพ เอทานอล ไบโอดีเซล เซลล์เชื้อเพลิง ฯลฯ
งานสร้างและพัฒนาศักยภาพของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานด้านพลังงานทดแทน ได้แก่ การประชุมเชิงวิชาการ สัมมนา ฝึกอบรม ดูงาน ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี โท เอก
งานเผยแพร่ข้อมูล สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนทั่วไป เพื่อรู้จักพลังงานทดแทน พลังงานทางเลือก ให้ถูกต้อง อาทิ ชีวมวล ชีวภาพ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน นิวเคลียร์ แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล มีความเชื่อมั่น และสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐ
(2) แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เป็นแผนงานเกี่ยวกับ
งานศึกษา วิจัยพัฒนา และส่งเสริมเพื่อก่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในภาคคมนาคมขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจ บริการ เกษตรกรรม และภาคบ้านอยู่อาศัย
งานสร้างและพัฒนาศักยภาพของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ได้แก่ การประชุมเชิงวิชาการ สัมมนา ฝึกอบรม ดูงาน ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี โท เอก
งานสร้างความรู้ความเข้าใจเพื่อให้มีการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า ปรับเปลี่ยนลักษณะการใช้พลังงานให้เป็นไปอย่างพอประมาณ
(3) แผนงานบริหารเชิงกลยุทธ์ เป็นแผนงานเกี่ยวกับ
งานศึกษาวิจัยเชิงนโยบายเพื่อเป็นข้อเสนอแนะ ทางเลือก หรือภาพรวมของสถานการณ์ที่ผสมผสานทั้งมิติด้าน การผลิตและการใช้พลังงาน ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สำหรับใช้ประกอบการตัดสินใจพัฒนาแผนพลังงานทดแทน หรือแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้เหมาะสมทันต่อสถานการณ์ เป็นเครื่องมือนำทางสำหรับจัดลำดับความสำคัญของงานและการจัดสรรงบประมาณ
งานด้านบริหารจัดการให้แผนอนุรักษ์พลังงานดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
งานช่วยเหลือส่งเสริมการดำเนินงานอื่นๆ เป็นเรื่องเฉพาะกิจที่สำคัญหรือเร่งด่วน
3.2 โดยส่วนใหญ่ยังคงมาตรการเดิม แต่ปรับเป้าหมายและวิธีดำเนินการเพื่อให้ผลที่คาดว่าจะได้รับชัดเจนขึ้น ได้แก่ การดำเนินการให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมปฏิบัติตามที่พระราชบัญญัติฯ กำหนดอย่างจริงจัง การดำเนินการเรื่องมาตรฐานประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงาน ปรับลดเป้าหมายของการลดปริมาณการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ของประเทศ เพราะแผนงานบางส่วน เช่น ระบบขนส่งมวลชน ระบบขนส่งสินค้า แผนปฏิบัติการโลจิสติกส์ ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่และต้องใช้เงินลงทุนสูง ได้เลื่อนมาดำเนินการในปี 2550 นอกจากนี้ยังได้เพิ่มการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติ และทบทวนเป้าหมายและแผนด้านพลังงานทดแทนทั้งด้านการผลิตไฟฟ้าในส่วนของพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และน้ำ เป้าหมายของการใช้แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล เป็นต้น โดยคำนึงถึงศักยภาพ ความสามารถ ความพร้อม ความเหมาะสมที่จะดำเนินการ
3.3 สรุปเป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ในช่วงปี 2550-2554
(1) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยลดใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ ในปี 2554 จาก 91,877 พันตัน เทียบเท่าน้ำมันดิบ เหลือ 84,183 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือลดการใช้พลังงานโดยไม่เกิดประโยชน์ได้ประมาณ 9.1 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 7,694 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ จำแนกเป็นภาคคมนาคมขนส่ง 3.9% ภาคอุตสาหกรรม 4.6% การจัดการใช้พลังงาน 0.7%
(2) พัฒนาพลังงานทดแทนให้มีสัดส่วนการใช้เพิ่มขึ้น โดยในปี 2554 จะมีการใช้พลังงานอื่นๆ เพิ่มขึ้น 13.9% ของความต้องการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย หรือทดแทนการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ประมาณ 11,722 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ จำแนกเป็น
1) ภาคคมนาคมขนส่ง มีการใช้พลังงานทดแทน 21% โดยใช้ Biodiesel แทนน้ำมันดีเซล 1,258 ktoe ใช้ Ethanol แทนน้ำมันเบนซิน 820 ktoe และใช้ NGV 4,764 ktoe
2) ภาคอุตสาหกรรมและบ้านอยู่อาศัย มีการใช้พลังงานทดแทน ดังนี้
ใช้แสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้า 75 MW คิดเป็น 7 ktoe และทำน้ำร้อน 5 ktoe
ใช้พลังลมสูบน้ำและผลิตไฟฟ้า 45 MW คิดเป็น 5 ktoe
ใช้น้ำท้ายเขื่อนชลประทานผลิตไฟฟ้า 156 MW คิดเป็น 18 ktoe
ใช้ชีวมวลผลิตไฟฟ้า 2,800 MW คิดเป็น 940 ktoe และให้ความร้อน 3,660 ktoe
ใช้น้ำเสียมาเป็นก๊าซชีวภาพผลิตไฟฟ้า 30 MW หรือคิดเป็น 14 ktoe
(3) มีผู้จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งในและต่างประเทศด้านพลังงานมาช่วยเสริมการทำงานเพิ่มขึ้น 400 คน มีหลักสูตรการเรียนการสอนด้านพลังงานในโรงเรียนกว่า 30,000 โรงเรียน มีหลักสูตรอุดมศึกษาที่ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและผลิตบุคลากรที่มีทักษะด้านพลังงานในภาคอุตสาหกรรม 1,400 คน ผู้ชำนาญการด้านพลังงานระดับท้องถิ่นได้รับการพัฒนาทักษะ 500 คน
เปรียบเทียบเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานในปี 2554 ระหว่างแผนเดิมกับแผนที่ปรับปรุง
แผนงาน | เป้าหมายเดิม | เป้าหมายใหม่ | ||
ktoe | ร้อยละ | ktoe | ร้อยละ | |
(1) แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 10,354 | 12.7 | 7,694 | 9.1 |
- สาขาอุตสาหกรรม | 3,411 | 4.2 | 3,832 | 4.6 |
- สาขาขนส่ง | 6,270 | 7.7 | 3,290 | 3.9 |
- การจัดการด้านการใช้พลังงาน | 673 | 0.8 | 571 | 0.7 |
(2) แผนงานด้านพลังงานทดแทน | 7,530 | 9.2 | 11,722 | 13.9 |
- ส่งเสริม NGV | - | - | 4,764 | 5.7 |
- พลังงานหมุนเวียน* | 7,530 | 9.2 | 6,958 | 8.3 |
เป้าหมายของการใช้พลังงานหมุนเวียน ในปี 2554 จำแนกประเภทได้ดังนี้
ประเภทพลังงาน | ไฟฟ้า | ความร้อน | เชื้อเพลิงชีวภาพ | รวม | ||
MW | ktoe | ktoe | ล้านลิตร/วัน | ktoe | ktoe | |
เอทานอล | - | - | - | 3 | 820 | 820 |
ไบโอดีเซล | - | - | - | 4 | 1,258 | 1,258 |
ชีวมวล | 2,800 | 940 | 3,660 | - | - | 4,600 |
ขยะ | 100 | 45 | - | - | - | 45 |
ก๊าซชีวภาพ | 30 | 14 | 186 | - | - | 200 |
ไฟฟ้าพลังน้ำ | 156 | 18 | - | - | - | 18 |
พลังลม | 45 | 5 | - | - | - | 5 |
แสงอาทิตย์ | 75 | 7 | 5 | - | - | 12 |
รวม | 3,206 | 1,029 | 3,851 | 7 | 2,078 | 6,958 |
โดยในช่วงปี 2550-2554 จะขอจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปดำเนินการประมาณ 12,488 ล้านบาท และขอให้คณะกรรมการกองทุนฯ จัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับใช้จ่ายตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2550-2554) ภายในวงเงินรวมดังกล่าว โดยสามารถให้ความเห็นชอบปรับปรุงแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ และการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในวงเงินรวมดังกล่าว
4. แผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2550
แผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2550 ที่ได้ผ่านการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการกองทุนฯ แล้วในการประชุมรวม 2 ครั้ง คือเมื่อวันที่ 4 และ 14 ธันวาคม 2549 โดยสรุปสาระสำคัญของแผนฯ ได้ดังนี้
4.1 เร่งรัดการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535 เพื่อบังคับให้โรงงานควบคุม 3,110 แห่ง อาคารควบคุม 1,115 แห่ง (ไม่รวมอาคารของรัฐ 800 แห่ง) ดำเนินการตามแผนและเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานที่เสนอไว้กับ พพ. อย่างจริงจัง โดยแก้ไขกฎกระทรวง ใช้มาตรการส่งเสริม สนับสนุนและจูงใจทั้งด้านการเงิน มาตรการทางภาษี และคำแนะนำทางด้านเทคนิค
4.2 ติดตามการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงในหน่วยงานราชการและอาคารของรัฐให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีกับประชาชน คาดว่าในปี 2550 จาก 1,800 หน่วยงานที่ใช้ไฟฟ้ามากกว่า 10,000 หน่วย/ปี จะลดใช้พลังงาน 38 ktoe/ปี คิดเป็นมูลค่า 1,187 ล้านบาท/ปี
4.3 เร่งรัดการจัดการออกกฎกระทรวงเพื่อให้ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย ได้มาตรฐานมีประสิทธิภาพด้านพลังงาน พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีการผลิตและประชาชนนิยมใช้เป็นที่แพร่หลาย โดยในปี 2550 สมอ. จะประกาศให้มาตรฐานการใช้พลังงานขั้นต่ำมีผลใช้บังคับกับบัลลาสต์ และหลอดฟลูออเรสเซนต์/คอมแพคฟลูออเรสเซนต์ กระทรวงพลังงานออกกฎกระทรวงประกาศมาตรฐานขั้นสูงกับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า 6 รายการ และมีสินค้าที่ติดฉลากแสดงประสิทธิภาพพลังงานเพิ่มเติม คือ พัดลมโคจร กระติกน้ำร้อน เตาหุงต้ม LPG อุปกรณ์ปรับความเร็วรอบมอเตอร์ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถบรรทุกส่วนบุคคล คาดว่าจะก่อให้เกิดผลประหยัดพลังงาน 120 ktoe/ปี คิดเป็นมูลค่า 3,493 ล้านบาท/ปี
4.4 ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนพัฒนาพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น โดยใช้มาตรการกำหนดอัตราราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเพิ่ม (Adder) และใช้เงินจากกองทุนฯ 2,000 ล้านบาท (1,000 ล้านบาท/ปี) เพื่อให้เอกชนที่จะลงทุนด้านพลังงานทดแทนได้มีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ที่คาดว่าจะช่วยทำให้เพิ่มอัตราส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 4.7 คาดว่าเป็นการผลิตไฟฟ้าเพิ่มจาก 2,055 MW เป็น 2,233 MW เพิ่มการใช้ในกระบวนการความร้อนจาก 1,789 ktoe เป็น 2,217 ktoe และเพิ่มการใช้เอทานอล 0.4 ล้านลิตร/วัน เป็น 0.9 ล้านลิตร/วัน และใช้ไบโอดีเซล 0.3 ล้านลิตร/วัน เป็น 0.5 ล้านลิตร/วัน
4.5 การกระจายความรู้ความเข้าใจสู่ภูมิภาคและท้องถิ่นอย่างทั่วถึง ทั้งเรื่องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานรูปแบบอื่นที่เหมาะสมกับท้องถิ่น
4.6 ให้ความรู้ความเข้าใจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในเรื่องพลังงานทางเลือก ทั้งด้านนโยบายของรัฐ การผลิต การใช้ การกำกับดูแลความปลอดภัย และการจัดการป้องกันผลกระทบ เช่น ก๊าซธรรมชาติ แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล ถ่านหิน นิวเคลียร์ เป็นต้น
4.7 ในปี 2550 คาดว่าจะมีประมาณการรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 3,487,758,344 บาท ประกอบด้วย
1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | |||
ล้านบาท | ล้านบาท | ล้านบาท | |||
1.1 งานศึกษาวิจัยและ | 2.1 งานศึกษาวิจัยและ | 3.1 งานศึกษาเชิงนโยบาย | |||
พัฒนาด้านเทคนิค | 356.22 | พัฒนาด้านเทคนิค | 239.00 | และวิชาการ | 102.00 |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 1,541.05 | 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 548.11 | 3.2 งานบริหารกองทุน | 85.52 |
1.3 งานพัฒนาบุคลากร | 34.50 | 2.3 งานพัฒนาบุคลากร | 180.35 | 3.3 งานอื่นๆ | - |
และประชาสัมพันธ์ | 156.00 | และประชาสัมพันธ์ | 180.00 | ||
1.4 งานบริหารแผนงาน | 42.50 | 2.4 งานบริหารแผนงาน | 22.50 | ||
รวม | 2,130.27 | รวม | 1,169.96 | รวม | 187.52 |
โดยจัดสรรให้ 3 หน่วยงาน คือ พพ. สนพ. และกรมบัญชีกลาง นำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ดังนี้
หน่วยงาน | 1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
1) พพ. | 1,600,772,500 | 697,350,000 | - | 2,298,122,500 |
2) สนพ. | 529,500,000 | 472,611,000 | 186,405,104 | 1,188,516,104 |
3) กรมบัญชีกลาง | - | - | 1,119,740 | 1,119,740 |
รวม | 2,130,272,500 | 1,169,961,000 | 187,524,844 | 3,487,758,344 |
ทั้งนี้ ให้แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายภายในแผนงาน/งานเดียวกันได้
4.8 สรุปผลที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินการในปี 2550 จะสามารถลดปริมาณการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ลง 541 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และจะนำพลังงานทดแทนมาใช้เพิ่มขึ้น 550 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ภายในปี 2550
5. ฐานะการเงินกองทุนฯ ในช่วงปี 2550-2554
