
Super User
ประกาศประกวดราคา จัดซื้อครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์พร้อมติดตั้ง จำนวน ุ6 รายการ ประจำปีงบประมาณ 2568
ประกาศผู้ชนะการเสนอราคา จ้างที่ปรึกษาโครงการศึกษาแนวทางการปรับปรุงและจัดทำนโยบายการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าของประเทศไทย ปี 2569-2573 โดยวิธีคัดเลือก
ประกาศผู้ชนะการเสนอราคา จัดจ้างทำป้ายทำเนียบรายนามผู้บริหาร จำนวน 1 งาน โดยวิธีเฉพาะเจาะจง
รายงานผลปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (ไตรมาสที่ 4)
รายงานผลปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (ไตรมาสที่ 3)
รายงานผลปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (ไตรมาสที่ 2)
รายงานผลปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (ไตรมาสที่ 1)
ประกาศผู้ชนะการเสนอราคา จ้างเหมารถบัสและรถตู้โดยสารรับจ้างในโครงการสัมมนาและฝึกอบรมการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจปิโตรเลียม จำนวน 1 งาน โดยวิธีเฉพาะเจาะจง
กพช. ครั้งที่ 49 วันพุธที่ 11 มกราคม 2538
มติการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 1/2538 (ครั้งที่ 49)
วันพุธที่ 11 มกราคม 2538
1. รายงานสถานการณ์ความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า (ปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับ)
2. ผลการดําเนินงานของการขนส่งน้ำมันทางท่อ
3. ผลการดําเนินงานในการลดปริมาณกํามะถันในน้ำมันเตา
4. รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าการตลาด
5. ความก้าวหน้าโครงการพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป. ลาว
6. ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในรูปของ IPP
7. โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้
8. ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
9. ข้อเสนอเพิ่มเติมในการปรับปรุงกฎเกณฑ์การตั้งสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง
ผู้มาประชุม
นายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
(นายชวน หลีกภัย)
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
(นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์)
เรื่องที่ 1 รายงานสถานการณ์ความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า (ปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับ)
สรุปสาระสำคัญ
รายงานสถานการณ์ไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับในช่วงปีงบประมาณ 2537 ที่ผ่านมา ดังนี้
1. เขตการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ในช่วงปีงบประมาณที่ผ่านมา ผู้ใช้ไฟฟ้าในเขต กฟน. ประสบปัญหาจํานวนไฟฟ้าดับถาวรเฉลี่ย 6 ครั้ง ต่อผู้ใช้ไฟหนึ่งราย ซึ่งลดลงจากปีงบประมาณ 2536 ในอัตราเกือบร้อยละ 20 อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาไฟฟ้าดับนานขึ้นในเขต กฟน. ปัญหาหลักของไฟฟ้าดับในระบบ กฟน. ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากอุปกรณ์ชํารุด จากคน/สัตว์/รถยนต์ และจากภัยธรรมชาติ โดยในช่วงที่ผ่านมา มีพายุฝนค่อนข้าง มาก ฉะนั้น สาเหตุจากภัยธรรมชาติ เป็นสาเหตุที่สําคัญที่ทําให้ปัญหาไฟฟ้าดับไม่ได้ลดลงมากเท่าที่ควร บางเขต ปัญหาไฟฟ้าดับจะอยู่ในระดับค่อนข้างสูง เช่น เขตบางใหญ่ มีนบุรี บางพลี และนนทบุรี แต่เขตชั้นใน เช่น เขต วัดเลียบ ยานนาวา คลองเตย และสมุทรปราการ ปัญหาไฟฟ้าดับอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างต่ำ
2. เขตการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับดีขึ้น ในช่วงปีงบประมาณที่ผ่านมา จํานวนไฟฟ้าดับถาวร อยู่ในระดับ 9 ครั้งต่อผู้ใช้หนึ่งราย ซึ่งลดลงจาก 11 ครั้ง ต่อผู้ใช้ไฟหนึ่งราย ในปีงบประมาณ 2536 และระยะเวลาที่ไฟฟ้าดับก็ลดลงเช่นเดียวกัน โดยสาเหตุสําคัญที่ทําให้ไฟฟ้าดับในเขต กฟภ. ดีขึ้น เนื่องมาจากปัญหาไฟฟ้าดับจากส่วนของ กฟผ. ลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง ส่วนสาเหตุที่มาจากระบบจําหน่ายของ กฟภ. ของปีที่แล้วอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีงบประมาณ 2536 อย่างไรก็ตาม บางเขตยังมีปัญหาไฟฟ้าดับค่อนข้างมาก เช่น ภาคใต้ ปัญหาต้นยางโดนสายไฟเป็นหลัก บางเขตมีปัญหาไฟฟ้าดับเพิ่มมากขึ้นจากปีที่แล้ว เช่น ภาคเหนือ (เชียงใหม่, พิษณุโลก) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง (อุบลราชธานี) เป็นต้น ซึ่งสาเหตุหลักมาจากพายุฝน โดยในปีที่แล้วได้เกิดพายุฝนค่อนข้างมาก
3. เขตการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สาเหตุไฟฟ้าดับที่เป็นผลมาจาก กฟผ. ในปีที่ผ่านมาดีขึ้น แต่ก็มีบางส่วนที่ยังมีไฟดับอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้าแรงสูงของ กฟผ. โดยในรอบปีที่ผ่านมาได้เกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ 2 เหตุการณ์ คือ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2537 เกิดอุบัติเหตุจากคนงานทําการฉีดล้างลูกถ้วยด้วยวิธี HOT LINE ที่สถานีไฟฟ้าบางปะกงแล้วเกิดระเบิด ทําให้ไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้าง และเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2537 เกิดจากระบบการทํางานของคอมพิวเตอร์ที่สถานีไฟฟ้าหนองจอกขัดข้อง ทําให้ไฟฟ้าดับเป็นบริเวณค่อนข้างกว้างเช่นกัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ผลการดําเนินงานของการขนส่งน้ำมันทางท่อ
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่ได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2533 เห็นชอบให้ดําเนินโครงการท่อขนส่งน้ำมัน ศรีราชา-สระบุรี ความยาว 252 กิโลเมตร โดย ปตท. เป็นแกนกลางในการจัดตั้งบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จํากัด (Thai Petroleum Pipeline Co., Ltd.) หรือ THAPPLINE และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2534 ให้ดําเนินโครงการท่อขนส่งน้ำมันจากโรงกลั่นน้ำมันบางจากไปยังดอนเมืองและบางปะอิน ความยาว 69 กิโลเมตร โดยบริษัท การบินไทย จํากัด เป็นแกนกลางในการจัดตั้งบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จํากัด (Fuel Pipeline Transportation Co.,Ltd.) หรือ FPT เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดใน กทม. นั้น บัดนี้การดําเนินการได้เสร็จสิ้นลงแล้ว และได้เริ่มจ่ายน้ำมันแล้ว โดยปริมาณน้ำมันที่ขนส่งทางท่อในปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณน้ำมันที่อาจเปลี่ยนมาขนส่งทางท่อได้ ปรากฏว่าในขณะนี้ใช้การขนส่งทางท่อแล้วร้อยละ 88 โดยขนทาง ท่อ THAPPLINE ร้อยละ 56 และ FPT ร้อยละ 32 แต่ถ้าเปรียบเทียบกับความสามารถสูงสุดในการขนส่งของท่อปริมาณการขนส่งในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 23 และ 35 ของท่อ THAPPLINE และ FPT ตามลําดับ เนื่องจาก การก่อสร้างท่อต้องวางแผนให้มีความสามารถในการขนส่งเพียงพอที่จะรองรับการขยายตัวในอนาคตได้ในระยะยาว
2. ในปัจจุบันยังมีปัญหาและอุปสรรคบางประการที่ทําให้ผู้ค้าน้ำมัน และผู้ขนส่งบางรายยังเลือกที่จะขนส่งโดยทางรถบรรทุกจากคลังกรุงเทพฯ ได้แก่
2.1 ปัญหาและอุปสรรคด้านธุรกิจ มีดังนี้ (1) เส้นทางเข้าออกจากคลังบางปะอินของ FPT ยังไม่สะดวกเนื่องจากเส้นทางวงแหวนรอบนอกที่จะเชื่อมระหว่างคลังบางปะอินกับถนนพหลโยธิน ยังไม่แล้วเสร็จในช่วงถนนเชิงสะพานลอยข้ามทางรถไฟ ทําให้รถบรรทุกน้ำมันที่จะเข้าไปคลังบางปะอินต้องใช้เส้นทางที่มีอยู่เดิมซึ่งเป็นทางอ้อมคดเคี้ยว และมีขนาดเล็ก (2) เส้นทางเข้าออกจากคลังลําลูกกาของ THAPPLINE ก็ยังไม่สะดวกเช่นกัน คือเป็นทางขนาดเล็ก แม้กรมทางหลวงมีแผนการที่จะขยายถนนดังกล่าว แต่ก็ยังไม่ได้มีการดําเนินการแต่อย่างใด (3) อัตราค่าขนส่งน้ำมันทางท่อ ซึ่ง THAPPLINE และ FPT บวกเข้าไปในราคาน้ำมัน ในระยะแรกอยู่ในระดับสูงเมื่อเปรียบเทียบกับการขนส่งทางรถบรรทุกจากกรุงเทพฯ แต่ในปัจจุบันบริษัทท่อ ทั้ง 2 ราย ได้ลดอัตราค่าขนส่งทางท่อแล้วเพื่อจูงใจให้มาใช้การขนส่งทางท่อมากขึ้น (4) แม้ว่าคณะกรรมการจัดระบบจราจรทางบก (คจร.) จะได้มีมติจํากัดเวลาวิ่งของรถบรรทุกในกรุงเทพฯ ซึ่งมีส่วนช่วยสนับสนุนการขนส่งทางท่อได้มากแล้วก็ตาม แต่การที่ยังไม่ห้ามโดยสิ้นเชิงทําให้ยังมีรถบรรทุกน้ำมันเข้ามารับน้ำมันในกรุงเทพฯ ในเวลากลางคืน และยังเป็นอุปสรรคต่อการขนส่งทางท่อ หากมีการห้ามวิ่งตลอดเวลาก็จะช่วยได้มากขึ้น
2.2 ปัญหาและอุปสรรคด้านความปลอดภัย โดยบริษัท FPT ได้แจ้งให้ สพช. ทราบถึงปัญหาความเสี่ยงภัยที่จะเกิดความเสียหายต่อท่อน้ำมัน ดังนี้คือ (1) การก่อสร้างโครงการรถไฟยกระดับของ Hopewell ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับแนวท่อน้ำมัน ได้มีการขุดดินจนเกิดความเสียหายต่อผิวภายนอกของท่อน้ำมัน (2) มีผู้พยายามขโมยน้ำมันโดยขุดอุโมงค์ใต้ดินจากบ้านเช่าซึ่งอยู่ใกล้แนวท่อไปยังท่อ และขณะที่เจ้าหน้าที่ตํารวจจับกุมได้โดยบังเอิญยังเหลือระยะทางอีกเพียง 1 เมตร จะถึงท่อน้ำมัน (3) มีประชาชนจํานวนมากบุกรุกพื้นที่ของหน่วยงานราชการดังกล่าว เข้ามาก่อสร้างบ้านเรือนจนบางครั้งคล่อมแนวท่อ ทั้งนี้ เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายที่จะให้ความคุ้มครองความปลอดภัยของท่อโดยเฉพาะ คงมีเพียงร่างพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง ของกรมโยธาธิการซึ่งมีบทบัญญัติคุ้มครองท่อ โดยมีบทลงโทษทั้งปรับและจําคุก แต่ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวขณะนี้อยู่ระหว่างรอการพิจารณาของรัฐสภา ดังนั้น FPT จึงร้องขอให้รัฐเร่งดําเนินการออกพระราชบัญญัติดังกล่าวโดยด่วน ซึ่ง สพช. ได้แจ้งให้กรมโยธาธิการทราบถึงปัญหาของบริษัทเพื่อให้มีการประสานงานกับรัฐสภาต่อไป
มติของที่ประชุม
รับทราบผลการดําเนินงานของโครงการขนส่งน้ำมันทางท่อทั้ง 2 โครงการ และอุปสรรคในการดําเนินงานในเรื่องความปลอดภัยของระบบท่อน้ำมัน และเส้นทางเข้าออกคลังน้ำมัน โดยเห็นควรให้มีการเร่งรัดการนําร่างพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. … เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร และให้กรมทางหลวงเร่งรัดการก่อสร้างเส้นทางวงแหวนรอบนอกที่จะเชื่อมคลังบางปะอินของ บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จํากัด (FPT) กับถนนพหลโยธิน และการขยายเส้นทางเข้าออกจากคลังลําลูกกาของบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จํากัด (THAPPLINE) เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้การขนส่งทางท่อมากขึ้น
เรื่องที่ 3 ผลการดําเนินงานในการลดปริมาณกํามะถันในน้ำมันเตา
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2537 อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ให้มีการแก้ไขปัญหาก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ซึ่งเป็นมลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงที่มีธาตุกํามะถันเจือปนอยู่ และมีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งพื้นที่ที่มีการระบายก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์มากที่สุดรองจากแม่เมาะ คือในเขตกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ โดยสรุปมติได้ ดังนี้
1.1 ให้มีการจําหน่ายน้ำมันเตาชนิดที่ 1-4 ที่มีกํามะถันไม่เกิน 2.0% และชนิดที่ 5 ที่มี กํามะถันไม่เกิน 0.5% ในเขตกรุงเทพมหานครและสมุทรปราการทันที แต่ทั้งนี้ผู้ค้าน้ำมันทุกรายต้องปฏิบัติตามนี้ภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2537 โดยให้กระทรวงพาณิชย์แก้ไขปรับปรุงประกาศกระทรวงพาณิชย์กําหนดคุณภาพของน้ำมันเตาให้สอดคล้องกัน การลดปริมาณกํามะถันดังกล่าวถือว่าเป็นการลดในระยะแรก ซึ่งในอนาคตจะพิจารณาขยายพื้นที่บังคับออกไปยังจังหวัดอื่น ๆ ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่ เช่น ฉะเชิงเทรา สมุทรสาคร และ ปทุมธานี เป็นต้น
1.2 ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม และกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมรับไป พิจารณากําหนดมาตรฐานการระบายก๊าซ SO2 จากโรงงานอุตสาหกรรมในเขตกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ เพื่อ ให้สอดคล้องกับการลดปริมาณกํามะถันในน้ำมันเตา โดยอาจกําหนดให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2537 เป็นต้นไป หรือพิจารณาใช้อํานาจตาม พรบ. โรงงาน พ.ศ. 2535 กําหนดให้โรงงานอุตสาหกรรมในเขต กรุงเทพฯ และสมุทรปราการต้องใช้น้ำมันเตาตามคุณภาพที่กระทรวงพาณิชย์กําหนดเท่านั้น
1.3 ให้ ปตท. และ กฟผ. เร่งดําเนินการให้โรงไฟฟ้าพระนครเหนือใช้น้ำมันเตากํามะถันไม่เกิน 2% และโรงไฟฟ้าพระนครใต้ใช้น้ำมันเตา ซึ่งมีปริมาณกํามะถันไม่เกิน 2% และ 0.5% ในสัดส่วนที่ทําให้มีค่า เฉลี่ยของปริมาณกํามะถันไม่เกิน 1.7% โดยเร็วที่สุด และให้ ปตท. พิจารณาความเป็นไปได้ในการนําน้ำมันดิบ กํามะถันต่ำ เช่น Duri หรือน้ำมันประเภท LSWR มาใช้ในโรงไฟฟ้าพระนครใต้
1.4 มาตรการเพิ่มเติมกรณีปัญหารุนแรง ให้ กฟผ. ตรวจวัดคุณภาพอากาศในบริเวณที่อาจเกิด ปัญหามลพิษจากโรงไฟฟ้าพระนครใต้ และกรมควบคุมมลพิษตรวจวัดคุณภาพอากาศในบริเวณเขตอุตสาหกรรม ของจังหวัดสมุทรปราการ หากผลการตรวจวัดยืนยันความรุนแรงของปัญหาตามผลการศึกษาของ สพช. หรือรุนแรงกว่าได้กําหนดให้ดําเนินการ ดังนี้ ให้โรงไฟฟ้าพระนครใต้ใช้น้ำมันเตากํามะถันต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 1.7% และให้เพิ่มการใช้ก๊าซธรรมชาติในโรงงานอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้าในเขตจังหวัดสมุทรปราการ ส่วนโรงงานขนาดใหญ่ และโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ให้เพิ่มความสูงของปล่อง
2. ได้มีการดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแล้ว ดังนี้
2.1 กระทรวงพาณิชย์ ได้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2537) เรื่อง กําหนด คุณภาพน้ำมันเตา เพื่อให้มีการจําหน่ายน้ำมันเตาชนิดที่ 1-4 ที่มีกํามะถันไม่เกิน 2% และชนิดที่ 5 ที่มีกํามะถัน ไม่เกิน 0.5% ในเขตกรุงเทพมหานครและสมุทรปราการ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2537 ที่ผ่านมา
2.2 กฟผ. ได้เร่งใช้น้ำมันเตากํามะถันต่ำทันทีตามมติคณะรัฐมนตรี โดยได้ใช้น้ำมันเตากํามะถัน ไม่เกิน 2% ในโรงไฟฟ้าพระนครเหนือตั้งแต่เดือนเมษายน 2537 และใช้น้ำมันเตากํามะถันเฉลี่ยไม่เกิน 1.7% ในโรงไฟฟ้าพระนครใต้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2537 เป็นต้นมา
3. จากการดําเนินการดังกล่าว มีผลทําให้ปริมาณก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในเขตดังกล่าวลดลงอย่างมาก โดยลดลงจากระดับ 25,836 ตัน/เดือน ในปี 2536 เหลือเพียง 11,264 ตัน/เดือน ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2537 (กรกฎาคม พฤศจิกายน 2537) คิดเป็นอัตราลดลงร้อยละ 56 โดยโรงไฟฟ้าพระนครเหนือและพระนครใต้ ปริมาณลดลงจากระดับเฉลี่ยเดือนละ 18,244 ตัน/เดือนในปี 2536 เหลือเพียงเฉลี่ยเดือนละ 6,375 ตัน/เดือน ในปี 2537 คิดเป็นอัตราลดลงร้อยละ 65 และโรงงานอุตสาหกรรมในเขตกรุงเทพมหานครและสมุทรปราการ ได้ปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศลดลง จากระดับเฉลี่ย 7,592 ตัน/เดือน ในปี 2536 เหลือเพียง 4,889 ตัน/เดือน ในปี 2537 คิดเป็นอัตราลดลงร้อยละ 36
