มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2546 (ครั้งที่ 34)
วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2546 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
2. ขออนุมัติเงินสนับสนุนชุดโครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขนส่ง
รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ผู้เข้าร่วมประชุม
เนื่องจากประธานกรรมการกองทุนฯ ติดภารกิจเร่งด่วนไม่สามารถทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมต่อไปได้ จึงมอบหมายให้ นายวิษณุ พูลสุข (รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมแทน
เรื่องที่ 1 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
1. เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติให้ สนพ. นำเงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 3,000 ล้านบาท มาส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจำหน่ายเข้าสู่ระบบเพิ่มมากขึ้น โดยสนับสนุนราคารับซื้อไฟฟ้าจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. ในอัตราไม่เกิน 0.36 บาท/หน่วย เป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี โดยมีขั้นตอนการดำเนินงาน 5 ขั้นตอน ประกอบด้วย
(1) เปิดรับข้อเสนอโครงการ
(2) การพิจารณาโครงการ ในด้านเทคนิคและการเงิน
(3) การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ เกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียน
(4) การพิจารณาการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า
(5) การติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของโครงการฯ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
ขั้นตอนที่ 1 และ 2 ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2544 และได้ดำเนินการแล้วเสร็จ โดยมีผู้สนใจยื่นข้อเสนอโครงการมาเพื่อให้พิจารณาจำนวนทั้งสิ้น 43 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้ารวม 511 MW ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาข้อเสนอทางด้านเทคนิคและการเงินแล้วมีผู้ยื่นข้อเสนอที่ผ่านพิจารณาเบื้องต้น จำนวน 31 โครงการ กระจายอยู่ใน 19 จังหวัด คิดเป็นเงินสนับสนุนจำนวน 2,991 ล้านบาท
ขั้นตอนที่ 3 และ 4 นั้น อยู่ระหว่างการดำเนินการโดย สนพ. โดยได้มีการตั้งศูนย์ประชาสัมพันธ์และศูนย์ประสานงานโครงการฯ ที่กรุงเทพฯ พร้อมทั้งส่งเจ้าหน้าที่ออกไปดำเนินการในพื้นที่ตั้งโครงการ 19 จังหวัด รวมทั้งได้จัดให้มีการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในวงกว้างในสื่อวิทยุ โทรทัศน์ และสิ่งพิมพ์ต่างๆ และจัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ในพื้นที่โครงการฯ
2. สำหรับการพิจารณาการยอมรับของประชาชนต่อ SPP ผู้ยื่นข้อเสนอแต่ละรายต้องส่งแผนการดำเนินการรับฟังความคิดเห็นชุมชนมาให้ สนพ. ตรวจสอบความเหมาะสมของแผนฯ โดยในการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นชุมชนของ SPP แต่ละราย สนพ. ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมสังเกตการณ์ทุกครั้ง และได้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ของศูนย์ประสานงานโครงการฯ เข้าสำรวจทัศนคติของชุมชนที่มีต่อโครงการในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งได้พาผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ ลงพื้นที่ตั้งโครงการฯ เพื่อไปสังเกตการณ์ในขั้นตอนสุดท้าย ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินสนับสนุนโครงการฯ โดยในช่วงเดือน มกราคม-มีนาคม 2546 สนพ. ได้พาผู้แทนกองทุนฯ ลงพื้นที่ตั้ง SPP แล้ว จำนวน 15 โครงการ และพิจารณาแล้วเห็นสมควรให้นำข้อเสนอของ SPP 14 โครงการเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ โดยเห็นควรแบ่ง SPP ออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