5.1 ในช่วงปี 2535-2540 กพช. กำหนดอัตราจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนฯ ไว้ที่ 7 สตางค์/ลิตร เป็นช่วงที่การดำเนินงานอนุรักษ์พลังงานยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เพราะรอการออกกฎกระทรวง รอการจัดทำระเบียบและหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินให้เรียบร้อย จึงทำให้ฐานะการเงินของกองทุนฯ มีรายรับสูงกว่ารายจ่ายมาก ซึ่งในเดือนกรกฎาคม 2540 สถานการรายได้ของรัฐไม่เพียงพอกับงบประมาณที่ตั้งไว้ในปี 2540 และ 2541 กพช. จึงได้เก็บเพิ่มอัตราภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง และให้ลดอัตราการเงินส่งเข้ากองทุนฯ เป็นอัตรา 4 สตางค์ต่อลิตร เป็นการชั่วคราว เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันในช่วงเวลานั้น
การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในช่วงที่ผ่านมา ยังมีสภาพคล่องเพราะมีเงินสะสมมาจากช่วงปี 2535-2540 ที่รายรับสูงกว่ารายจ่ายมาก ปัจจุบันวงเงินดังกล่าวได้มีการใช้จ่ายออกไปตามแผนฯ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ฐานะการเงินของกองทุนฯ ณ 30 กันยายน 2549 เมื่อประเมินกับรายรับของกองทุนฯ ที่เก็บในอัตรา 4 สตางค์/ลิตร จะไม่เพียงพอรองรับกับแผนการดำเนินงานในช่วงต่อไป
5.2 เพื่อช่วยเหลือและส่งเสริมให้มีการผลิตและใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนก่อให้เกิดการผลิตอุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ในการอนุรักษ์พลังงานขึ้นภายในประเทศ และเร่งรัดให้การดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายตามแผนฯ คาดว่าจะขอจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ประมาณ 12,488 ล้านบาท (ปี 2550-2554) และจากสถิติการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ย 3,521 ล้านบาท/ปี เมื่อนำมาเป็นฐานการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ล่วงหน้าแต่ละปี ในระยะเวลา 5 ปี โดยประมาณการรายรับของกองทุนฯ จากปัจจุบันที่กำหนดอัตราเก็บเงินเข้ากองทุนฯ 4 สตางค์/ลิตร หรือประมาณ 1,300-1,400 ล้านบาท/ปี จึงสรุปฐานะการเงินของกองทุนฯ ในช่วง 2550-2554 ได้ดังนี้
ปีงบประมาณ | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | รวม |
1. เงินคงเหลือยกมาต้นปี | 4,915 | (514) | (2,554) | (3,081) | (3,493) | 4,915 |
2. ประมาณการรายรับล่วงหน้า | 1,287 | 1,314 | 1,342 | 1,370 | 1,399 | 6,711 |
3. เงินทุนหมุนเวียนรอรับคืนจาก พพ. | 413 | 937 | 1,080 | 986 | 936 | 4,351 |
รวมรับ | 1,699 | 2,251 | 2,421 | 2,356 | 2,335 | 4,351 |
4. รายจ่าย ประกอบด้วย | ||||||
4.1 รายจ่ายผูกพัน ปี 2538-2547 | 558 | 468 | 398 | 265 | 76 | 1,764 |
4.2 รายจ่ายผูกพัน ปี 2548-2549 | 3,082 | 824 | 551 | 503 | - | 4,959 |
4.3 ประมาณการรายจ่ายล่วงหน้า | 3,488 | 3,000 | 2,000 | 2,000 | 2,000 | 12,488 |
รวมจ่าย | 7,128 | 4,291 | 2,948 | 2,768 | 2,076 | 19,212 |
5. เงินคงเหลือปลายปี ยกไป | (514) | (2,554) | (3,081) | (3,493) | (3,235) | (3,235) |
5.3 เมื่อพิจารณาสถานการงบประมาณของประเทศในปัจจุบันค่อนข้างมั่นคงแล้ว และเพื่อให้ฐานะทางการเงินของกองทุนฯ เพิ่มขึ้นสู่ระดับเดิมและสอดคล้องกับการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ เป็นอัตรา 7 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซล และเตาที่ผลิตในประเทศและนำเข้า และอัตรา 6.3 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ซึ่งจะทำให้ฐานะการเงินของกองทุนฯ ในช่วง 2-3 ปีแรก รายจ่ายยังสูงกว่ารายรับ แต่จากการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ แต่ละปี พบว่าเบิกจ่ายได้เฉลี่ยร้อยละ 70 ของงบประมาณประจำปีที่ได้รับ ซึ่งเมื่อนำมาประมาณการฐานะการเงินในช่วง ปี 2550-2554 ก็เห็นว่าการกำหนดอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ ที่ระดับอัตรา 7 สตางค์ต่อลิตร ก็น่าจะสอดคล้องกับการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ
หน่วย : ล้านบาท
ปีงบประมาณ | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | รวม |
1. เงินคงเหลือยกมาต้นปี | 4,915 | 1,348 | (4) | 25 | 491 | 4,915 |
2. ประมาณการรายรับล่วงหน้า | 2,102 | 2,149 | 2,198 | 2,248 | 2,299 | 10,995 |
3. เงินทุนหมุนเวียนรอรับคืนจาก พพ. | 413 | 937 | 1,080 | 986 | 936 | 4,351 |
รวมรับ | 2,514 | 3,086 | 3,277 | 3,233 | 3,235 | 4,351 |
4. รายจ่าย ประกอบด้วย | ||||||
4.1 รายจ่ายผูกพัน ปี 2538-2547 | 558 | 468 | 398 | 265 | 76 | 1,764 |
4.1 รายจ่ายผูกพัน ปี 2548-2549 | 3,082 | 824 | 551 | 503 | - | 4,959 |
4.3 ประมาณการรายจ่ายล่วงหน้า | 2,441 | 3,146 | 2,300 | 2,000 | 2,600 | 12,488 |
รวมจ่าย | 6,081 | 4,438 | 3,248 | 2,768 | 2,676 | 19,212 |
5. เงินคงเหลือปลายปี ยกไป | 1,348 | (4) | 25 | 491 | 1,049 | 1,049 |
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน และกรอบการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในช่วงปี 2550-2554 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ และก่อนนำเสนอ กพช. ให้ สนพ. ปรับลดเป้าหมายพลังงานแสงอาทิตย์ลงเป็น 45 MW เพิ่มเป้าหมายของพลังงานลมเป็น 115 MW ปรับลดเป้า NGV เป็น 251,600 คัน สำหรับแนวทางดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในขนส่งนั้น เห็นชอบกรอบแผนงานตามที่เสนอ และเมื่อแผนงานทางกระทรวงคมนาคมชัดเจนขึ้นแล้ว คณะกรรมการกองทุนฯ จะพิจารณารายละเอียดภายหลัง
2. อนุมัติแผนอนุรักษ์พลังงาน และงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2550 ในวงเงินรวม 3,484,538,344 บาท โดยจัดสรรให้ พพ. สนพ. และกรมบัญชีกลาง ประกอบด้วย
หน่วย : บาท
หน่วยงาน | 1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
1) พพ. | 1,597,552,500 | 697,350,000 | - | 2,294,902,500 |
2) สนพ. | 529,500,000 | 472,611,000 | 186,405,104 | 1,188,516,104 |
3) กรมบัญชีกลาง | - | - | 1,119,740 | 1,119,740 |
รวม | 2,127,0522,500 | 1,169,961,000 | 187,524,844 | 3,484,538,344 |
ทั้งนี้ ให้แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายภายในแผนงาน/งานเดียวกันได้
3. สำหรับค่าใช้จ่ายในงานบริหารของทั้ง 3 แผนงาน อนุมัติให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2549 โดยให้แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในหมวดต่าง ๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม และในส่วนงบประมาณรายจ่ายปี 2550 ที่ พพ. และ สนพ. ได้รับ ให้ สามารถโอนเปลี่ยนแปลงรายจ่ายระหว่างหน่วยงานและหรือให้หน่วยงานในกระทรวงพลังงานรับไปดำเนินการได้ โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
4. อนุมัติให้โครงการที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปแล้ว สามารถเปลี่ยนแปลงรายละเอียดได้ โดยให้คณะอนุกรรมการกองทุนฯ เป็นผู้พิจารณารายละเอียดและให้ความเห็นชอบในการเปลี่ยนแปลงนั้น
5. ให้ สนพ. และ พพ. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานให้ฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อสรุปรายงานคณะอนุกรรมการฯ ทุก 3 เดือน และคณะกรรมการกองทุนฯ ทุก 6 เดือน
6. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้ทุนอุดหนุนวิจัย ร่วมพิจารณากับคณะอนุกรรมการกองทุนฯ อีกครั้ง ก่อนดำเนินการ เนื่องจากแผนอนุรักษ์พลังงานปีงบประมาณ 2550 มีบางโครงการที่จะดำเนินการ อาจมีความซ้ำซ้อน หรืออาจจะเคยมีการศึกษาวิจัยไปแล้ว
ฝ่ายเลขานุการฯ ต่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดทราบผลการดำเนินงานของโครงการระยาวและได้ผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการกองทุนฯ แล้วในการประชุมครั้งที่ 2/2549 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 และ ครั้งที่ 3/2549 เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2549 รวม 4 โครงการ ดังต่อไปนี้
1. โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3
1.1 คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2544 เมื่อ 19 กันยายน 2444 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในวงเงินรวม 853 ล้านบาท เพื่อดำเนินการส่งเสริมการลงทุนให้เจ้าของฟาร์มสุกรขนาดกลาง (มีสุกร 500-5,000 ตัว) และขนาดใหญ่ (มีสุกรมากกว่า 5,000 ตัว) นำน้ำเสียและมูลสุกรไปผ่านระบบบำบัดและผลิตได้ก๊าซชีวภาพมาใช้ประโยชน์เป็นพลังงานทดแทนด้านความร้อนและนำไปผลิตไฟฟ้า โดยในเวลา 8 ปี จะติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพให้สามารถรองรับของเสียจากสุกรขุนได้ 2 ล้านตัว หรือคิดเป็น 70-80% ของปริมาณสุกรที่เลี้ยงอยู่ในฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยแบ่งกิจกรรมออกเป็น
วงเงินรวม | ส่วนที่ 1: | ส่วนที่ 2: | ส่วนที่ 3: |
ฟาร์มขนาดใหญ่ | ฟาร์มขนาดกลาง | ศูนย์การเรียนรู้ | |
348 ล้านบาท | 419 ล้านบาท | 86 ล้านบาท | |
- ค่าบริหารงาน | 202 ล้านบาท | 118 ล้านบาท | |
- เงินอุดหนุนผู้เข้าร่วมโครงการฯ | 146 ล้านบาท (18% ของค่าก่อสร้าง) |
169 ล้านบาท (15% ของค่าก่อสร้าง) |
|
- ค่าบริษัทที่ปรึกษา | - | 132 ล้านบาท | |
- ศูนย์การเรียนรู้ เครื่องมือทดสอบ | 86 ล้านบาท |
1.2 คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบผลการดำเนินงานปีที่ 2 ตามที่ มช. เสนอมา และผลประเมินจาก บริษัท อีอาร์เอ็มสยาม จำกัด ที่อยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งด้านเทคโนโลยี ผลตอบแทนการลงทุน ความสามารถในการทดแทนเชื้อเพลิง ประสิทธิภาพของเจ้าของโครงการฯ ผลกระทบของโครงการฯ ที่มีต่อปัจจัยอื่นๆ ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม คณะอนุกรรมการฯ จึงเห็นชอบให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้การสนับสนุนการดำเนินงานปีต่อไป มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
2. โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ
2.1 กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ในวงเงินรวม 50 ล้านบาท เพื่อทำการศึกษาวิจัย โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (ปี 2548- 2552) โดยมีเป้าประสงค์ดังนี้
(1) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility) ทั้งด้านสถานภาพของระบบการปลูก การผลิตพืชน้ำมัน ที่มีศักยภาพในพื้นที่นอกเขตภาคใต้และมีปริมาณฝนน้อย เช่นในพื้นที่ภาคเหนือ
(2) เพื่อศึกษากระบวนการสกัดแปรรูปน้ำมันดิบของโรงงานขนาดพอเหมาะแก่ชุมชน เพื่อทำน้ำมัน ไบโอดีเซล ทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อม
(3) เพื่อจัดทำศูนย์เรียนรู้ชุมชน (Farm model) ที่มีแบบจำลอง Process-based ของปาล์มน้ำมันและสบู่ดำ เพื่อการปลูกและผลิตไบโอดีเซลครบวงจร
2.2 คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบผลการดำเนินงานปีที่ 1 ตามที่ มช. เสนอมา และผลประเมินจากคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์ ที่มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับ 4 และประสิทธิผลอยู่ในระดับ 3 คะแนน จาก 5 คะแนนเต็ม คณะอนุกรรมการฯ จึงเห็นชอบให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้การสนับสนุนการดำเนินงานปีต่อไป
3. โครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม
3.1 คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2541 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม ในวงเงินรวม 145.76 ล้าน ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนนักศึกษาที่ได้รับทุนทั้งสิ้น 276 คน แบ่งเป็นระดับปริญญาเอก 135 คน (เป้าหมาย 120 คน) และระดับปริญญาโท 141 คน (เป้าหมาย 210 คน) โดยมีผู้สำเร็จการศึกษา 94 คน แบ่งเป็นระดับปริญญาเอก 27 คน และระดับปริญญาโท 67 คน ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากเป็นหลักสูตรที่เน้นการวิจัย และต้องรอการตีพิมพ์ผลงานให้ครบตามเงื่อนไขจึงจะสำเร็จการศึกษาได้
3.2 คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบผลการดำเนินงานปีที่ 4 ตามที่ มจธ. เสนอมา และผลประเมินจาก Asia Policy Research Co.,Ltd. เป็นที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาระบบติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน (Performance Monitoring System) ของ JGSEE ที่อยู่ในระดับดีโดยเฉพาะด้านบริหารจัดการมีโครงสร้างองค์กรที่ดีและเป็นทางการ มีแผนกลยุทธ์ที่จะนำไปสู่เป้าหมาย การพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง คณะอนุกรรมการฯ จึงเห็นชอบให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้การสนับสนุนการดำเนินงานปีต่อไป
4. การลงทุนอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมของ 3 หน่วยงาน