4. สําหรับการดําเนินการในระยะต่อไปนั้น ควรมีการดําเนินการ ดังนี้ กรมโรงงานอุตสาหกรรม และกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ควรเร่งดําเนินการกําหนดมาตรฐานการระบายก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ จากโรงงานอุตสาหกรรมในเขตกรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการตามมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งควรเร่งใช้น้ำมันเตากํามะถันต่ำในโรงไฟฟ้าบางปะกงของ กฟผ. เนื่องจากในช่วงปี 2537 โรงไฟฟ้าบางปะกงได้มีการใช้น้ำมันเตาเพิ่มขึ้นเป็นจํานวนมาก เป็นผลให้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2537 ได้ปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศเป็นปริมาณสูงถึง 8,764 ตัน/เดือน คิดเป็นร้อยละ 55 ของปริมาณก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากโรงไฟฟ้าที่ใช้น้ำมันเตาทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ กฟผ. ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และได้เร่งให้ปตท.นําส่งน้ำมันเตากํามะถันต่ำไม่เกิน 2% เพื่อใช้ในโรงไฟฟ้าดังกล่าวแล้ว โดยคาดว่าจะเริ่มใช้ได้ตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ควรเร่งทําการศึกษาขยายพื้นที่บังคับใช้น้ำมันเตากํามะถันต่ำออกไปจังหวัดอื่น ๆ ที่มีปัญหาก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ โดย สพช. จะทําการศึกษาถึงสภาพการใช้น้ำมันเตาและปัญหาของก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในบริเวณที่มีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่เป็นจํานวนมาก เช่น ฉะเชิงเทรา สมุทรสาคร และปทุมธานี เป็นต้น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าการตลาด
สรุปสาระสำคัญ
รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงปลายเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2537 และผลการกํากับดูแลการกําหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงปี 2537 ดังนี้
1. รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
1.1 ราคาน้ำมันดิบ ราคาในเดือนตุลาคมเพิ่มสูงขึ้นช่วงต้นเดือนและปรับลดลงมาอยู่ในระดับ 15-17 เหรียญสหรัฐต่อบาเรลในช่วงปลายเดือน และราคาได้ปรับสูงขึ้นในเดือนพฤศจิกายน เป็น 16-18 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากผลการประชุมกลุ่มโอเปคที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีมติที่จะรักษาเพดานการผลิตให้อยู่ในระดับเดิมไปจนตลอดปี 2538 สําหรับราคาในเดือนธันวาคม ได้ปรับลดลงจากเดือนพฤศจิกายน ประมาณ 0.5-1.0 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล
1.2 ราคาน้ำมันสําเร็จรูป น้ำมันดีเซลหมุนเร็วราคาได้ปรับสูงขึ้นในเดือนพฤศจิกายน เป็น 22 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล หลังจากที่ราคาได้ทรงตัวอยู่ในระดับ 20-21 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล มาตั้งแต่เดือนกันยายนจนถึงเดือนตุลาคม ส่วนเดือนธันวาคมราคาได้ปรับลดลงเล็กน้อย น้ำมันเตาราคาได้ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนตุลาคม ต่อเนื่องถึงเดือนพฤศจิกายน ในระดับ 14 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล และน้ำมันเบนซินราคาลดลงจาก 20-22 เหรียญสหรัฐต่อบาเรลในเดือนตุลาคม เป็น 18-21 เหรียญสหรัฐต่อบาเรลในเดือนธันวาคม เนื่องจากสหรัฐอเมริกาได้กําหนดคุณภาพน้ำมันเบนซินใหม่ทําให้น้ำมันเบนซินเก่าถูกระบายออกสู่ตลาด
1.3 ราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นในประเทศ เปลี่ยนแปลงตามราคาน้ำมันสําเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ คือราคาน้ำมันเบนซินพิเศษ เบนซินพิเศษไร้สารตะกั่ว และเบนซินธรรมดาได้ปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ครึ่งหลังของ เดือนตุลาคมจนถึงเดือนพฤศจิกายนเป็น 7.0-7.7 บาท/ลิตร แล้วราคาได้ลดลงมากในเดือนธันวาคม ประมาณ 60-70 สต./ลิตร มาอยู่ในระดับ 6.3-7.0 บาท/ลิตร น้ำมันดีเซลหมุนเร็วราคาได้ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงสองเดือน ของปลายปี 2537 หลังจากที่ราคาได้ทรงตัวมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 12-15 สต./ลิตร เป็น 6.5 บาท/ลิตร สําหรับน้ำมันเตาราคาได้ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม ตามราคาน้ำมันในตลาดจรสิงคโปร์มาอยู่ในระดับ 3.4 บาท/ลิตร
1.4 ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ เปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น และโดยเฉลี่ยราคาขายปลีกในปี 2537 ยังต่ำกว่าราคาขายปลีกในปีที่แล้ว โดยกลุ่มเบนซินราคายังคงต่ำกว่า 52 สต./ลิตร น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ราคาต่ำกว่า 47 สต./ลิตร แต่น้ำมันเตาราคาสูงกว่า 20 สต./ลิตร
1.5 ค่าการตลาด น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ค่าการตลาดอยู่ในระดับ 90 สต./ลิตร โดยมีการเปลี่ยน แปลงเพียงเล็กน้อยในช่วงต่ำกว่า 5 สต./ลิตร กลุ่มน้ำมันเบนซินในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ราคาขายส่ง หน้าโรงกลั่นเพิ่มสูงขึ้นแต่ราคาขายปลีกส่วนใหญ่มาเพิ่มในช่วงปลายเดือนตุลาคม และเดือนพฤศจิกายนทําให้ค่าการตลาดเดือนตุลาคมลดต่ำลง 20-30 สต./ลิตร จาก 1.41-1.45 บาท/ลิตร เหลือ 1.15-1.23 บาท/ลิตร และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายน เป็น 1.31-1.43 บาท/ลิตร แต่ในเดือนธันวาคม ซึ่งราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นลดลงอย่างรวดเร็ว แม้จะมีการลดราคาขายปลีกถึง 3 ครั้ง แต่ก็ยังทําให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับ1.40-1.48 บาท/ลิตร ซึ่งสูงกว่าเดือนพฤศจิกายน 5-10 สต./ลิตร และจากผลการเปลี่ยนแปลงค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลและ เบนซินดังกล่าวทําให้ค่าการตลาดเฉลี่ยเดือนธันวาคมอยู่ในระดับ 1.12 บาท/ลิตร สูงกว่าปกติประมาณ 10 สต./ลิตร
2. ผลการกํากับดูแลการกําหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ สถานีบริการในต่างจังหวัด โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2536 ให้มีการกํากับดูแลการกําหนดราคาขายปลีกของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค โดยมีกรมการค้าภายใน สํานักงานพาณิชย์จังหวัด และ สพช. ร่วมกันติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก ราคาขายปลีกในประเทศและค่าการตลาดอย่างใกล้ชิด โดยมี ปตท. และบางจากเป็นกลไกในการรักษาระดับราคาจําหน่ายที่เหมาะสม ซึ่งผลการดําเนินการในปี 2537 พบว่ามีจํานวนสถานีบริการโดยเฉลี่ย 150 สถานีต่อเดือน จากจํานวน 4,729 สถานีทั่วประเทศหรือประมาณร้อยละ 2 ที่จําหน่ายน้ำมันราคาเกินเหมาะสม สถานีบริการดังกล่าวกระจายตามจังหวัดต่าง ๆ มิได้กระจุกตัวอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง และกระจายตามผู้ค้าน้ำมันต่าง ๆ ด้วย ทําให้ผู้บริโภคมีโอกาสเลือกซื้อน้ำมันจากสถานีบริการอื่นที่ราคาเหมาะสมได้ จํานวนสถานีบริการที่จําหน่ายราคาเกินเหมาะสมในช่วงครึ่งปีหลังลดน้อยลงมาก ทั้งนี้ เนื่องจากการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ค้าน้ำมันในการแก้ไขปัญหามีความคล่องตัวมากกว่าการดําเนินการในช่วงแรก ๆ ตอนต้นปี
3. การสํารวจสภาวะตลาด โดยสํานักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปสํารวจสภาวะของตลาดน้ำมันในส่วนภูมิภาคอย่างสม่ำเสมอ โดยเป็นส่วนหนึ่งของการกํากับดูแลราคาน้ำมันตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งในการสํารวจที่ผ่านมาโดยทั่วไปตลาดน้ำมันมีการแข่งขันกันมากขึ้น ในท้องที่ชนบทเริ่มมีสถานีบริการขนาดเล็กซึ่งไม่มีเครื่องหมายการค้าแพร่หลายมากขึ้น เรียกกันโดยทั่วไปว่าสถานีบริการแบบถังลอย เนื่องจากจะมีถังเก็บน้ำมันขนาดความจุประมาณหนึ่งหมื่นลิตรตั้งอยู่บนพื้นดิน (ถังลอย) ในบริเวณด้านข้างหรือด้านหลังของสถานีบริการและติดตั้งตู้จ่ายน้ำมันเพียงหนึ่งตู้ เพื่อจําหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพียงชนิดเดียวในราคาต่ำกว่าสถานีบริการของผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ ประมาณ 60-70 สต./ลิตร ในการสํารวจสภาวะตลาดครั้งล่าสุดในช่วงปลายปี 2537 ในท้องที่จังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และมหาสารคาม ปรากฏว่ามีการจัดตั้งสถานีบริการแบบถังลอยมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะในบริเวณเส้นทางจากสระบุรีไปขอนแก่น นอกจากการแข่งขันในด้านราคาแล้ว ยังมีการแข่งขันในด้านอื่น ๆ เพิ่มขึ้น เช่น ด้านคุณภาพน้ำมัน (การเพิ่มค่าออกเทน) รูปแบบของสถานีบริการที่แปลกใหม่ สวยงาม การบริการที่ดีขึ้นและการจัดตั้งร้านสรรพสินค้าขนาดเล็กในสถานีบริการ เป็นต้น ในส่วนของสถานีบริการถังลอย ซึ่งจําหน่ายน้ำมันในราคาต่ำถึงแม้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค และช่วยเพิ่มการแข่งขันให้มากขึ้น แต่จะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่สถานีบริการอื่น ๆ ถ้าการแข่งขันระหว่างสถานีบริการถังลอยและสถานีทั่วไปมิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน สพช. จึงได้แจ้งให้กรมทะเบียนการค้า ส่งเจ้าหน้าที่ทําการตรวจสอบการขออนุญาตเป็นผู้ค้าน้ำมัน คุณภาพน้ำมัน และความเที่ยงตรงของมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในการจําหน่ายของสถานีบริการถังลอยให้ถูกต้องตามกฎหมายและแจ้งให้กรมสรรพากรส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบการจดทะเบียนและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของสถานีบริการถังลอยด้วย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 ความก้าวหน้าโครงการพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป. ลาว
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยและรัฐบาล สปป. ลาว ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2536 ณ นครเวียงจันทน์ โดยทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมและร่วม มือกันพัฒนาไฟฟ้าให้ได้ประมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2543 เพื่อจําหน่ายให้กับประเทศไทย และต่อมาได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว โดยมีผู้ว่าการ กฟผ. เป็นประธาน เพื่อติดตามการดําเนินงาน และประสานความร่วมมือกับ สปป. ลาว ให้เป็นไปตามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
2. เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2537 ได้มีพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมระหว่าง กฟผ. และ กลุ่มผู้ลงทุนโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ เทิน-หินบุน (ประกอบด้วยรัฐบาล สปป. ลาว กลุ่ม NORDIC แห่งประเทศสวีเดน นอร์เวย์ และบริษัท MDX ประเทศไทย) ซึ่งเป็นโครงการที่มีขนาดกําลังการผลิตติดตั้ง 210 เมกะวัตต์
3. ความก้าวหน้าของโครงการไฟฟ้าอื่น ๆ ใน สปป. ลาว มีดังนี้
3.1 โครงการน้ำเทิน 2 มีกําลังการผลิตติดตั้ง 600 เมกะวัตต์ ระยะเวลาดําเนินการตั้งแต่ปี 2538-2541 ผู้ลงทุนประกอบด้วยรัฐบาล สปป.ลาว บริษัท Transfield/ออสเตรเลีย การไฟฟ้าฝรั่งเศส และกลุ่ม บริษัท อิตาเลียน-ไทย/จัสมิน/ภัทรธนกิจ ซึ่งมีการเจรจาราคาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างกรรมการฝ่ายไทย และกลุ่มผู้ลงทุนหลายครั้ง โดยจุดยืนของทั้งสองฝ่ายเบนเข้าหากัน และมีการเจรจาครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2537
3.2 โครงการห้วยเฮาะ มีกําลังการผลิตติดตั้ง 150 เมกะวัตต์ ระยะเวลาดําเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538-2541 โดยมีบริษัทแดวู แห่งประเทศไทย/เกาหลีใต้ และบริษัทล็อกซเล่ย์ จํากัด (มหาชน)/ประเทศไทย เป็นผู้ลงทุน ขณะนี้กลุ่มผู้ลงทุนฯ ได้เสนอราคาซื้อขายไฟฟ้าเท่ากับ 4.96 เซนต์สหรัฐต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และกรรมการฝ่ายไทยอยู่ระหว่างการพิจารณา Tariff Proposal และ Financial Analysis
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 6 ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในรูปของ IPP
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้ลงมติเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2537 อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องแนวนโยบายในการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในรูปของ Independent Power Producer (IPP) โดยมติดังกล่าวกําหนดให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และสํานักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ร่วมกันร่างประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และจัดประชุมร่วมกับภาคเอกชน ผู้สนใจลงทุน และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้แนวข้อคิดเห็นที่จะนํามาปรับปรุงแก้ไขร่างประกาศดังกล่าว และนําเสนอประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานเพื่อขอความเห็นชอบและประกาศใช้ต่อไป
2. กฟผ. และ สพช. ได้ร่วมกันดําเนินการตามที่ได้รับมอบหมาย โดยร่างประกาศดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานแล้ว
3. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ออกประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (Request for Proposals for Power Purchases from Independent Power Producers) โดยผู้สนใจลงทุนสามารถซื้อประกาศดังกล่าวและลงทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิยื่นข้อเสนอในการขายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ได้ที่สํานักงานใหญ่ของ กฟผ. ในราคาชุดละ 100,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2537 ถึง 30 มิถุนายน 2538 (ณ วันที่ 4 มกราคม 2538 มีผู้ลงทะเบียนแล้วทั้งสิ้น 68 ราย) ประกาศดังกล่าวประกอบด้วย ประกาศรับซื้อไฟฟ้า (Request for Proposals, RFP) เอกสารต้นแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Model Power Purchase Agreement: Model PPA) และเอกสารกําหนดมาตรฐานและเงื่อนไขทางเทคนิคเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าและการปฏิบัติการ (Grid Code)
4. ต่อมา กฟผ. มีหนังสือถึงรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ในฐานะ ประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานขอให้ดําเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อ เสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ซึ่ง สพช. จะได้เสนอให้ประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบาย พลังงานแต่งตั้งต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 7 โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2537 การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้เสนอเรื่อง การศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ต่อรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เพื่อพิจารณาผลการศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นของโครงการฯ และต่อมาเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2537 การปิโตรเลียมแห่ง ประเทศไทย (ปตท.) ได้เสนอเรื่อง โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ถึง สํานักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อทราบผลการศึกษาความเป็นไปได้โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ รวมทั้ง ข้อเสนอรูปแบบการลงทุนของโครงการดังกล่าว
2. การศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นฯ สามารถแบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ การศึกษาความเป็นไปได้ทางเทคนิคเพื่อกําหนดโครงการที่มีศักยภาพ และการศึกษาในเรื่องเศรษฐศาสตร์และการเงินของโครงการที่มีศักยภาพตามขั้นตอนที่ 1 จํานวน 3 โครงการ ซึ่งสามารถสรุปผลการศึกษาได้ ดังนี้คือ
2.1 โครงการท่อขนส่งน้ำมันดิบ กระบี่-ขนอม เพื่อเป็นทางเลือกในการขนส่งน้ำมันดิบจาก ตะวันออกกลางไปตะวันออกไกล ซึ่งส่วนใหญ่ขนส่งผ่านทางช่องแคบมะละกาที่คาดว่าจะประสบปัญหาความคับคั่งของการขนส่ง ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่า โครงการจะมีความเหมาะสมในกรณีระบบท่อขนาดที่ขนส่งน้ำมันได้ ประมาณวันละ 3 ล้านบาเรล ซึ่งเป็นปริมาณที่ประเทศตะวันออกไกล โดยเฉพาะญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลี ตลอด จนโรงกลั่นน้ำมันภายในประเทศทุกแห่งจะต้องใช้บริการ ดังนั้นการเชิญชวนประเทศผู้ใช้ดังกล่าวเข้าร่วมลงทุนจึง เป็นประเด็นสําคัญที่จะต้องดําเนินการต่อไป
2.2 โครงการโรงกลั่นน้ำมันที่อําเภอขนอม เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เพื่อรองรับกับความ ต้องการใช้ในประเทศและส่งออก รวมทั้ง ผลิตแนฟทา (Naphtha) เป็นวัตถุดิบสําหรับโครงการปิโตรเคมี ซึ่งจาก ผลการศึกษาพบว่า ผลตอบแทนการลงทุนยังอยู่ในระดับปานกลาง ดังนั้น จึงได้มีการศึกษาแนวทางการลดต้นทุน โครงการ และปรับปรุงผลการผลิตเพื่อให้ผลตอบแทนดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ความต้องการใช้น้ำมันของประเทศใน ระยะปานกลางอยู่ในระดับที่จะต้องมีโรงกลั่นน้ำมัน
