มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 4/2544 (ครั้งที่ 25)
วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2544 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง
3. มาตรการประหยัดน้ำมันและไฟฟ้าสาธารณะ
4. ขอความเห็นชอบโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3
8. ขออนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานให้กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
11. โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า จากการก่อวินาศกรรมที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้ท่านนายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงเรื่องสถานการณ์พลังงานมาก ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงได้ออกคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กำหนดให้เพิ่มอัตราสำรองน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป เพื่อภาวะฉุกเฉินจากเดิม 3% เป็น 5% ของการใช้ภายใน 30 วัน นอกจากนี้ ประธานแจ้งให้ทราบถึงการเปิดตัวโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ และได้สั่งการให้ สพช. และ บก. พิจารณาถึงแนวทางในการที่จะปรับปรุงระเบียบการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้มีความคล่องตัวในการดำเนินงานมากยิ่งขึ้น
เรื่องที่ 1 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 24) เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2544 ได้พิจารณาโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง ที่เทศบาลนครระยอง ได้ยื่นข้อเสนอโครงการฯ เพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ไปทำการสาธิตนำร่องในการจัดการกับขยะมูลฝอยของเทศบาลฯ ด้วยวิธีการคัดแยกขยะ การนำกลับไปใช้ใหม่ และการแปรรูปขยะให้เป็นก๊าซชีวภาพ เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงาน เป็นต้น แต่เนื่องจาก
ที่ประชุมเห็นว่าข้อเสนอโครงการยังขาดความชัดเจนเรื่องเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า และเนื่องจากจังหวัดระยองเคยได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินจากสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำแผนรวมของการกำจัดขยะมูลฝอยรวมของจังหวัดแล้ว ที่ประชุมจึงเห็นควรให้ฝ่ายเลขานุการฯ ตรวจสอบว่ามีความซ้ำซ้อนของแหล่งเงินทุนหรือไม่ และนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว สามารถสรุปได้ว่าในปี 2541 เทศบาลฯ ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงแหล่งฝังกลบขยะ ในเรื่องมลภาวะที่เกิดจากการจัดการขยะ สผ. จึงได้ให้การสนับสนุนทางด้านการเงินแก่เทศบาลฯ เป็นเงินจำนวน 38 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าปรับปรุงสถานที่ในการฝังกลบและจัดซื้อเครื่องจักรในการฝังกลบให้ถูกต้องตามลักษณะสุขาภิบาล ซึ่งพื้นที่ฝังกลบดังกล่าวนี้ จะสามารถใช้งานได้ไปอีกประมาณ 3-5 ปี ดังนั้น เพื่อยืดเวลาให้สามารถใช้พื้นที่ดังกล่าวได้อีกประมาณ 15-20 ปี เทศบาลฯ จึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนในพื้นที่คัดแยกขยะอย่างถูกวิธีและเหลือกลับไปฝังกลบในพื้นที่ ไม่เกิน 30% ของปริมาณเดิม ซึ่งจากศักยภาพของมูลฝอยรวม 1 ตัน สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 230 kWhr และจากที่คาดว่าโครงการนี้จะมีมูลฝอยอินทรีย์เข้าสู่กระบวนการย่อยสลาย 60 ตันต่อวัน ดังนั้น โครงการนี้ เทศบาลฯ จึงได้เลือกใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Biogas Engine) ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง 330 kW จำนวน 2 เครื่อง เพื่อใช้กับก๊าซชีวภาพที่ได้จากหลุมขยะของโครงการฯ โดยคาดว่ามูลฝอยอินทรีย์เข้าสู่กระบวนการย่อยสลาย 60 ตันต่อวันหรือ 20,000 ตันต่อปี จะทำให้ได้ก๊าซชีวภาพ 2.7 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 5,100 MWhr/year สามารถนำไปใช้ในกิจกรรมของโครงการฯ 1,000 MWhr/year และเหลือขายเข้าระบบจำหน่ายของการไฟฟ้า 4,100 MWhr/year
โครงการนี้นอกจากการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 142.86 ล้านบาท แล้ว ยังมีหน่วยงานอื่นๆ ที่ให้การช่วยเหลือทางด้านงบประมาณกับเทศบาลฯ ด้วย ดังนี้
(ล้านบาท)
หน่วยงานที่สนับสนุน | รายละเอียด | จำนวนเงิน |
(1) เทศบาลนครระยอง |
|
20.00
5.00 (ต่อปี) |
(2) มูลนิธิเพื่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและพลังงาน |
|
3.00 |
(3) บริษัท Skanska สวีเดน และบริษัท Fortum ประเทศฟินแลนด์ |
|
7.35 3.00 35.00 |
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงานให้ เทศบาลนครระยอง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง ในวงเงิน 142,858,283 บาท (หนึ่งร้อยสี่สิบสองล้านแปดแสนห้าหมื่นแปดพันสองร้อยแปดสิบสามบาทถ้วน) ประกอบด้วย
รายละเอียด | จำนวนเงิน (ล้านบาท) |
งบประมาณก่อสร้างและการบริหารโครงการ | 142.86 |
(1)ค่าก่อสร้างอาคารและระบบรับและคัดแยกมูลฝอย | 32.64 |
(2) ค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างระบบกระบวนการย่อยสลายโดยไม่ใช้ออกซิเจนและระบบผลิตกระแสไฟฟ้า | 96.20 |
(3)ค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด (ให้นำมาใช้ได้ในกรณีเกิดการเปลี่ยนแปลงอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ โดยต้องขอความเห็นชอบจาก สพช. ก่อนเบิกจ่ายแต่ละครั้ง | 7.22 |
(4)ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ไม่เกินร้อยละ 5 ของวงเงินรวมที่ได้รับจากกองทุนฯ | 6.80 |
2. ก่อนให้การสนับสนุนโครงการฯ เทศบาลนครระยอง ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
(1) ปรับเพิ่มสัดส่วนการร่วมลงทุนในส่วนที่เทศบาลฯ จะเป็นผู้รับผิดชอบ โดยกองทุนฯ จะให้การสนับสนุนในส่วนของค่าใช้จ่ายเฉพาะในค่าก่อสร้างอาคารและระบบรับและคัดแยกมูลฝอย ค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างระบบกระบวนการย่อยสลายโดยไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic Digestion) ค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด (ซึ่งให้สามารถนำมาใช้ได้ในกรณีเกิดการเปลี่ยนแปลงอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ โดยต้องขอความเห็นชอบจาก สพช. ก่อนเบิกจ่ายแต่ละครั้ง ) และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและจัดการ ที่กองทุนฯ จะให้การสนับสนุนไม่เกินวงเงินร้อยละ 5 ของวงเงินรวมที่กองทุนฯ จะให้การสนับสนุนโครงการฯ ทั้งนี้ เทศบาลนครระยอง จะต้องเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายเองทั้งจำนวนในส่วนของงานปรับปรุงพื้นที่และระบบสาธารณูปโภค และค่าอุปกรณ์และเครื่องจักร