เจ้าของโครงการ | สถานที่ตั้ง | เชื้อเพลิงพลังงาน | พลังไฟฟ้า เฉลี่ยเข้าระบบ | อัตราขอรับเงินสนับสนุน | เงินสนับสนุน จากกองทุนฯ |
|
(MW) | (บาท/kwh) | (บาท) | ||||
กลุ่มที่ 1 | ||||||
(1) บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) | อ.เมือง จ.ยะลา | เศษไม้ | 20.0 | 0.180 | 126,144,000.00 | |
(2) บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี | พลังน้ำขนาดเล็ก | 8.0 | 0.200 | 46,920,000.00 | |
(3) บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | เขื่อนคลองท่าด่าน อ.เมือง จ.นครนายก | พลังน้ำขนาดเล็ก | 10.0 | 0.200 | 31,420,000.00 | |
(4) บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | เขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท | พลังน้ำขนาดเล็ก | 14.0 | 0.200 | 91,420,000.00 | |
(5) บริษัท ไฟฟ้าชนบท จำกัด | อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี | แกลบ | 15.0 | 0.150 | 74,583,000.00 | |
กลุ่มที่ 2 | ||||||
(1) บริษัท พี อาร์ จี พืชผล จำกัด | อ.เมือง จ.ปทุมธานี | แกลบ | 5.0 | 0.219 | 43,099,200.00 | |
(2) บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด | อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี | ชานอ้อย เปลือกไม้ แกลบ | 25.0 | 0.145 | 120,649,796.20 | |
(3) บริษัท น้ำตาลมิตรกาฬสินธุ์ จำกัด | อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ | ชานอ้อย เปลือกไม้ แกลบ | 5.1 | 0.145 | 35,858,268.00 | |
(4) บริษัท น้ำตาลราชสีมา จำกัด | อ.แก้งสนามนาง จ.นครราชสีมา | ชานอ้อย | 18.0 | 0.140 | 73,290,000.00 | |
(5) บริษัท แอ็ดวานซ์ อะโกร จำกัด (มหาชน) | อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี | แกลบ เปลือกไม้ น้ำมันยางดำ | 30.0 | 0.180 | 226,281,600.00 | |
(6) บริษัท เอ เอ พัลพ์ มิลล์ 2 จำกัด | อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี | น้ำมันยางดำ | 25.0 | 0.184 | 192,542,880.00 | |
(7) บริษัท อุตสาหกรรมโคราช จำกัด | อ.พิมาย จ.นครราชสีมา | ชานอ้อย | 8.0 | 0.180 | 28,487,520.00 | |
กลุ่มที่ 3 | ||||||
(1) บริษัท น้ำตาลรีไฟน์ชัยมงคล จำกัด | อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี | ชานอ้อย | 7.0 | 0.140 | 15,758,400.00 | |
(2) บริษัท ไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม จำกัด | อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ | ชานอ้อย | 4.0 | 0.130 | 10,296,000.00 | |
รวม 14 โครงการ | 194.1 | 1,116,750,664.20 |
3. โดยมีเงื่อนไขการอนุมัติเงินสนับสนุนแก่ SPP แต่ละกลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1 เป็น SPP ที่มีผลการดำเนินงานผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่นำส่งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง หรือเป็นโรงไฟฟ้าใหม่ที่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งผู้แทนกองทุนฯ ได้เข้าไปในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าแล้ว มีข้อสังเกตว่าโรงไฟฟ้าดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง ในกรณีนี้เห็นควรอนุมัติเงินสนับสนุนแก่ SPP ได้
กลุ่มที่ 2 เป็น SPP ที่มีผลการดำเนินงานผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่นำส่งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง แต่เมื่อผู้แทนกองทุนฯ ได้เข้าไปในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าแล้ว มีข้อสังเกตว่าโรงไฟฟ้าดังกล่าวยังก่อปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง ในกรณีนี้เห็นควรอนุมัติเงินสนับสนุน SPP แต่ละราย แบบมีเงื่อนไข และระบุไว้ในสัญญารับเงินสนับสนุนอย่างชัดเจน โดย SPP แต่ละรายต้องจัดทำมาตรการป้องกันแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และต้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวให้แล้วเสร็จ ภายในระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ลงนามในสัญญารับเงินสนับสนุน และหาก SPP รายใดไม่สามารถดำเนินการได้ตามเงื่อนไข ก็ให้ สนพ. มีสิทธิเพิกถอนสัญญารับเงินสนับสนุน