4.1 ในช่วงปี 2535-2548 กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนแก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าในการศึกษา วางแผนและการลงทุนในการอนุรักษ์พลังงานในแต่ละอาคาร และผู้ได้รับการสนับสนุนที่เป็นหน่วยงานราชการจะต้องทำหนังสือยืนยันกับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ( พพ.) ต่อมาคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 1) เมื่อ 26 มกราคม 2548 มีมติให้ระงับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานแก่เจ้าของอาคารควบคุม ในกรณีที่ยังไม่ดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2548 เป็นต้นไป พพ. ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการดำเนินงานฯ ได้ออกหนังสือแจ้งเตือนไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่ พพ. ได้แจ้งยืนยันไปแล้วว่าจะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยขอให้หน่วยงาน เร่งดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างพร้อมส่งคู่สัญญาจ้างให้ พพ. ตามระยะเวลาที่ระบุในหนังสือแจ้งยืนยันการขอรับการสนับสนุน โดยมีหน่วยงานที่ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้กับผู้รับจ้างได้ โดยมีประเด็นปัญหาในแต่ละกรณีดังนี้
(1) กรณีจังหวัดกระบี่: ได้ทำสัญญาว่าจ้าง บริษัท เค แอนด์ พี ซินเซียริตี้ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นผู้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานอาคารโรงพยาบาลกระบี่ ในวงเงิน 2,248,331 บาท ตามสัญญาเลขที่ 69/2548 ลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2548 แต่ พพ. ได้มีหนังสือด่วนมากที่ พน 0504/50840 ลงวันที่ 19 กันยายน 2548 แจ้งยกเลิกการสนับสนุนโรงพยาบาลกระบี่ เพราะไม่ได้รับหนังสือส่งคู่สัญญาจ้างของจังหวัดกระบี่
(2) กรณีกรมยุทธโยธาทหารบก : ได้ทำสัญญาว่าจ้าง 2 บริษัท คือ (1) บริษัท อี อี แอนด์ ไอ คอนซัลแตนท์ จำกัด 3,189,000 บาท และ (2) บริษัท จินตรงค์ จำกัด 719,967 บาท เป็นผู้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน อาคารของมณฑลทหารบกที่ 23 (ค่ายศรีพัชรินทร) จ.ขอนแก่น ตามสัญญา อ. 11/2547 ลงนามวันที่ 14 มกราคม 2548 และกรมรบพิเศษที่ 1 (ค่ายวชิราลงกรณ์) จ.ลพบุรี ตามสัญญา อ. 25/2547 ลงนามวันที่ 24 มกราคม 2548 ตามลำดับ แต่ พพ. แจ้งยกเลิกการสนับสนุน กรมยุทธโยธาทหารบกจึงยังไม่สามารถเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้กับผู้รับจ้างได้
4.2 คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาแล้ว มีความเห็นว่าปัญหาดังกล่าวเกิดจากความคลาดเคลื่อนในระหว่างการจัดส่งเอกสารระหว่างหน่วยงาน ประกอบกับการลงทุนอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารโรงพยาบาลกระบี่ ในวงเงิน 2,248,331 บาท และการลงทุนอนุรักษ์พลังงานในอาคารมณฑลทหารบกที่ 23 (ค่ายศรีพัชรินทร) จ.ขอนแก่น และอาคารกรมรบพิเศษที่ 1 (ค่ายวชิราลงกรณ์) จ.ลพบุรี ในวงเงินรวม 3,908,967 บาท นั้น ก่อให้เกิดการลดใช้พลังงานคิดเป็นมูลค่า 1,155,400 บาท/ปี จึงเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้การสนับสนุน
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3 ครั้งที่ 2 ตามที่ มช. เสนอมา และอนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน "โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3" ในส่วนบริหารโครงการฯ ให้ มช. ในวงเงินรวม 78,143,841 บาท ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 ฟาร์มขนาดใหญ่ งวดที่ 6-9 ในวงเงิน 60,623,000 บาท และส่วนที่ 2 ฟาร์มขนาดกลาง งวดที่ 8-11 ในวงเงิน 17,520,841 บาท
2. เห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ปีที่ 1 ตามที่ มช. เสนอมา และอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนงานโครงการฯ ในปีที่ 2 ในวงเงิน 8,346,000 บาท
3. เห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม ปีที่ 4 ตามที่ มจธ. เสนอมา และอนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์และห้องปฏิบัติการ โครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม ปีที่ 5 ให้ มจธ. ในวงเงิน 18,811,500 บาท และเห็นชอบให้ มจธ. ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ จากเดิมสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2549 เป็นเดือนกันยายน 2550
4. อนุมัติให้ พพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้จังหวัดกระบี่ เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารโรงพยาบาลกระบี่ ในวงเงิน 2,248,331 บาท ตามสัญญาเลขที่ 69/2548 ลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2548 โดยใช้งบประมาณที่ได้ผูกพันไว้แล้วต่อไป
5. อนุมัติให้ พพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กองทัพบก เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารมณฑลทหารบกที่ 23 (ค่ายศรีพัชรินทร) จ.ขอนแก่น ในวงเงิน 3,189,000 บาท ตามสัญญาเลขที่ อ.11/2547 ลงวันที่ 14 มกราคม 2548 โดยใช้งบประมาณที่ได้ผูกพันไว้แล้วต่อไป
6. อนุมัติให้ พพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กองทัพบก เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารกรมรบพิเศษที่ 1 (ค่ายวชิราลงกรณ์) จ.ลพบุรี ในวงเงิน 719,967 บาท ตามสัญญาเลขที่ อ.25/2547 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2548 โดยใช้งบประมาณที่ได้ผูกพันไว้แล้วต่อไป
7. เห็นชอบให้ พพ. ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุนในการอนุรักษ์พลังงานตามเป้าหมายและแผนฯ ตามข้อ 4 - ข้อ 6 โดยให้สามารถเบิกจ่ายเงินภายในระยะเวลา 3 เดือน นับจากวันที่ได้รับหนังสือแจ้งมติคณะกรรมการกองทุนฯ ด้วย
เรื่องที่ 5 ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า มีอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 2 ท่าน ได้ขอลาออกจากการเป็นอนุกรรมการฯ ได้แก่ นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ และ นายมานิจ ทองประเสริฐ เพื่อให้การดำเนินการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ในการประชุมครั้งที่ 6/2549 (ครั้งที่ 29) เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2549 ที่ประชุมได้มีมติให้เปลี่ยนชื่อคณะอนุกรรมการฯ จากเดิมเป็น "คณะอนุกรรมการประเมินผลโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน" โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการ ดังนี้
1. องค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ
(1) | นายจุลละพงษ์ จุลละโพธิ | ประธานอนุกรรมการ |
(2) | นายปิยะวัติ บุญ-หลง | อนุกรรมการ |
(3) | นายศุภชาติ จงไพบูลย์พัฒนะ | อนุกรรมการ |
(4) | นายธีระพงษ์ วิกิตเศรษฐ | อนุกรรมการ |
(5) | นายทนงเกียรติ เกียรติศิริโรจน์ | อนุกรรมการ |
(6) | นายสมชาติ โสภณรณฤทธิ์ | อนุกรรมการ |
(7) | นายกล้าณรงค์ ศรีรอต | อนุกรรมการ |
(8) | ผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | อนุกรรมการและเลขานุการ |
2. อำนาจและหน้าที่ของคณะอนุกรรมการ
(1) พิจารณาให้ความเห็นชอบในการจ้างที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลการดำเนินงานของโครงการ ที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ตามหลักเกณฑ์ และวงเงินที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนด
(2) ประเมินผลการดำเนินงานของโครงการที่ได้รับการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ เป็นรายโครงการ
(3) เสนอข้อพิจารณาประกอบรายงานการประเมินผลของโครงการที่ได้รับการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ เป็นรายโครงการ และนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ
(4) มีอำนาจแต่งตั้งคณะทำงาน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่คณะอนุกรรมการฯ มอบหมาย
(5) ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ มอบหมาย
ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะอนุกรรมการดังกล่าว ให้มีอำนาจเชิญผู้แทนของส่วนราชการ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อชี้แจงรายละเอียดในข้อเท็จจริง คำอธิบาย คำแนะนำ หรือจัดส่งเอกสารตามที่เห็นสมควร
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน เป็นคณะอนุกรรมการประเมินผลโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ตามที่คณะอนุกรรมการฯ เสนอ และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดังกล่าว เสนอต่อประธานกรรมการกองทุนฯ เพื่อลงนามต่อไป
อนุ กอ. ครั้งที่ 5 - วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวามคม 2549
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 4/2549 (ครั้งที่ 5)
วันที่ 14 ธันวาคม 2549 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ขอความเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานและการจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายประจำปีงบประมาณ 2550
2. เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
3. รายงานความก้าวหน้าโครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow สำหรับการลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด การผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก รถประจำทางไฟฟ้า และเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
1. ตามที่คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้ง 3/2549 (ครั้งที่ 4) เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2549 ได้พิจารณาแผนอนุรักษ์พลังงานและงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 แล้วและให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำใหม่ที่แสดงให้เห็นภาพรวมทั้งหมด โดยนำแผนงานที่เสนอของบประมาณแผ่นดินมารวมไว้ด้วย จะได้ทราบว่าแผนงานที่ใช้จ่ายจากเงินกองทุนฯ ได้ไปช่วยเสริมหรือสอดคล้องกับแผนงานตามงบประมาณในส่วนใด รวมถึงกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดความสำเร็จของการดำเนินงานในแต่ละแผนงานให้ชัดเจน และมีความคุ้มค่าในการลงทุน
ในการจัดทำแผนฯ เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ นั้น ควรเพิ่มรายละเอียดของงานที่ยังไม่ชัดเจน และลดความซ้ำซ้อนของงานที่ดำเนินการโดยหลายหน่วยงาน เช่น งานจัดการด้านการใช้ไฟฟ้าหรือการติดฉลาก งานประชาสัมพันธ์ การเพิ่มเติมรายละเอียดของโครงการพัฒนาและส่งเสริมชีวภาพ เป็นต้น โดยผ่านการพิจารณาให้คำแนะนำจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ประกอบด้วย คุณพรายพล คุ้มทรัพย์, คุณเจน นำชัยศิริ และ คุณจุลละพงศ์ จุลละโพธิ แล้วให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำกลับมาเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งในวันที่ 14 ธันวาคม 2549
2. คณะผู้ทรงคุณวุฒิ พร้อมด้วยอธิบดี พพ. และ ผอ.สนพ. ได้ประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2549 เพื่อดำเนินการตามที่คณะอนุกรรมการฯ มอบหมาย โดยการพิจารณาความเหมาะสมของกิจกรรม/งาน/โครงการด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนตามที่เสนอมานั้น มีข้อจำกัดมาก ด้วยคณะผู้ทรงคุณวุฒิทราบเป้าหมายโดยรวมเชิงนโยบาย แต่ในรายละเอียดของแผนงาน หน่วยงานไม่ได้เสนอการทบทวนงานที่ได้ทำไปแล้ว ผลสัมฤทธิ์ ปัญหาอุปสรรค ทั้งที่หน่วยงานดำเนินการเองและที่หน่วยงานอื่นหรือภาคเอกชนดำเนินการ นอกจากนั้นโครงการที่เสนอมาส่วนใหญ่ยังไม่ชัดเจนทั้งในรายละเอียดและตัวชี้วัดผลงาน คณะผู้ทรงคุณวุฒิจึงพิจารณาแบ่งเป็น
2.1 โครงการที่ควรมีรายละเอียดเพิ่มเติมให้ชัดเจน ทั้งด้านแผนงานวิธีดำเนินการ เป้าหมาย ตัวชี้วัด และรายละเอียดงบประมาณ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ พพ. เสนอในลักษณะที่มีโครงการย่อยรวมอยู่ด้วย มีเนื้องานที่ไม่ชัดเจน ไม่ได้แยกรายละเอียดงบประมาณแต่ละกิจกรรมและรายการ หรือมีงบประมาณประชาสัมพันธ์รวมอยู่ด้วยซึ่งอาจจะเร็วเกินไป จึงเห็นควรให้ พพ. จัดทำรายละเอียดให้เรียบร้อยก่อนเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณา หรืออาจจะเห็นชอบกรอบงานและกรอบเงินงบประมาณไปก่อน แล้วจัดทำรายละเอียดมาเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งก่อนดำเนินการ
2.2 โครงการที่ควรรอผลประเมินก่อนดำเนินการ ซึ่งเป็นโครงการที่ พพ. เสนอขอค่าใช้จ่ายเพื่อประเมินผลไว้ จึงเห็นว่าคณะอนุกรรมการฯ อาจเห็นชอบกรอบงานและกรอบเงินงบประมาณไปก่อน โดยมีเงื่อนไขให้ พพ. ดำเนินการประเมินผลให้เรียบร้อย แล้วจัดทำรายละเอียดของแผนงานโครงการนั้นๆ ให้สอดคล้องกับผลประเมิน และให้ฝ่ายเลขานุการฯ สรุปเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบก่อนที่ พพ. จะดำเนินการโครงการนั้นต่อไป