(2) เพื่อให้โครงการนี้ประสบผลสำเร็จและมีความยั่งยืนอย่างจริงจัง เทศบาลนครระยองต้องทำให้กองทุนฯ เชื่อมั่นได้ว่า เทศบาลนครระยอง ยืนยันที่จะสนับสนุนค่าบริหารงานภายหลังการก่อสร้างและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โครงการฯ อย่างต่อเนื่อง ปีละ 5 ล้านบาท เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 20 ปี และหากเทศบาลนครระยอง ไม่สามารถปฏิบัติได้ตามที่เสนอไว้ โดยไม่มีเหตุผลอันควร กองทุนฯ จำเป็นต้องขอสงวนสิทธิเรียกเงินสนับสนุนคืนจากเทศบาลนครระยอง ตามสัดส่วนที่คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นสมควร และหรือออกหนังสือแจ้งเวียนไปยังหน่วยที่สามารถให้ทุนสนับสนุนในโครงการต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานนั้น ระงับหรือยกเว้นมิให้การสนับสนุน เทศบาลนครระยอง ต่อไป
(3) เทศบาลนครระยองควรให้เจ้าของเทคโนโลยีรับประกันการทำงานของระบบให้สามารถใช้งานได้ตามที่กำหนดไว้ โดยควรมีระยะเวลาประกัน 3 ปีนับจากวันที่การก่อสร้าง ติดตั้ง และทดสอบระบบแล้วเสร็จ
(4) ในด้านการบริหารจัดการตามที่ เทศบาลนครระยอง จะจัดจ้าง มูลนิธิเพื่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและพลังงาน เข้ามาบริหารจัดการโครงการฯ ซึ่งมูลนิธิฯ ยังต้องมีการจ้างเอกชนรายอื่นเข้ามาทำงานด้วยนั้น ในส่วนนี้เทศบาลนครระยอง ควรระบุวิธีการควบคุมตรวจสอบการดำเนินงานของมูลนิธิฯ ให้มีผลงานไม่ต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็นและกำหนดมาตรการกำกับดูแลที่ไม่ให้มูลนิธิฯ จ้างผู้มีผลประโยชน์ร่วมกับมูลนิธิฯ มาเป็นผู้รับดำเนินงาน
(5) เพิ่มเติมรายละเอียดและแนวทางการมีส่วนร่วมของบุคลากรจากเทศบาลนครระยอง และมูลนิธิฯ ในการดำเนินงานโครงการฯ ตั้งแต่การออกแบบก่อสร้างระบบ รวมทั้งกำหนดแผนการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากบริษัทเจ้าของเทคโนโลยีให้แก่บุคลากรในโครงการฯ เพื่อเป็นการเสริมสร้างความสามารถของบุคลากรภายในประเทศให้สามารถดำเนินโครงการฯ ในลักษณะเดียวกันได้ต่อไป
(6) เพิ่มเติมแนวทางในการบริหารจัดการภายหลังที่โครงการฯ ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จให้เกิดความยั่งยืน โดยเฉพาะการกำหนดบทบาทหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เทศบาลที่มีความรับผิดชอบโดยตรงในการบริหารจัดการมูลฝอย รวมทั้งการกำหนดแนวทางการดำเนินการ และกำหนดผู้รับผิดชอบในการพัฒนา การจัดเก็บค่าธรรมเนียม และการพัฒนาการตลาดเพื่อจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์และกระแสไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นเป้าหมายของเทคโนโลยีที่จะดำเนินการในโครงการฯ
(7) เพิ่มเติมรายละเอียดของผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของการจัดการวัสดุรีไซเคิลของทางเทศบาลฯ พร้อมทั้งระบุรายละเอียดของกิจกรรมต่างๆ ในการคัดแยกขยะมูลฝอยตั้งแต่แหล่งกำเนิดจนถึงโรงคัดแยกขยะ เช่น การนำรูปแบบของการบริหารจัดการขยะซึ่งต้องอาศัยการบริหารจัดการชุมชน/สังคมและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าว
ซึ่งหากทำได้สำเร็จจะช่วยเป็นแนวทางที่จะนำไปประยุกต์ใช้กับแหล่งชุมชนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี และการกำหนดแนวทางการจัดการแยกขยะโดยชุมชนเกิดประสิทธิภาพและทำให้ชุมชนปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะต้องอาศัยการประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลแก่ชุมชนเพื่อให้ทราบถึงประโยชน์และผลกระทบทางบวกที่จะเกิดขึ้นเมื่อทุกคนช่วยกันแยกขยะที่บ้าน เปรียบเทียบกับวิธีที่ทิ้งขยะรวมดังที่เคยปฏิบัติอยู่เดิม
(8) เพิ่มเติมรายละเอียดการประเมินรายได้ที่คาดว่าจะได้รับในโครงการฯ เช่น ค่าธรรมเนียม จำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ จำหน่ายกระแสไฟฟ้า วัสดุรีไซเคิล และการประหยัดพลังงาน รวมทั้งระบุถึงข้อมูลที่มาของรายได้ที่จะใช้ในการบริหารโครงการฯ เนื่องจากค่าบริหารงานที่เทศบาลฯ ตั้งงบประมาณไว้ปีละ 5 ล้านบาท ถือเป็นภาระผูกพันของเทศบาลฯ ทั้งนี้รายได้ในการบริหารงานดังกล่าวอาจมาจากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในการจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ วัสดุรีไซเคิล และกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโครงการฯ นอกจากนี้ยังมีรายจ่ายอื่นๆ ที่จะต้องดำเนินการอีก เช่น การจัดอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การประชาสัมพันธ์ การจัดนิทรรศการ เป็นต้น
(9) เพิ่มเติมรายละเอียดการคำนวณผลตอบแทนทางด้านเศรษฐศาสตร์ (EIRR) โดยต้องระบุถึงเงื่อนไขของการคิดผลประโยชน์และต้นทุนให้ชัดเจนว่ามาจากแหล่งข้อมูลใด พร้อมทั้งการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ก่อนการดำเนินโครงการ หากกฎหมายกำหนด
(10) เพิ่มเติมการจัดทำการประชาพิจารณ์โครงการฯ เพื่อประเมินการยอมรับของประชาชนในพื้นที่ตั้งโครงการฯ ก่อนลงนามในหนังสือยืนยันการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อทำโครงการฯ
(11) ระบุรายละเอียดของหน้าที่ ความรับผิดชอบของคณะกรรมการหรือคณะทำงานกำกับดูแลด้านการบริหารโครงสร้างองค์กร และแยกการทำงานของคณะกรรมการหรือคณะทำงานกำกับดูแลฯ ออกจากคณะดำเนินงานให้ชัดเจน นอกจากนี้ควรพิจารณาเพิ่มเติมตัวแทนจากจังหวัด องค์กรอิสระ และผู้เชี่ยวชาญทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ในคณะกรรมการหรือคณะทำงานกำกับดูแลฯ โดยเทศบาลนครระยองต้องมีรายงานการประชุมสรุปความเห็นของคณะกรรมการหรือคณะทำงานกำกับดูแลฯ ที่มีต่อโครงการฯ เสนอต่อ สพช. ก่อนการเบิกจ่ายเงินงวด 1 จากกองทุนฯ
(12) หาก เทศบาลนครระยอง สามารถดำเนินการตามข้อ (1) ถึงข้อ (11) ได้ครบถ้วนแล้ว เทศบาลนครระยอง ต้องปรับแผนงานโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ตามมติคณะอนุกรรมการฯ ด้วย
1. มอบหมายให้ สพช. ดูแลเรื่องการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อกำกับดูแลด้านการบริหารและปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความชัดเจน
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอีก
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 24) ได้พิจารณา โครงการปรับปรุงระบบรวบรวมก๊าซเพื่อสนับสนุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะ โครงการนี้จะเป็นการช่วยเหลืองานโครงการเดิมที่กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุน มก. ไว้ครั้งหนึ่งแล้ว ในปี 2538 เพื่อเป็นค่าจัดซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 435 kW จำนวน 2 เครื่อง แต่เนื่องจากปริมาณก๊าซไม่เพียงพอกับความต้องการของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า โดยปัญหาเกิดจากระดับน้ำชะขยะสูงส่งผลให้ก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้นมีน้อยเกินไป ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มก. ได้พยายามศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพก๊าซชีวภาพที่ได้จากหลุมขยะ โดยได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เช่น USEPA จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่ง ณ บัดนี้ มก. มีความมั่นใจในปริมาณและคุณภาพก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้น ว่ามีปริมาณที่เพียงพอต่อการเป็นแหล่งพลังงาน ให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้า ขนาด 435 kW จำนวน 2 เครื่อง ที่ได้จัดซื้อไว้ตั้งแต่ปี 2538 แล้ว
มก. จึงได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา แต่เนื่องจากที่ประชุมเห็นว่าโครงการนี้ยังมีความไม่ชัดเจนในเรื่องวิธีการขอรับการสนับสนุนจาก 2 แหล่งทุน ที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปประสานงานกับ มก. ในวิธีการเจรจาเพื่อให้ได้รับเงินสนับสนุนจาก GEF และเนื่องจากโครงการนี้มีความเสี่ยงสูงด้านการประสานงานกับ 2 แหล่งทุน ซึ่งอาจเกิดปัญหาในเรื่องเงื่อนเวลาการอนุมัติให้ใช้จ่ายเงิน ดังนั้น มก. ควรแยกงานและเงินเป็นรายกิจกรรมให้ชัดเจน เพื่อมิให้มีการผูกกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งเข้ากับงบประมาณทั้งสองแหล่ง และให้ มก. พิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุนของโครงการนี้ถ้าจะเปลี่ยนที่ตั้งโรงไฟฟ้าให้มาอยู่ในบริเวณใกล้แหล่งรวบรวมก๊าซแห่งใหม่ แทนการเดินท่อก๊าชไปยังโรงไฟฟ้า ณ สถานที่เดิม และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำกลับมาให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประสานงานกับ มก. แล้ว และนำมาสรุปประเด็นการนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา ดังนี้
(1) การแยกงานและเงินที่จะขอรับสนับสนุนจาก 2 แหล่งทุน
ในขณะนี้ มก. ได้ดำเนินการตามกระบวนการขอทุนสนับสนุนจาก GEF ไปเกือบจะถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว โดยผ่านความเห็นชอบจาก สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม และ GEF สำนักงานในประเทศไทย และปัจจุบันข้อเสนอโครงการฯ ได้ไปถึง GEF สำนักงานกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เพี่อพิจารณาในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ด้วยเหตุดังกล่าว มก. จึงไม่สามารถนำเรื่องกลับมาเพื่อเปลี่ยนแปลงจำแนกกิจกรรมและรายการใช้จ่ายเงินมิให้มีการผูกกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งเข้ากับงบประมาณ ทั้งสองแหล่ง ตามที่คณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นไว้ เพราะ GEF อาจต้องเริ่มต้นพิจารณาใหม่ และอาจส่งผลให้โครงการนี้ล่าช้าออกไป
(2) ความคุ้มค่าในการลงทุนของโครงการฯ
เมื่อประเมินความคุ้มค่าในการลงทุนเพื่อดำเนินโครงการฯ ต่อไป โดยใช้ฐานอัตราค่าไฟฟ้าที่ มก. ได้ชำระให้กับการไฟฟ้าในช่วงต้นปี 2544 ในอัตราหน่วยละ 2.74 บาท โดยพิจารณาตามสมมติฐานในการวิเคราะห์และผลการวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ จาก 3 แนวทาง ดังตารางต่อไปนี้
การวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ (หน่วย = บาท) | |||
รายละเอียด | แนวทางที่ 1 | แนวทางที่ 2 | แนวทางที่ 3 |
สมมติฐานการวิเคราะห์ | |||
จำนวนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ติดตั้ง |
2 เครื่อง |
2 เครื่อง |
1 เครื่อง |
สถานที่ติดตั้งเครื่องปั่นไฟฟ้า |
ตั้งอยู่ใน มก. | ย้ายไปยังบริเวณ ที่ฝังกลบขยะ |
ย้ายไปยังบริเวณ ที่ฝังกลบขยะ |
หน่วยงานที่ขายไฟฟ้าให้ |
ขายให้ มก. | ขายให้ มก. | ขายให้ กฟภ. |
การวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ (มูลค่าปัจจุบัน, หน่วย= บาท) | |||
(1) รายรับ (Energy Revenue) | 211,509,498 | 211,509,498 | 61,754,598 |
(2) เงินลงทุน (Capital Investment) | 38,073,720 | 36,193,270 | 17,880,000 |
(3) ค่าใช้จ่าย (Operating Expense) | 99,488,512 | 99,488,512 | 21,934,766 |
(4) ผลประโยชน์สุทธิของการลงทุน | 73,947,266 | 75,827,716 | 21,939,832 |
คำนวณจาก (1) - (2+3) | |||
(5) เงินสนับสนุนจากกองทุนอนุรักษ์ฯ | 17,880,000 | 16,000,000 | 17,880,000 |
(6) เงินสนับสนุนจาก GEF | 39,000,000 | 39,000,000 | 0 |
จากสมมติฐานข้างต้น เมื่อพิจารณาค่าผลประโยชน์สุทธิที่มีความเหมาะสมแล้ว ในการลงทุนเพื่อดำเนินโครงการฯ ต่อไปแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรเสนอแนวทางดำเนินงานให้ มก. เรียงตามลำดับความสำคัญ ดังนี้
(1) แนวทางที่ 2 เป็นแนวทางแรก โดย มก. ควรย้ายโรงไฟฟ้าไปติดตั้ง ณ บริเวณหลุมขยะ ซึ่งเป็นพื้นที่ของกลุ่มบริษัท 79 จำกัด แล้วเดินระบบสายส่งไฟฟ้าจากบริเวณหลุมขยะ มายังมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
(2) แนวทางที่ 1 พิจารณานำมาใช้เมื่อ มก. ดำเนินงานตามแนวทางที่ 2 ดังกล่าวแล้ว เกิดปัญหาทางเทคนิคในการปักเสาพาดสายไฟฟ้าแรงสูง
(3) แนวทางที่ 3 จะเป็นทางเลือกในกรณีที่โครงการนี้ ไม่ได้รับการสนับสนุนจาก GEF
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ มก. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปรับปรุงระบบรวบรวมก๊าซเพื่อสนับสนุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะ ในวงเงิน 17,880,000 บาท (สิบเจ็ดล้านแปดแสนแปดหมื่นบาทถ้วน) โดยมีเงื่อนไขให้ มก. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