กลุ่มที่ 3 เป็น SPP ที่มีผลการดำเนินงานไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมบางประเด็นในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่นำส่งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และผู้แทนกองทุนฯ ได้เข้าไปในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าแล้ว มีข้อสังเกตว่าโรงไฟฟ้าดังกล่าวก่อปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง ในกรณีนี้ เห็นควรอนุมัติเงินสนับสนุน SPP แต่ละราย แบบมีเงื่อนไข โดย SPP ต้องดำเนินการแก้ไขปรับปรุงการดำเนินการให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 1 ปี ก่อนที่จะลงนามในสัญญารับเงินสนับสนุน ซึ่งหาก SPP ไม่สามารถดำเนินการได้ก็จะไม่ได้รับการพิจารณาให้ทำสัญญารับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ
4. นอกจากนี้ SPP แต่ละรายต้องปฏิบัติตามที่ผู้แทนกองทุนฯ ได้มีคำแนะนำไว้ ดังรายละเอียดที่ปรากฏในข้อ 6.4 ของส่วนที่ 1 แห่งเอกสารประกอบวาระ 3.1 ด้วย เช่น
SPP ที่ใช้ชานอ้อยเป็นเชื้อเพลิง ผู้แทนกองทุนฯ ได้มีคำแนะนำให้บริษัทฯ ต้องดำเนินการปรับปรุง/ติดตั้งระบบการกำจัดฝุ่นจากทุกปล่องของโรงงานให้ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด และต้องกำหนดมาตรการกำจัดผลกระทบจากฝุ่นและอื่นๆ จากกองชานอ้อย เช่น จุลินทรีย์ เป็นต้น และต้องกำหนดมาตรการบำบัดน้ำทิ้งที่มีประสิทธิภาพ และต้องจัดทำระบบป้องกันน้ำเสียจากโรงงานไหลเข้าสู่แหล่งน้ำสาธารณะ โดยเฉพาะในฤดูฝนที่มีน้ำมาก
SPP ที่ใช้แกลบ ผู้แทนกองทุนฯ ได้มีคำแนะนำให้บริษัทฯ ต้องดำเนินการปรับปรุงระบบการจัดเก็บแกลบเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน ต้องกำหนดมาตรการจัดการด้านมลภาวะด้านอื่นๆ เช่น การจัดการขี้เถ้า น้ำทิ้งจากโรงไฟฟ้า
SPP ที่ใช้น้ำมันยางดำ ผู้แทนกองทุนฯ ได้มีคำแนะนำให้บริษัทฯ ต้องดำเนินการแสดงแผนงานในการจัดการปัญหาด้านกลิ่นเหม็นจากโรงงานไม่ให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน ต้องกำหนดมาตรการจัดการด้านมลภาวะด้านอื่นๆ เช่น การจัดการขี้เถ้า น้ำทิ้งจากโรงไฟฟ้าและโรงงานกระดาษ ต้องแสดงค่าความเข้มข้นของมลพิษทางอากาศที่ออกจากปล่องที่ได้ตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด
5. สนพ. ได้หารือกับกรมสรรพากรเพื่อขอทราบแนวทางปฏิบัติตามข้อบังคับการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือข้อบังคับการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ในกรณีที่ สนพ. ได้ใช้เงินจาก "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" (กรมบัญชีกลาง) จ่ายเป็นเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ให้กับ SPP โดยจ่ายผ่าน "กฟผ." สรุปได้ดังนี้
(1) ภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย (ตามมาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร)
กฟผ. มิใช่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร การจ่ายเงินสนับสนุนฯ ให้ SPP ตามโครงการดังกล่าว จึงไม่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
SPP เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล การที่ กฟผ. จ่ายเงินสนับสนุนฯ ให้ SPP ตามโครงการดังกล่าว ถือเป็นการจ่ายเงินได้ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร กฟผ. จึงมีหน้าที่คำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 1
(2) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ตามมาตรา 77/1(8) และ (9) แห่งประมวลรัษฎากร)