2.3 โครงการปิโตรเคมีที่ขนอม เพื่อผลิต Ethylene และ Propylene เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำมันในประเทศที่คาดว่าจะต้องมีการนําเข้า Polyethylene และ Polypropylene ประมาณ 397,000 และ 107,000 ตัน ในปี 2545 ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่า ผลการตอบแทนการลงทุนค่อนข้างดี โดยมีตลาดทั้งในประเทศ และประเทศข้างเคียงรองรับผลิตภัณฑ์จากโครงการได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสภาวะราคาของวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีมีความผันผวนสูง จึงควรมีการตรวจสอบข้อสมมุติฐานด้านราคาอย่างละเอียดต่อไป
3. ปตท. มีความเห็นเกี่ยวกับผลการศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นฯ ดังนี้
3.1 โครงการระบบท่อส่งน้ำมันดิบ กระบี่-ขนอม โดยผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า โครงการนี้จะมีความเหมาะสมเมื่อมีหลายประเทศมาร่วมใช้ ระบบท่อ คือ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลี ดังนั้น การลงทุนจึงควรเป็นการร่วมกันระหว่างประเทศไทย และประเทศที่มาร่วมใช้ระบบท่อ ซึ่งจากการประชุมระหว่าง ปตท. กับผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินของรัฐ กระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรม ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทน้ำมันของญี่ปุ่น สรุปได้ว่าโครงการนี้ได้รับความสนใจจากสถาบันการเงินและบริษัทน้ำมันของญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ดี ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่นซึ่งต้องหยิบยกขึ้นมาเจรจาในระดับทวิภาคี จึงเห็นควรให้มีการศึกษาในรายละเอียด (Feasibility Study) โดยจัดให้มีการเจรจาทาบทามประเทศผู้ซื้อขายน้ำมันดิบมาร่วมลงทุน และใช้บริการระบบท่อส่งน้ำมันควบคู่กันไป
3.2 โครงการโรงกลั่นน้ำมันในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ โดยผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าโครงการนี้มีศักยภาพที่ดี โดยมีทั้งความต้องการใช้ภายในประเทศ และจากประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกไกล โดยเฉพาะจีนเป็นตลาดรองรับ อีกทั้งยังมีสถานที่ตั้งสามารถแข่งขันกับโรงกลั่นในประเทศสิงคโปร์ได้ จึงเห็นควรให้มีการศึกษาในรายละเอียดเกี่ยวกับความสามารถในการแข่งขันกับโรงกลั่นในภูมิภาคเอเชีย ตลอดจนแนวทางการลงทุนต่อไป อย่างไรก็ดี ในชั้นนี้ ปตท. เห็นว่าการจัดตั้งองค์กรเพื่อดําเนินโครงการโรงกลั่นน้ำมันมีทางเลือกอยู่หลายรูปแบบ ดังนี้ รูปแบบ 1 : หน่วยงานของรัฐและสถาบัน ร้อยละ 51 ผู้ค้าน้ำมันทั้งในและต่างประเทศ และบริษัทการค้า ร้อยละ 49 รูปแบบ 2 : หน่วยงานของรัฐและสถาบัน ร้อยละ 33 ผู้ค้าน้ำมันทั้งในและต่างประเทศ และบริษัทการค้าร้อยละ 67 รูปแบบ 3 : หน่วยงานของรัฐและสถาบัน ร้อยละ 30 ผู้ค้าน้ำมันในประเทศ ร้อยละ 25 ผู้ค้าน้ำมันต่างประเทศ ร้อยละ 25 และบริษัทการค้าร้อยละ 20 และรูปแบบ 4 : หน่วยงานของรัฐดําเนินการไปก่อนและหาผู้ร่วมทุนภายหลัง
3.3 โครงการปิโตรเคมีที่ขนอม ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ผลตอบแทนการลงทุนอยู่ในระดับที่ดี ประกอบกับความต้องการภายในประเทศยังมีแนวโน้มสูงกว่าการผลิตภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตลาดวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีมีความผันผวนมาก จึงควรมีการศึกษาในรายละเอียดของแนวโน้มราคาของวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ตลอดจนแนวทางการลงทุนต่อไป
4. สพช. มีความเห็นว่า การลงทุนในโรงกลั่นน้ำมันแห่งใหม่ในภาคใต้จะใช้เงินลงทุนจํานวนที่สูงถึง 48,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นภาระอย่างมากต่อฐานะทางการเงินของ ปตท. โดยเฉพาะในกรณีที่ ปตท. จะเป็นผู้ ดําเนินการก่อนแล้วจึงให้มีผู้ร่วมทุนเอกชนในภายหลัง ดังนั้น เพื่อเป็นการลดผลกระทบต่อฐานะการเงินของ ปตท. และช่วยระดมเงินทุนสําหรับโครงการ ควรให้มีการเร่งดําเนินการปรับโครงสร้าง ปตท. ให้เป็นเชิงธุรกิจ (Corporatization) และดําเนินการแปรรูป โดยการนําหุ้นของกิจการที่มีความเหมาะสมจําหน่ายในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อระดมทุนจากประชาชนและ/หรือลดการถือหุ้นในกิจการที่ไม่มีความจําเป็นต่อกลยุทธในการดําเนินธุรกิจในระยะยาวของ ปตท. ตามผลการศึกษาของ ปตท. เรื่อง “Refocusing PIT: Assessment of PTT's Business Strategies and Privatization Program” โดย McKinsey ทั้งนี้ สมควรให้ ปตท. กระทรวงอุตสาหกรรม สศช. และ สพช. เร่งดําเนินการร่วมกันพิจารณา และหาข้อยุติเกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างและการแปรรูป ปตท. เพื่อนําเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2534
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้มีการศึกษาในรายละเอียด (Feasibility Study) 3 โครงการ ดังนี้คือ
(1) โครงการระบบท่อส่งน้ำมันดิบ กระบี่-ขนอม
(2) โครงการโรงกลั่นน้ำมันในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้
(3) โครงการปิโตรเคมีที่ขนอม
โดยให้ ปตท. นําผลการศึกษาโครงการทั้ง 3 เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาโดยด่วนต่อไป
2. เห็นชอบรูปแบบการจัดตั้งองค์กรรูปแบบที่ 4 ตามที่ ปตท. เสนอ โดยให้หน่วยงานของรัฐดําเนินการไปก่อนแล้วหาผู้ร่วมทุนภายหลัง เพื่อดําเนินการโครงการโรงกลั่นน้ำมันในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ทั้งนี้ หากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาผลการศึกษาในรายละเอียดตามข้อ 1 แล้ว เห็นว่าโครงการดังกล่าวมีความเป็นไปได้ในการลงทุน ให้ ปตท. จัดทําข้อเสนอแนวทางการลงทุนเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง
เรื่องที่ 8 ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 4/2537 (ครั้งที่ 47) เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2537 ได้มีการพิจารณาเพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง และมีมติมอบหมายให้รัฐ มนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายพรเทพ เตชะไพบูลย์) รับไปพิจารณาทบทวนแนวนโยบายในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
2. การดําเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติแล้ว โดย สพช. ได้ดําเนินการ ศึกษาและรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและได้จัดให้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องและผู้ค้าน้ำมันในวันที่ 27 กันยายน 2537 เพื่อพิจารณาข้อเสนอการแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าน้ำมัน เชื้อเพลิงที่ สพช. จัดทําขึ้น โดยได้มีการพิจารณาทบทวนมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลกําหนดไว้และสมควรใช้ต่อไป รวมทั้ง ได้นําข้อเสนอแนะของคณะทํางานพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดําเนินคดีของกรมศุลกากร และคณะ กรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร มาปรับปรุงข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าน้ำ มันเชื้อเพลิงให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายพรเทพ เตชะไพบูลย์) ได้พิจารณาข้อเสนอดังกล่าวแล้ว และมีข้อเสนอเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ดําเนินการแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรการที่คณะรัฐมนตรี กําหนดไว้แล้วต่อไป ดังนี้
1.1 ให้มีการตรวจสอบเรือขนส่งของ ปตท. และ กฟผ. เช่นเดียวกับผู้ค้าน้ำมันอื่น
1.2 ให้กรมเจ้าท่าตรวจสอบการดัดแปลงเรือประมงอย่างใกล้ชิดและเข้มงวด
1.3 ให้มีคณะทํางานเพื่อทําหน้าที่ตรวจสอบการลักลอบนําเข้าน้ำมัน โดยให้กรมศุลกากรเป็น เจ้าของเรื่องและประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
1.4 ให้การขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงต้องมีใบกํากับการขนส่งของกรมทะเบียนการค้า กระทรวง พาณิชย์ กํากับไปกับยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งทุกครั้ง
2. เห็นชอบให้กําหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติม ดังนี้
2.1 ให้กรมสรรพสามิตกําหนดให้มีการติดตั้งมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าออกจากคลัง และมาตรวัดน้ำมันคงเหลือ แบบ Automatic Level Gauge ในคลังน้ำมันชายฝั่งทุกแห่ง และให้มีการปิดผนึกมิให้เปิดเครื่องเข้าไปแก้ไขสัญญาณได้
2.2 ให้มีการตรวจการณ์การขนส่งน้ำมันในทะเล และเฝ้าตรวจสอบพฤติการณ์การขนส่งน้ำมันทางบก ดังนี้ (1) ให้กองทัพเรือ กรมศุลกากรและกรมตํารวจ จัดกําลังเจ้าหน้าที่ตรวจลาดตระเวนการขนส่งน้ำมันในทะเล และ (2) ให้กรมศุลกากรและกรมตํารวจ จัดหาสายสืบเฝ้าตรวจสอบพฤติการณ์การขนส่งน้ำมันทางบกของคลังน้ำมันชายฝั่งทุกแห่ง ทั้งคลังที่ได้รับอนุมัติให้นําเข้าและคลังที่ไม่ได้รับอนุมัติให้นําเข้า
2.3 ให้เพิ่มการตรวจสอบการจับกุมบนบกอย่างเข้มงวด โดยให้กรมตํารวจจัดตั้งด่านตรวจสอบ รถบรรทุกน้ำมันต้องมีเอกสารใบกํากับการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงติดไปกับรถบรรทุกน้ำมันทุกครั้งโดยก่อนทําการ ตรวจสอบให้มีการชี้แจงทําความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์การตรวจสอบแก่เจ้าหน้าที่ตํารวจผู้ปฏิบัติงานก่อน
2.4 ให้กรมสรรพากรส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มของคลังน้ำมันชาย ฝั่งทุกแห่ง ทั้งคลังที่ได้รับอนุมัติให้นําเข้าและคลังที่ไม่ได้รับอนุมัติให้นําเข้ารวมถึงสถานีบริการ โดยเฉพาะสถานี บริการขนาดเล็กหรือสถานีบริการประเภทถังลอยด้วย
2.5 การแจ้งการนําเข้า
(1) ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทะเบียนการค้าและกรมการค้าต่างประเทศ) ขอความร่วมมือจากบริษัทน้ำมันที่มีโรงกลั่นในสิงคโปร์ให้แจ้งรายละเอียดของเรือบรรทุกน้ำมัน (Tanker) ที่รับน้ำมันจากโรงกลั่นในสิงคโปร์และมีจุดหมายปลายทางมายังประเทศไทยให้ สพช. เพื่อให้ตรวจสอบได้ว่ามีการนําเข้าและเสียภาษีโดยถูกต้องทุกลําหรือไม่
(2) ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทะเบียนการค้าและกรมการค้าต่างประเทศ) กําหนดเงื่อนไขการนําเข้า ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 ทุกราย ต้องแจ้งรายละเอียดการนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงทันทีที่เรือเดินทางออกจากประเทศสิงคโปร์
(3) ภายหลังจากที่มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้ว ให้กรมศุลกากรดําเนินการตรวจสอบเรือนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงทุกลําอย่างเข้มงวด เป็นเวลา 1 เดือน นับแต่วันที่ได้เริ่มดําเนินการตามมาตรการข้อ (1) และ (2) เพื่อดูว่าการกําหนดมาตรการดังกล่าวประสบผลสําเร็จเพียงใด
2.6 ให้กรมศุลกากรดําเนินการปรับปรุงแนวทางการดําเนินคดีของกรมศุลกากรให้รัดกุมยิ่งขึ้น โดยให้กรมศุลกากรดําเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้ให้ครบถ้วน และจัดทําเป็นคู่มือการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ดังนี้
(1) ให้ศึกษารายละเอียดในสัญญาเช่าเรือและพยานแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อค้นข้อมูลที่แสดงให้เห็นได้ว่าเป็นการนําเรือไปใช้ผิดประเภทหรือผิดสัญญาหรือเป็นการเช่ากันจริงหรือไม่
(2) กรณีที่มีการดัดแปลงเรือ ต้องจัดให้มีผู้เชี่ยวชาญ เช่น กรมเจ้าท่า ให้แสดงความเห็นว่ามีการดัดแปลงเรือเพื่อบรรทุกน้ำมันจนไม่สามารถนําเรือไปใช้จับปลาได้แล้ว และการดัดแปลงเกิดขึ้นก่อนหรือหลังการให้เช่า ถ้าผู้ต้องหาต่อสู้ว่าน้ำมันมีไว้ใช้กับเครื่องยนต์เรือ ควรพิจารณาขนาดของถังเก็บน้ำมันเปรียบเทียบกับเรือขนาดเดียวกันว่ามีขนาดใหญ่ผิดปกติหรือไม่
(3) การรับเรือ ให้กรมศุลกากรขอความร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในทุกขั้นตอน เช่น กรมเจ้าท่า กรมตํารวจ เพื่อให้มีการริบเรือของผู้กระทําผิดหรือทําให้ใช้เรือไม่ได้ เช่นการเพิกถอนทะเบียนเรือ เป็นต้น
(4) กรณีที่ผู้ถูกจับกุมอ้างว่าซื้อน้ำมันจากในประเทศ ให้กรมศุลกากรพิสูจน์หลักฐานการซื้อขายโดยตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีผู้ชายจริงหรือไม่และให้กรมทะเบียนการค้านําตัวอย่างน้ำมันไปตรวจสอบสารเติมแต่ง (Additive) เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นน้ำมันลักลอบนําเข้าหรือไม่ และน้ำมันนั้นมีคุณภาพถูกต้องตามที่ กระทรวงพาณิชย์ประกาศกําหนดหรือไม่ หากปรากฏว่าน้ำมันมีคุณภาพต่ำกว่าที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกําหนด ให้กรมศุลกากรประสานงานกับกรมทะเบียนการค้าเพื่อดําเนินคดีผู้ถูกจับกุมและผู้ขายด้วย นอกจากนี้ให้กรมศุลกากรประสานงานกับกรมสรรพากรเพื่อตรวจสอบภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ขายน้ำมันด้วย ทั้งนี้เพื่อไม่ให้มีผู้ร่วมมือรับเป็นผู้ขาย โดยหากกรมศุลกากรดําเนินการตามแนวทางข้างต้นไปแล้ว ปรากฏว่าการตรวจสารเติมแต่งยังไม่ชัดเจนพอที่จะใช้เป็นหลักฐานพิสูจน์ว่าเป็นน้ำมันที่ลักลอบนําเข้าหรือเจ้าหน้าที่กรมทะเบียนการค้าไม่ สามารถที่จะยืนยันได้ ให้กรมศุลกากรเสนอรัฐบาลใช้มาตรการอื่น ๆ ที่เตรียมไว้ออกมาดําเนินการ เช่น การเติมสาร Marker ในน้ำมันที่ผลิตได้ในประเทศหรือนําเข้ามาในประเทศ
(5) การติดตามผลคดี ในชั้นสอบสวนให้กรมศุลกากรติดตามสอบถามเจ้าหน้าที่ตํารวจอยู่เสมอและในชั้นการพิจารณาของพนักงานอัยการให้กรมศุลกากรจัดส่งข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับคดีที่รวบรวมไว้แต่ต้นให้แก่พนักงานอัยการเพื่อใช้เปรียบเทียบกับสํานวนการสอบสวนของตํารวจ
(6) เพื่อให้การปรับปรุงแนวทางการดําเนินคดีของกรมศุลกากรมีผลครอบคลุมไปถึงการดําเนินคดีของหน่วยงานอื่น ๆ ด้วย เช่น ตํารวจน้ำ จึงควรเสนอให้หน่วยงานอื่นที่มีการดําเนินคดีผู้ลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงต้องแจ้งให้กรมศุลกากรทราบเพื่อประสานงานให้การดําเนินคดีเป็นไปในแนวทางข้างต้น ทุกราย
(7) ให้ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2536 ซึ่งกําหนดให้กรมศุลกากรดําเนินคดีกับผู้ต้องหาลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงให้ถึงที่สุดทุกราย และมิให้ทําความตกลงระงับคดี โดยให้มีข้อยกเว้นไม่ต้องดําเนินคดีได้ ในกรณีที่กรมศุลกากรเห็นว่า ผู้กระทําผิดรายใดมีหลักฐานอ่อน และอาจมีปัญหาในการดําเนินคดีให้ถึงที่สุด โดยมีแนวทางปฏิบัติดังนี้ ให้กรมศุลกากรเสนอต่อคณะกรรมการเปรียบเทียบระงับคดี ซึ่งมีผู้แทนกรมตํารวจ และผู้แทนกระทรวงการคลังร่วมเป็นกรรมการอยู่ด้วย โดยในการระงับคดีจะต้องทําการริบเรือด้วย เว้นแต่จะมีเหตุว่าขัดข้องต่อความเป็นธรรม ทั้งนี้ ให้เป็นดุลยพินิจของคณะกรรมการเปรียบเทียบฯ ที่จะพิจารณาความเหมาะสมในการเปรียบเทียบความผิด แต่หากไม่รับเรือให้เจ้าของเรือทําหนังสือยืนยันต่อกรมศุลกากรเป็นเอกสารประกอบการระงับคดีว่าจะไม่นําเรือดังกล่าวไปใช้ในการกระทําความผิดหรือให้ผู้อื่นเช่าไปใช้ในการกระทําผิด หากกระทําผิดซ้ำยินยอมให้ริบเรือ
2.7 เพื่อให้การพิจารณาในชั้นของพนักงานอัยการเป็นไปอย่างรัดกุมยิ่งขึ้น ให้สํานักงานอัยการ สูงสุดถือว่าคดีลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นคดีสําคัญ รัฐบาลมีนโยบายที่จะปราบปรามเป็นกรณีพิเศษ หาก พนักงานอัยการมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องทุกข้อหา บางข้อหา หรือสั่งไม่รับของกลาง ก่อนมีความเห็นและคําสั่ง ให้บันทึกความเห็นเสนออัยการสูงสุดก่อนมีคําสั่ง
2.8 ให้มีการขยายเขตน่านน้ำจากปัจจุบัน 12 ไมล์ทะเล เป็น 24 ไมล์ทะเล โดยจัดตั้งคณะอนุกรรมการฯ ขึ้นชุดหนึ่งเพื่อพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ ศุลกากรมีอํานาจปฏิบัติการใน “เขตต่อเนื่อง” ระหว่าง 12-24 ไมล์ทะเล ได้
2.9 มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม รับไปหารือกับบริษัทผู้ค้าน้ำมันต่างๆ เพื่อให้ทราบถึง ข้อมูลหรือเบาะแสที่แท้จริงในการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ที่จะเป็นประโยชน์และช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
3. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมตํารวจ) กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และกรม สรรพากร) กระทรวงพาณิชย์ (กรมทะเบียนการค้าและกรมการค้าต่างประเทศ) สํานักงานอัยการสูงสุด กองทัพเรือ สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงการต่างประเทศ (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) สพช. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับไปดําเนินการในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวข้างต้นโดยด่วนอย่างเคร่งครัด และรายงานผลการดําเนินงานต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมทุกครั้ง
เรื่องที่ 9 ข้อเสนอเพิ่มเติมในการปรับปรุงกฎเกณฑ์การตั้งสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในคราวประชุม เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2536 ได้มีมติเห็นชอบให้เพิ่มการแข่งขันในตลาดน้ำมัน โดยให้ดําเนินการกําหนดกฎเกณฑ์ในการตั้งสถานีบริการใต้อาคาร และแก้ไขกฎเกณฑ์การตั้งสถานีบริการขนาดเล็กในท้องที่ที่ห่างไกล คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานจึงได้มีคําสั่งที่ 2/2536 แต่งตั้งคณะ อนุกรรมการพิจารณาการปรับปรุงกฎเกณฑ์และส่งเสริมการตั้งสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น เพื่อดําเนินการ ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้ดําเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว และคณะรัฐมนตรีในคราว ประชุมเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2537 ได้มีมติมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการปรับปรุงแก้ไขข้อ กําหนดให้สอดคล้องกันต่อไป
2. กรมโยธาธิการ ได้ดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยได้เชิญผู้ค้าน้ำมันและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เพื่อรับทราบแนวทางการปรับปรุงประกาศกรมโยธาธิการ เรื่อง มาตรฐานของแผนผัง รูปแบบ ลักษณะและความปลอดภัยของสถานที่เก็บน้ำมันเชื้อเพลิงของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงตามแนวทางที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ ซึ่งบริษัทผู้ค้าน้ำมันที่ร่วมประชุมได้ร้องขอให้เพิ่มเติมกฎเกณฑ์การตั้งสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงหลายประการ คณะอนุกรรมการฯ จึงได้จัดทําข้อเสนอเพิ่มเติมในการปรับปรุงกฎเกณฑ์ การตั้งสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง เสนอต่อประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) พิจารณา ซึ่งประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้พิจารณาแล้ว เห็นควรให้ปรับปรุงกฎเกณฑ์การตั้งสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติม
3. ผลจากการตั้งสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติมดังกล่าวข้างต้นจะช่วยลดพื้นที่ที่ต้องใช้ในการจัดตั้งสถานีบริการริมถนนใหญ่ลงได้อย่างมาก โดยเฉพาะการปรับปรุงกฎเกณฑ์เกี่ยวกับระยะห่างของเครื่องล้างรถอัตโนมัติ ซึ่งจะทําให้เงินลงทุนในการจัดตั้งสถานีบริการต่ำลงและจะมีผู้สนใจลงทุนจัดตั้งสถานีบริการริมถนนใหญ่มากขึ้น และสําหรับสถานีบริการที่ตั้งริมถนนเล็กนั้นรายได้จากการดําเนินการจะเพิ่มขึ้นจากการให้บริการล้างรถโดยเครื่องล้างอัตโนมัติและบริการล้างอัดฉีดเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้มีผู้สนใจลงทุน จัดตั้งสถานีบริการริมถนนเล็กมากขึ้น
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับปรุงกฎเกณฑ์การตั้งสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติมตามที่ประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานเสนอ โดยมอบหมายให้กรมโยธาธิการรับไปดําเนินการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกัน ดังนี้
1.1 สถานีบริการที่ตั้งริมถนนใหญ่
(1) ในกรณีที่สถานีบริการจะมีการล้างรถโดยเครื่องล้างอัตโนมัติ ให้ลดระยะห่างของที่ล้างรถกับแนวเขตสถานีบริการลงจากไม่น้อยกว่า 5.00 เมตร เหลือเพียงไม่น้อยกว่า 2.00 เมตร ได้ไม่เกิน 2 ด้าน แต่ยังให้คงความสูงของกําแพงกันไฟไม่น้อยกว่า 3.00 เมตร เช่นเดิม
(2) ผ่อนผันให้ติดตั้งถังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงใต้ดินบริเวณใต้หลังคาคลุมแท่นปั๊มได้
(3) การใช้ท่อพลาสติคชนิดกันน้ำมันแทนท่อเหล็กนั้น ให้กระทําได้ทั้งระบบท่อดูด (Suction System) และระบบท่อแรงดัน (Pressurize System) แต่ท่อดังกล่าวต้องเป็นท่อ 2 ชั้นเท่านั้น
1.2 สถานีบริการที่ตั้งริมถนนเล็ก
(1) ในกรณีที่สถานีบริการที่ตั้งริมถนนเล็ก จะมีบริการล้างรถโดยเครื่องล้างรถอัตโนมัติ ให้มีข้อกําหนด ดังนี้ 1) กําหนดการจัดวางเครื่องล้างรถอัตโนมัติ เป็น 3 รูปแบบ คือ รูปแบบที่ 1 ทางเข้าออกตั้งฉากกับถนนด้านหน้าแนวอาคารล้างรถด้านช่องทางเข้าตั้งฉากกับถนนด้านสถานีบริการ ส่วนด้านช่องทางออกห่างจากแนวเขตด้านหลังของสถานีบริการไม่น้อยกว่า 10.00 เมตร และด้านข้างห่างจากแนวเขตสถานีบริการไม่น้อยกว่า 10.00 เมตร 1 ด้าน และไม่น้อยกว่า 2.00 เมตร 1 ด้าน รูปแบบที่ 2 ทางเข้าออกขนานกับถนนด้านหน้า แนวอาคารล้างรถด้านช่องทางเข้าและทางออกขนานกับถนนด้านหน้าสถานีบริการ และห่างจากแนวเขตด้านข้างของสถานีบริการไม่น้อยกว่า 10.00 เมตร และด้านข้างของอาคารล้างรถห่างจากแนวเขตด้านหลังของสถานีบริการไม่น้อยกว่า 2.00 เมตร และรูปแบบที่ 3 ทางเข้าออกทํามุมกับถนนด้านหน้า ทางเข้าและทางออกของอาคารล้างรถทํามุมเฉียงกับถนนด้านหน้าสถานีบริการโดยมุมของอาคารห่างจากแนวเขตสถานีบริการไม่น้อยกว่า 4.00 เมตร 2 ด้าน และ ไม่น้อยกว่า 12.00 เมตร 2 ด้าน 2) กําหนดให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 90 ตารางเมตร เพื่อใช้สําหรับจอดรถที่รอเข้าเครื่องล้างได้อย่างน้อย 3 คัน และรถที่ล้างเสร็จแล้ว และรอรับกลับอีกอย่างน้อย 3 คัน 3) กําหนดให้ความดังของเครื่องล้างรถไม่เกิน 60 เดซิเบล ในบรรยากาศโดยรอบสถานีบริการโดยวัดตามวิธีการของกรมควบคุมมลพิษ หรือให้กรมควบคุมมลพิษเป็นผู้วัดให้ และ 4) กําหนดให้สถานีบริการที่มีบริการล้างรถโดยเครื่องอัตโนมัติจะต้องตั้งอยู่ริมถนนซึ่งมีท่อระบายน้ำริมถนนด้านหน้าสถานีบริการ และจํากัดเวลาการให้บริการล้างรถ โดยมอบหมายให้กรมโยธาธิการรับไปศึกษาพิจารณากําหนดเวลาการให้บริการที่เหมาะสมต่อไป
(2) การมีบริการอัดฉีด และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ให้มีข้อกําหนด ดังนี้ ให้มีหลุมเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง คานยกรถ และถังเก็บน้ำมันเครื่องใช้แล้ว ความจุไม่น้อยกว่า 4,000 ลิตร และให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 60 ตารางเมตร เพื่อใช้สําหรับรถที่มาจอดรอถ่ายน้ำมันเครื่องได้อย่างน้อย 2 คัน และรถที่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแล้วรอรับกลับอีกอย่างน้อย 2 คัน
(3) ให้ก่อสร้างอาคารบริการ 2 ชั้นได้ แต่ห้ามใช้เป็นที่พักอาศัยหรือใช้เป็นสถานที่ประกอบอาหาร
2. มอบหมายให้กรมโยธาธิการและกรมควบคุมมลพิษร่วมกันพิจารณาจัดทําเงื่อนไขควบคุมการทิ้งเศษวัสดุและน้ำมันรวมทั้งการระบายน้ำเสียจากสถานีบริการ เพื่อมิให้เกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม
สรุปสาระสำคัญ
1. สํานักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ให้ดูแลกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เพื่อให้สามารถนําดอกผลอันเกิดจากเงินกองทุน จํานวน 350 ล้านบาท ที่ได้รับจาก บริษัท เอสโซ่แสตนดาร์ด ประเทศไทย จํากัด ตามสัญญาโรงกลั่นน้ำมันมาใช้ประโยชน์ในการส่งเสริมและสนับสนุนงานด้านพลังงาน และปิโตรเลียม โดยมีระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 เป็นกรอบในการบริหารงานกองทุนฯ ทั้งนี้ โดยกําหนดให้มี คณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ทําหน้าที่พิจารณาจัดระเบียบ วางแนวทางและพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าว ประกอบด้วย ผู้แทนจาก สพช. กระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
2. ตามระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุดหนุนจาก สัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 ข้อ 10 และ ข้อ 13 กําหนดให้คณะกรรมการกองทุนฯ ดําเนินการดังนี้ 1) จัดทําแผนการใช้จ่ายเงินเป็นรายปีงบประมาณในช่วงสามปีข้างหน้า เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ความเห็นชอบ เพื่อใช้เป็นกรอบในการพิจารณาคําขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนฯ และขอให้มีการทบทวนแผนการใช้จ่ายดังกล่าวอย่างน้อยทุกปี และ 2) จัดทํางบแสดงผลการรับจ่ายเงินในระหว่างปีงบประมาณ และงบแสดงฐานะการเงินของกองทุนฯ วันสิ้นปีงบประมาณ ส่งคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อทราบภายในสามสิบวัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ
3. สพช. ได้จัดทํารายงานผลการดําเนินงาน ของคณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ในรอบปีงบประมาณ 2537 และแผนการจัดสรรเงินในปีงบประมาณ 2538-2540 ตามข้อกําหนด ของระเบียบดังกล่าว ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว โดยมีสาระสําคัญสรุปได้ดังนี้
3.1 ผลการดําเนินงานของคณะกรรมการกองทุนฯ ในรอบปีงบประมาณ 2537 โดยคณะกรรมการกองทุนฯ ได้ดําเนินการให้ความช่วยเหลือแก่หน่วยงานต่าง ๆ ในเรื่อง โครงการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาและปรับปรุงกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน โครงการศึกษาวิจัย เรื่อง การลงทุน โดยเอกชนในการผลิตไฟฟ้าในรูปของ IPP การให้ทุนการศึกษาข้าราชการจํานวน 11 ทุน การประชาสัมพันธ์ให้ผู้ บริโภคเข้าใจถึงการเลือกซื้อน้ำมันหล่อลื่น การจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์สํานักงาน และการสนับสนุนค่าใช้จ่ายใน การเดินทางดูงาน ประชุม สัมมนา และการจัดประชุมสัมมนา ทั้งนี้การดําเนินงานของกองทุนฯ ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ในการช่วยพัฒนาองค์กรที่ปฏิบัติงาน ด้านพลังงานและปิโตรเลียมให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้และ ประสบการณ์เพิ่มขึ้น ช่วยสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาพลังงานมากขึ้น รวมทั้ง มีส่วนช่วยในการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นด้วย
3.2 รายงานสถานะการเงินของกองทุนฯ ในปีงบประมาณ 2537 โดยคณะกรรมการกองทุนฯ ได้กําหนดวงเงินงบประมาณสําหรับปีงบประมาณ 2537 ไว้เป็นจํานวน 35 ล้านบาท โดยให้ความสําคัญเป็นลําดับแรกแก่ส่วนราชการที่ปฏิบัติงานด้านพลังงานและปิโตรลียมและหมวดการค้นคว้า วิจัย ศึกษา รวมทั้งให้ความสําคัญกับการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลเพิ่มขึ้น โดยลดความสําคัญในหมวดทุนการศึกษาลง ส่วนหมวดอื่น ๆ ให้ความสําคัญในระดับเดิม โดยในปีงบประมาณ 2537 ได้มีการนําเงินกองทุนฯ จํานวน 350 ล้านบาท และดอกผลคงเหลือจากปีก่อน นําฝากประจํากับธนาคารพาณิชย์ประเภท 12 เดือน, 6 เดือน และ 3 เดือน เพื่อให้ได้รับอัตราดอกเบี้ยสูงสุด ซึ่งในรอบ 1 ปี ของระยะเวลาการฝากจนถึงสิ้นปีงบประมาณ 2537 กองทุนฯ สามารถหาผลประโยชน์ได้ประมาณ 29.055 ล้านบาท และคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติความช่วยเหลือให้แก่กิจกรรมต่าง ๆ ในรอบปีงบประมาณ 2537 เป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 31.125 ล้านบาท โดยมีการเบิกจ่ายจริงเป็นจํานวน 8.115 ล้านบาท และขอผูกพันเพื่อใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2538 จํานวน 22.575 ล้านบาท ซึ่งฐานะการเงินของกองทุนฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2537 กองทุนฯ มีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 384.127 ล้านบาท โดยมีลูกหนี้กองทุนฯ อยู่เป็นจํานวน 1.32 ล้านบาท และมีเงินรายรับสูงกว่ารายจ่ายเป็นจํานวน 33.572 ล้านบาท
3.3 แผนการใช้จ่ายเงินดอกผลของกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2538-2540 ตามข้อกําหนดในระเบียบว่าด้วยการบริหารกองทุนฯ กําหนดให้มีการทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินดอกผลของกองทุนฯ อย่างน้อยทุกปี หรือตามความจําเป็น ดังนั้น ในวาระที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้ดําเนินงานครบรอบ 1 ปี จึงเห็นสมควรให้มีการปรับแผนการใช้จ่ายเงินสําหรับปีงบประมาณ 2538-2540 ดังนี้
1) แนวทางการใช้จ่ายเงิน ปีงบประมาณ 2538-2540 ได้ใช้แนวทางเดิม ดังนี้
(1) ยังคงให้ความสําคัญเป็นลําดับแรกแก่ส่วนราชการที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับพลังงานและปิโตรเลียมโดยตรงเช่นเดียวกับปีก่อน
(2) ให้ความสําคัญเป็นลําดับแรกสําหรับการใช้จ่ายเงินเพื่อการค้นคว้า วิจัย ศึกษา เกี่ยวกับพลังงานและปิโตรเลียม
(3) ให้ความสําคัญกับการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน
(4) เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นเล็กน้อย และกองทุนฯ มีรายจ่ายหมวดทุนการศึกษามียอดสะสมเพิ่มขึ้น จึงจัดสรรเงินกองทุนฯ ในปีงบประมาณ 2538-2540 ประมาณปีละ 38 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน
2) แผนการใช้จ่ายเงินดอกผลของกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2538-2540 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 114 ล้านบาท
3) มาตรการในการบริหารเงินกองทุนฯ เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และความยืดหยุ่นในการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ตลอดระยะเวลา 3 ปี คือ ปีงบประมาณ 2538-2540 จึงเห็นควรให้คณะกรรมการกองทุนฯ จัดสรรเงินกองทุนสําหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2538-2540 ตามแผนการใช้จ่ายเงินข้างต้น วงเงินรวม 114 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอํานาจที่จะปรับปรุงการจัดสรรเงินตามแผนงานต่าง ๆ ได้ตามความจําเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้ โดยสอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลําดับความสําคัญ ตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ ด้วย
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการดําเนินงานของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ในปีงบประมาณ 2537
2. เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินดอกผลของกองทุนฯ ประจําปีงบประมาณ 2538-2540 และมาตรการการบริหารเงินกองทุนฯ ตามที่คณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมเสนอ
กพช. ครั้งที่ 51 วันพุธที่ 31 พฤษภาคม 2538
มติการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 3/2538 (ครั้งที่ 51)
วันพุธที่ 31 พฤษภาคม 2538
1. การดําเนินการในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว
3. ราคาน้ำมันและค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง
4. รายงานสถานการณ์ความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า (ปัญหาไฟฟ้าตก ไฟฟ้าดับ)
6. การขออนุมัติในหลักการให้ กฟผ. ขายโรงไฟฟ้าขนอม
ผู้มาประชุม
นายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
(นายชวน หลีกภัย)
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
(นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์)
เรื่องที่ 1 การดําเนินการในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 ได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 1/2538 (ครั้งที่ 49) เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2538 ให้กําหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดําเนินการและรายงานผลการดําเนินการต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมทุกครั้ง
2. หน่วยงานต่าง ๆ ได้รายงานผลการดําเนินการให้ สพช. ทราบรวมทั้งสิ้น 8 หน่วยงาน โดยมี รายละเอียด ดังนี้