(1) พิจารณาปรับค่าใช้จ่ายของโครงการฯ ให้อยู่ในอัตราที่เหมาะสม ตามที่ รศ.ประสงค์ อิงสุวรรณ ได้ให้ความเห็นไว้ (เอกสารแนบวาระ 4.5.3 หน้า 5-8)
(2) เพิ่มเติมข้อมูลของวิธีการจัดการฝังกลบขยะที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เช่น การคัดแยกขยะ (Pre Process) การฝังกลบขยะเป็นชั้นๆ แล้วใช้พลาสติกหรือดินคลุมแยกระหว่างชั้น เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้ไม่เกิดปัญหาในระหว่างการดำเนินโครงการฯ เหมือนในช่วงที่ผ่านมา มก. จะต้องดำเนินการฝังกลบขยะด้วยวิธีการที่ถูกต้องสำหรับหลุมขยะใหม่ พร้อมทั้งศึกษาความเป็นไปได้และความคุ้มค่าในการเปลี่ยนที่ตั้งโรงไฟฟ้าจากที่เดิมมาตั้งในบริเวณใกล้หลุมขยะแทน
(3) เนื่องจากโครงการฯ จะต้องมีการดำเนินการนานถึง 12 ปี ควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการอีก 1 ชุด เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายและอนุมัติงบประมาณประจำปี โดยคณะกรรมการฯ ดังกล่าวควรประกอบด้วยบุคลากรทั้งภายใน มก. และผู้แทนจากหน่วยงานภายนอก ที่เกี่ยวข้อง เช่น สพช. สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นที่หลุมฝังกลบตั้งอยู่ เป็นต้น
(4) เพิ่มเติมวิธีการที่จะทำให้สามารถรวบรวมก๊าซหลุมขยะได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากหลุมขยะจะเกิดก๊าซมากในช่วง 3-5 ปีแรก หลังจากนั้นจะน้อยลงเรื่อยๆ และการคาดเดา Performance ทำได้ยาก ซึ่งหากสัดส่วนของก๊าซมีเทนต่ำลงกว่าจุดที่จะเผาไหม้เองได้ จะต้องมีระบบทำให้ก๊าซบริสุทธิ์ขึ้นโดยการแยกคาร์บอนไดออกไซด์ออก และจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ขณะที่ระบบทำความสะอาดก๊าซหลุมขยะในโครงการฯ ตามที่ออกแบบจะเป็นการแยกบ่อน้ำและกรองก๊าซหลุมขยะเท่านั้น ทำให้ก๊าซชีวภาพที่ได้ยังมีคาร์บอนไดออกไซด์ อยู่เท่าเดิม
(5) เพิ่มเติมการเปรียบเทียบเทคโนโลยีที่สามารถใช้ประโยชน์จากหลุมขยะ และชี้แจงความจำเป็นในการใช้เทคโนโลยีของโครงการฯ เนื่องจากข้อมูลในต่างประเทศชี้ให้เห็นว่าการผลิตก๊าซจากหลุมขยะใหม่ๆ ไม่เป็นที่น่าสนใจมากนักทางเศรษฐกิจ แต่จะให้ความสนใจในการใช้วิธีอื่นมากกว่า เช่น การแยกขยะตั้งแต่ต้นทางแล้วนำขยะอินทรีย์ไปหมักทำปุ๋ยซึ่งเป็นวิธีที่ดี มีประโยชน์และไม่เกิดก๊าซมีเทนซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ นอกจากนี้กฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่ควบคุมการจัดการหลุมขยะ ก็เคร่งครัดมากขึ้นเรื่องๆ ทำให้ต้นทุนในการก่อสร้างหลุมขยะสูงขึ้นด้วย
(6) เพิ่มเติมแผนการดำเนินการโครงการฯ หลังจากการติดตั้งระบบเสร็จสมบูรณ์พร้อมดำเนินการผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อแสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนในการดำเนินโครงการฯ รวมถึงแผนการจัดการกับผลประโยชน์ที่ได้จากการขายกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโครงการฯ ให้กับมหาวิทยาลัยภายหลังโครงการฯ สิ้นสุด โดยคณะทำงานที่ มก. จัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลในเรื่องดังกล่าวอาจเปลี่ยนเป็นหน่วยงานในสังกัดของ มก. ดูแลในช่วงต่อไปเอง
(7) ตรวจสอบและยืนยันถึงหนังสือข้อตกลงต่างๆ ที่เคยจัดทำขึ้นในโครงการฯ เช่น หนังสือยินยอมการให้ใช้พื้นที่ของ กลุ่ม บริษัท 79 และหนังสือตกลงการรับซื้อไฟฟ้าของมหาวิทยาลัย เป็นต้น
(8) หาก มก. สามารถดำเนินการตามข้อ (1) ถึงข้อ (7) ได้ครบถ้วนแล้ว มก. ต้องปรับแผนงานโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ตามมติคณะอนุกรรมการฯ ด้วย
2. มอบหมายให้ สพช. ประสานงานกับ มก. ในการปรับปรุงประมาณการรายจ่ายและแนวทางดำเนินงาน โดยพิจารณาจากค่าผลประโยชน์สุทธิที่มีความเหมาะสมในการลงทุนเพื่อดำเนินโครงการฯ ต่อไป ที่เรียงลำดับความสำคัญ ดังนี้
(1) กรณีได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก
แนวทางที่ 1 ให้ มก. ย้ายเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า ทั้ง 2 เครื่อง (435 kW x 2 ) ไปติดตั้ง ณ บริเวณหลุมขยะแห่งใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ของกลุ่มบริษัท 79 จำกัด แล้วเดินระบบสายส่งไฟฟ้าจากบริเวณหลุมขยะ ไปใช้ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
แนวทางที่ 2 เมื่อ มก. ดำเนินงานตามแนวทางที่ 1 แล้ว เกิดปัญหาทางเทคนิคในการปักเสาพาดสายไฟฟ้าแรงสูง ก็ให้ มก. ตั้งเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า ทั้ง 2 เครื่อง (435 kW x 2 ) ไว้ ณ ที่บริเวณเดิม และผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
ผลการประสานงานตามแนวทางที่ 1 หรือแนวทางที่ 2 ให้ สพช. เสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณาให้ความเห็นชอบ และ มก. ต้องแสดงหลักฐานต่อ สพช. เพื่อยืนยันการได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก ก่อนลงนามในหนังสือยืนยันการรับทุนสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
(2) กรณีที่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก
ให้ มก. ปรับแผนการดำเนินงานและค่าใช้จ่าย โดยนำเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า ขนาด 435 kW จำนวน 1 เครื่อง ไปติดตั้งภายในบริเวณหลุมขยะ ในพื้นที่บริษัทกลุ่ม 79 เพื่อผลิตไฟฟ้าและขายไฟฟ้าให้กับระบบจำหน่ายของ กฟภ. แล้ว ให้ สพช. เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบ
เรื่องที่ 3 มาตรการประหยัดน้ำมันและไฟฟ้าสาธารณะ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของสถานการณ์น้ำมันโลก จึงใคร่ขอเสนอมาตรการเร่งด่วนที่ไม่รุนแรง เพื่อรวบรวมความเห็นจากคณะกรรมการฯ ก่อนที่จะดำเนินการต่อไป ในการลดการใช้พลังงานที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที เพื่อรองรับวิกฤติการณ์ด้านพลังงานที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเสนอมาตรการออกเป็น 3 ประเภท คือ มาตรการรณรงค์ มาตรการบังคับ และมาตรการอื่น
มติที่ประชุม
1. ให้กรมบัญชีกลางออกระเบียบเพื่อบังคับให้รถในส่วนราชการทั้งหมดใช้น้ำมันที่มีค่าออกเทน 91
2. ให้ฝ่ายเลขานุการจัดเตรียมข้อมูลของมาตรการต่างๆ ให้เป็นขั้นตอน โดยในขั้นต้นที่ประชุมได้เห็นชอบให้ดำเนินการในมาตรการต่างๆ ดังต่อไปนี้
ปิดสถานบริการน้ำมันในเขตเมือง ระหว่าง 24.00-05.00 น. แต่ยังคงให้เปิดสถานีบริการบนถนนสายหลักระหว่างเมืองได้
ปิดไฟป้ายโฆษณา ไฟส่องป้ายโฆษณา และไฟส่องตึก ภายหลังเวลา 24.00 น.