เงินที่ กฟผ. ได้รับจาก สนพ. มิใช่เนื่องจากการกระทำใดๆ อันเป็นการขายสินค้าหรือให้บริการตามมาตรา 77/1 (8) (9) และ (10) แห่งประมวลรัษฎากร จึงไม่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
การที่ กฟผ. นำเงินกองทุนฯ ไปจ่ายให้กับ SPP ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ และเนื่องจากสัญญาที่ขอรับเงินสนับสนุนฯ จะต้องมีผลบังคับใช้ร่วมกันกับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ SPP ขายให้กับ กฟผ. ดังนั้นเงินสนับสนุนฯ ดังกล่าว จึงเป็นเงินที่ขายสินค้าตามมาตรา 77/1 (8) และ (9) อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
6. เพื่อให้การจ่ายเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้า ดำเนินการด้วยความถูกต้องตามข้อบังคับการหักภาษี ณ ที่จ่าย และการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ประกอบกับ กฟผ. ไม่มีงบประมาณที่จะรับภาระรายจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการนำเงินจากกองทุนฯ ไปจ่ายสนับสนุนฯ ให้กับ SPP สนพ. จึงเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาจัดสรรเงินให้ กฟผ. เพื่อนำไปเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมูลค่ารายจ่ายที่เกิดจากการนำเงินกองทุนฯ ไปจ่ายสนับสนุนฯ ให้กับ SPP ในโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 78,172,546.49 บาท
7. สำหรับขั้นตอนต่อไปหลังจากได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้วทาง สนพ. จะดำเนินการเจรจาสัญญาการรับเงินสนับสนุนระหว่าง กฟผ. และ SPP โดยแบ่งเป็นกลุ่มและเงื่อนไขตามที่กำหนด และประสานงานไปยังจังหวัดพื้นที่ตั้งโครงการที่ได้รับอนุมัติ เพื่อจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคี โดยกองทุนฯ จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของคณะกรรมการไตรภาคีในแต่ละพื้นที่ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมในวงเงินประมาณ 3 แสนบาท/พื้นที่ โดย สนพ. จะจัดจ้างผู้ชำนาญการจัดทำร่างรายงานผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Performance Report) เพื่อคณะกรรมการไตรภาคีจะได้ใช้เป็นข้อมูลประกอบการประเมินผลการดำเนินงานของ SPP แต่ละราย รวมทั้งจัดจ้างที่ปรึกษาอิสระ (Third Party) เพื่อดำเนินการเก็บข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม จัดทำเป็นรายงานผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมนำเสนอคณะกรรมการไตรภาคี และคณะกรรมการกองทุนฯ ผ่าน สนพ. ตลอดระยะเวลา 5 ปี ของการสนับสนุนอัตรารับซื้อไฟฟ้า SPP
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 1,116,750,664.20 บาท (หนึ่งพันหนึ่งร้อยสิบหกล้านเจ็ดแสนห้าหมื่นหกร้อยหกสิบสี่บาทยี่สิบสตางค์) ให้ กฟผ. เพื่อนำไปจ่ายให้กับ SPP ผู้ที่ได้รับคัดเลือกจำนวน 14 ราย และทำสัญญากับ กฟผ. ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กเรียบร้อยแล้ว ตามหน่วยไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ กฟผ. ในอัตรา (บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง) ที่ SPP แต่ละรายได้เสนอไว้ โดยกองทุนฯ จะสนับสนุน SPP แต่ละราย เป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ SPP เริ่มต้นขายและส่งมอบไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ตามปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ได้ตกลงกันไว้ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โดยมีรายชื่อ SPP ที่ได้รับการสนับสนุนตามข้อ 2
2. ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กทั้ง 14 รายดังกล่าวข้างต้น แต่ละรายจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและขั้นตอนการดำเนินงาน ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติไว้ตามข้อ 3 และข้อ 4 หากมีรายใดไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติไว้ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร คณะกรรมการกองทุนฯ จำเป็นต้องถือว่าผู้ผ่านการคัดเลือกรายนั้นสละสิทธิ์การขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าพลังงานไฟฟ้าส่วนเพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก ในครั้งนี้แล้ว
3. เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานขั้นตอนต่อไป หลังจากอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แก่ SPP ในการเจรจาสัญญาและเงื่อนไขการอนุมัติเงินกองทุนฯ รวมทั้งการประสานงานจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคี และจัดจ้างผู้ชำนาญการเพื่อจัดทำรายงานผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Performance Report) เพื่อคณะกรรมการไตรภาคีจะได้ใช้เป็นข้อมูลประกอบการประเมินผลการดำเนินงานของ SPP แต่ละราย ตามที่ สนพ. ได้นำเสนอ
4. เห็นชอบให้ สนพ. ใช้เงินจากจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายการดำเนินงานของคณะกรรมการไตรภาคี ในแต่ละพื้นที่ ในวงเงิน 3 แสนบาทต่อพื้นที่ เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยให้ สนพ. จัดทำรายละเอียดประมาณการรายจ่ายและแผนการใช้จ่ายเงินดังกล่าว เสนอคณะทำงานโครงการฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
เรื่องที่ 2 ขออนุมัติเงินสนับสนุนชุดโครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขนส่ง
1. เลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ในช่วงปี 2544-2545 มีหน่วยงานต่างๆ ได้ยื่นข้อเสนอไว้กับสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เพื่อขอรับเงินช่วยเหลือหรืออุดหนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง รวมทั้งสิ้น 14 โครงการ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในคราวการประชุม เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ได้แต่งตั้ง "คณะผู้เชี่ยวชาญกลุ่มการอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง" โดยมี ศ.ดร.ธงชัย พรรณสวัสดิ์ เป็นประธาน ทั้งนี้เพื่อทำหน้าที่ ในการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอในกลุ่มสาขาขนส่ง รวมถึงพิจารณาลดความความซ้ำซ้อนของการดำเนินกิจกรรม พร้อมทั้งกำหนดกรอบการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ให้กับกลุ่ม ซึ่งคณะผู้เชี่ยวชาญฯ ได้กำหนดกรอบหลักการพิจารณาใน 5 ประเด็น คือ
(1) โครงการที่มีลักษณะเป็นการสาธิตเพื่อเผยแพร่ขยายผล ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ได้รับการพิสูจน์ทราบแล้วเป็นอย่างดี และมีความคุ้มค่าในการลงทุน เห็นควรให้ทุนสนับสนุนเฉพาะส่วนต่างระหว่างเทคโนโลยีใหม่นั้น กับเทคโนโลยีเดิมที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งกิจกรรมของโครงการควรเป็นกลาง โดยไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่องค์กรใดองค์กรหนึ่งโดยเฉพาะ
(2) โครงการที่มีลักษณะเป็นการสาธิตเพื่อเผยแพร่ขยายผล แต่เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังไม่ทราบผลชัดเจน เห็นควรให้กองทุนฯ สนับสนุนงบประมาณของโครงการบางส่วน โดยขึ้นอยู่กับลักษณะของแต่ละโครงการ อย่างไรก็ตามในการเบิกจ่ายค่าบริหารโครงการในแต่ละงวดรายงาน จะแปรตามปริมาณผลงานที่สามารถดำเนินการแล้วเสร็จได้จริงในแต่ละงวดรายงานนั้น
(3) โครงการที่มีลักษณะเป็นงานวิจัยในขั้นพื้นฐานเพียงอย่างเดียว เห็นควรให้ สนพ. ประสานกับ สกว. เพื่อรับโครงการนั้นไปพัฒนาให้มีความเข้มแข็งอยู่ในระดับการใช้งานได้จริงก่อน แล้วจึงส่งกลับมายัง สนพ. เพื่อสนับสนุนทุนในการเผยแพร่ขยายผลต่อไป ทั้งนี้เนื่องจาก สกว. มีฐานข้อมูลและมีผู้ชำนาญการในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี และเป็นการป้องกันการให้ทุนที่ซ้ำซ้อนของทั้ง 2 หน่วยงาน
(4) ไม่เห็นควรสนับสนุนแก่โครงการที่ไม่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์