2.1 กรมสรรพสามิต ได้จัดตั้งห้อง Operation Room ทําการปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับรายงานการเคลื่อนย้ายและการขนส่งน้ำมันโดยทางเรือทั่วราชอาณาจักรในทันทีที่เริ่มมีการขนถ่ายน้ำมันออก จากโรงกลั่น หรือเมื่อมีการนําเข้าและติดตามการขนย้ายไปปลายทาง เพื่อป้องกันการเดินทางออกนอกเส้นทาง ไปรับน้ำมันหนีภาษี โดยได้ประสานงานกับ สพช. กรมศุลกากร และหน่วยงานอื่น ๆ และยังคงให้เจ้าพนักงาน สรรพสามิตทําการผนึกท่อทางรับ-จ่ายน้ำมันของคลังน้ำมันที่เป็นโรงอุตสาหกรรมตามพระราชบัญญัติภาษี สรรพสามิต พ.ศ. 2527 และให้เจ้าหน้าที่ตรวจวัดปริมาณน้ำมันทุกครั้งที่นําเข้าในคลังน้ำมัน ซึ่งเป็นผลให้ การจัดเก็บภาษีน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2537- เมษายน 2538 สูงกว่าเดือนเดียวกัน ของปีก่อนร้อยละ 12.49, 15.37, 23.91, 26.69, 28.33 และ 19.28 ตามลําดับ และเป็นผลให้การจัดเก็บภาษีน้ำมันในช่วง 6 เดือน (พฤศจิกายน 2537 - เมษายน 2538) สูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 21.09 นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กรมสรรพสามิตใช้เงินฝากค่าใช้จ่ายเก็บภาษีท้องถิ่น จํานวน 210 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อและติดตั้งเครื่องมือและอุปกรณ์ควบคุมการรับจ่ายน้ำมันในคลังน้ำมันต่าง ๆ แล้ว ซึ่งขณะนี้ กรมฯ ได้ออกประกวดราคาจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ดังกล่าว กําหนดยื่นซองในวันที่ 19 กรกฎาคม 2538 และคาดว่าจะสามารถดําเนินการได้เสร็จประมาณเดือนพฤษภาคม 2539
2.2 กรมศุลกากร ในเดือนมีนาคม 2538 คณะทํางานเพื่อทําหน้าที่ตรวจสอบการลักลอบ นําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงที่กรมศุลกากรเป็นประธาน ได้ดําเนินการตรวจสอบการสําแดงการนําเข้าในใบขนสินค้า เปรียบเทียบกับการนําเข้าจริง และตรวจสอบคลังน้ำมันของบริษัทต่าง ๆ รวม 13 แห่งแล้วไม่พบว่ามีการกระทําผิดแต่อย่างใด และสามารถจับกุมผู้ลักลอบนําเข้าน้ำมันได้ 1 ราย บริเวณแหลมคอกวาง อําเภอสิชล นครศรีธรรมราช เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ปริมาณ 60,000 ลิตร สรุปผลการจับกุมและการดําเนินคดีของกรมศุลกากร ตั้งแต่เดือนมกราคม-ธันวาคม 2537 ปรากฏว่า สามารถจับกุมผู้กระทําความผิดได้ 21 ราย เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ปริมาณ 669,107 ลิตร และ น้ำมันเบนซินปริมาณ 2,440 ลิตร ซึ่งมีข้อสังเกตว่าผลคดีส่วนใหญ่ จะยึดของกลางคือน้ำมันที่จับกุมได้เป็นของ แผ่นดิน แต่เรือที่ใช้ในการกระทําความผิดไม่ได้มีการรับเรือตามมติคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด ซึ่งขณะนี้ทางกรมศุลกากรได้ดําเนินการปรับปรุงแนวทางการดําเนินคดีแล้ว โดยออกคําสั่งทั่วไปกรมศุลกากรที่ 13/2538 เรื่อง เพิ่มเติมประมวลระเบียบปฏิบัติศุลกากร พ.ศ. 2530 หมวดที่ 17 บทที่ 08 ข้อที่ 02 (ก) ว่าด้วย หลักเกณฑ์ในการดําเนินคดีการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว
2.3 กระทรวงการต่างประเทศ ได้ดําเนินการยกร่างประกาศเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรไทย และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติการของพนักงานเจ้าหน้าที่ในเขตต่อเนื่องเพื่อป้องกันและปราบปราม การกระทําความผิด พ.ศ. …. เสร็จสิ้นแล้ว โดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่ได้ให้ความเห็นชอบ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้นําเสนอคณะกรรมการกฎหมายทะเลและเขตทางทะเลของประเทศไทยพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2538 ก่อนจะนําเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป สําหรับในส่วนของ คณะอนุกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายการปฏิบัติงานศุลกากรในเขตต่อเนื่อง ซึ่งดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาเพิ่มอํานาจปฏิบัติการของพนักงานศุลกากรในเขตต่อเนื่องนั้น กระทรวงการต่างประเทศได้เข้าร่วมชี้แจงประเด็นทางข้อกฎหมายอยู่ด้วย
2.4 กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทะเบียนการค้าได้ขอความร่วมมือจากโรงกลั่นในสิงคโปร์ ให้แจ้งรายละเอียดของเรือบรรทุกน้ำมันที่รับน้ำมันจากสิงคโปร์และมีจุดหมายปลายทางมายังประเทศไทย ขณะนี้บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จํากัด และบริษัท เอสโซ่แสตนดาร์ดแห่งประเทศไทย จํากัด ได้รายงานข้อมูลดังกล่าวแล้ว และได้ส่งให้แก่ สพช. ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ เรื่อง การกําหนดเงื่อนไขการนําเข้าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วซึ่งกําหนดให้ผู้ค้าตามมาตรา 6 ทุกราย ต้องแจ้งรายละเอียดการนําเข้าทันทีที่เรือเดินทางออกจากสิงคโปร์ โดยการร่างประกาศ กระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนําสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ได้เสนอขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2538 ซึ่งได้มีมติเห็นชอบในร่างดังกล่าวและอนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ดําเนินการต่อไปได้ และขณะนี้อยู่ระหว่างการนําเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พิจารณาลงนาม
2.5 กองทัพเรือ ได้มีคําสั่งกองทัพเรือ (เฉพาะ) ลับที่ 98/2538 ลงวันที่ 28 เมษายน 2538 เรื่อง การป้องกันและปราบปรามการลักลอบค้าน้ำมันในทะเล โดยมุ่งเน้นการสืบหาข่าว การติดตามและจับกุม เรือประมงดัดแปลง เรือน้ำมันขนาดเล็ก หรือเรือบรรทุกน้ำมันที่จดทะเบียนในต่างประเทศที่มีการขนถ่ายน้ำมัน นอกทะเลอาณาเขตของไทย ด้วยเรือและอากาศยานที่มีอยู่
2.6 คณะอนุกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายการปฏิบัติงานศุลกากรในเขตต่อเนื่อง ซึ่งมีรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา (นายชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์) เป็นประธานได้จัดทําข้อเสนอการกําหนดเขตต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยคณะอนุกรรมการฯ เห็นควรที่ประเทศไทยจะได้ประกาศเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรไทย โดยกําหนดให้ “เขตต่อเนื่อง” อยู่ในบริเวณที่อยู่ถัดออกไปจากทะเลอาณาเขตจนถึงระยะ 24 ไมล์ทะเล ทั้งนี้ ในการประกาศเขตต่อเนื่องดังกล่าวต้องมีการประกาศเป็นพระบรมราชโองการและเพื่อให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรสามารถปฏิบัติงานปราบปรามการลักลอบ ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตต่อเนื่องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คณะอนุกรรมการฯ เห็นควรที่จะแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 และพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 เพื่อกําหนดมาตรการให้เรือที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยต้องปฏิบัติตาม เช่น ห้ามเรือที่อยู่ในเขตต่อเนื่องหยุดจอดลอยลํา หรือจอดเรือโดยไม่มีเหตุอันควร หรือโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือขนถ่ายสิ่งของใด ๆ โดยไม่มีเหตุผลอันควรหรือโดยไม่ได้รับอนุญาตฯลฯ ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้จัดทําร่างพระบรมราชโองการและร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เสร็จเรียบร้อยแล้ว
2.7 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เนื่องจากการกําหนดเขตต่อเนื่องดังกล่าวจะส่งผลกระทบ ต่อประมงรายเล็ก คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุม ครั้งที่ 2/2538 (ครั้งที่ 50) เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2538 จึงได้มีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) รับไปดําเนินการหามาตรการเพื่อช่วยเหลือชาวประมงรายย่อย ซึ่งได้รับผลกระทบในเรื่องราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจากมาตรการกําหนดเขตต่อเนื่องในพื้นที่ระหว่าง 12 ถึง 24 ไมล์ทะเล จากชายฝั่ง กรมประมงได้ดําเนินการตามที่ได้รับมอบหมายแล้ว โดยได้นําข้อเสนอดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 1/2558 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2538 ซึ่งได้มีมติเห็นชอบให้กําหนดมาตรการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันของชาวประมงขนาดเล็ก โดยให้สามารถซื้อน้ำมันได้ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดลิตรละ 1.20 บาท โดยให้สมาคมประมงจัดตั้งสหกรณ์เพื่อการค้าน้ำมันสําหรับชาวประมง และรับซื้อน้ำมันจากผู้ค้าน้ำมันในราคาต้นทุนซึ่งลดค่าการตลาดลงลิตรละ 0.70 บาท โดยจะขายน้ำมันให้ชาวประมงในราคาต่ำกว่าทุนลิตรละ 0.50 บาท ซึ่งราคาขายน้ำมันของสหกรณ์ที่ขาดทุนนั้นจะได้รับการชดเชยจากคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ปีละ 350 ล้านบาท ทั้งนี้ โดยมีเงื่อนไข คือ น้ำมันที่จะใช้ต้องเติมสีและสาร (additive) จดทะเบียนเรือประมงที่เป็นสมาชิกทุกลํา เรือประมงทุกลําต้องมีสมุดปูมซึ่งระบุระยะเวลาทําการประมง เส้นทางในการทําการประมง ปริมาณน้ำมันที่เติม และปริมาณปลาที่จับได้ ปริมาณน้ำมันที่จะใช้ 700 ล้านลิตรต่อปี เจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกับสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ดําเนินการควบคุมดูแลการรับและขายน้ำมันของสหกรณ์เป็นประจํา
2.8 กระทรวงมหาดไทย ได้มีคําสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 140/2538 เรื่อง แต่งตั้ง คณะกรรมการอํานวยการป้องกันปราบปรามการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 31 มีนาคม 2538 เพื่อจัดรูปองค์กรในการกํากับและประสานการปฏิบัติงานให้บังเกิดผลอย่างแท้จริง ประกอบด้วย 1) คณะกรรมการอํานวยการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนําเข้าน้ำมัน เชื้อเพลิง มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานกรรมการ เพื่อทําหน้าที่กํากับและเร่งรัดการดําเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี 2) คณะอนุกรรมการประสานการปฏิบัติป้องกันปราบปรามการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง มีรองปลัดกระทรวงมหาดไทยฝ่ายบริหารเป็นประธานอนุกรรมการ เพื่อทําหน้าที่กําหนดแนวทาง ประสานการปฏิบัติงานป้องกันและปราบปรามการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี 3) คณะทํางานป้องกันปราบปรามการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงในระดับจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดในแต่ละจังหวัดเป็นประธานคณะทํางาน เพื่อทําหน้าที่ดําเนินการวางมาตรการใช้กําลังป้องกันปราบปรามการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตพื้นที่รับผิดชอบอย่างต่อเนื่องและจริงจังให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี โดยในเดือนมีนาคม 2538 กองบังคับการตํารวจน้ำ กรมตํารวจ สามารถจับกุมผู้กระทําผิดลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงทางทะเลได้ จํานวน 3 ราย เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ปริมาณรวม 513,000 ลิตร นอกจากนี้ ทางจังหวัดสระบุรี ได้ทําการตรวจค้นคลังน้ำมันของบริษัท ภาคใต้เชื้อเพลิง จํากัด พบว่ามีการจําหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงรวม 3,516,315 ลิตร โดยไม่ได้รับอนุญาตจึงได้ส่งเรื่องดําเนินคดี และ จังหวัดสตูล สามารถจับกุมน้ำมันลักลอบ จํานวน 24 ถัง รวม 700 ลิตร ได้จากเรือโดยสารที่เดินทางจากมาเลเซียมายังจังหวัดสตูล และในเดือนพฤษภาคม 2538 ศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยผิดกฎหมาย กรมตํารวจ ได้จับกุมเรือประมงดัดแปลงที่ลักลอบค้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 1 ราย เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ปริมาณ 30,000 ลิตร
2.9 กรมตํารวจ ได้มีคําสั่งปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยผิดกฎหมาย ลงวันที่ 17 มีนาคม 2538 เพื่อดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีแล้ว แต่เนื่องจากภารกิจ ดังกล่าวต้องมีค่าใช้จ่าย ดังนั้น กรมตํารวจจึงได้เสนอต่อ สพช. ให้ช่วยสนับสนุนเงินงบประมาณ รวมทั้งสิ้น 52,988,364 บาท ซึ่ง สพช. ได้มีหนังสือถึงสํานักงบประมาณเพื่อพิจารณาสนับสนุนค่าใช้จ่ายดังกล่าวด้วยแล้ว
มติของที่ประชุม
1. รับทราบรายงานผลความคืบหน้าในการดําเนินการแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
2. เห็นชอบในหลักการ (1) ร่างประกาศเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรไทย เพื่อกําหนดเขตต่อเนื่อง ในท้องทะเลบริเวณถัดออกไปจากน่านน้ำอาณาเขตเป็นระยะทางไม่เกิน 24 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง (2) ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และ (3) ร่างพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อให้การปฏิบัติงานปราบปรามการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามที่คณะอนุกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายการปฏิบัติงานศุลกากรในเขตต่อเนื่องเสนอ โดยมอบหมายให้สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาตรวจร่างต่อไป
3. เห็นชอบในหลักการให้จัดสรรงบประมาณให้แก่กรมตํารวจ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและ ปราบปรามการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยผิดกฎหมาย ในช่วงปีงบประมาณ 2538 และ 2539 ในวงเงิน 52,988,364 บาท ตามที่กรมตํารวจเสนอ โดยให้กรมตํารวจทําความตกลงในรายละเอียดกับสํานักงบประมาณ โดยตรงต่อไป
4. ให้กระทรวงมหาดไทยแก้ไขข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยที่ออกตามความในมาตรา 16 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กําหนดแบ่งแยกอํานาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนในท้องที่ที่มีอาณาเขตทางทะเลให้แน่นอนชัดเจน
เรื่องที่ 2 การส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่รัฐบาลได้กําหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535- 2539) ให้ยกเลิกการจําหน่ายน้ำมันเบนซินพิเศษที่มีสารตะกั่วเจือปนภายในช่วงปลายของแผนฯ ซึ่งอยู่ในราว เดือนกันยายน 2539 นั้น ในระยะเวลาที่ผ่านมา ได้มีการส่งเสริมการจําหน่ายน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยได้มีการดําเนินการ ดังนี้
1.1 ในเดือนพฤษภาคม 2534 รัฐบาลได้กําหนดให้เริ่มมีการจําหน่ายน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว โดยสมัครใจ ทั้งนี้ เพื่อรองรับนโยบายให้รถยนต์นั่งส่วนบุคคลใหม่ขนาดตั้งแต่ 1600 ซีซีขึ้นไปต้องติดตั้ง Catalytic Converter ตั้งแต่ 1 มกราคม 2536 เป็นต้นไป และสําหรับรถยนต์ใหม่ขนาดต่ำกว่า 1600 ซีซี ให้ ติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวเช่นกัน ตั้งแต่ 1 กันยายน 2536 เป็นต้นไป
1.2 สํานักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้เร่งติดตามให้มีการกระจาย การจําหน่ายน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงต่าง ๆ ให้ทั่วถึงทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่ง ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2537 มีจํานวนสถานีบริการที่มีการจําหน่ายน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่ว จํานวน ทั้งสิ้น 3,357 แห่ง ใน 75 จังหวัดทั่วประเทศ คิดเป็นร้อยละ 70 ของสถานีบริการทั้งหมดทั่วประเทศ
1.3 คณะรัฐมนตรีในการประชุม เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2537 ได้มีมติอนุมัติตามมติของ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 2/2537 (ครั้งที่ 45) เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2537 ให้เปลี่ยนแปลงกําหนดเวลาบังคับให้น้ำมันเบนซินธรรมดาเป็นน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วให้เร็วขึ้นกว่าที่ได้กําหนดไว้เดิมที่ให้เป็นน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วในวันที่ 1 มกราคม 2538 ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2537) เรื่อง กําหนดคุณภาพของน้ำมันเบนซิน เพื่อให้น้ำมันเบนซินธรรมดาเป็นน้ำมัน ไร้สารตะกั่วทั้งหมด ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2537 ที่ผ่านมา โดยน้ำมันเบนซินธรรมดาไร้สารตะกั่วดังกล่าวที่ผู้ค้าน้ำมันจําหน่ายจะมีค่าออกเทน 92 RON ซึ่งรถยนต์ใหม่สามารถใช้เติมแทนน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่วได้ และช่วยแก้ไขปัญหาการกระจายของสถานีบริการที่จําหน่ายน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่วได้อีกด้วย เนื่องจากน้ำมันเบนซินธรรมดาไร้สารตะกั่วมีการจําหน่ายในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทุกแห่งทั่วประเทศ