ปิดไฟถนนที่ไม่มีรถคับคั่งตลอดสาย และเปิดไฟถนนเฉพาะบริเวณทางแยก หลัง 24.00 น.
ปิดไฟสนามกอล์ฟหลัง 22.00 น.
ปิดห้างสรรพสินค้า ในช่วง 22.00 น.-10.00 น.
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติเงินจากกองทุนฯ ให้ หน่วยบริการก๊าซชีวภาพ สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม (ฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่) มาตั้งแต่ปี 2538 จนถึงปัจจุบัน นั้น กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ เป็นเงินทั้งสิ้น 130,492,419 ล้านบาท โดยระบบทั้งหมดที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สามารถบำบัดน้ำเสียจากคอกสุกรได้ 300,000 ตัว ผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทนเทียบเท่า LPG ได้ 153 ล้านกิโลกรัม หรือเทียบเท่าน้ำมันเตา 183 ล้านลิตร หรือสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 12.3 GWh/year
ผลการสำรวจและจัดทำแผนที่ไบโอก๊าซของประเทศไทย (Biogas Map) พบว่ามีฟาร์มขนาดใหญ่ ประมาณ 140 ฟาร์ม มีสุกรประมาณ 1.5 ล้านตัว มีศักยภาพที่จะติดตั้งระบบฯ ได้ประมาณ 200,000 ลบ.ม. และมีฟาร์มขนาดกลางจำนวน 1,600 ฟาร์ม มีสุกรประมาณ 2 ล้านตัว ที่ติดตั้งระบบฯ ได้ประมาณ 330,000 ลบ.ม. ซึ่งจะเห็นว่ายังมีฟาร์มเลี้ยงสัตว์อีกเป็นจำนวนมากที่สามารถเข้าไปส่งเสริมให้ติดตั้งระบบก๊าซชีวภาพเพื่อช่วยแก้ปัญหาการจัดการน้ำเสีย และจะได้ก๊าซชีวภาพที่สามารถนำไปใช้ทดแทน LPG หรือนำไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้อีกด้วย
มช. จึงได้เสนอโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3 เพื่อขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนฯ ในวงเงิน 853,079,794 บาท โดยมีเป้าหมายที่จะดำเนินงานภายในเวลา 7 ปี และจะติดตั้งระบบเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ ให้สามารถรองรับของเสียจากสุกรขุนได้ถึง 2 ล้านตัว หรือคิดเป็น 70-80% ของปริมาณสุกรที่เลี้ยงอยู่ในฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ และเนื่องจากปริมาณฟาร์มขนาดกลางนั้นมีเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อให้การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเป็นไปได้ด้วยความคล่องตัว รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ สนองตอบได้ทันต่อความต้องการของเจ้าของฟาร์ม มช. จึงได้แยกแผนงานออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ส่งเสริมในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่ ส่วนที่ 2 ส่งเสริมในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลาง และส่วนที่ 3 การจัดตั้งศูนย์แห่งความเป็นเลิศ "Center of Execllence"
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 9/2544 (ครั้งที่ 54) เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2544 เพื่อพิจารณาโครงการฯ แล้ว และเห็นควรให้การสนับสนุนโครงการฯ โดยมีความเห็นเพิ่มเติมว่าการนำเสนอแผนงานของโครงการฯ ในระยะที่ 3 นี้ ยังขาดความชัดเจนในเรื่องแผนการดำเนินงานที่จะสะท้อนให้เห็นอนาคตของการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการดำเนินงานในปีที่ 7 ว่าผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการนี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมด้านอื่นๆ ด้วย ที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้ ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานงานกับเจ้าของโครงการฯ เพื่อทำให้ประเด็นดังกล่าวมีความชัดเจน และเนื่องจาก มจธ. เป็นผู้ประเมินโครงการนี้ในระยะแรก ที่ประชุมจึง มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ หารือ และสอบถามความเห็นจาก มจธ. ด้วย เพื่อให้โครงการฯ ระยะที่ 3 มีแผนงานที่ครบถ้วนสมบูรณ์ในทุกๆ ด้าน ซึ่ง มช. ได้ทราบและนำไปปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ แล้ว ดังนี้
(1) ประเด็นด้านการเผยแพร่องค์ความรู้ ภายใต้โครงการนี้ มช. ได้วางแผนพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพไว้แล้ว ด้วยศักยภาพที่ มช. ได้รับการส่งเสริมจากกองทุนฯ ให้มีความเข้มแข็งและมั่นคง ทั้งในด้านโครงสร้างของบุคลากร อาคารสำนักงาน อาคารปฏิบัติการ เครื่องมือทดสอบ อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ และงานเผยแพร่และส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีก๊าซชีวภาพในกิจกรรมการเลี้ยงสัตว์ในปัจจุบัน โดยได้ตั้งแผนปฏิบัติการที่จะเชิญชวนอาจารย์ในภาควิชาและคณะที่เกี่ยวข้องต่างๆ ทั้งในส่วนของความเกี่ยวข้องในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และในส่วนของการนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ เช่น คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร คณะเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องในการส่งเสริมของโครงการฯ มาร่วมเป็นที่ปรึกษาของโครงการฯ เพื่อที่จะทำให้โครงการฯ มีมุมมองของระบบความคิดที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งจะเปิดกว้างทั้งใน มช. และสถาบันอื่นๆ การดำเนินการดังกล่าว อาจก่อให้เกิดหัวข้อวิจัยให้กับนักศึกษา เพื่อสนับสนุนโครงการฯ ให้พัฒนาไปข้างหน้า ช่วยทำให้เกิดการเชื่อมโยงการร่วมมือกันทำงานระหว่างโครงการฯ กับคณะและภาควิชาต่างๆ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