(5) สนับสนุนการทำงานที่มีลักษณะเป็นโครงการระดับชาติ (National Project)
2. ในจำนวนข้อเสนอ 14 โครงการ มีข้อเสนอที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการนำก๊าซธรรมชาติที่มีแหล่งพลังงานภายในประเทศมาใช้เพิ่มมากขึ้น 3 โครงการ ดังนี้
(1) โครงการแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซ NGV ระยะที่ 2 ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
(2) โครงการจัดซื้อรถเก็บขนมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ของ กรุงเทพมหานคร
(3) โครงการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
3. ข้อเสนอทั้ง 3 โครงการตามข้อ 2 สามารถช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ พร้อมทั้งตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลในด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ก๊าซธรรมชาติให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น โดยสามารถนำก๊าซธรรมชาติจำนวน 21,520 ลูกบาศก์ฟุต/ปี มาใช้ทดแทนน้ำมันเบนซินและดีเซลได้ 380.7 และ 141.76 ล้านลิตร/ปี ตามลำดับ ซึ่งประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงลงได้ประมาณ 1,982 ล้านบาท/ปี รวมทั้งช่วยลดปัญหามลภาวะที่เกิดขึ้นจากการใช้ก๊าซธรรมชาติทดแทนเชื้อเพลิงปิโตรเลียม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้การสนับสนุนทั้ง 3 โครงการ โดยเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณาให้เจ้าของโครงการฯ ต้องมีการปรับปรุงรูปแบบของการบริหารงานของแต่ละโครงการฯ ดังต่อไปนี้
(1) โครงการแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซ NGV ระยะที่ 2 ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) | |
ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญฯ และฝ่ายเลขานุการฯ | กองทุนฯ ควรสนับสนุนในลักษณะเงินกู้ปลอดดอกเบี้ย โดยให้ ปตท. ปรับรูปแบบการสนับสนุนแก่ Taxi โดยเงินให้เปล่าจำนวน 25,000 บาท/คัน เพื่อนำไปจ่ายให้กับ Taxi ซึ่ง ปตท. ออกให้ 15,000 บาท/คัน และขอสนับสนุนจากกองทุนฯ 10,000 บาท/คัน นั้น (ซึ่งก่อให้เกิดภาระ VAT ที่ ปตท. ขอให้เป็นภาระของกองทุนฯ 2,500 บาท/คัน) ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ 10,000 บาท/คัน ควรให้ IFCT ปล่อยเงินกู้แก่ Taxi เพิ่มเติมจาก 25,000 บาท/คัน เป็น 35,000 บาท/คันแทน (ซึ่งจะลดภาระ VAT ที่ ปตท. ขอให้เป็นภาระของกองทุนฯ 2,500 บาท/คัน) คงเหลือวงเงินรวมที่กองทุนฯ ควรจะสนับสนุน ปตท. ในโครงการนี้ทั้งสิ้น 19,200,000 บาท ดังนี้ |
เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ | ข้อเสนอเดิม | ความเห็นของฝ่ายเลขาฯ | |
1) เงินให้เปล่าจ่ายให้กับ TAXI | 10,000 บาท/คัน | - บาท/คัน | |
2) ดอกเบี้ยเงินกู้ 4% จ่ายให้กับ IFCT | 1,000 บาท/คัน | 1,400 บาท/คัน | |
3) ค่าบริหารโครงการฯ จ่ายให้ IFCT | 5,000 บาท/คัน | 5,000 บาท/คัน | |
4) สนับสนุนค่าภาษีให้แก่ ปตท. | 2,500 บาท/คัน | - บาท/คัน | |
รวมเป็นเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ (ต่อคัน) | 18,500 บาท/คัน | 6,400 บาท/คัน | |
จำนวน TAXI | 3,000 คัน | 3,000 คัน | |
รวมเป็นเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ | 55,500,000 บาท | 19,200,000 บาท | |
หมายเหตุ: ราคาอุปกรณ์ NGV = 50,000 บาท/คัน | |||
(2) โครงการจัดซื้อรถเก็บขนมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ของ กรุงเทพมหานคร | |||
ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญฯ และฝ่ายเลขานุการฯ | กองทุนฯ ควรสนับสนุนเฉพาะส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นจากการใช้รถเก็บขนมูลฝอยใหม่ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ทดแทนการใช้รถดีเซล (EURO II) ซึ่งประกอบด้วยส่วนต่างราคารถและส่วนต่างค่าดูแลรักษา คิดเป็นเงินสนับสนุนต่อคันสูงสุดไม่เกิน 390,000 บาท โดยคำนวณจาก | ||