2. สถานการณ์ของน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วล่าสุด มีดังนี้
2.1 ปริมาณการจําหน่าย น้ำมันเบนซินพิเศษและธรรมดาไร้สารตะกั่วในเดือนมีนาคม 2538 มี ปริมาณ 352.13 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งมีปริมาณการจําหน่าย 276.42 ล้านลิตร ประมาณ 75.71 ล้านลิตร คิดเป็นร้อยละ 27 โดยเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่วมีปริมาณการจําหน่ายประมาณ 333.00 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณจําหน่าย 270.43 ล้านลิตร ประมาณ 62.57 ล้านลิตร คิดเป็นร้อยละ 23 และเบนซินธรรมดาไร้สารตะกั่ว มีปริมาณการจําหน่ายประมาณ 189.47 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณจําหน่าย 183.63 ล้านลิตร ประมาณ 5.84 ล้านลิตร คิดเป็น ร้อยละ 3
2.2 สัดส่วนการจําหน่าย น้ำมันเบนซินพิเศษและธรรมดาไร้สารตะกั่ว รวมกันในเดือนมีนาคม 2538 มีประมาณร้อยละ 67 ของความต้องการใช้น้ำมันเบนซินทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีสัดส่วน ประมาณร้อยละ 61 หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6 โดยน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่วมีสัดส่วนการจําหน่าย ประมาณร้อยละ 49 ของความต้องการใช้น้ำมันเบนซินพิเศษทั้งหมด
2.3 ปริมาณสารตะกั่ว ผลจากการใช้น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้ปริมาณสารตะกั่วที่ปล่อย ออกมาจากยานพาหนะลดลง โดยในเดือนมีนาคม 2538 มีปริมาณสารตะกั่วที่ปล่อยออกมา 26 เมตริกตัน ลดลงจากช่วงปี 2534 ซึ่งเริ่มนําน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วมาใช้ซึ่งมีปริมาณตะกั่ว 120 เมตริกตัน ลดลงร้อยละ 78
2.4 อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วจะเพิ่มขึ้น แต่การใช้น้ำมันเบนซินที่มีสารตะกั่วกลับไม่ลดลงและยังคงมีสัดส่วนการใช้สูงถึงร้อยละ 51 ของการใช้น้ำมันเบนซินพิเศษทั้งหมดในปัจจุบัน ทั้งนี้ มีสาเหตุเนื่องมาจากประชาชนผู้ใช้น้ำมันเบนซินที่มีสารตะกั่วยังคงมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว โดยเกรงว่าเมื่อใช้แล้วจะทําให้เครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น บ่าวาล์วเสียหาย หรือ เครื่องสะดุด ฯลฯ
3. เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว สพช. จึงได้ดําเนินการจัดทําโครงการประชาสัมพันธ์การใช้น้ำมันเบนซิน ไร้สารตะกั่วขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขทัศนคติของประชาชนกลุ่มที่ใช้รถยนต์ซึ่งมีบ่าวาล์วแข็งและสามารถใช้น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วได้ให้กลับมาใช้น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วแทน โดยมีกิจกรรมพอสรุปได้ ดังนี้
3.1 การสัมมนา สพช. ร่วมกับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยได้จัดให้มีการสัมมนาเรื่อง “การยกเลิกน้ำมันเบนซินที่มีสารตะกั่ว : ปัญหาและแนวทางแก้ไข” ขึ้นในวันที่ 3 พฤษภาคม 2538 ที่ผ่านมา เพื่อรวบรวมข้อคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกสาขาและหาแนวทางการดําเนินการไปสู่การยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซินที่มีสารตะกั่ว ซึ่งจากผลการสัมมนาสรุปได้ว่า ทุกฝ่ายต่างเห็นด้วยให้ยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซินที่มีสารตะกั่ว และควรเลื่อนระยะเวลาบังคับใช้ให้เร็วขึ้นกว่าเดิมที่กําหนดไว้จากสิ้นปี 2539 เป็นเดือนมกราคม 2539 แทน ทั้งนี้ ในระยะแรกอาจกําหนดให้มีน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่วเป็น 2 ชนิด คือน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่วในปัจจุบันซึ่งมีสีเขียวที่สามารถใช้ได้กับรถยนต์ทั่วไปและน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่วผสมสารเคลือบ บ่าวาล์วซึ่งจะมีสีเขียวเช่นกัน ซึ่งทางการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จะได้นําออกจําหน่ายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2538 เพื่อใช้กับรถยนต์ซึ่งมีบ่าวาล์วอ่อน รวมทั้ง รถบ่าวาล์วแข็งที่ยังไม่กล้าใช้น้ำมันไร้สารตะกั่วด้วย แต่ไม่ควรใช้กับรถยนต์ใหม่ที่ติดตั้ง Catalytic Converter เพราะสารเคลือบบ่าวาล์วจะไปเคลือบ Catalytic Converter อาจทําให้หมดสภาพเร็วขึ้นได้เล็กน้อย จึงจําเป็นที่จะต้องกําหนดมาตรการบังคับให้หัวจ่ายน้ำมันชนิดนี้ต้องมีขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 24.50 มิลลิเมตร หรือ 15/16 นิ้ว เท่ากับหัวจ่ายของ น้ำมันเบนซินชนิดมีสารตะกั่วเพื่อป้องกันรถใหม่ที่ติดตั้ง Catalytic Converter เข้าไปเติม
3.2 การประชาสัมพันธ์ สพช. ได้ดําเนินการประชาสัมพันธ์โดยตรงกับผู้ใช้รถยนต์ที่สามารถใช้ น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วแต่ยังคงใช้น้ำมันเบนซินที่มีสารตะกั่วอยู่ โดยจัดส่งนักศึกษาออกไปประจําตามสถานี บริการน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพและปริมณฑล อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ อําเภอหาดใหญ่ จังหวัด สงขลา อําเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา และอําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เพื่อชี้แจงทําความเข้าใจ
3.3 การออกสื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์ สพช. ได้จัดให้มีการออกสื่อโฆษณาทางวิทยุและ โทรทัศน์ส่งเสริมให้มีการใช้น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วเพิ่มขึ้น ในช่วง 1 พฤษภาคม 20 มิถุนายน 2538 และขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนทั้งทางหนังสือพิมพ์ นิตยสารและวิทยุ ให้ช่วยเผยแพร่บทความชี้แจงให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วด้วย
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้มีการยกเลิกการจําหน่ายน้ำมันเบนซินที่มีสารตะกั่ว โดยให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทะเบียนการค้า) ร่วมกับ สพช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาในรายละเอียด และดําเนินการออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ต่อไป โดยให้มีผลบังคับใช้ประมาณวันที่ 1 มกราคม 2539 เป็นต้นไป
2. ให้กรมโยธาธิการแก้ไขประกาศกรมโยธาธิการเกี่ยวกับการกําหนดขนาดของหัวจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงของสถานีบริการ โดยให้มีข้อยกเว้นสําหรับหัวจ่ายน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วซึ่งผสมสารเคลือบบ่าวาล์วให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางภายนอกของท่อทางออกน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นขนาดใหญ่เท่ากับหัวจ่ายน้ำมันเบนซินที่มีตะกั่วในปัจจุบันคือไม่น้อยกว่า 24.50 มิลลิเมตร หรือ 15/16 นิ้ว
เรื่องที่ 3 ราคาน้ำมันและค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ด้วยสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ส่งสําเนาหนังสือกระทรวงพาณิชย์ ด่วนที่สุด ที่ พณ 0405/311 ลงวันที่ 18 มกราคม 2538 เรื่อง ค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง ให้สํานักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) พิจารณา ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณากําหนดมาตรการกํากับดูแลค่าการตลาดให้เหมาะสม เนื่องจากราคาได้ขยับสูงขึ้นเป็นลําดับ และผู้ค้าน้ำมันมีพฤติกรรมในการกําหนดค่าการตลาดเพิ่มสูงขึ้นโดยตลอด เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค หากค่าการตลาดยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงหรือมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก จะทําให้ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงสูงตามไปด้วย อันจะทําให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะเงินเฟ้อ กระทรวงพาณิชย์จึงได้เสนอว่า ควรได้มีการพิจารณากําหนดมาตรการกํากับดูแลค่าการตลาดให้เป็นไปโดยเหมาะสมต่อไป
2. สพช. ได้นําเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 1/2538 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2538 และคณะกรรมการฯ ได้มีมติรับทราบผลการวิเคราะห์ของ สพช. และมอบหมายให้ สพช. รับไปหารือกับกรมการค้าภายในก่อนนําเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ต่อไป
3. สพช. ได้ประชุมหารือกับกรมการค้าภายใน ตามมติของคณะกรรมการฯ ข้างต้นแล้วเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2538 โดยได้ชี้แจงในรายละเอียด สรุปได้ดังนี้
3.1 ภายหลังราคาน้ำมันลอยตัวในปี 2534 เป็นต้นมา ราคาขายปลีกเฉลี่ยในแต่ละปีลดลงโดยตลอด ซึ่งการพิจารณารายได้ของผู้ค้าน้ำมันจะพิจารณาเพียงการเปลี่ยนแปลงของค่าการตลาด (Marketing Margin) ไม่ได้ เพราะจะไม่ทําให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของรายได้ทั้งหมด เนื่องจากรายได้จากการจําหน่ายน้ำมัน ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ค่าการกลั่น (Refining Margin) ซึ่งเป็นรายได้ของผู้ผลิตหรือผู้กลั่น และค่าการตลาด (Marketing Margin) ซึ่งเป็นรายได้ของผู้จําหน่ายทุกทอดรวมกัน รวมทั้งสถานีบริการด้วย ดังนั้น หากค่าการตลาดเปลี่ยนแปลงไปในทางสูงขึ้น มิได้หมายความว่าราคาขายปลีกของน้ำมันเชื้อเพลิงจะต้องสูงตามไปด้วยเสมอไป ทั้งนี้ค่าการตลาดก่อนและหลังราคาลอยตัว ไม่สามารถนํามาเปรียบเทียบกันได้โดยตรง เพราะภายหลังการลอยตัวตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา รัฐบาลได้เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ ซึ่งมีผลกระทบต่อต้นทุนและราคาน้ำมันเชื้อเพลิงหลายประการ ดังนี้ (1) ต้นทุนของผู้ผลิตหรือนําเข้า เนื่องจากรัฐบาลได้ปรับปรุงข้อกําหนดคุณภาพของน้ำมัน เชื้อเพลิงให้สูงขึ้นเป็นระยะๆ เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษจากยานพาหนะ รวมทั้งฝ่ายผู้ค้าน้ำมันเองก็ได้เพิ่มค่าออกเทนของน้ำมันเบนซินให้สูงขึ้นด้วยความสมัครใจ เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้น้ำมันไร้สารตะกั่วมากขึ้น (2) ต้นทุนของผู้จําหน่าย เนื่องจากรัฐบาลได้กําหนดให้ผู้ค้าน้ำมันเติมสารเติมแต่ง (Additive) ลงในน้ำมันก่อนจําหน่ายเพื่อลดมลพิษในไอเสียของรถยนต์ และเพิ่มอัตราสํารองของน้ำมันเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในการป้องกันปัญหาการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ทําให้ต้นทุนการจําหน่ายสูงขึ้น ดังนั้น ก่อนที่จะทําการเปรียบเทียบราคาและค่าการตลาด ระหว่างก่อนลอยตัวกับหลังลอยตัวจะต้องมีการปรับต้นทุนต่าง ๆ ดังกล่าวเข้าไปในราคาและค่าการตลาดช่วงก่อนลอยตัวเสียก่อน จึงจะสามารถเปรียบเทียบกันได้บนพื้นฐานเดียวกัน โดยผลการเปรียบเทียบพบว่า หากรัฐยังคงควบคุมราคามาจนถึงปัจจุบัน ราคาขายปลีกจะสูงกว่ากรณีราคาลอยตัว โดยค่าการกลั่นและค่าการตลาดรวมกันหลังราคาลอยตัวต่ำกว่าช่วงก่อนราคาลอยตัว ดังนั้นค่าการตลาดที่เพิ่มขึ้นจึงไม่ได้มาจากการขึ้นราคาขายปลีก แต่มาจากค่าการกลั่นซึ่งลดลงมากเนื่องจากนโยบายนําเข้าเสรีของรัฐบาล ซึ่งดําเนินการไปพร้อมกับการปล่อยราคาลอยตัว ทําให้โรงกลั่นน้ำมันมีอํานาจต่อรองราคาลดลงและสูญเสียรายได้ที่เคยได้รับให้แก่ผู้จําหน่ายในรูปของค่าการตลาดที่สูงขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ค่าการตลาดที่เพิ่มขึ้นก็มิได้ตกเป็นผลกําไรแก่ผู้จําหน่ายทั้งหมด เพราะส่วนหนึ่งเป็นการชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มสํารองและการเติมสารเติมแต่ง คงเหลือเป็นกําไรที่เพิ่มขึ้นสําหรับน้ำมันเบนซินพิเศษประมาณลิตรละ 25 สตางค์ และสําหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลิตรละ 22 สตางค์ ซึ่งแม้ในส่วนนี้ผู้บริโภคก็มีส่วนได้รับประโยชน์ด้วยดังนี้ (1) สภาพการแข่งขันในระดับการค้าปลีกเพิ่มสูงขึ้นมาก โดยจํานวนสถานีบริการเพิ่มขึ้น และมีผู้ลงทุนจัดตั้งสถานีบริการภายใต้เครื่องหมายการค้าใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย ผู้บริโภคได้รับประโยชน์ในด้านราคาจําหน่าย ซึ่งโดยทั่วไปจะตั้งราคาต่ำกว่าสถานีบริการของผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ สภาพของสถานีบริการ ทั้งด้านความปลอดภัย ความสะอาดและการบริการที่ดีขึ้น และในระยะยาวการแข่งขันระหว่างสถานีบริการที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จะทําให้อัตราค่าการตลาดลดลง (2) ช่วยให้เกิดการขยายตัวของการจําหน่ายน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วไปยังภูมิภาคต่าง ๆ อย่างทั่วถึงในระยะเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากค่าการตลาดอยู่ในระดับสูงพอสมควร จึงจูงใจให้มีการนําไปจําหน่ายได้ (3) ผลประโยชน์ทางด้านสิ่งแวดล้อมในเมือง กล่าวคือ คุณภาพอากาศในเมืองดีขึ้น โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร อันเนื่องมาจากการที่น้ำมันมีคุณภาพดีขึ้นตามข้อกําหนดใหม่ที่เคร่งครัดมากขึ้น
3.2 ผลกระทบจากการลดลงอย่างมากของค่าการกลั่น (Refining Margin) ในช่วงหลังราคาลอยตัวทําให้ผู้ค้าน้ำมันเล็งเห็นว่าในอนาคตค่าการกลั่นและค่าการตลาดที่ได้รับ จะผันแปรตามราคาน้ำมันในตลาดโลกซึ่งไม่แน่นอน หากต้องการจะให้ผลประโยชน์ที่ได้รับมีความแน่นอนมากขึ้น จะต้องได้รับทั้งค่าการกลั่นและค่าการตลาดรวมกัน แนวความคิดดังกล่าวทําให้ผู้ค้าน้ำมันเริ่มขยายกิจการให้มีลักษณะกลั่นเองและจําหน่ายเองมากขึ้น เช่น บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จํากัด และบริษัท น้ำมันคาลเท็กซ์ (ไทย) จํากัด ซึ่งปัจจุบันซื้อ น้ำมันจากบริษัท ไทยออยล์ จํากัด ได้ขออนุญาตจัดตั้งโรงกลั่นน้ำมันของตนเองขึ้นโดยแยกกิจการเป็นบริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จํากัด และบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จํากัด ตามลําดับ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวข้างต้น เกิดประโยชน์ต่อประเทศในด้านความมั่นคงของการจัดหา โดยประเทศไทยพึ่งพาการนําเข้าน้อยลง มีความเสี่ยงภัยต่อการขาดแคลนน้ำมันน้อยลง และในอนาคตหากมีการจัดตั้งโรงกลั่นน้ำมันเพื่อการส่งออก ก็จะทําให้ประเทศไทยเริ่มเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานยิ่งขึ้น และหากรัฐบาลยังคงควบคุมราคาขายปลีกมาจนถึงปัจจุบัน การขยายตัวด้านกําลังการกลั่นน้ำมันในประเทศดังกล่าวข้างต้นอาจไม่เกิดขึ้น
3.3 ในการปล่อยให้ราคาน้ำมันลอยตัว รัฐบาลได้คํานึงถึงการคุ้มครองผู้บริโภคและได้กําหนด มาตรการไว้เรียบร้อยแล้ว โดยคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2536 ได้มีมติให้มีการกํากับดูแล การกําหนดราคาจําหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ณ สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศ ซึ่งมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ (1) การรักษาระดับราคา ให้ ปตท. บริษัทบางจาก และผู้ค้าน้ำมันสอดส่องดูแลมิให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่แสดงเครื่องหมายการค้าของตน จําหน่ายน้ำมันในราคาสูงกว่าที่ผู้ค้าน้ำมันกําหนด (2) การรับแจ้งราคา ให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงในแต่ละจังหวัดแจ้งราคาจําหน่าย ณ วันที่ 15 ของทุกเดือนต่อสํานักงานพาณิชย์จังหวัดและสํานักงานพาณิชย์จังหวัดแจ้ง สพช. เพื่อวิเคราะห์และประเมินการเคลื่อนไหวของราคาขายปลีกและค่าการตลาด (3) การติดตามราคา ให้จังหวัดส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบดูแลการกําหนดราคาขายปลีกของ สถานีบริการในจังหวัด ในการพิจารณาว่าระดับราคาสูงเกินความเหมาะสมหรือไม่ ให้ดูจากราคาของสถานีบริการ ปตท. ข้างเคียง โดยความแตกต่างของราคาไม่ควรเกินลิตรละ 20 สตางค์ หรือใช้ราคาจําหน่ายใน กทม. ที่ผู้ค้าน้ำมันแจ้งบวกด้วยค่าขนส่งไปยังจังหวัดนั้นแทนราคา ปตท. ข้างเคียงก็ได้ (4) การดําเนินการ หากพบสถานีบริการที่จําหน่ายน้ำมันในราคาเกินเหมาะสมให้จังหวัดแจ้งกรมการค้าภายในและ สพช. เพื่อแจ้งให้ผู้ค้าน้ำมันเจ้าของเครื่องหมายการค้าดําเนินการให้ลดราคาลง หรือให้ ปตท. แทรกแซงราคา หากไม่สามารถแก้ไขได้ ให้คณะกรรมการส่วนจังหวัดกําหนดราคาสินค้าและป้องกัน การผูกขาดพิจารณาแก้ไขโดยใช้อํานาจตามกฎหมาย นอกจากนั้น สพช. ร่วมกับ ปตท. ได้เดินทางไปสํารวจสภาพการแข่งขันของสถานีบริการในท้องที่ห่างไกลในทุกภูมิภาคเป็นระยะตลอดมา เพื่อให้ทราบว่ามีการกําหนดราคาจําหน่ายสูงเอาเปรียบผู้บริโภค หรือไม่ โดยได้เชิญให้ผู้ค้าน้ำมันและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมการค้าภายใน และกรมทะเบียนการค้าให้ส่งผู้แทนร่วมเดินทางไปด้วยทุกครั้ง