2.3 โครงการที่ควรเพิ่มเติมข้อมูลงานศึกษาวิจัยที่มีผู้ดำเนินการไว้แล้ว เปรียบเทียบกับขอบเขตงานวิจัยที่ พพ. จะดำเนินการ ผลที่คาดว่าจะได้รับ การใช้ประโยชน์จากงานวิจัย เป้าหมายและตัวชี้วัด แล้วเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบก่อนที่ พพ. จะดำเนินการโครงการนั้นต่อไป
2.4 โครงการที่ควรเพิ่มเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องดำเนินการ โดยเฉพาะโครงการศึกษาเกณฑ์มาตรฐานเพิ่มเติมในกลุ่มอุตสาหกรรม 3 ประเภท และโครงการนำร่องนำเกณฑ์มาตรฐานไปสาธิตการใช้งานในกลุ่มอุตสาหกรรม 9 ประเภท เพราะในปี 2550 เข้าใจว่า พพ. กำลังจะนำมาตรฐานการจัดการใช้พลังงานที่ศึกษาไว้เรียบร้อยแล้ว มาใช้ประเมินประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงาน/อาคาร
2.5 โครงการที่ไม่ควรสนับสนุนการดำเนินงาน เนื่องจากมีผลการดำเนินงานที่พิสูจน์ทราบแล้ว หรือเป็นค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อน ได้แก่ โครงการศึกษาการผลิตแก๊สเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าจากไม้โตเร็ว โครงการส่งเสริมเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดในโรงงานอุตสาหกรรม และโครงการส่งเสริมเทคโนโลยีพลังงานทดแทนในรูปแบบการ์ตูน โครงการสนับสนุนการพัฒนาองค์กรสมรรถนะสูง
2.6 โครงการที่ พพ. และ สนพ. เสนอที่จะดำเนินการในลักษณะและเป้าหมายที่ใกล้เคียงกัน 4 โครงการ ดังนี้
- โครงการลดใช้พลังงานในภาครัฐ : พพ. และ สนพ. ได้ชี้แจงรายละเอียดของงานซึ่งไม่มีความเหลื่อมหรือซ้ำซ้อนกันคณะผู้ทรงคุณวุฒิทราบและเข้าใจเรียบร้อยแล้ว
- โครงการศึกษาการจัดการและจัดเตรียมเชื้อเพลิงชีวมวล : ซึ่งมีความซ้ำซ้อนกันในส่วนของภาพรวม แต่เนื่องจากผลจากงานศึกษาของ สนพ. จะได้แนวทางที่ครอบคลุมถึงเสถียรภาพด้านเชื้อเพลิงและราคา โอกาสความเป็นไปได้ของระบบโซนนิ่งรวมถึงการจัดการระบบโลจิสติกส์ คณะผู้ทรงคุณวุฒิจึงเห็นว่าควรให้ สนพ. เป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการ
- โครงการที่เกี่ยวกับการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้าหรือติดฉลากวัสดุ อุปกรณ์ : เห็นควรรอผลสรุปจากการประชุมของกระทรวงพลังงาน
- โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานทางเลือก: ซึ่งมีความซ้ำซ้อนกัน เห็นควรให้คณะทำงานประชาสัมพันธ์ของกระทรวงพลังงานดูในรายละเอียดของทั้ง 2 หน่วยงาน ก่อนดำเนินการ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมให้งานประชาสัมพันธ์มีประสิทธิภาพขึ้น
2.7 ควรมีการจัดระเบียบ รูปแบบ และหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ เพื่อให้เกิดวินัย และใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพราะทุกโครงการของ พพ. ระบุว่า "สามารถดำเนินการโดยการว่าจ้าง หรือดำเนินการเอง หรือการให้การสนับสนุน หรือนำมาจัดสรร หรือดำเนินการหลายวิธีข้างต้นประกอบกันได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้แต่ละวิธีสามารถแยกดำเนินการได้หลายรายการ และหากมีความจำเป็น ให้ พพ. สามารถขยายเวลาได้ตามความเหมาะสม"
2.8 ไม่สามารถให้ความเห็นในเรื่องความเหมาะสมของวงเงินและการใช้ทรัพยากรได้ ให้เป็นหน้าที่ของผู้รับจัดสรรเงินที่ต้องพิสูจน์ว่าสิ่งที่ได้เสนอขอไว้นั้นมีความเหมาะสม
2.9 รับทราบเรื่องที่ พพ. ได้แจ้งต่อที่ประชุมเพื่อขอใช้วงเงินที่ปรับลดลงจากโครงการต่างๆ ไปใช้ดำเนินการโครงการสาธิตผลิตไฟฟ้าโดยใช้ประโยชน์จากน้ำท้ายเขื่อนชลประทาน
2.10 กระทรวงพลังงานได้ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการด้านมาตรฐานการใช้พลังงาน ประกอบด้วย กฟผ. พพ. และ สนพ. เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2549 เพื่อทราบงานที่แต่ละหน่วยงานได้ดำเนินการไว้ ความซ้ำซ้อนของงาน ปัญหาอุปสรรค และได้ปรับกระบวนการบริหารจัดการเพื่อขับเคลื่อนให้งานมาตรฐานการใช้พลังงานมีความก้าวหน้าเร็วขึ้น ดังนี้
1) ให้ พพ. ศึกษาทบทวนและเร่งกำหนดกฎกระทรวงเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
2) ให้ กฟผ. มีหน้าที่ในการติดฉลากแสดงประสิทธิภาพพลังงาน ส่งเสริมการผลิตและการจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง
3) ให้ พพ. มีหน้าที่ในการติดฉลากแสดงประสิทธิภาพพลังงาน ส่งเสริมการผลิตและการจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องใช้พลังงานอื่นๆ (ที่ไม่ใช่พลังไฟฟ้า) ประสิทธิภาพสูง และให้ สนพ. มอบงานติดฉลากเตาหุงต้ม LPG และฉลากรถยนต์ ในระยะต่อไปให้ พพ. รับไปดำเนินการ
4) ปรับปรุงองค์ประกอบคณะทำงานด้านมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน แต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อทำหน้าที่พิจารณามาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน การติดฉลาก การส่งเสริมการผลิตและจำหน่าย โดยมีปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นคณะทำงาน และ พพ. เป็นฝ่ายเลขานุการ
5) ให้ สนพ. ทำหน้าที่ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานให้คณะทำงานฯ คณะอนุกรรมการกองทุนฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ ทราบความก้าวหน้าของการดำเนินงานเป็นระยะ
6) ให้ พพ. และ สนพ. ปรับแผนงานและงบประมาณที่จะเสนอขอจัดสรรจากกองทุนฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการด้านมาตรฐานการใช้พลังงานหรือการติดฉลากต่างๆ พร้อมนี้ได้ให้ พพ. เร่งส่งเสริมเผยแพร่การใช้เตาหุงต้มประสิทธิภาพสูง เพื่อใช้แทนเตาหุงต้มแบบเดิม ที่ยังไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจังด้วย
3. พพ. และ สนพ. ได้ปรับรายละเอียดกิจกรรม/งาน/โครงการด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ตามที่คณะผู้ทรงคุณวุฒิให้คำแนะนำไว้ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงนำมาเสนอที่ประชุมเพื่อพิจารณาโดยคาดว่าจากการดำเนินการดังกล่าวจะสามารถลดปริมาณการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ลง 209.37 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และจะนำพลังงานทดแทนมาใช้เพิ่มขึ้น 25.7 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ภายในปี 2550 โดยมีตัวชี้วัดผลสำเร็จของการดำเนินงาน ดังนี้
ด้านเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
(1) กฎกระทรวงได้รับการแก้ไขให้สามารถเริ่มบังคับใช้กฎหมายควบคุมกับโรงงาน/อาคาร ที่อยู่ในข่ายควบคุมได้ ทั้งที่กำลังใช้งาน และออกแบบก่อสร้างใหม่
(2) ออกกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานการจัดการพลังงานประกาศบังคับใช้ในโรงงานควบคุม ภายในปี 2550
(3) ร้อยละ 75 ของโรงงาน/อาคารที่อยู่ในข่ายควบคุมดำเนินการตามกฎหมาย จัดทำแผนและเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานส่งให้ พพ.
(4) กฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จะมีการประกาศบังคับใช้กับ โทรทัศน์ หม้อหุงข้าว เครื่องทำน้ำอุ่น เตาหุงต้มที่ใช้ LPG เตาอบไมโครเวฟ
(5) ปรับระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศและตู้เย็นให้เข้มข้นขึ้น โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการในการติดฉลากใหม่
(6) สามารถดำเนินการให้กฎหมายของ สมอ. พิจารณากำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักรและเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพด้านพลังงานด้วย โดยในปี 2550 ประกาศใช้มาตรฐานขั้นต่ำกับบัลลาสต์ และหลอดฟลูออเรสเซนต์ และคอมแพคฟลูออเรสเซนต์
(7) หน่วยงานรัฐที่ใช้ไฟฟ้าตั้งแต่ 10,000 หน่วย/ปี จำนวน 450 หน่วยงาน จาก 1,800 หน่วยงาน มีความเข้าใจในวิธีตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานและสามารถดำเนินการลดใช้พลังงาน
(8) ร้อยละ 80 ของจำนวนประชาชนที่สุ่มสัมภาษณ์ (1,000 ตัวอย่าง ทั่วประเทศ) ที่รับรู้และเข้าใจถึงวิธีประหยัดพลังงาน ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการประหยัดพลังงานจนเป็นนิสัยมากขึ้น
ด้านพลังงานทดแทน
(1) สัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3 เป็น ร้อยละ 4
(2) ติดตั้งการใช้งานระบบพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ห่างไกล ให้กับ โรงเรียนชนบท ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน ฐานปฏิบัติการทางทหารและตำรวจตระเวนชายแดน สถานีอนามัย ได้รวม 200 กิโลวัตต์
(3) ทราบศักยภาพพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์มาผลิตไฟฟ้า
(4) ทราบแผนที่ศักยภาพพลังงานลมเฉพาะแหล่งในการผลิตไฟฟ้า ที่มีข้อมูลเชิงวิศวกรรมมากพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการตัดสินใจลงทุน
(5) ทราบแนวทาง/กระบวนการรวบรวมวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวลมาใช้งาน ที่คุ้มค่าในการลงทุน และแนวทางบริหารจัดการซื้อขายวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวล ตลอดจนเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในการรวบรวมทั้งในระดับอุตสาหกรรมและระดับชุมชน เพื่อนำไปสู่ตลาดการซื้อขายวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวลในอนาคต
(6) มีการผลิตและใช้ไบโอดีเซลในชุมชนกว่า 400 แห่ง และมีเครื่องต้นแบบการนำผลพลอยได้ไปใช้ประโยชน์ รวมถึงได้เครื่องต้นแบบระบบบำบัดน้ำเสียที่มีคุณภาพเหมาะสมกับชุมชน
(7) ได้แนวทางการจัดการปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับระบบการเก็บผสมและการขนส่งเอทานอลของประเทศที่มีประสิทธิภาพและมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ต่ำสุด ตลอดจนแนวทางการบริหารจัดการเอทานอลส่วนเกินจากความต้องการใช้ภายในประเทศ
(8) ร้อยละ 80 ของจำนวนประชาชนที่สุ่มสัมภาษณ์ (1,000 ตัวอย่าง ทั่วประเทศ) รู้จักและมั่นใจการเลือกใช้เชื้อเพลิงอื่นเช่น NGV ก๊าซโซฮอล์ และ ไบโอดีเซล รวมถึงรู้จักพลังงานทางเลือกมากขึ้น ทราบวิธีการจัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากกระบวนการผลิตและใช้พลังงาน และผ่อนคลายความกังวลที่มีต่อเชื้อเพลิงบางประเภท เช่น ถ่านหิน และอื่นๆ
4. การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปี 2550 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอนั้น คาดว่าจะมีประมาณการรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 3,346,857,344 บาท ประกอบด้วย
1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | |||
ล้านบาท | ล้านบาท | ล้านบาท | |||
1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 353.00 | 2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 216.00 | 3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 102.00 |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 1,503.98 | 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 481.00 | 3.2 งานบริหารกองทุน | 85.02 |
1.3 งานพัฒนาบุคลากร | 39.50 | 2.3 งานพัฒนาบุคลากร | 180.35 | 3.3 งานอื่นๆ | - |
และประชาสัมพันธ์ | 151.00 | และประชาสัมพันธ์ | 180.00 | ||
1.4 งานบริหารแผนงาน | 32.50 | 2.4 งานบริหารแผนงาน | 22.50 | ||
รวม 2,079.98 | รวม 1,079.85 | รวม 187.02 |
โดยจัดสรรให้ 3 หน่วยงาน คือ พพ. สนพ. และกรมบัญชีกลาง ดังนี้
หน่วยงาน | 1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
1) พพ. | 1,610,482,500 | 644,850,000 | - | 2,255,332,500 |
2) สนพ. | 469,500,000 | 435,000,000 | 185,905,104 | 1,090,405,104 |
3) กรมบัญชีกลาง | - | - | 1,119,740 | 1,119,740 |
รวม | 2,079,982,500 | 1,079,850,000 | 187,024,844 | 3,346,857,344 |
โดย สนพ. ลดงบประมาณลง 216 ล้านบาท และ พพ. ลดงบประมาณลง 100.22 ล้านบาท และ พพ. ของบประมาณใหม่สำหรับโครงการพลังน้ำและเผยแพร่เตาประสิทธิภาพสูง รวม 71.27 ล้านบาท
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้จัดทำทางเลือกเพื่อปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ จากเดิม 4 สตางค์/ลิตร เป็นอัตรา 7 และ 10 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งจากทางเลือกต่างๆ ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าการปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ เป็นอัตรา 7 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซล และเตาที่ผลิตในประเทศและนำเข้า และอัตรา 6.3 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ จะทำให้ฐานะทางการเงินของกองทุนฯ เพิ่มขึ้นสู่ระดับเดิมและสอดคล้องกับการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน
มติที่ประชุม
1. ให้ พพ. และ สนพ. ปรับแผนอนุรักษ์พลังงานและงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 ตามการพิจารณาของที่ประชุม และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ จากเดิมเก็บในอัตรา 4 สตางค์/ลิตร เป็น 7 สตางค์ต่อลิตร และเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบให้ค่าใช้จ่ายในงานบริหารของทั้ง 3 แผนงาน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2549 โดยแต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในหมวดต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