(2) ประเด็นการลดภาระหรือบทบาทของภาครัฐในการให้ทุนสนับสนุน มช. ได้แสดงให้เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่กองทุนฯ ให้การสนับสนุนเจ้าของฟาร์มในแต่ละช่วงได้ลดลงเป็นลำดับ โดยในระยะที่ 1 ให้การสนับสนุน 47% ของเงินลงทุนก่อสร้างระบบก๊าซชีวภาพ ต่อมาในระยะที่ 2 ให้การสนับสนุน 33% ของเงินลงทุนก่อสร้างระบบก๊าซชีวภาพ และในระยะที่ 3 ให้การสนับสนุน 18% ของเงินลงทุนก่อสร้างระบบก๊าซชีวภาพ ซึ่งในอนาคต รัฐอาจปล่อยให้กลไกของการส่งเสริมเป็นไปตามระบบตลาด แต่หากมีแหล่งเงินทุนฯ ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบ ก็จะเป็นมาตรการจูงใจให้เจ้าของฟาร์มเร่งตัดสินใจลงทุนติดตั้งระบบฯ ได้เร็วขึ้น ซึ่งส่งผลการประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับภาครัฐเร็วขึ้นเช่นกัน ทั้งค่าใช้จ่ายในด้านพลังงานและการรักษาสิ่งแวดล้อมกลไกการสร้างคน สร้างเอกชนมืออาชีพและมีคุณภาพ หรือการเผยแพร่เทคโนโลยีให้มีความเข้มแข็งในเชิงพาณิชย์ ที่จะนำไปสู่การลดภาระหรือบทบาทของภาครัฐในการให้ทุนสนับสนุน
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 3 ในวงเงิน 853,079,794 บาท (แปดร้อยห้าสิบสามล้านเจ็ดหมื่นเก้าพันเจ็ดร้อยเก้าสิบสี่บาทถ้วน) ประกอบด้วย
รายการ | ฟาร์มขนาดใหญ่ | ฟาร์มขนาดกลาง | รวม (บาท) |
งบจัดตั้งศูนย์แห่งความเป็นเลิศ |
85,664,000 | 85,664,000 | |
งบบริหารโครงการฯ งบสนับสนุนทีมที่ปรึกษาฟาร์มขนาดกลาง งบสนับสนุนค่าก่อสร้างและติดตั้งระบบแก่เกษตรกร |
201,957,000 - 146,640,000 |
117,618,794 132,000,000 169,200,000 |
319,575,794 132,000,000 315,840,000 |
งบประมาณรวมที่ขอรับการสนับสนุน |
348,597,000 | 418,818,794 | 853,079,794 |
2. ก่อนให้การสนับสนุนโครงการฯ มช. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังนี้
(1) ให้ มช. จำแนกค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการฯ ให้ชัดเจน โดยแบ่งเป็นงานในส่วนด้านการบริหารงาน และเป็นเงินสนับสนุนให้เจ้าของฟาร์มทางอ้อม เช่น ค่าบริการให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีของระบบฯ ค่าออกแบบระบบและค่าติดตามดูแลการทำงานของระบบฯ เป็นต้น เพื่อกองทุนฯ จะได้พิจารณาได้ว่า การใช้จ่ายเงินจากกองทุนฯ นั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเกษตรกรเป็นส่วนใหญ่
(2) หน่วยบริการก๊าซชีวภาพ ควรจะหารือกับผู้บริหารของ มช. เพื่อแสดงความมีส่วนร่วมในโครงการนี้ โดย มช. อาจจะสามารถจัดสรรงบประมาณบางส่วนสมทบกับเงินของกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารสำนักงานของโครงการฯ
(3) หาก มช. สามารถดำเนินการข้อ (1)-ข้อ (2) ได้ครบถ้วนแล้ว มช. ต้องปรับแผนงานโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ตามมติคณะอนุกรรมการฯ ด้วย
1. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีก
2. ให้ สพช. เสนอผลการดำเนินโครงการฯ เมื่อ มช. ดำเนินงานไปแล้วแต่ละปี เพื่อให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณาอนุมัติให้การสนับสนุนด้านการเงินในการดำเนินงานในปีถัดไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้ยื่นข้อเสนอโครงการการศึกษาวิศวกรรมแบบบูรณาการเพื่อเพิ่มทักษะด้านการอนุรักษ์พลังงานสำหรับพนักงานปฏิบัติการในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำโครงการดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน เพื่อพิจารณา เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2544 และได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับความสามารถของบุคลากรภาคปฏิบัติการในโรงงานอุตสาหกรรม ให้มีความรู้ความสามารถทางวิศวกรรมศาสตร์ให้ดีขึ้น พร้อมทั้งนำความรู้ดังกล่าวไปประยุกต์ใช้กับงานจริงให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ทำให้เกิดการพัฒนาความสามารถในด้านต่างๆ เช่น การเรียนรู้ด้วยตนเอง การทำงานร่วมกับผู้อื่น การวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นระบบ เป็นต้น นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดผู้ใฝ่เรียนรู้ตลอดชีวิตของพนักงานภาคปฏิบัติการในโรงงาน เพื่อพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) โดยโครงการนี้ใช้งบประมาณทั้งสิ้นในการดำเนินงาน จำนวน 71,281,830 บาท โดย มจธ. ได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 21,371,010 บาท ส่วนที่เหลือบริษัทที่เข้าร่วมโครงการจะให้การสนับสนุน
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์ และห้องปฏิบัติการ ปีงบประมาณ 2544 ให้ มจธ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการการศึกษาวิศวกรรมแบบบูรณาการเพื่อเพิ่มทักษะด้านการอนุรักษ์พลังงานสำหรับพนักงานปฏิบัติการในโรงงานอุตสาหกรรม ในวงเงิน 21,371,010 บาท
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 4/2542 เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2542 มีมติให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดสรรเงินกองทุนสำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2543-2547 มีวงเงินรวม 29,110.61 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้โดยให้สอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ โดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้อนุมัติวงเงินโครงการบริหารงานตามกฎหมายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานสำหรับ สพช. บก. และ พพ.