3.4 ผลการดําเนินการกํากับดูแลราคาและค่าการตลาดในปี 2537 ที่ผ่านมาพอสรุปได้ ดังนี้ (1) ปตท. บริษัทบางจาก และผู้ค้าน้ำมันได้สอดส่องดูแลการกําหนดราคาขายปลีกของสถานีบริการทั่วประเทศตามมติคณะรัฐมนตรีได้เป็นอย่างดี โดยสํานักงานพาณิชย์จังหวัด และ สพช. ตรวจพบ สถานีบริการซึ่งจําหน่ายน้ำมันในราคาสูงเกินเหมาะสมน้อยรายมาก จากจํานวนสถานีบริการทั่วประเทศโดยเฉลี่ย ในปี 2537 ทั้งหมด 4,768 ราย พบโดยเฉลี่ยเดือนละ 112 ราย หรือร้อยละ 2.4 สถานีบริการดังกล่าวมิได้กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่กระจายอยู่ในจังหวัดต่างๆ ทุกภาค ทําให้ผู้บริโภคไม่เดือดร้อนเพราะสามารถซื้อจากสถานีบริการอื่นที่อยู่ข้างเคียงได้ อย่างไรก็ดีเมื่อตรวจพบผู้ค้าน้ำมันก็ได้ให้ความร่วมมือในการดําเนินการให้สถานีบริการลดราคาจําหน่ายลงอย่างรวดเร็ว (2) นอกจากการกํากับดูแลมิให้ราคาขายปลีกของสถานีบริการสูงเกินเหมาะสมแล้ว สพช. ยังได้กํากับดูแลระยะเวลาการเปลี่ยนแปลงของราคาขายปลีกตามราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นด้วย ซึ่งปรากฏว่าการ เปลี่ยนแปลงของราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินพิเศษและเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่วอยู่ในลักษณะ “ขึ้นเร็วลงช้า” สพช. ได้นําเสนอปัญหาดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2536 ซึ่งคณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วมีมติให้ ปตท. และบริษัทบางจาก ปรับปรุงกลไกการกําหนดราคาขายปลีก ณ สถานีบริการให้สามารถปรับปรุงราคาขายปลีกตามราคาขายส่งได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และให้เจ้าหน้าที่สามารถดําเนินการไปได้โดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้บริหาร เพื่อให้มีความคล่องตัว ผลปรากฏว่าช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ โดยราคาขายปลีก ณ สถานีบริการของน้ำมันเบนซินพิเศษทั้ง 2 ชนิดเปลี่ยนแปลงตามราคาขายส่งในลักษณะ “ขึ้นเร็วลงเร็ว” โดย สพช. เห็นว่ามาตรการกํากับดูแลราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ที่รัฐกําหนดไว้ในปัจจุบันเหมาะสมดีแล้ว กล่าวคือช่วยให้ราคาจําหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับที่เหมาะสมและสะท้อนถึงราคาในตลาดโลก รวมทั้งค่าการตลาดที่ผู้ค้าน้ำมันได้รับก็มิได้เพิ่มสูงขึ้นมากเกินสมควร เมื่อคํานึงถึงต้นทุนการผลิตจําหน่ายที่เพิ่มขึ้นจากกฎเกณฑ์ของรัฐ และผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากความปลอดภัย ความสะอาดและบริการที่ดีขึ้นของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างเห็นได้ชัดเจน จึงไม่จําเป็นต้องมีการทบทวนมาตรการกํากับดูแลดังกล่าวแต่อย่างใด
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการวิเคราะห์ของ สพช. เกี่ยวกับราคาน้ำมันและค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง
2. เห็นชอบให้ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และ กรมการค้าภายใน ร่วมกัน พิจารณาปรับปรุงมาตรการในการกํากับดูแลการกําหนดราคาน้ำมันและค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง ให้มีความ เหมาะสมยิ่งขึ้น
3. ให้กรมโยธาธิการเร่งดําเนินการในการออกประกาศกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดตั้งสถานีบริการน้ำมันขนาดเล็กเพื่อส่งเสริมการแข่งขันในการขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติไปแล้ว
เรื่องที่ 4 รายงานสถานการณ์ความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า (ปัญหาไฟฟ้าตก ไฟฟ้าดับ)
สรุปสาระสำคัญ
1. เขตการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2538 ผู้ใช้ไฟฟ้าในเขต กฟน. ประสบปัญหาจํานวนไฟฟ้าดับถาวรเฉลี่ย 1.83 ครั้งต่อผู้ใช้ไฟหนึ่งราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม บางเขตยังมีปัญหาไฟฟ้าดับค่อนข้างสูง เช่น เขตบางใหญ่ และเขตบางพลี
2. เขตการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2538 จํานวนไฟฟ้าดับ ถาวรอยู่ในระดับ 3.87 ครั้งต่อผู้ใช้ไฟหนึ่งราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเล็กน้อย เขตที่มีปัญหามาก เป็นเขตทางภาคใต้ สาเหตุมาจากต้นยาง เขตที่มีปัญหารองลงมาคือ เขตภาคกลาง เนื่องจากเป็นเขตที่มีการใช้ ไฟฟ้าสูง อุปกรณ์ไฟฟ้าชํารุดบ่อยและปัญหารถชนเสาไฟฟ้า
3. ในส่วนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งมีส่วนทําให้ระบบไฟฟ้าของ กฟน. และ กฟภ. ขัดข้องนั้น ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2538 ปัญหาไฟฟ้าดับที่เป็นผลมาจาก กฟผ. ลดน้อยลง โดยสามารถคิดเป็นเวลาที่ระบบไฟฟ้าหยุดจ่ายไฟ ประมาณ 22.9 นาที ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 13.5
4. การแก้ไขปัญหาไฟฟ้าตก ไฟฟ้าดับ ของคณะกรรมการปรับปรุงความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้าในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นแกนนํา ได้มีการประสานงานกันระหว่างการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และมีการปรับปรุงระบบไฟฟ้าให้ดีขึ้นในหลาย ๆ ด้าน ทําให้ระบบไฟฟ้าของประเทศดีขึ้น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 ได้มีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติ ในเรื่องข้อเสนอการแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยกําหนดให้ กรมสรรพสามิตติดตั้งมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าออกจากคลังและมาตรวัดน้ำมันคงเหลือแบบ Automatic Level Gauge ในคลังน้ำมันชายฝั่งทุกแห่ง และให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปิดผนึกมิให้เปิดเครื่องเข้าไปแก้ไขสัญญาณ ได้ และให้มีการรายงานผลการดําเนินงานการแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงต่อคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมทุกครั้ง
2. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2538 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2538 จากการรายงานผลการดําเนินงานต่อคณะกรรมการฯ ปรากฏว่ามีคลังน้ำมันบางแห่งไม่อยู่ในความควบคุมของกรมศุลกากรและกรมสรรพสามิต คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้สํานักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปรวบรวมจํานวนและรายชื่อคลังน้ำมันที่ไม่อยู่ในความควบคุมดูแลของหน่วยราชการใด เพื่อ กําหนดมาตรการในการควบคุมดูแลการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง และให้นําเสนอคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติต่อไป
3. สพช. ได้ดําเนินการตามมติแล้ว โดยได้หารือร่วมกับกรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมสรรพากร และกรมโยธาธิการ ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2538 และจัดทําข้อเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้า น้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติม เสนอต่อคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานในการประชุม ครั้งที่ 2/2538 (ครั้งที่ 16) เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2538 เพื่อพิจารณาสรุปได้ ดังนี้
3.1 ในข้อเท็จจริงแล้วไม่น่าจะมีคลังน้ำมันใดที่ไม่อยู่ในความควบคุมดูแลของทางราชการ เนื่องจากคลังน้ำมันทุกคลังต้องได้รับอนุญาตจากกรมโยธาธิการ ซึ่งเป็นพื้นฐานสําหรับควบคุมดูแลด้านความ ปลอดภัยของสถานที่เก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิงทุกแห่ง และนอกจากนี้ถ้าคลังใดเป็นคลังน้ำมันนําเข้าจะต้องอยู่ในความดูแลของกรมศุลกากรเพื่อควบคุมการชําระอากรขาเข้า หรือถ้าคลังใดมีการดําเนินการตามกฎหมาย สรรพสามิต เช่น มีการเติมสารเติมแต่ง ก็จะต้องอยู่ในความดูแลของกรมสรรพสามิตในฐานะดําเนินการผลิตอีกด้วย
3.2 ในปัจจุบันมีคลังน้ำมันชายฝั่งรวมทั้งสิ้น 71 แห่ง แต่อยู่ในความดูแลของกรมสรรพสามิต และสามารถติดตั้งมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้เพียง 40 แห่ง ส่วนอีก 31 แห่ง กรมสรรพสามิตไม่มีอํานาจเข้าไปติดตั้งมาตรวัดได้ เนื่องจากกรมสรรพสามิตมีอํานาจติดตั้งมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 เฉพาะคลังน้ำมันที่เข้าลักษณะเป็น “โรงอุตสาหกรรม” คือ คลังน้ำมันของโรงกลั่นน้ำมัน และคลังน้ำมันที่มีการเติมสารเติมแต่ง (Additive) เท่านั้น จึงทําให้มีช่องโหว่ให้มีการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ และทําให้การแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าตามมติคณะรัฐมนตรีไม่ได้ผล อย่างไรก็ตามคลังชายฝั่งทั้ง 31 แห่ง นั้น มีคลังน้ำมันที่ควรจะต้องติดตั้งมาตรวัดจํานวน 10 แห่ง โดยให้กรมโยธาธิการดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคลังที่สมควรติดตั้งมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงให้แน่ชัดอีกครั้งหนึ่ง
3.3 คลังน้ำมัน 10 แห่งดังกล่าว อาจใช้อํานาจตามกฎหมายของกรมสรรพากรกําหนดให้ติดตั้ง มาตรวัดได้ แต่เนื่องจากอํานาจของกรมสรรพากรไม่ใช่อํานาจบังคับให้ติดตั้ง แต่เป็นการกําหนดเป็นทางเลือก หนึ่งให้เจ้าของคลังน้ำมันเลือกที่จะใช้การติดมาตรวัดเป็นอุปกรณ์ในการรายงานข้อมูลการรับจ่ายและคงเหลือ ของน้ำมันในคลังต่อกรมสรรพากร โดยเจ้าของคลังน้ำมันทุกคลังมีสิทธิเลือกและไม่ได้จํากัดเฉพาะคลัง 10 แห่ง ดังกล่าว อย่างไรก็ดี กรมสรรพากรอาจส่งเสริมให้เจ้าของคลังน้ำมันยอมรับการติดมาตรวัดให้มากขึ้นได้ โดยใช้ หลักการว่าคลังใดติดมาตรวัดจะถือว่ามีระบบควบคุมที่ดี กรมสรรพากรจะเข้าไปตรวจสอบภาษีอากรน้อยกว่า คลังที่ไม่ได้ติดมาตรวัด
4. เพื่อให้มาตรการติดตั้งมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงในคลังน้ำมันชายฝั่งกระทําได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เห็นควรกําหนดมาตรการแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติม สําหรับคลังน้ำมันที่กรมสรรพสามิต ไม่มีอํานาจติดตั้งมิเตอร์ได้เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
4.1 ให้กรมสรรพสามิตและกรมสรรพากรรับไปดําเนินการให้มีการติดตั้งมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิง ในคลังน้ำมันที่กรมสรรพสามิตไม่มีอํานาจติดตั้ง โดยอาศัยอํานาจตามกฎหมายของกรมสรรพากรตามแนวทาง ข้างต้น โดยให้เน้นการติดตั้งมาตรวัดในคลังน้ำมันซึ่งตั้งอยู่ชายฝั่งก่อน
4.2 ให้กรมโยธาธิการติดตามข้อมูลการก่อสร้างคลังน้ำมันชายฝั่ง หากมีคลังน้ำมันที่ก่อสร้างเสร็จเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันให้แจ้งกรมสรรพสามิตและกรมสรรพากรทราบ เพื่อดําเนินการให้มีการติดตั้งมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป
มติของที่ประชุม
1. ให้กรมสรรพสามิต และกรมสรรพากรรับไปดําเนินการให้มีการติดตั้งมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงในคลังน้ำมันที่กรมสรรพสามิตไม่มีอํานาจติดตั้ง โดยอาศัยอํานาจตามกฎหมายของกรมสรรพากรในเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ ให้เน้นการติดตั้งมาตรวัดในคลังน้ำมันซึ่งตั้งอยู่ชายฝั่งก่อน
2. ให้กรมโยธาธิการติดตามข้อมูลการก่อสร้างคลังน้ำมันชายฝั่งหากมีคลังน้ำมันที่ก่อสร้างเสร็จเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันให้แจ้งกรมสรรพสามิตและกรมสรรพากร เพื่อดําเนินการให้มีการติดตั้งมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิง ต่อไป
เรื่องที่ 6 การขออนุมัติในหลักการให้ กฟผ. ขายโรงไฟฟ้าขนอม
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2534 และวันที่ 12 กันยายน 2535 ได้มีมติ กําหนดแนวทางการดําเนินงานในอนาคตของ กฟผ. และการเพิ่มบทบาทของเอกชนในการผลิตและจําหน่ายไฟฟ้า ซึ่ง กฟผ. ได้ดําเนินการตามมติดังกล่าวแล้ว โดยจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทผลิตไฟฟ้า จํากัด (บผฟ.) ขึ้น ซึ่งต่อมา แปรรูปเป็นบริษัทมหาชน จํากัด เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2537 และได้ขายโรงไฟฟ้าระยองให้แก่บริษัทผลิตไฟฟ้า ระยอง จํากัด (บฟร.) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บผฟ. รวมทั้งจัดทําสัญญาซื้อขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าระยอง โดยให้สิทธิ (Option) แก่ บฟร. หรือ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. เจรจาซื้อโรงไฟฟ้าขนอมจาก กฟผ. ได้ ต่อมาฝ่ายบริหารฯ กฟผ. ได้นําเรื่องการขายโรงไฟฟ้าขนอมเสนอคณะกรรมการ กฟผ. พิจารณา ในการประชุม ครั้งที่ 5/2538 เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2538 และมีมติอนุมัติในหลักการให้ขายโรงไฟฟ้าขนอม ทั้งหมดจํานวน 824 เมกะวัตต์ แก่ บฟร. หรือ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. และให้ฝ่ายบริหารฯ ดําเนินการตามที่เสนอ ซึ่งในการดําเนินการดังกล่าว จําเป็นต้องขออนุมัติและขอรับการสนับสนุนในหลักการจากคณะรัฐมนตรี เพื่อให้สามารถดําเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ได้ครบถ้วนภายในวันที่ 30 กันยายน 2538 กฟผ. จึงเสนอเรื่องให้สํานักนายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณา เมื่อสํานักนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว จึงส่งเรื่องดังกล่าวมายังสํานักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ สํานักนายกรัฐมนตรีได้นําเรียนรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นายกร ทัพพะรังสี) ผู้สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี สําหรับ กฟผ. พิจารณาแล้ว ได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาก่อนนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการต่อไป
2. ขั้นตอนในการดําเนินการซื้อขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม มีขั้นตอนหลัก ดังนี้
2.1 การขออนุมัติในหลักการจากคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ กฟผ. ดําเนินการขายทรัพย์สินของ โรงไฟฟ้าขนอมกับ บฟร. หรือ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. และการขอแต่งตั้งคณะกรรมการประเมิน ราคาทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจําหน่ายกิจการ หรือหุ้นที่ส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. 2504
2.2 การเจรจาในรายละเอียดของสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอมและสัญญาซื้อขายไฟฟ้าซึ่งผลิตจากโรงไฟฟ้าขนอม ทั้งนี้ รวมถึงวิธีการประเมินราคาทรัพย์สิน ผลการประเมินราคาทรัพย์สิน วิธีการกําหนดอัตราค่าไฟฟ้า อัตราค่าไฟฟ้าและเงื่อนไขอื่น ๆ
2.3 การขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีขั้นสุดท้าย เพื่อให้มีการซื้อขายโรงไฟฟ้าขนอมเกิดขึ้น
3. สัญญาต่าง ๆ ประกอบด้วย
3.1 สัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม จะใช้สาระสําคัญตามสัญญาซื้อขายทรัพย์สิน ของโรงไฟฟ้าระยองระหว่าง กฟผ. กับ บฟร. เป็นแนวทางในการจัดทําสัญญาทรัพย์สินที่จะซื้อจะขาย คือ โรงไฟฟ้าขนอม ที่ดินและทรัพย์สินอื่น ๆ โดยจะซื้อขายในราคาที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ
3.2 สัญญาซื้อขายไฟฟ้าซึ่งผลิตจากโรงไฟฟ้าขนอม จะใช้สาระสําคัญตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าซึ่ง ผลิตจากโรงไฟฟ้าระยอง ระหว่าง กฟผ. กับ บฟร. เป็นแนวทางในการจัดทําสัญญา
4. การประเมินราคาทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอมจะดําเนินการตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจําหน่ายกิจการหรือหุ้นที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. 2504 หลังจากได้รับความเห็น ชอบในหลักการจาก ครม. แล้ว ทั้งนี้การประเมินราคาทรัพย์สินจะกระทําให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อให้การโอน ทรัพย์สินสามารถกระทําได้ภายในวันที่ 30 กันยายน 2538 ตามกําหนดการ
5. การกําหนดอัตราค่าไฟฟ้าแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ตามลักษณะของต้นทุน ดังนี้ (1) ค่าความพร้อมผลิตไฟฟ้า (Availability Payment) คิดตามความพร้อมผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า เพื่อให้เพียงพอกับต้นทุนคงที่ของโรงไฟฟ้า และผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น โดยไม่ขึ้นกับปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ กฟผ. สั่งผลิต ต้นทุนคงที่ดังกล่าว ได้แก่ ค่าชําระคืนเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ ค่าบํารุงรักษาหลัก ค่าใช้จ่ายคงที่ในการผลิตและบํารุงรักษา และค่าประกันภัย เป็นต้น (2) ค่าพลังงานไฟฟ้า (Energy Charge) คิดตามปริมาณพลังงานไฟฟ้าซึ่งได้ผลิตตามคําสั่งของ กฟผ. เพื่อให้เพียงพอกับต้นทุนผันแปร อันได้แก่ ค่าเชื้อเพลิงและค่าใช้จ่ายผันแปรในการผลิตและบํารุงรักษา โดยไม่มีการตั้งเกณฑ์กําไรในส่วนของค่าพลังงานไฟฟ้า โดยปัจจัยสําคัญที่มีส่วนในการกําหนดอัตราค่าไฟฟ้า ได้แก่ ราคาขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม สาระสําคัญของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าซึ่งผลิตจากโรงไฟฟ้าขนอม ความต้องการผลตอบแทนของผู้ลงทุนใน บผฟ. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ระยะเวลาคืนเงินกู้ อายุใช้งานของโรงไฟฟ้า ประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้า และสิทธิประโยชน์ ที่พึงได้รับจากการส่งเสริมการลงทุนโดยการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีอื่นใดตามที่กฎหมายอนุญาต โดยผลประโยชน์จูงใจที่สําคัญของ บผฟ. คือ บผฟ. จะมีรายได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมผลิตไฟฟ้าที่ได้ตกลงล่วงหน้า ระบบจูงใจนี้จะส่งผลให้ บผฟ. พัฒนาคุณภาพงานแบบธุรกิจเอกชน และสร้างความมั่นคงแก่ระบบผลิตไฟฟ้าโดยรวม
6. การขออนุมัติและการขอรับการสนับสนุนจากคณะรัฐมนตรี
6.1 ขั้นตอนที่ 1 : การขออนุมัติและการขอรับการสนับสนุนในหลักการจากคณะรัฐมนตรี ในการดําเนินการเบื้องต้นนั้น กฟผ. จําเป็นต้องขออนุมัติและขอรับการสนับสนุนในหลักการจากคณะรัฐมนตรี เพื่อให้สามารถดําเนินการต่าง ๆ ที่จําเป็นได้ครบถ้วน ภายในวันที่ 30 กันยายน 2538 ดังนี้
(1) ขออนุมัติในหลักการให้ กฟผ. ขายโรงไฟฟ้าขนอม (ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 1 ชุด ขนาด 674 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังความร้อน 2 เครื่อง ขนาด 2 x 75 เมกะวัตต์ รวมเป็นกําลังผลิตติดตั้งทั้งหมด 824 เมกะวัตต์) แก่ บฟร. หรือ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. โดยใช้สาระสําคัญตามสัญญาซื้อขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าระยองระหว่าง กฟผ. กับ บฟร. เป็นแนวทางในการจัดทําสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม
(2) ขออนุมัติในหลักการให้ กฟผ. ซื้อไฟฟ้าซึ่งผลิตจากโรงไฟฟ้าขนอม ซึ่งดําเนินกิจการ โดย บฟร. หรือ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. โดยใช้สาระสําคัญตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งผลิตจาก โรงไฟฟ้าระยองระหว่าง กฟผ. กับ บฟร. เป็นแนวทางในการจัดทําสัญญาซื้อขายไฟฟ้าซึ่งผลิตจากโรงไฟฟ้าขนอม
(3) ขออนุมัติให้ กฟผ. ทําสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สิน และสัญญาซื้อขายไฟฟ้า รวมทั้ง สัญญาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายและการประกอบการโรงไฟฟ้าขนอมเป็นภาษาอังกฤษ
(4) ขอให้คณะรัฐมนตรีกำหนดนโยบายให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาในการ ส่งเสริมการลงทุนแก่ บฟร. หรือ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. โดยให้ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีอื่น ๆ เป็นระยะเวลาสูงสุดตามที่กฎหมายอนุญาต
(5) ขอให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการประเมินราคาทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจําหน่ายกิจการหรือหุ้นที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. 2504 โดยขอให้แต่งตั้งผู้แทนสํานักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และผู้แทน กฟผ. ร่วมเป็นกรรมการฯ ด้วย แล้วนําผลการประเมินราคาทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอมเสนอต่อคณะรัฐมนตรี โดยเสนอผ่านคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
(6) ขอการสนับสนุนให้หน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้ความอนุเคราะห์ให้ความร่วมมือ และอํานวยความสะดวกในการขอรับการอนุมัติและใบอนุญาตต่างๆ ที่จําเป็นในการซื้อขายและการประกอบกิจการโรงไฟฟ้าขนอม เพื่อให้ทันกําหนดการโอนทรัพย์สิน ภายในวันที่ 30 กันยายน 2538 ดังนี้
- ขอให้สํานักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมพิจารณาอนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโรงไฟฟ้าขนอม และท่าเทียบเรือ
- ขอให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ สิ่งแวดล้อม พิจารณาอนุมัติออกใบอนุญาตผลิตพลังงานควบคุมในส่วนของ โรงไฟฟ้าขนอมให้ กฟผ. และโอนใบอนุญาตดังกล่าวให้ บฟร. หรือ บผฟ. หรือ บริษัทในเครือของ บผฟ.
- ขอให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม พิจารณาอนุมัติออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานในโรงไฟฟ้าขนอมให้ กฟผ. และโอนใบอนุญาตดังกล่าวให้ บฟร. หรือ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. ต่อไป
- ขอให้กรมโยธาธิการ กระทรวงมหาดไทย พิจารณาอนุมัติออกสัมปทานในการประกอบ กิจการไฟฟ้าในส่วนของโรงไฟฟ้าขนอมให้ กฟผ. และโอนใบอนุญาตดังกล่าว ให้ บฟร. หรือ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. เป็นระยะเวลา 25 ปี
- ขอให้กรมโยธาธิการ กระทรวงมหาดไทยพิจารณาอนุมัติออกใบอนุญาตตั้งถังน้ำมัน เชื้อเพลิง และเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของโรงไฟฟ้าขนอมให้ กฟผ. และโอน ใบอนุญาตดังกล่าวให้ บฟร. หรือ บผฟ. หรือ บริษัทในเครือของ บผฟ.
- ขอให้กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลังพิจารณาอนุมัติให้ กฟผ. โอนสิทธิการเช่าที่ ราชพัสดุ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินอันเป็นบริเวณของโรงไฟฟ้าขนอมให้แก่ บฟร หรือ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. ได้และให้กรมธนารักษ์เร่งดําเนินการต่าง ๆ ที่จําเป็นเพื่อให้ บฟร. หรือ บผฟ. หรือ บริษัทในเครือของ บผฟ. สามารถเช่าที่ราชพัสดุนั้น เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าอายุสัมปทานประกอบกิจการไฟฟ้า
- ขอให้กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคมและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง พิจารณาอนุมัติออกใบอนุญาตให้ กฟผ. และโอนใบอนุญาตดังกล่าวให้ บฟร. หรือ บผฟ. หรือ บริษัทในเครือของ บผฟ. ต่อไป เพื่อสร้างสิ่งล่วงล้ำลําน้ำได้ คือ เทียบเรือใน บริเวณโรงไฟฟ้าขนอมและฝายกั้นน้ำในคลองท่าตก ซึ่งยกระดับน้ำเพื่อสูบเข้าอ่างเก็บน้ำดิบสําหรับโรงไฟฟ้าขนอม
- ขอให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาอนุมัติให้ บฟร. หรือ บผฟ. หรือบริษัท ในเครือของ บผฟ. ใช้น้ำจากคลองท่าตกและทางน้ำสาธารณะอื่นในกิจการโรงไฟฟ้าขนอมได้
- ขอให้กรมที่ดินและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดการดําเนินการเพิกถอนสภาพทางสาธารณะและลํารางสาธารณะ ซึ่งอยู่ในบริเวณโรงไฟฟ้าขนอม และอ่างเก็บน้ำ ซึ่งส่งให้แก่โรงไฟฟ้าขนอม และขายที่ดินอันเป็นทางสาธารณะที่ถูกเพิกถอนให้แก่ กฟผ.
- ขอให้กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ บฟร. หรือ บผฟ. หรือ บริษัทในเครือของ บผฟ. ใช้ที่ดินในบริเวณเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขาชัยสน ได้เช่นเดียวกับที่ กฟผ. ขอใช้อยู่ในปัจจุบัน
6.2 ขั้นตอนที่ 2 : การขออนุมัติขั้นสุดท้ายจากคณะรัฐมนตรี ภายหลังจากการดําเนินการตามขั้นตอนที่ 1 และการจัดร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม และสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งผลิตจากโรงไฟฟ้าขนอมเสร็จแล้ว ยังมีขั้นตอนการขออนุมัติจาก คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีขั้นสุดท้ายดังนี้
(1) การขออนุมัติราคาทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอมที่ กฟผ. จะขายและโอนให้ บฟร. หรือ บผฟ. หรือบริษัทในเครือของ บผฟ. ตามสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม และการขออนุมัติอัตราค่าไฟฟ้าอันกําหนดโดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้าซึ่งผลิตจากโรงไฟฟ้าขนอม
(2) การขออนุมัติให้ กฟผ. ขายและโอนโรงไฟฟ้าขนอมให้ บฟร. หรือ บผฟ. หรือ บริษัทในเครือของ บผฟ. ได้ตามร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าขนอม และการขออนุมัติให้ กฟผ. ซื้อไฟฟ้าซึ่งผลิตจากโรงไฟฟ้าขนอมได้ตามร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าซึ่งผลิตจากโรงไฟฟ้าขนอม
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ขายโรงไฟฟ้าขนอมให้แก่บริษัทผลิตไฟฟ้า จํากัด หรือบริษัทในเครือของบริษัทผลิตไฟฟ้า จํากัด ตามขั้นตอนการขออนุมัติและการขอรับการสนับสนุนจากคณะรัฐมนตรี
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2534 อนุมัติข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ โดยมอบหมายให้บริษัท การบินไทย จํากัด(มหาชน) เป็นแกนกลางในการลงทุนโครงการขนส่งน้ำมันทางท่อ บางจาก-ดอนเมือง และให้ถือเป็นโครงการเร่งด่วน พร้อมทั้งกําหนดโครงสร้างของผู้ถือหุ้นของโครงการ และต่อมาได้มีการจัดตั้งบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จํากัด (Fuel Pipeline Transportation Limited : FPT) ขึ้น
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2535 อนุมัติให้รัฐวิสาหกิจที่ถือหุ้นอยู่ในบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จํากัด เพิ่มทุนจดทะเบียนในบริษัทฯ จาก 200 ล้านบาท เป็น 440 ล้านบาท ได้ตามอัตราส่วนการร่วมทุนของแต่ละรัฐวิสาหกิจ ตามข้อเสนอของ บริษัทฯ ที่ให้มีการขยายท่อขนส่งน้ำมันจากดอนเมืองไปจนถึงบางปะอิน
3. บริษัท FPT เพิ่มการลงทุนอีกครั้งหนึ่งโดยการสร้างคลังรับและจ่ายน้ำมันที่บางปะอินและเชียงรากน้อย เพื่อให้จ่ายน้ำมันได้ทั้งทางรถยนต์และรถไฟโดยไม่มีการเพิ่มทุน ในขณะที่ธนาคารไม่สามารถเปลี่ยนเงินกู้ระยะสั้นเป็นเงินกู้ระยะยาวได้ เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินเกิน 4 ต่อ 1 ตามที่กําหนดไว้ในสัญญา และบริษัทฯ ยังขาดเงินสดจากการก่อสร้างอีก 295 ล้านบาท ทําให้บริษัทฯประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินทั้งใน ระยะสั้นและระยะยาว บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จํากัด จึงจําเป็นต้องเพิ่มทุนอีกครั้งหนึ่งจาก 440 ล้านบาท เป็น 1,330 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่อีกจํานวน 8.9 ล้านหุ้น มีมูลค่าหุ้นละ 100 บาท
4. ปัญหาของผู้ถือหุ้นบริษัท FPT มีดังนี้
4.1 ผู้ถือหุ้นของ FPT บางส่วนเป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ก่อนจึงจะเพิ่มทุนจดทะเบียนใน FPT ได้
4.2 ผู้ถือหุ้นของ FPT ที่มีปัญหาดังกล่าวมี 2 รายคือ
(1) บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ซึ่งคณะกรรมการบริหารของบริษัทฯ มีมติให้เพิ่มการถือหุ้นในบริษัท FPT จาก 44 ล้านบาท เป็น 133 ล้านบาท เพื่อคงสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท FPT ไว้ร้อยละ 10 ตามเดิม แต่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลานาน
(2) บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จํากัด (BAFS) ต้องการเพิ่มการถือหุ้นใน บริษัท FPT จากเดิมร้อยละ 10 เป็นไม่เกินร้อยละ 34.5
5. เนื่องจากปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท FPT จําเป็นต้องได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วน แต่บริษัท FPT ยังไม่สามารถรับความช่วยเหลือในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นที่เป็นรัฐวิสาหกิจหรือที่เป็นบริษัทซึ่งมีรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้นได้ เนื่องจากรัฐวิสาหกิจดังกล่าวต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เสียก่อน ดังนั้นผู้ถือหุ้นของบริษัท FPT 2 ราย คือ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) และบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จํากัด จึงได้มีหนังสือขอให้สํานักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เร่งดําเนินการนําเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นการเร่งด่วน ดังนี้
5.1 ให้บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท FPT อีก 89 ล้านบาท เพื่อให้มีหุ้นเพิ่มจากเดิม 44 ล้านบาทเป็น 138 ล้านบาท ซึ่งจะทําให้มีสัดส่วนการถือหุ้นคงเดิมคือร้อยละ 10
5.2 ให้ผู้ถือหุ้นของบริษัท BAFS 3 รายคือ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) การปิโตรเลียม แห่งประเทศไทย และการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย นําเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัท BAFS มาซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นได้ไม่เกินวงเงินปันผลที่ได้รับ
6. สํานักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้มีหนังสือสอบถามความเห็นไปยัง กระทรวงคมนาคมและกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจดังกล่าวแล้ว โดยกระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้วเห็นชอบให้บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) เพิ่มทุนในบริษัท FPT จาก 44 ล้านบาท เป็น 133 ล้านบาท และได้นําเรื่องนี้เสนอคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เพื่อพิจารณาในการประชุม ครั้งที่ 2/2538 (ครั้งที่ 16) เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2538 โดยที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่า การขนส่งน้ำมันทางท่อเป็นกิจการที่รัฐบาลสนับสนุนให้มีขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจร ปัญหามลภาวะเป็นพิษ จากยานพาหนะ รวมทั้งเพื่อลดอุบัติภัยจากการขนส่งทางรถบรรทุกและรถไฟในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัด ใกล้เคียง แต่ทั้งนี้ ควรหารือกระทรวงการคลังเพื่อขอความเห็นชอบก่อนนําเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่ง สพช. ได้มีหนังสือสอบถามความเห็นจากกระทรวงการคลัง เพื่อประกอบการพิจาณาของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติแล้ว โดยกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นชอบให้บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท FPT อีก 89 ล้านบาท และเห็นชอบให้บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย นําเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัท BAFS ไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้ไม่เกินวงเงินปันผลที่ได้รับ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ซื้อหุ้นเพิ่มทุนในบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จํากัด อีก 89 ล้านบาท เพื่อให้มีหุ้นเพิ่มจากเดิม 44 ล้านบาท เป็น 133 ล้านบาท
2. เห็นชอบให้บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย นําเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จํากัด กลับมาซื้อหุ้นของ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จํากัด ได้ไม่เกินวงเงินปันผลที่ได้รับ