เรื่องที่ 2 เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว รวม 10 โครงการ ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้ ดังนี้
1. ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 7 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | เดิม | ขยายถึง | |
(1) | โครงการกำหนดเกณฑ์และจัดทำฉลากเตาหุงต้ม LPG ประสิทธิภาพสูง | มจธ. | กันยายน 2549 | กันยายน 2550 |
(2) | โครงการออกแบบประตูบานเกล็ดเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน | มจธ. | สิงหาคม 2549 | ธันวาคม 2549 |
(3) | โครงการวิเคราะห์สมรรถนะของระบบทำน้ำร้อนแสงอาทิตย์ร่วมกับปั๊มความร้อนสำหรับอาคารที่อยู่อาศัย | มจธ. | พฤษภาคม 2549 | ธันวาคม 2549 |
(4) | โครงการศึกษาศักยภาพการประหยัดพลังงานในพัดลมในเครื่องปรับอากาศแบบ Split Type | มจธ. | พฤษภาคม 2549 | ธันวาคม 2549 |
(5) | โครงการศึกษาวัสดุระบบการก่อสร้างด้วยโฟมเพื่อใช้ในการออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน | มจธ. | มิถุนายน 2549 | ธันวาคม 2549 |
(6) | โครงการศึกษาอิทธิพลการตกแต่งผิววัสดุในลักษณะต่างๆ ต่อภาระการทำความเย็นของระบบปรับอากาศ | มจธ. | มิถุนายน 2549 | ธันวาคม 2549 |
(7) | โครงการวัสดุผนังจากการเกษตร | มจธ. | มิถุนายน 2549 | ธันวาคม 2549 |
* มจธ. = มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
2. ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รวม 2 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | ขอเปลี่ยนแปลง | |
(1) | โครงการให้คำปรึกษา ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานของเครือข่ายสารสนเทศด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย (ระยะที่ 2) | มจธ. |
1) ขอขยายระยะเวลาจากมิถุนายน 2548 เป็นกันยายน 2549 2) ขอนำเงินจากหมวดค่าใช้สอย จำนวน 100,000 บาท ใช้จ่ายเป็นค่าจ้างบุคลากรฯ ในช่วงที่ขยายเวลา |
(2) | โครงการจัดสร้างเตาเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ | ม.เชียงใหม่ |
1) ขอขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ จากพฤศจิกายน 2549 เป็นพฤศจิกายน 2550 2) ขอปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการจ่ายเงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ จากเดิม จ่ายให้กับผู้ร่วมโครงการเพื่อจัดสร้างเตาเผาศพประหยัดพลังงานชนิดเผาศพมากต่อวัน จำนวน 1 เตา ในวงเงิน 250,000 บาท เป็น จ่ายให้กับผู้ร่วมโครงการเพื่อจัดสร้างเตาเผาศพประหยัดพลังงาน จำนวน 1 เตา ในวงเงิน 250,000 บาท |
(3) | โครงการรณรงค์ประหยัดพลังงานในหน้าร้อนกิจกรรม "ล้างแอร์ลดค่าไฟหน้าร้อน" | สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา |
1) ขอเบิกค่าบริการล้างแอร์ของหน่วยงานราชการในเขต กฟน. เพิ่มจากเดิม 350 บาท/เครื่อง เป็น 400 บาท/เครื่อง รวม 4,350 เครื่อง คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 217,500 บาท |
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ทั้ง 10 โครงการ ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
1. กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้รายงานความก้าวหน้าของความร่วมมือกับบริษัท เซลเลนเนียม (ประเทศไทย) จำกัด ในงานศึกษาวิจัยและพัฒนาการทดสอบการใช้งาน Vanadium Redox Flow ซึ่งเป็นเทคโนโลยีกักเก็บพลังงานไฟฟ้าด้วยเซลล์ไฟฟ้าเคมี โดยเก็บไว้ใน Vanadium Electrolyte เป็นของเหลวที่สามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ได้ทำให้มีประสิทธิภาพสูงกว่าและอายุการใช้งานยาวนานกว่าแบตเตอรี่มาตรฐานที่มีการใช้งานอยู่ทั่วไป โดยทดสอบการใช้งาน 4 รูปแบบ คือ 1) ใช้เป็นอุปกรณ์เก็บสำรองพลังงานไฟฟ้าในระบบสายส่งของไฟฟ้าสำหรับลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด (Load Leveling) 2) พัฒนาใช้เป็นเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรททดลองผลิตไฟฟ้าจากน้ำตาล 3) พัฒนาเพื่อเก็บสำรองไฟฟ้าสำหรับระบบผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก และ 4) พัฒนาเป็นแหล่งพลังงานในรถประจำทางไฟฟ้า เพื่อให้เป็นต้นแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานต่อไป
2. โครงการนี้ได้รับงบประมาณจากกองทุนฯ ในวงเงิน 200 ล้านบาท เพื่อดำเนินงาน 2 ส่วน
2.1 การศึกษาวิจัย ให้บริษัท เซลเลนเนียม (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ดำเนินการศึกษาวิจัยโดยต่อยอดจากสิทธิบัตรที่บริษัทได้รับมอบสิทธิ์จากเจ้าของสิทธิบัตร รวม 10 ฉบับ วงเงินรวม 175 ล้านบาท ศึกษาวิจัย 4 โครงการย่อย ดังนี้
(1) การลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด 60 ล้านบาท
(2) การเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท 65 ล้านบาท
(3) ระบบผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก 20 ล้านบาท (บริษัทฯ สมทบ 20 ล้านบาท)
(4) ทดสอบใช้กับรถประจำทางไฟฟ้า 30 ล้านบาท (บริษัทฯ สมทบเงิน 30 ล้านบาท)
2.2 การติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการศึกษาวิจัย โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ก.วิทยาศาสตร์ฯ ร่วมกับนักวิชาการจากสถาบันการศึกษาในประเทศ เป็นผู้ดำเนินการ
3. ความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการ
3.1 โครงการการลดกำลังภาระสูงสุด บริษัทฯ ยังไม่ได้ส่งรายงานทั้ง 2 งวด คือรายงานการพัฒนาพร้อมต้นแบบแบตเตอรี่ ขนาด 1-3 kW และรายงานการพัฒนาพร้อมต้นแบบแบตเตอรี่ ขนาด 4-10 kW เนื่องจากกำลังพัฒนาให้ได้แบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยต้นทุนต่ำและสะดวกในการผลิตปริมาณมาก โดยมีความก้าวหน้าดังนี้
(1) สามารถเพิ่มความหนาแน่นของกระแสไฟฟ้าในตัวแบตเตอรี่ได้มากกว่าที่เคยตั้งเป้าไว้เดิม 3 เท่า คือ จาก 400 แอมป์/ตารางเมตร เป็น 1,500 แอมป์/ตารางเมตร ทดสอบประสิทธิภาพโดย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และบริษัทฯ ได้นำข้อมูลที่ได้จากการทดสอบไปใช้ในการออกแบบรายละเอียดและวางข้อกำหนดคุณสมบัติสำหรับการออกแบบด้านวิศวกรรม
(2) ออกแบบแบตเตอรี่ที่มี Cell ขนาดใหญ่ขึ้น จาก 200x200 มิลลิเมตร เป็น 400x400 มิลลิเมตร ได้แล้ว
(3) กำลังทำต้นแบบแรก ขนาด 1-3 kW ที่คาดว่าจะมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายและจะแล้วเสร็จไม่เกินเดือนมกราคม 2550 และจะส่งมอบต้นแบบโดยเร็ว
3.2 เซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท บริษัทฯ ยังไม่ได้ส่งรายงานทั้ง 2 งวด โดยแจ้งว่ากำลังศึกษา วิจัย Electrolyte ในแบตเตอรี่ให้สามารถทำงานได้ในขณะอุณหภูมิสูงขึ้น และได้พัฒนาจนสามารถทำงานได้ในอุณหภูมิที่สูงกว่า 60 องศาเซลเซียส ทำให้ประสิทธิภาพของเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรทสูงขึ้นกว่าเดิม โดย สวทช. ได้เข้าไปทดสอบผลการค้นคว้าวิจัยแล้ว และคาดว่าจะส่งรายงานมาได้ไม่เกินเดือนธันวาคม 2549 แต่ก็ยังไม่ได้มีการส่งงานแต่อย่างไร
มติที่ประชุม
รับทราบความก้าวหน้าโครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow ตามที่ พพ. รายงาน
อนุ กอ. ครั้งที่ 4 - วันจันทร์ที่ 4 ธันวามคม 2549
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 4)
วันที่ 4 ธันวาคม 2549 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิติพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. รายงานประมาณการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 และรายงานงบการเงินที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองแล้ว ประจำปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2548 และ 2547
2. ขอความเห็นชอบในการจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ปีงบประมาณ 2550
3. ขอความเห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม
4. ขอความเห็นชอบเพิ่มวงเงินทุนการศึกษาในประเทศและต่างประเทศ
5. เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล รองผู้อำนวยการฯ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน อนุกรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานประมาณการรับ-จ่าย เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 คงเหลือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2549 ดังนี้
เงินคงเหลือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2549 | 4,915.24 |
บวก ประมาณการรายรับ ปี 2550 | 1,400.00 |
รวมเงินคงเหลือ | 6,315.24 |
หัก ประมาณการรายจ่าย ปี 2550 | (5,141.18) |
ประมาณการเงินคงเหลือ ณ วันที่ 30 ก.ย.2550 | 1,174.06 |
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุม เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2547 ได้อนุมัติกรอบแผนอนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) ตามข้อเสนอของคณะกรรมการกองทุนฯ โดยมีเป้าหมายตามยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศที่จะลดอัตราส่วนการใช้พลังงานต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจาก 1.4:1 เป็น 1:1 ภายในปี 2551 และเพิ่มอัตราส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 8 ภายในปี 2554 ซึ่งผลการดำเนินการที่ผ่านมาในปี 2548 และปี 2549 คาดว่าจะลดการใช้พลังงานได้ 2,490 ktoe/ปี หรือคิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 47,310 ล้านบาท การใช้พลังงานต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจปรับจาก 1.4:1 เป็น 1.2:1 และเพิ่มอัตราส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 3
2. การจัดทำแผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ที่นำเสนอในครั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้จัดทำขึ้นตามกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) ที่ กพช. ได้เห็นชอบไว้ และปรับปรุงโดยเร่งรัดแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมให้สอดคล้องกับนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน และ จะขอจัดตั้งเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำเพื่อการลงทุนด้านพลังงานทดแทนโดยเฉพาะ มีเป้าหมายที่จะทำให้นโยบายด้านพลังงานตามมาตรการระยะสั้นเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจังในปี 2550 ตามขอบเขตการดำเนินงานดังนี้
2.1 แผนเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน: ดำเนินการทั้งภาคการขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจและที่อยู่อาศัย ภาครัฐ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ดังนี้
2.1.1 ภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ
(1) งานปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
1) เร่งรัดดำเนินการให้โรงงานควบคุม/อาคารควบคุม ที่กำลังใช้งาน ดำเนินการตามข้อกำหนดตามกฎกระทรวงอย่างเคร่งครัด
2) ออกมาตรฐานการใช้พลังงานในอาคารที่ยื่นแบบขออนุญาตก่อสร้างใหม่ และอบรมบุคลากรที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถตรวจสอบแบบก่อสร้างให้เป็นไปตามมาตรฐานการใช้พลังงานในอาคาร รวมถึงการตรวจสอบและรับรองแบบ
3) เร่งให้มาตรา 9 มีผลบังคับใช้กับโรงงานควบคุม โดยออกกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานการจัดการพลังงานในโรงงานควบคุม เพื่อใช้แทนเกณฑ์การใช้พลังงานในโรงงานควบคุม และนำแนวทางดังกล่าวไปประกาศใช้กับอาคารควบคุมด้วย
4) ปรับขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายกับอาคาร/โรงงาน โดยจัดกลุ่มและปรับเกณฑ์การบังคับอาคาร/โรงงานควบคุมตามขนาดของอาคาร/โรงงาน และแยกอาคารส่วนราชการ (ไม่รวมอาคารของรัฐวิสาหกิจ) ออกจากกรอบของการควบคุมตามพระราชกฤษฎีกาอาคารควบคุม เนื่องจากโครงสร้างของส่วนราชการทั้งด้านคนและงบประมาณไม่เอื้อต่อการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.อนุรักษ์พลังงานฯ
(2) งานส่งเสริมและสาธิต
1) กระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจลงทุนในการอนุรักษ์พลังงาน โดยดำเนินงานต่อเนื่องตามมาตรการจูงใจที่รัฐจัดเตรียมไว้ เช่น มาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษี การอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม และเงินทุนหมุนเวียนการอนุรักษ์พลังงาน