สพช. บก. และ พพ. ได้ดำเนินการตามแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ที่ได้รับมอบหมายในปี 2544 โดยประมาณว่ามีค่าใช้จ่ายและเงินคงเหลือของปีงบประมาณ 2544 ณ วันที่ 30 กันยายน 2544 ดังนี้
หน่วย : บาท | ||||
งบประมาณ |
เบิกจ่ายแล้ว และประมาณว่าจะเบิกจ่ายทั้งสิ้น |
คงเหลือ |
||
สพช. | 143,405,720.00 | 141,174,683.08 | 2,231,036.92 | |
บก. | 646,320.00 | 520,565.05 | 125,754.95 | |
พพ. | 558,627,378.00 | 416,541,070.00 | 142,086,308.00 | |
รวม | 702,679,418.00 | 558,236,318.13 | 144,443,099.87 |
ดังนั้นเพื่อให้ สพช. บก. และ พพ. สามารถดำเนินงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบตามแผนอนุรักษ์พลังงานได้ตามที่ได้รับมอบหมายในปี 2545 หน่วยงานดังกล่าวจึงขอรับการสนับสนุนจากเงินกองทุนฯ เป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2545 ในโครงการบริหารงานตามกฎหมาย โดยฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำงบประมาณรายจ่ายฯ ของทั้ง 3 หน่วยงาน เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน เพื่อพิจารณากลั่นกรอง ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว ในการประชุมครั้งที่ 12/2544 (ครั้งที่ 86) เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2545 ของ สพช. บก. และ พพ. โดยสรุปได้ดังนี้
วงเงินที่ขออนุมัติเพื่อบริหารงานตามกฎหมาย ปี 2545
หน่วย : บาท
สพช. | บก. | พพ. | รวม | |
1. ค่าจ้างชั่วคราว | 4,093,680 | 410,640 | 24,618,480 | 29,122,800 |
2. ค่าตอบแทน ใช้สอย และวัสดุ | 13,343,960 | 418,330 | 25,944,310 | 39,706,600 |
3. ค่าสาธารณูปโภค | 4,400,000 | - | 5,901,520 | 10,301,520 |
4. ค่าครุภัณฑ์ ที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง | 3,681,100 | 146,000 | 15,256,610 | 19,083,710 |
5. รายจ่ายอื่น | 124,304,020 | - | 333,808,200 | 458,112,220 |
รวม | 149,822,760 | 974,970 | 405,529,120 | 556,326,850 |
ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอนำงบประมาณรายจ่ายของทั้ง 3 หน่วยงาน เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุนโครงการบริหารงานตามกฎหมาย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของ สพช. บก. และ พพ. ในปีงบประมาณ 2545 ดังนี้
1. อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2545 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ สพช. ในวงเงิน 149,822,760 บาท (หนึ่งร้อยสี่สิบเก้าล้านแปดแสนสองหมื่นสองพันเจ็ดร้อยหกสิบบาทถ้วน) โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
2. อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2545 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ บก. ในวงเงิน 974,970 บาท (เก้าแสนเจ็ดหมื่นสี่พันเก้าร้อยเจ็ดสิบบาทถ้วน) โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพื่อพิจารณาอนุมัติ
3. อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2545 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ พพ. ในวงเงิน 405,529,120 บาท (สี่ร้อยห้าล้านห้าแสนสองหมื่นเก้าพันหนึ่งร้อยยี่สิบบาทถ้วน) โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
4. อนุมัติให้ สพช. บก. และ พพ. เบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2545 เพื่อการบริหารงานตามกฎหมายได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ที่มีสาระสำคัญว่า การเปลี่ยนแปลงรายการ ระยะเวลาดำเนินการไปจากรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนได้อนุมัติแล้ว จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนก่อน จึงจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการของแต่ละโครงการ บางครั้งจะพบกับปัญหาหรืออุปสรรคที่ทำให้การปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามแผนงาน โดยเจ้าของโครงการฯ ไม่มีเจตนาที่จะไม่ดำเนินการตามข้อกำหนดของโครงการฯ และการเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติและไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง ซึ่งการปรับแผนของโครงการฯ ในแต่ละครั้ง จะต้องขออนุมัติการเปลี่ยนแปลง
ตามลำดับขั้นตอน ด้วยการเสนอคณะอนุกรรมการฯ และหรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน เจ้าของโครงการฯ จึงจะดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นการใช้ระยะเวลาพอสมควร อาจส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อโครงการฯ โดยภาพรวม
ในช่วงที่ผ่านมาคณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้อนุมัติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน(ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจต่างๆ จำนวน 11 ราย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นเป็นกรณีพิเศษหรือเร่งด่วน (Fast Track) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,260.54 ล้านบาท และได้อนุมัติให้ว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ (IA) บริหารงานในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน แล้ว 7 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 21.4 ล้านบาท แต่เนื่องจากหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการ Fast Track หลายหน่วยงานได้ว่าจ้าง IA เพื่อบริหารโครงการฯ แล้ว และมีความเป็นไปได้ว่ามี IA บางแห่ง ดำเนินงานไม่แล้วเสร็จตามที่กำหนดไว้ในสัญญา จะขอขยายระยะเวลาการจ้างออกไปอีก ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินงานของโครงการ Fast Track มีเพื่อความคล่องตัว คณะอนุกรรมการฯ จึงเสนอให้อธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน มีอำนาจอนุมัติในเรื่องดังกล่าว
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 19) เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2544 พิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินงานของโครงการ Fast Track เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีความคล่องตัว ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติให้อธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน มีอำนาจอนุมัติให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีโครงการอนุรักษ์พลังงานเป็นกรณีพิเศษ (Fast Track) เปลี่ยนแปลงระยะเวลาการจ้างตัวแทนดำเนินการ (IA) เพื่อบริหารงาน ในการกำหนดเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และบริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานในโครงการ Fast Track โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้อธิบดี พพ. มีอำนาจอนุมัติให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่มีโครงการอนุรักษ์พลังงานเป็นกรณีพิเศษ (Fast Track) เปลี่ยนแปลงระยะเวลาการจ้างตัวแทนดำเนินการ (IA) เพื่อบริหารงานในการกำหนดเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และบริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน ในโครงการ Fast Track โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เสนอ
2. อธิบดี พพ. ต้องรายงานให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ทราบหรือรับรองการอนุมัติของอธิบดี พพ. ในการประชุมเป็นคราวๆ ไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ซึ่งเป็นอาคารควบคุมส่วนราชการ มีอาคารจำนวน 118 อาคาร คิดเป็นพื้นที่ใช้สอย 768,356.60 ตารางเมตร ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน เป็นเงิน 13,933,056 บาท และ พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 20) เมื่อวันพุธที่ 5 กันยายน 2544 และได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 ให้ พพ. นำไปจัดสรรให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในวงเงิน 13,933,056 บาท (สิบสามล้านเก้าแสนสามหมื่นสามพันห้าสิบหกบาทถ้วน)