2) ส่งเสริมการลงทุนเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานใหม่ๆ ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประหยัดพลังงานในภาคอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจ ซึ่งรัฐอาจจะสนับสนุนเงินลงทุนบางส่วนในปีแรก แล้วนำใช้เป็นมาตรการมาตรฐานเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจลงทุนในการอนุรักษ์พลังงาน ตามมาตรการจูงใจที่รัฐจัดเตรียมไว้ข้างต้นต่อไป
2.1.2 ภาครัฐ : กำกับดูแลติดตามและช่วยเหลือทุกส่วนราชการและจังหวัดเพื่อดำเนินการลดใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงให้ได้ตามเป้าหมายร้อยละ 10-15 เมื่อเทียบกับปริมาณการใช้ปี 2546 หรือตามเกณฑ์ที่ สนพ. กำหนด
2.1.3 ภาคขนส่ง
1) สนับสนุนเชิงนโยบายให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการจัดทำระบบขนส่งมวลชนและระบบขนส่งสินค้า ให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้
2) ส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชนให้มากขึ้น โดยในปี 2550 จัดเตรียมพื้นที่จอดแล้วจรเพิ่มขึ้นในพื้นที่ชานเมือง และอำนวยความสะดวกด้วยรถให้บริการต่างๆ สำหรับเดินทางเข้าสู่เมือง
3) สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมและหอการค้าไทย พัฒนาศักยภาพของคลังสินค้าและศูนย์ขนถ่ายสินค้า เพื่อสาธิตระบบโลจิสติกส์ในภาคการผลิตและธุรกิจไปสู่การปฏิบัติจริง รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ขนาดเล็กของไทยให้พัฒนายกระดับได้มาตรฐานและเพิ่มสัดส่วนมากขึ้น
2.1.4 การจัดการใช้พลังงาน
1) ศึกษาการจัดตั้งสำนักงานบริหารจัดการด้านมาตรฐานการใช้พลังงานแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการจัดการใช้พลังงานของประเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายและแผนปฏิบัติงานที่ต่อเนื่องทั้งระยะสั้นและระยะยาว ที่มีกฎระเบียบขององค์กรเองที่เอื้อต่อการปฏิบัติงานให้เป็นไปอย่างคล่องตัว
2) ในช่วงการเปลี่ยนผ่านเพื่อจัดตั้งสำนักงานบริหารจัดการด้านมาตรฐานการใช้พลังงานฯ ให้มีคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อกำกับดูแลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการติดฉลากอุปกรณ์ที่มีการศึกษาเกณฑ์มาตรฐานไว้แล้ว
3) ประสานกับกระทรวงการคลังเพื่อขอสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี ทั้งด้าน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมสรรพากร ที่จะเป็นกลไกผลักดันทางการตลาด กระตุ้นให้เกิดการผลิต นำเข้า จำหน่าย หรือซื้อ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยให้แล้วเสร็จภายในปี 2550
4) ประสานกับ สมอ. เพื่อเร่งแก้ไขกฎหมายเพื่อให้การพิจารณากำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพด้านพลังงานด้วย
2.1.5 งานศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงาน และโครงการสาธิตอื่นๆ
- สนับสนุนให้สถาบันการศึกษา ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรเอกชน ดำเนินการเพื่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน เช่น การศึกษาเชิงนโยบาย การศึกษาเพื่อลดการใช้พลังงานในการผลิตสินค้า การจัดการด้านการจราจรและผังเมืองเพื่อการลดการใช้พลังงานในการขนส่ง นโยบายภาษีเพื่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน การวิจัยเครื่องยนต์ต้นแบบที่มีประสิทธิภาพสูง การพัฒนาแนวทางเพื่อส่งเสริมธุรกิจการบริการด้านอนุรักษ์พลังงาน เป็นต้น โดย สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ และประกาศให้ผู้ที่มีความประสงค์จะขอรับการสนับสนุนให้ยื่นข้อเสนอต่อ สนพ. ซึ่งจะกลั่นกรองข้อเสนอ โดยอาจจะมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาช่วยพิจารณาก็ได้ ก่อนนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบในการดำเนินงาน และ สนพ. จะเป็นผู้ติดตามการดำเนินงานของโครงการด้วย
2.2 แผนพลังงานทดแทน
เร่งดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการนำพลังงานทดแทนมาใช้มากขึ้น ดังนี้
2.2.1 ใช้พลังงานอื่นแทนน้ำมัน
ส่งเสริมการใช้ NGV แก๊สโซฮออล์ ไบโอดีเซล ให้เป็นไปตามนโยบายที่รัฐกำหนด ในทุกด้าน
2.2.2 ใช้พลังงานหมุนเวียน
1) สนับสนุนให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น วัสดุเหลือใช้จากการเกษตร ของเสียจากอุตสาหกรรม ก๊าซชีวภาพ ขยะ ลม พลังงานแสงอาทิตย์ ในสัดส่วนและราคาที่เหมาะสม โดยเร่งออกประกาศขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตขนาดเล็กมาก และการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
2) สนับสนุนผู้ประกอบการในการลงทุนด้านพลังงานทดแทน ที่ครอบคลุมทุกเทคโนโลยี โดยจัดสรรเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำจากกองทุนฯ ไว้เป็นการเฉพาะ ในวงเงินรวม 2,000 ล้านบาท
3) ส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนในชุมชน โดยคำนึงถึงศักยภาพและตรงกับความต้องการที่แท้จริงของชุมชน เทคโนโลยีดูแลไม่ยาก ต้นทุนไม่สูง มีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นอาชีพในท้องถิ่นนั้น
4) ประสานกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อหารือแนวทางให้การพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการด้านพลังงานหมุนเวียนผ่านการประเมินโดยระยะเวลาและขั้นตอนลดลง
2.2.3 พลังงานแสงอาทิตย์
1) ส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ห่างไกลสายส่ง โดยหน่วยงานขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมที่จะดำเนินการเอง เช่น กระทรวงศึกษาฯ กระทรวงทรัพย์ฯ เป็นต้น กระทรวงพลังงานจะสนับสนุนเฉพาะเรื่องออกแบบข้อกำหนดรายละเอียด ราคากลาง ข้อมูลทางเทคนิค เท่านั้น และติดตามตรวจสอบการทำงานของระบบที่ใช้งานอยู่ให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
2) ส่งเสริมการใช้พลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ร่วมกับพลังงานความร้อนเหลือทิ้งจากเครื่องปรับอากาศ
3) ศึกษาและพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานความร้อนแสงอาทิตย์ร่วมกับพลังงานชีวมวล เพื่อทราบศักยภาพพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์มาผลิตไฟฟ้า
4) สำรวจติดตามตรวจสอบการทำงานของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใช้งานอยู่ให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
2.2.4 พลังลม
เร่งศึกษาแผนที่ศักยภาพพลังงามลมเฉพาะแหล่งให้ครบทุกภาคของประเทศไทย โดยมีข้อมูลและรายละเอียดที่สร้างความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุนพัฒนาพลังงานลมในการผลิตไฟฟ้า และสาธิตนำร่องการใช้กังหันลมขนาดเล็กสูบน้ำและผลิตไฟฟ้าในระดับชุมชน
2.2.5 พลังน้ำ
เร่งวางแผนพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อให้เกิดการนำมาใช้ประโยชน์ในการผลิตเป็นพลังงานให้ได้มากที่สุดโดยเร็ว
2.2.6 ก๊าซชีวภาพ
1) กำกับดูแลติดตามการดำเนินงานส่งเสริมการนำน้ำเสียจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์มาผลิตเป็นก๊าซชีวภาพ และเร่งพัฒนาให้มีการนำก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ไปใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
2) ส่งเสริมการใช้ระบบก๊าซชีวภาพขนาดเล็ก เพื่อจัดการนำขยะอินทรีย์ หรือน้ำเสีย ในชุมชน ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดเล็ก อุตสาหกรรมขนาดย่อม มาผลิตเป็นก๊าซชีวภาพใช้ประโยชน์เป็นพลังงาน
2.2.7 ชีวมวล
ศึกษาแนวทางรวบรวมวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวลเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ด้านพลังงานหมุนเวียน โอกาสและความสามารถที่จะรวบรวมเชื้อเพลิง ปริมาณศักยภาพที่แท้จริง ความคุ้มค่าในการลงทุน ทั้งทางด้านเศรษฐศาสตร์ สังคมและสิ่งแวดล้อม แนวทางบริหารจัดการซื้อขายวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวล เทคโนโลยีในการรวบรวมทั้งในระดับอุตสาหกรรมและระดับชุมชน เพื่อนำไปสู่ตลาดการซื้อขายวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวลในอนาคต
2.2.8 งานศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน และโครงการสาธิตอื่นๆ
สนับสนุนให้สถาบันการศึกษา ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรเอกชน ดำเนินการเพื่อให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย และช่วยเหลือกิจกรรมในชนบททั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม โดยให้ สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ และประกาศให้ผู้ที่มีความประสงค์จะขอรับการสนับสนุนให้ยื่นข้อเสนอต่อ สนพ. ซึ่งจะกลั่นกรองข้อเสนอ โดยอาจจะมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาช่วยพิจารณาก็ได้ ก่อนนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบในการดำเนินงาน และ สนพ. จะเป็นผู้ติดตามการดำเนินงานของโครงการด้วย
2.3 แผนสนับสนุน
2.3.1 งานพัฒนาบุคลากร
1) เร่งพัฒนากำลังคน พัฒนาและยกระดับบุคลากร ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามวัตถุประสงค์ของการพัฒนาด้านนั้นๆ รวมถึงการจัดเตรียมทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาบุคลากรของภาครัฐในด้านพลังงาน ระดับปริญญาโท-เอก ทุนวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษาเพิ่มทักษะการเรียนรู้ด้านพลังงาน
2) ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนการกำลังคนที่มีความรู้ด้านโลจิสติกส์ที่แท้จริง โดยสนับสนุนสภาอุตสาหกรรมฯ จัดอบรมหลักสูตรด้านโลจิสติกส์และการจัดการระบบห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้อาจารย์ในมหาวิทยาลัยมีโอกาสไปฝึกงานระยะสั้น 6-8 เดือนกับภาคธุรกิจ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาได้ในระยะสั้น และเร่งจัดหลักสูตรในระดับอาชีวะ ปริญญาตรีเฉพาะสาขา หรือเป็นวิชาเลือกในบางสาขา เพื่อเพิ่มกำลังคนระดับหัวหน้างานในอนาคต
3) จัดประชุมสัมมนาเชิงวิชาการโดยเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานจากต่างประเทศมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการไทย หรือการเดินทางไปศึกษาดูงานและแสดงผลงานในเวทีต่างประเทศ
2.3.2 งานประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
1) จัดระบบศูนย์ให้ความรู้ ให้คำปรึกษา ศูนย์สาธิตและเผยแพร่ด้านการประหยัดพลังงานและพลังงานทดแทน ที่มีอยู่ในหลายศูนย์ในกระทรวงพลังงาน ให้มีความชัดเจนในการบริการ กลุ่มลูกค้า เพื่อประโยชน์กับผู้ขอรับบริการและบริหารงบประมาณของประเทศได้มีประสิทธิภาพ รวมถึงกระจายศูนย์ประชาสัมพันธ์ให้มีประจำในส่วนภูมิภาคเพื่อขยายขอบเขตการบริการให้เข้าถึงประชาชนและภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ ทั่วถึงมากขึ้น
2) จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ ด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน
3) โครงการประชาสัมพันธ์ ปี 2550
- เป็นปีแห่งการรณรงค์เพื่อให้เกิดการเลือกซื้อและใช้ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน ที่ติดฉลากแสดงเกณฑ์มาตรฐานการใช้พลังงาน
- เผยแพร่ผลสำเร็จของการดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน ในภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจบริการ ภาครัฐ ภาคประชาชน ให้เป็นที่รับทราบในวงกว้าง
- เป็นปีแห่งการให้ความรู้ความเข้าใจรู้จักพลังงานทางเลือก
- จัดกิจกรรมพิเศษ "เทิดไท้ในหลวง 80 พรรษา ชาวประชาร่วมใจประหยัดพลังงาน"
- ปลูกฝังจิตสำนึกรักษ์พลังงานในกลุ่มเยาวชน ผ่านกิจกรรมที่ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ
- กิจกรรมประชาสัมพันธ์อื่นๆ ตามสถานการณ์ เช่น นโยบายเลิกอุดหนุนราคา LPG ความคืบหน้าการดำเนินงานตามนโยบายด้านพลังงาน การรณรงค์ประหยัดไฟฟ้าและน้ำมันในช่วงหน้าร้อน เป็นต้น
3. ผลที่คาดว่าจะได้รับ จะก่อให้เกิดการประหยัดพลังงาน 312.12 ktoe คิดเป็นเงิน 7,955 ล้านบาท ณ ปี 2550 นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดการใช้พลังงานรูปแบบอื่นทดแทนการใช้ น้ำมันเบนซิน ดีเซล น้ำมันเตา LPG 25.5 ktoe คิดเป็นเงิน 758 ล้านบาท ณ ปี 2550
4. การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปี 2550 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ คาดว่าจะมีประมาณการรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 3,591,990,750 บาท ประกอบด้วย
1. แผนพลังงานทดแทน |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน |
3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | |||
ล้านบาท | ล้านบาท | ล้านบาท | |||
1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 366.22 | 2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 216.00 | 3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 259.0 |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 1,460.21 | 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 530.50 | 3.2 งานบริหารกองทุน | 97.21 |
1.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 227.50 | 2.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 380.35 | 3.3 งานอื่นๆ | - |
1.4 งานบริหารแผนงาน | 32.50 | 2.4 งานบริหารแผนงาน | 22.50 | ||
รวม | 2,086.43 | รวม | 1,149.35 | รวม | 356.21 |
โดยจัดสรรให้ 3 หน่วยงาน คือ พพ. สนพ. และกรมบัญชีกลาง นำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนงานที่ปรากฏในรายละเอียดการของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550
หน่วยงาน | 1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
1) พพ. | 1,589,930,000 | 694,350,000 | - | 2,284,280,000 |
2) สนพ. | 496,500,000 | 455,000,000 | 355,091,010 | 1,306,591,010 |
3) กรมบัญชีกลาง | - | - | 1,119,740 | 1,119,740 |
รวม | 2,086,430,000 | 1,149,350,000 | 356,210,750 | 3,591,990,750 |
ทั้งนี้ ให้แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายภายในแผนงาน/งานเดียวกันได้
5. ข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ
5.1 เห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอในข้อ 3 โดยให้ สนพ. และ พพ. นำความเห็นที่ได้รับจากคณะอนุกรรมการฯ ไปพัฒนารายละเอียดของแต่ละแผนงานให้มีทิศทางเดียวกับแผนงานที่คณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบไว้ โดยผ่านการพิจารณาให้คำแนะนำจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ประกอบด้วย ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์, คุณเจน นำชัยศิริ และ ศ.ดร.จุลละพงศ์ จุลละโพธิ
5.2 การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายปี 2550 ให้อยู่ภายใต้กรอบวงเงินตามที่คณะอนุกรรมการกองทุนฯ เห็นชอบไว้ โดยรอผลสรุปจากการประชุมคณะผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 3 ท่าน ตามข้อ 5.1 และให้ สนพ. และ พพ. ปรับรายละเอียดของแผนงานและการของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 ให้เรียบร้อย และเวียนให้คณะอนุกรรมการฯ ทราบ ก่อนเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
5.3 ขอปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อให้การดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานข้างต้นสำเร็จลงตามเป้าหมายและบรรลุเป้าประสงค์ ฝ่ายเลขานุการฯ ใคร่ขอเสนอปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ จากเดิมเก็บในอัตรา 4 สตางค์/ลิตร เป็นอัตรา 10 สตางค์ต่อลิตร โดยมีหลักการและเหตุผลดังนี้
(1) กพช. ได้อนุมัติกรอบแผนอนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) และเห็นชอบให้คณะกรรมการกองทุนฯ จัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับใช้จ่ายตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ภายในวงเงินรวม 28,826 ล้านบาท โดยมีกรอบการใช้จ่ายเงินตามแผนปฏิบัติการแต่ละปี มีดังนี้
1. แผนพลังงานทดแทน | (50%) | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | (35%) | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | (15%) |
1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 65% | 2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 30% | 3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 33% |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 20% | 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 45% | 3.2 งานบริหารกองทุน | 33% |
1.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 10% | 2.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 20% | 3.3 งานอื่นๆ | 34% |
1.4 งานบริหารแผนงาน | 5% | 2.4 งานบริหารแผนงาน | 5% |
(2) เดิมกองทุนฯ มีพันธะขอบเขตงานตาม พรบ.ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 2535 และที่ผ่านมาการกำหนดให้ดำเนินงานโดยให้อยู่ภายในวงเงิน 1,300-2,000 ล้านบาท/ปี ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การดำเนินการประหยัดพลังงานและการก่อให้เกิดพลังงานทดแทน เห็นผลช้ากว่าที่ควร ซึ่งจากการปรับแผนงานเพื่อเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ จำเป็นต้องใช้จ่ายเงินจากกองทุนฯ ตามงบประมาณที่เสนอไว้ 3,591 ล้านบาท ขณะที่กองทุนฯ มีวงเงินคงเหลือเพียง 1,174 ล้านบาท จะทำให้ฐานะการเงินของกองทุนฯ ติดลบ
(3) ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าตามที่ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2540 ได้มีมติลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ จาก 7 สตางค์/ลิตร เป็นอัตรา 4 สตางค์ต่อลิตร เป็นการชั่วคราว เนื่องจากรายได้ของรัฐไม่เพียงพอกับงบประมาณที่ตั้งไว้ในปี 2540 และ 2541 จึงได้ลดอัตราการเงินส่งเข้ากองทุนฯ ไปเพิ่มอัตราภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันในช่วงเวลานั้น ซึ่งขณะนี้สถานการ งบประมาณของประเทศค่อนข้างมั่นคงแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ เป็นอัตรา 10 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซล และเตาที่ผลิตในประเทศและนำเข้า และอัตรา 9 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2550 เป็นต้นไป เพื่อทำให้ฐานะทางการเงินของกองทุนฯ เพิ่มขึ้นสู่ระดับเดิมและสอดคล้องกับการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ดังนี้
ปีงบประมาณ | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | 2555 | รวม |
1) เงินคงเหลือยกมาต้นปี | 4,915 | (44) | 0 | 2,232 | 4,550 | 7,009 | 4,915 |
2) รายรับ | 2,773 | 3,837 | 3,980 | 3,886 | 3,836 | 3,786 | 22,096 |
- เงินเก็บเข้ากองทุน+ดอกเบี้ย | 2,360 | 2,900 | 2,900 | 2,900 | 2,900 | 2,900 | 16,860 |
- เงินคืนจากทุนหมุนเวียน | 413 | 937 | 1,080 | 986 | 936 | 886 | 5,236 |
3) รายจ่าย | 4,140 | 1,791 | 448 | 268 | 76 | 68 | 6,792 |
- รายจ่ายผูกพัน ปี 38-47 | 558 | 468 | 398 | 265 | 76 | 68 | 1,832 |
- รายจ่ายผูกพัน ปี 48-49 | 3,582 | 1,324 | 51 | 3 | - | - | 4,959 |
4) เงินคงเหลือปลายปี (1)+(2)-(3) | 3,548 | 2,001 | 3,532 | 5,850 | 8,309 | 10,727 | |
5) ประมาณการรายจ่าย | 3,592 | 2,001 | 1,300 | 1,300 | 1,300 | 1,300 | 10,793 |
6) เงินคงเหลือยกไป (4)-(5) | (44) | 0 | 2,232 | 4,550 | 7,009 | 9,427 | 9,427 |
มติที่ประชุม
เห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยให้ สนพ. และ พพ. นำความเห็นที่ได้รับจากคณะอนุกรรมการฯ ไปจัดทำพัฒนารายละเอียดของแต่ละแผนงานให้มีทิศทางเดียวกับแผนงานที่คณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบไว้ โดยผ่านการพิจารณาให้คำแนะนำจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ประกอบด้วย ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์, คุณเจน นำชัยศิริ และ ศ.ดร.จุลละพงศ์ จุลละโพธิ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำกลับมาเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งในวันที่ 14 ธันวาคม 2549 ก่อนเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2541 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2542 ให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม" ในวงเงินรวม 145.76 ล้านบาท โดยให้ สนพ. ประเมินผลการดำเนินโครงการ เมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณในแต่ละปี และรายงานผลต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินงานในปีต่อไป
2. การดำเนินงานของโครงการฯ เป็นรูปเครือข่ายความร่วมมือ "บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE)" โดยมี มจธ. เป็นแกนนำ และมีสถาบันร่วมอีก 4 แห่ง ประกอบด้วย (1) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (2) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (3) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ (4) สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีการบริหารโครงการฯ ภายใต้ "คณะกรรมการอำนวยการบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม"
3. เมื่อปี 2543 JGSEE ได้รับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนจากสำนักงานคณะกรรมการ การอุดมศึกษา ภายใต้โครงการเงินกู้ ADB ทำให้ได้ชะลอการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ในปีดังกล่าว และในปี 2546 ได้รับความเห็นชอบการปรับแผนการดำเนินงานและแผนการเบิกจ่ายเงิน โดยขยายเวลาดำเนินโครงการฯ ไปจนถึงกันยายน 2549 ทั้งนี้ มจธ. ได้เบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ของงบประมาณปีที่ 1 - 4 แล้วเป็นเงิน 126,953,500 บาท คงเหลือเงินงบประมาณปีที่ 5 ที่รอเบิกจ่าย จำนวนเงิน 18,811,500 บาท
4. ผลการดำเนินโครงการฯ (ตั้งแต่ปี 2542 - กันยายน 2549)
4.1 จำนวนนักศึกษาที่ได้รับทุนทั้งสิ้น 276 คน เป็นระดับปริญญาเอก 135 คน และระดับปริญญาโท 141 คน โดยมีผู้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอก 27 คน และปริญญาโท 67 คน รวมจำนวน 94 คน เนื่องจากเป็นหลักสูตรที่เน้นการวิจัย และต้องรอการตีพิมพ์ผลงานให้ครบตามเงื่อนไขจึงจะสำเร็จการศึกษาได้
4.2 จำนวนบทความวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ทั้งสิ้น 511 ฉบับ ซึ่งเป็นการเผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ 154 เรื่อง วารสารวิชาการระดับชาติ 36 เรื่อง การเสนอที่ในประชุมวิชาการนานาชาติ จำนวน 299 เรื่อง และเสนอที่ประชุมวิชาการระดับชาติ 22 เรื่อง
4.3 มีงานวิจัยเพื่อรับใช้สังคมให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลายโครงการ
5. ผลการประเมินโครงการ โดย Asia Policy Research Co.,Ltd. ที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาระบบติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของ JGSEE ได้รายงานผลการติดตามและการประเมินเมื่อเดือนกรกฎาคม 2549 สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
5.1 ด้านการบริหารจัดการ มีการจัดโครงสร้างองค์กรที่ดีและเป็นทางการ มีแผนกลยุทธ์ที่จะนำไปสู่เป้าหมาย แต่ยังขาดนโยบายทางด้านมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และด้านจรรยาบรรณ และยังไม่มีระบบประกันคุณภาพที่เป็นทางการ
5.2 ด้านการพัฒนาวิชาการ มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศมาให้คำแนะนำในการปรับปรุงหลักสูตร และเปิดหลักสูตรใหม่ที่เน้นการพัฒนาวิชาชีพด้านเทคโนโลยีและการจัดการพลังงาน และเทคโนโลยีและการจัดการสิ่งแวดล้อมในระดับปริญญาโทด้วย
5.3 ด้านการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ยังไม่มีระบบการประเมินผลการดำเนินงานอย่างเป็นทางการ แต่กำหนดตัวชี้วัดเชิงปริมาณที่ใช้รายงานผลการดำเนินงานมาตลอด เช่น จำนวนนักศึกษาที่รับเข้า จำนวนผู้สำเร็จการศึกษา จำนวนผลงานตีพิมพ์เผยแพร่ และการประกอบอาชีพของผู้สำเร็จการศึกษา เป็นต้น
5.4 ด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ มีหน่วยอุตสาหกรรมสัมพันธ์ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากเยอรมันมาเป็นที่ปรึกษาประจำ ทำให้ JGSEE มีโครงการวิจัยที่เชื่อมโยงกับทั้งภาครัฐและเอกชน และได้จัดทำเว็บไซด์ วารสารวิชาการ จดหมายข่าว และเอกสารรวมเล่ม
6. แผนการดำเนินงานปีที่ 5 จะรับนักศึกษาเพิ่มในปี 2550 อีกอย่างน้อย จำนวน 30 คน ซึ่งเป็นระดับปริญญาเอก 10 คน และระดับปริญญาโท 20 คน รวมจำนวนนักศึกษาในโครงการทั้งสิ้น 306 คน โดยขอขยายเวลาการดำเนินงานจากเดิมสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2549 เป็นเดือนกันยายน 2550 เพื่อผลิตนักศึกษาให้ครบตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้โดยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบผลการดำเนิน "โครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม" ตามที่ มจธ. เสนอมา และเห็นชอบให้ มจธ. ดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณปีที่ 5 ต่อไป และเห็นชอบการสนับสนุนเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์และห้องปฏิบัติการ "โครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม" ให้ มจธ. จำนวนเงิน 18,811,500 บาท
2. เห็นชอบให้ มจธ. ขยายระยะเวลาโครงการฯ ไปสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2550
3. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
4. ให้ สนพ. ประเมินผลสำเร็จโครงการฯ และให้เชิญ มจธ. มานำเสนอผลงานของโครงการฯ ต่อคณะอนุกรรมการฯ ในโอกาสต่อไปด้วย
เรื่องที่ 4 ขอความเห็นชอบเพิ่มวงเงินทุนการศึกษาในประเทศและต่างประเทศ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่ามีหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศและต่างประเทศ ได้ขอขยายเวลาและขอเพิ่มวงเงินทุนการศึกษาจากที่อนุมัติไว้แล้วให้แก่ผู้รับทุน ดังนี้