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 ให้ พพ. นำไปจัดสรรให้แก่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในวงเงิน 13,933,056 บาท (สิบสามล้านเก้าแสนสามหมื่นสามพันห้าสิบหกบาทถ้วน) ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับเสนอ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เพื่อความคล่องตัวในการปฏิบัติงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2541 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2541 จึงได้มีมติอนุมัติให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ มีอำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานโครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการแต่ละชุด โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลงและอนุมัติให้คณะอนุกรรมการแต่ละชุด มีอำนาจอนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุนให้แก่โครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการแต่ละชุด ที่มีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณากลั่นกรองโครงการที่มีวงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการที่ได้กำหนดไว้ในรายละเอียดข้อเสนอของแต่ละโครงการ บางครั้งเจ้าของโครงการฯ จะพบกับปัญหาหรืออุปสรรคที่ทำให้การปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามแผนงาน โดยเจ้าของโครงการฯ ไม่มีเจตนาที่จะไม่ดำเนินการตามข้อกำหนดของโครงการฯ และการเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว แต่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง เช่น โครงการผลิตก๊าซชีวภาพจากระบบบำบัดน้ำเสียแบบตรึงฟิล์มจุลินทรีย์ชนิดไม่ใช้อากาศ และโครงการศึกษาการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้เซลล์เชื้อเพลิงแบบเกลือคาร์บอเนตหลอม ซึ่งดำเนินการโดย มจธ. และการดำเนินงานของทั้ง 2 โครงการ เกิดปัญหาอุปสรรคในระหว่างดำเนินโครงการฯ มจธ. จึงขอปรับแผนการดำเนินโครงการทั้ง 2 โครงการ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว ในการประชุมครั้งที่ 8/2544 และครั้งที่ 9/2544 ตามลำดับ โดยผลจากการเปลี่ยนแปลงแผนการดำเนินงานของทั้ง 2 โครงการ ไม่กระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติ แต่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในกรณีเช่นนี้ คณะกรรมการกองทุนฯ มิได้มอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการแต่ละชุดมีอำนาจอนุมัติการเปลี่ยนแปลงไว้
ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงแผนงานของทั้ง 2 โครงการ ตามที่คณะอนุกรรมการฯ ได้มีความเห็นชอบไว้ดังกล่าวแล้ว และขออำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานของโครงการฯ จากคณะกรรมการกองทุนฯ เพิ่มเติม โดยให้คณะอนุกรรมการฯ มีอำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานของโครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง หรือหากผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง ก็ให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะอนุกรรมการฯ ในการพิจารณาอนุมัติ และรายงานเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบในการประชุมเป็นคราวๆ ไป
มติที่ประชุม
1. รับทราบและอนุมัติให้ มจธ. เปลี่ยนแปลงการดำเนินงาน โครงการผลิตก๊าซชีวภาพจากระบบบำบัดน้ำเสียแบบตรึงฟิล์มจุลินทรีย์ชนิดไม่ใช้อากาศ ตามที่คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 8/2544 เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบไว้
2. รับทราบและอนุมัติให้ มจธ. เปลี่ยนแปลงการดำเนินงาน โครงการศึกษาการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้เซลล์เชื้อเพลิงแบบเกลือคาร์บอเนตหลอม ตามที่คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 9/2544 เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบไว้
3. มอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ มีอำนาจดังต่อไปนี้
(1) ให้มีอำนาจอนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุนให้แก่โครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการแต่ละชุด ที่มีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณากลั่นกรองโครงการที่มีวงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
(2) ให้มีอำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานโครงการที่อยู่ภายใต้การกำกับ ดูแลของคณะอนุกรรมการแต่ละชุด เป็นกรณีๆ ดังต่อไปนี้
(2.1) การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง ทั้งกรณีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และวงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป
(2.2) การเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว แต่ผลที่ คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง กรณีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท ให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะอนุกรรมการฯ ในการพิจารณาอนุมัติ และกรณีวงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป ให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณากลั่นกรองเพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
(2.3) การเปลี่ยนแปลงนั้นมีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และทำหรือไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง กรณีวงเงินรวมหลังเปลี่ยนแปลงไม่เกิน 10 ล้านบาท ให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะอนุกรรมการฯ ในการพิจารณาอนุมัติ และกรณีมีวงเงินรวมหลังเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป ให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณากลั่นกรองเพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
กรณีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ในดุลยพินิจของคณะอนุกรรมการฯ ในการพิจารณาอนุมัติ ให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบในการประชุมเป็นคราวๆ ไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ซึ่งเป็นอาคารควบคุมส่วนราชการ มีอาคารจำนวน 129 อาคาร คิดเป็นพื้นที่ใช้สอย 739,483 ตารางเมตร ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ซึ่ง พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 19) เมื่อวันอังคารที่ 3 กรกฎาคม 2544 และคณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 เพื่อจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เป็นเงิน 10,307,996 บาท (สิบล้านสามแสนเจ็ดพันเก้าร้อยเก้าสิบหกบาทถ้วน)
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 เพื่อจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานให้กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ในวงเงิน 10,307,996 บาท (สิบล้านสามแสนเจ็ดพันเก้าร้อยเก้าสิบหกบาทถ้วน) ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับเสนอ
เรื่องที่ 11 โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 22) เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2544 ได้เห็นชอบในข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการยื่นข้อเสนอที่ สพช. กำหนดใน "เอกสารเชิญชวนเพื่อยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" และมอบหมายให้ "คณะทำงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" ที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือแต่งตั้งขึ้น ทำหน้าที่ประเมินข้อเสนอทั้งทางเทคนิคและข้อเสนอทางการเงิน สพช. จึงได้มีประกาศลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2544 เรื่อง การสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อเชิญชวนให้ผู้สนใจลงทุนและ SPP ที่ใช้พลังงานนอกรูปแบบหรือใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง ได้ยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยมีกำหนดเวลาให้ผู้สนใจติดต่อขอซื้อเอกสารเชิญชวนฯ ได้ที่ อาคารสำนักงาน สพช. ระหว่างวันที่ 16 กรกฎาคม 2544 ถึง 17 สิงหาคม 2544 และกำหนดยื่นซองข้อเสนอต่อ สพช. ในวันที่ 15 ตุลาคม 2544 ระหว่างเวลา 13.00-16.30 น.
เมื่อครบกำหนดวันที่ 17 สิงหาคม 2544 แล้ว ปรากฏว่ามีผู้สนใจซื้อเอกสารเชิญชวนฯ รวมทั้งสิ้น 66 ชุด ประกอบด้วยผู้สนใจทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวม 49 ราย แต่เนื่องจากมีผู้สนใจลงทุนหลายรายที่ไม่สามารถซื้อเอกสารเชิญชวนฯ ได้ทันภายในวันที่ 17 สิงหาคม 2544 ดังนั้น คณะทำงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน จึงได้มีการประชุมร่วมกัน เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2544 ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 3 อาคาร สพช. เพื่อหารือในประเด็นดังกล่าว และที่ประชุมมีความเห็นว่าเพื่อเปิดโอกาสให้มีผู้สนใจลงทุนสามารถยื่นข้อเสนอได้มากรายยิ่งขึ้น และจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยรวม จึงเห็นควรให้มีการขยายระยะเวลาการขอซื้อเอกสารเชิญชวนฯ ออกไปจนถึงวันที่ 28 กันยายน 2544
มติที่ประชุม
รับทราบและเห็นอนุมัติให้มีการขยายระยะเวลาการขอซื้อเอกสารเชิญชวนฯ ออกไปจนถึงวันที่ 28 กันยายน 2544 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