1. ทุนการศึกษาในประเทศ
ผู้ขอเปลี่ยนแปลง | รายการ | ความเห็นฝ่ายเลขาฯ |
1) นายปริญญา สีชุมภู วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย ศึกษาในระดับปริญญาโท สาขาวิศวกรรมพลังงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วงเงิน 96,100 บาท |
- ขอขยายเวลาการศึกษาอีก 8 เดือน เพื่อจัดทำวิทยานิพนธ์ให้แล้วเสร็จ - ขออนุมัติเพิ่มวงเงินทุน 24,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียนรักษาสภาพระหว่างการจัดทำวิทยานิพนธ์ |
- เห็นควรขยายเวลาการศึกษา - ไม่ควรเพิ่มวงเงินทุนการศึกษา เนื่องจากกองทุนฯ ได้สนับสนุนทุนการศึกษาตลอดระยะเวลาที่หลักสูตรกำหนดไว้แล้ว |
2) นายประชาสันติ ไตรยสุทธิ์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี วงเงิน 205,200 บาท |
- ขอขยายวงเงินทุนการศึกษา จำนวน 60,000 บาท เพื่อเป็นค่าหนังสือและอุปกรณ์การศึกษา จำนวน 30,000 บาท และค่าวิทยานิพนธ์ จำนวน 30,000 บาท |
- เห็นควรเพิ่มวงเงินทุน ในวงเงิน 30,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำวิทยานิพนธ์ โดยใช้เงินจากแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2550 |
2. ทุนการศึกษาต่างประเทศ
ผู้ขอเปลี่ยนแปลง | รายการ | ความเห็นฝ่ายเลขาฯ |
1) นายรุ่งโรจน์ สงค์ประกอบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมเครื่องกล ณ University of Victoria ประเทศแคนาดา |
- ขอขยายเวลาการศึกษาจนถึงวันที่ 1 มกราคม 2551 เพื่อจัดทำวิทยานิพนธ์ให้แล้วเสร็จ - จำนวน US$ 24,144 (965,760 บาท) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในช่วงการขยายเวลาการศึกษา |
- เห็นควรขยายเวลาการศึกษา - ไม่ควรเพิ่มทุนการศึกษา เนื่องจากผู้รับทุนได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนฯ ตลอดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแล้ว |
2) นางทิพย์วรรณ ฟังสุวรรณรักษ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขา Photovoltaic Engineering The University of New South Wales ประเทศออสเตรเลีย |
- ขออนุมัติขยายวงเงินทุนการศึกษา 695,840 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับภาคเรียนที่ 8 - ทั้งนี้ ผู้รับทุนได้การรับอนุมัติให้ขยายเวลาการศึกษาออกไปอีก 1 ปี จนถึงเดือนมิถุนายน 2549 และได้รับอนุมัติเพิ่มวงเงิน จำนวน 193,176.86 บาท อันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแล้ว |
- ไม่ควรเพิ่มทุนการศึกษา เนื่องจากได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนฯ ตลอดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแล้ว - ไม่เห็นควรให้เบิกเงินงบประมาณเหลือจ่าย (จากยอดงบประมาณเดิมที่เคยได้รับอนุมัติไว้) สำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายในภาคการศึกษาที่ขอขยายเวลา |
3) นางสาวจารุวรรณ ชนม์ธนวัฒน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาวิชา Energy Economics ณ The University of Surrey ประเทศ สหราชอาณาจักร |
- ขอขยายเวลาการศึกษา จนถึง 19 กันยายน 2550 เพื่อจัดทำวิทยานิพนธ์ให้แล้วเสร็จ |
- เห็นควรขยายเวลาการศึกษา |
4) นางสาวเหมือนมาศ วิเชียรสินธุ์ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมการขนส่ง ณ Imperial College London ประเทศสหราชอาณาจักร |
- ขอขยายเวลาการศึกษาออกไปถึง 3 ตุลาคม 2550 เพื่อจัดทำวิทยานิพนธ์ให้แล้วเสร็จ - ขออนุมัติเพิ่มวงเงินทุน 418,153 บาท เนื่องจาก (1) การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (2) ค่าธรรมเนียมการศึกษาในปีการศึกษาที่ 2 และ 3 สูงกว่าที่ประมาณการไว้ (3) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนอนุมัติค่าใช้จ่ายประจำเดือนเพิ่มขึ้นเดือนละ 100 ปอนด์ สำหรับนักเรียนในกรุงลอนดอนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 (4) ค่าตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับและค่าระวางส่งสิ่งของกลับประเทศไทยไม่อยู่ในวงเงินที่อนุมัติไว้ |
- เห็นควรขยายเวลาการศึกษา - เห็นควรเพิ่มวงเงินทุน ในวงเงิน 418,153 บาท โดยใช้จากเงินกองทุนฯ โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปี 2550 |
5) นายพยนต์ ปั้นจาด การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาการวางแผนและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้า ณ University of Strathclyde ประเทศสหราชอาณาจักร |
- ขออนุมัติเพิ่มวงเงินทุน 15,306.92 ปอนด์ (1,132,712.08 บาท) เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและการเปลี่ยนแปลงงบประมาณค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุนรัฐบาลตามระเบียบของสำนักงาน ก.พ. จึงทำให้งบประมาณไม่เพียงพอสำหรับการศึกษาตลอดหลักสูตร 3 ปี |
- เห็นควรเพิ่มวงเงินทุน ในวงเงิน 686,800 บาท โดยใช้จากเงินกองทุนฯ โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปี 2550 |
6) นางสาววรนุช เอมมาโนชญ์ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาการวางแผนการจัดการทรัพยากรด้านพลังงาน ณ Convertry University ประเทศสหราชอาณาจักร |
- ขอเปลี่ยนสถานศึกษาเป็น King's College London ประเทศสหราชอาณาจักร เนื่องจากมหาวิทยาลัยเดิมได้ยุบส่วน School of Science and the Environment ซึ่งเป็นส่วนที่รองรับการศึกษางานวิจัยของผู้รับทุน - ขอขยายเวลาออกไปจนถึงเดือนกรกฎาคม 2552 - ขออนุมัติเพิ่มวงเงินทุน 2,653,281.90 บาท เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการศึกษาระดับปริญญาเอก ระยะเวลา 3 ปี ณ King's College London |
- เห็นควรให้เปลี่ยนแปลงสถานศึกษาจาก Conventry University เป็น King's College London โดยศึกษาในสาขาวิชาเดิมตามที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว - ให้ฝ่ายเลขานุการฯ หารือกับผู้รับทุนหรือ Conventry University เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับการโอนย้ายหน่วยกิต จากสถาบันการศึกษาเดิมเพิ่มเติม เพื่อนำมาพิจารณาเห็นชอบวงเงินเพิ่มให้แก่ผู้รับทุนตามที่ขอมาต่อไป |
1. เห็นชอบให้หน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศและต่างประเทศ ที่ได้ขอขยายเวลาและขอเพิ่มวงเงินทุนการศึกษาจากที่อนุมัติไว้แล้วให้แก่ผู้รับทุน ดำเนินการตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็น
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
เรื่องที่ 5 เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
ฝ่ายเลขานุการฯ แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่ามีหน่วยงานต่างๆ ที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว รวม 6 โครงการ ดังนี้
1. ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 5 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | เดิม | ขยายถึง | |
(1) | โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานควบคุม (กลุ่มที่ 2) | พพ. | มีนาคม 2549 | * |
(2) | โครงการกรุงเทพฯ ฟ้าใสด้วยไบโอดีเซล | พพ. | มิถุนายน 2549 | มีนาคม 2550 |
(3) | โครงการสร้างขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืนในถิ่นทุรกันดาร: กรณีศึกษาพื้นที่อำเภอบ่อเกลือ และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน | ม.พระจอมเกล้าธนบุรี | กันยายน 2549 | กุมภาพันธ์ 2550 |
(4) | โครงการสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา ** | สนพ. | ** | |
(5) | โครงการปรับปรุงระบบรวบรวมก๊าซเพื่อสนับสนุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะ *** | ม.เกษตร | กรกฎาคม 2548 | พฤศจิกายน 2549 |
- โครงการที่ (1) พพ. ขออนุมัติให้สามารถเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ได้ภายในระยะเวลา 3 เดือนนับจากวันที่ได้รับอนุมัติการขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน
- โครงการที่ (4) ประกอบด้วย 3 รายการ คือ
(4)-1 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ขอขยายเวลา "โครงการวิจัยเรื่องศักยภาพแสงธรรมชาติจากช่องเปิดของเรือนพื้นถิ่นอีสาน" จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 เนื่องจากการดำเนินงานและการประสานงานของโครงการเกิดความล่าช้า
(4)-2 มจธ. ขอเปลี่ยนชื่อ "โครงการวิจัยจากเดิมเรื่องการใช้วิธีระบายอากาศแบบธรรมชาติร่วมกับพัดลมแสงอาทิตย์เพื่อควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนเพาะปลูก" เป็น "โรงเรือนเพาะปลูกโครงสร้างไม้ไผ่แบบประหยัดพลังงานสำหรับพื้นที่ห่างไกล" เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินการวิจัยยิ่งขึ้น
(4)-3 มจธ. ขอเปลี่ยนชื่อโครงการวิจัยจากเดิม "เรื่องอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนแบบท่อขดแบบสปริง" เป็น "อุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนแบบท่อขดแบบสปริงติดครีบ" เพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น
- ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรให้โครงการที่ (1)-(4) ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา ด้วยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
- สำหรับโครงการที่ (5) โครงการปรับปรุงระบบรวบรวมก๊าซเพื่อสนับสนุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะนั้น ดำเนินงานวิจัยมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว ยังไม่สามารถรวบรวมก๊าซจากหลุมขยะมาผลิตกระแสไฟฟ้าได้ ปัจจุบันเทคโนโลยีการนำก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ได้มีการดำเนินการและใช้งานได้จริงในประเทศไทยแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้ มก. ปิดโครงการฯ ดังกล่าว และคืนเงินที่เหลือจากทุกโครงการฯ คืนกองทุนฯ และให้ สนพ. นำเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 435 kW จำนวน 2 เครื่อง ที่จัดซื้อด้วยเงินกองทุนฯ ไปใช้งานอื่นที่เป็นประโยชน์
2. กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียด "โครงการจัดซื้อรถเก็บขยะมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง" ที่กองทุนฯ ได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับจัดซื้อรถเก็บขยะมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 69 คัน ในวงเงิน 160 ล้านบาท โดยรวมกับงบประมาณของ กทม. 84 ล้านบาท (ราคาประเมิน ณ วันนั้น 3.5 ล้านบาทต่อคัน) แต่เมื่อ กทม. ดำเนินการจัดซื้อโดยวิธีประกวดราคาแล้วปรากฏว่ามีผู้ยื่นซองเพียง 1 ราย คือ บริษัทนิสสันดีเซล (ประเทศไทย) จำกัด โดยเสนอราคารวมภาษีอากรและอากรขาเข้า เป็นเงินคันละ 5.69 ล้านบาท รวม 69 คัน เป็นเงินทั้งสิ้น 392.54 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่างบประมาณที่ได้ประมาณการไว้ กทม. จึงเสนอขอปรับลดจำนวนรถที่จะจัดซื้อลงจากจำนวน 69 คัน เหลือ 52 คัน หรือ 42 คัน
ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าเหตุที่ราคารถเก็บขยะมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่ กทม. จัดหามีราคาแพงขึ้นนั้น อาจเป็นเหตุจากรถยนต์ที่นำเข้าดังกล่าวต้องออกแบบเครื่องยนต์ใหม่เป็นการเฉพาะประกอบกับปริมาณการจัดซื้อมีจำนวนน้อย ปัจจุบันผู้ประกอบการดัดแปลงรถยนต์ดีเซลให้ใช้ก๊าซธรรมชาติ ในประเทศมีทักษะความรู้ความชำนาญสามารถดัดแปลงรถให้มีสมรรถนะได้ใกล้เคียงกับรถขยะที่ กทม. จะนำเข้ามาจากต่างประเทศ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้ กทม. ยกเลิกการประกวดราคาจัดซื้อรถเก็บขยะมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง แล้วให้ กทม. ประกาศจัดซื้อเฉพาะรถเก็บขยะมูลฝอย เพื่อให้เอกชนในประเทศไทยดำเนินการดัดแปลงรถยนต์ขยะดีเซลนั้นให้ใช้ก๊าซธรรมชาติ ที่มีค่าดัดแปลงประมาณ 1.5-2 ล้านบาทต่อคัน ซึ่งจะทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ไม่ลดลง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้โครงการตามข้อ 1 (1)-(4) ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา ด้วยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
2. เห็นชอบให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ดำเนินการปรับแผน โครงการปรับปรุงระบบรวบรวมก๊าซเพื่อสนับสนุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นไว้
3. เห็นชอบให้กรุงเทพมหานครดำเนินการปรับแผน โครงการจัดซื้อรถเก็บขยะมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นไว้
4. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานกับเจ้าของโครงการ ตามข้อ 2 และ ข้อ 3 เพื่อสอบถามแนวทางขั้นตอน และข้อจำกัดในการดำเนินการปรับแผนงานตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นไว้