ราคาเก็บขนมูลฝอยใหม่ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ 2,500,000 บาท/คัน (หัก) ราคารถดีเซล (EURO II) 2,150,000 บาท/คัน ส่วนต่างราคารถ 350,000 บาท/คัน (บวก) ส่วนต่างค่าดูแลรักษาที่เพิ่มขึ้น 40,000 บาท/คัน เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ 390,000 บาท/คัน |
|||
รวมเป็นเงินที่กองทุนฯ จะสนับสนุนการจัดซื้อรถโดยสารใหม่ 69 คัน 26,910,000 บาท และกองทุนฯ สนับสนุนค่าบริหารโครงการฯ ให้ กทม. อีก 2,500,000 บาท รวมเป็นวงเงินที่กองทุนฯ ควรจะสนับสนุน กทม. ในโครงการนี้ทั้งสิ้น 29,410,000 บาท | |||
(3) โครงการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) | |||
ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญฯ และฝ่ายเลขานุการฯ | เพื่อแก้ไขปัญหากรณีที่สถานีบริการก๊าซธรรมชาติที่มีอยู่ในปัจจุบันจำนวน 8 สถานี ไม่เพียงพอต่อการให้บริการหรือไม่มากพอที่จะจูงใจให้รถบ้านหันมาใช้ NGV ประกอบกับวงเงินที่ ปตท. เสนอขอรับการสนับสนุน (30%) นั้น ทำให้ FIRR = 7.6% อยู่ภายในเงื่อนไขที่กองทุนฯ กำหนดไว้ (ไม่เกิน MIRR+5 % หรือเท่ากับ 7.5+5= 12.5%) แต่สำหรับค่าใช้จ่ายในส่วนค่าบริหารโครงการฯ 50 สถานี ที่ ปตท. ขอสนับสนุนจากกองทุนฯ 20,460,000 บาท นั้น ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่า ปตท. ควรเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าวนั้นเอง รวมเป็นวงเงินที่กองทุนฯ ควรจะสนับสนุน ปตท. ในโครงการนี้ทั้งสิ้น 596,040,000 บาท (คำนวณจาก 616,500,000 -20,460,000 บาท)
นอกจากนี้ กองทุนฯ ควรเปิดโอกาสให้ผู้สนใจลงทุนสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติมีสิทธิขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ในสัดส่วนร้อยละ 30 เช่นเดียวกับ ปตท. ด้วย |
มติที่ประชุม
ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานงานกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ กรุงเทพมหานคร รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำชุดโครงการ (NGV Package) ที่ประกอบด้วยการดำเนินงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง ตามข้อสังเกตที่ของที่ประชุม และนำเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
1. เลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 6/2545 (ครั้งที่ 32) เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2545 ได้เห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปี 2546 และอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ให้ สนพ. ในวงเงิน 200 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนิน "โครงการรวมพลังหาร 2" ที่เน้นการรณรงค์เพื่อให้ประชาชนรู้จักและเข้าใจวิธีประหยัดพลังงานในชีวิตประจำวันที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่าการเดิม และพยายามเชื่อมโยงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของการประหยัดพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยการดำเนินกิจกรรม ดังต่อไปนี้
ชื่อกิจกรรม | ล้านบาท |
1 การรณรงค์สร้างค่านิยมในการอนุรักษ์ทรัพยากรและพลังงาน
1.1 โครงการน้ำและพลังงานหาร 2 ระยะที่ 2 |
110 |
2. การประชาสัมพันธ์กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2.1 โครงการ 10 ปี กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน |
25 |
3. กิจกรรมสนับสนุนเพื่อสร้างจิตสำนึก
3.1 พัฒนาและประชาสัมพันธ์ Web pages |
10 |
4. การประชาสัมพันธ์เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
4.1 ซื้อพื้นที่เผยแพร่/เวลาออกอากาศสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ในสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและสื่อโทรทัศน์ |
35 |
5. การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน
5.1 ศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2 |
10 |
6. อื่นๆ | 10 |
รวมงบประมาณทั้งสิ้น | 200 |
2. สนพ. ได้ดำเนินการคัดเลือกผู้ดำเนินกิจกรรมโครงการฯ ปี 2546 ช่วงที่ 1 จำนวน 2 รายการ ได้แก่
(1) กิจกรรมที่ 2 การประชาสัมพันธ์กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จากกิจกรรม "โครงการ 10 ปี กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" สนพ. ได้จัดทำ รายละเอียดและข้อกำหนด (TOR) ของการว่าจ้างบริษัทที่จะดำเนินกิจกรรม "โครงการสารคดีเพื่อเผยแพร่ผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" เพื่อนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานและการพัฒนาพลังงานทดแทน และผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โดยจะผลิตและเผยแพร่สารคดีสั้นทางวิทยุและโทรทัศน์ พร้อมทั้งผลิตบทความประชาสัมพันธ์เผยแพร่ทางสิ่งพิมพ์ เป็นต้น
(2) กิจกรรมที่ 5 การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน จากกิจกรรม "ศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2" สนพ. ได้จัดทำ TOR ของการว่าจ้างบริษัทที่จะดำเนินกิจกรรม "โครงการศูนย์ประชาสัมพันธ์" เพื่อบริการและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและสื่อมวลชนในเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และกิจกรรมต่างๆ ของกองทุนฯ ตลอดจนเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยป้องกันความสับสนและการเข้าใจผิดในเรื่องของสถานการณ์ นโยบาย และมาตรการพลังงาน สร้างทัศนคติและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกลุ่มเป้าหมาย
3. สนพ. ได้ดำเนินการคัดเลือกผู้ดำเนินกิจกรรมทั้ง 2 รายการ เสร็จสิ้นลงแล้ว โดยวิธีประกวดราคา ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 โดยสรุปผลการคัดเลือกได้ดังนี้
(1) กิจกรรมที่ 2 การประชาสัมพันธ์กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน มีผู้ยื่นข้อเสนอ 4 ราย และคัดเลือกได้ บริษัท ส.วัชราชัย จำกัด เป็นผู้รับทำกิจกรรม "โครงการสารคดีเพื่อเผยแพร่ผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ในวงเงิน 19,990,000 บาท ดำเนินกิจกรรมระหว่างเดือนมีนาคม 2546-กันยายน 2546 โดยบริษัทฯ นำเสนอรูปแบบสื่อหลัก ดังนี้
สารคดีโทรทัศน์ ความยาวตอนละ 3 นาที จำนวน 60 ตอน รูปแบบของรายการจะมีพิธีกรเปิดรายการด้วยการเกริ่นนำเข้าสู่เนื้อหาและกล่าวสรุปท้ายรายการ การเขียนบทจะใช้ภาษาพูดแบบเข้าใจง่าย ฉากหลังของพิธีกรเป็นภาพ Logo "10 ปี กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" เพื่อให้ผู้ชมรู้จักและจดจำได้มากขึ้น ออกอากาศระหว่างเดือนพฤษภาคม 2546-กรกฎาคม 2546 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ทางโทรทัศน์ช่อง 3 ช่อง 5 และ ITV เวลาประมาณ 11.30 น. 18.30 น. และ 14.57 น. ตามลำดับ
สารคดีสั้นทางวิทยุ ความยาวตอนละ 3 นาที จำนวน 60 ตอน เป็นละครวิทยุที่มีหลายเสียงหลายตัวละครหลัก (ไม่เกิน 4 เสียง) ซักตอบคำถามระหว่างตัวละคร เพื่อนำเสนอสาระน่ารู้จากกองทุนฯ ซึ่งจะช่วยให้จดจำได้ง่าย น่าสนใจและชวนติดตาม เผยแพร่ออกอากาศทางวิทยุ 13 สถานี ประกอบด้วย สถานี F.M. ในกรุงเทพฯ 3 สถานี (จส.100 INN และกองพลที่ 1) F.M. ต่างจังหวัด 10 สถานี และมีสัมภาษณ์พิเศษ ทางสถานีวิทยุ จส.100 และ FM.99.5
สารคดีสั้น 1 ตอน ความยาวไม่น้อยกว่า 15 นาที เป็นการนำเสนอภาพรวมของกองทุนฯ และผลการดำเนินงานของกองทุนฯ โดยรวบรวมเนื้อหาจากสารคดีสั้นทางโทรทัศน์ และอัดสำเนาวิดีโอเทปเพื่อเผยแพร่ให้กับผู้สนใจทั่วไป
งานผลิตและเผยแพร่บทความประชาสัมพันธ์ทางหนังสือพิมพ์ เป็นการจัดคอลัมน์พิเศษ "10 ปี กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ในหนังสือพิมพ์มติชน สำหรับเผยแพร่ข้อมูลที่ต้องการเนื้อที่ในการอธิบายรายละเอียดและใช้เวลาในการทำความเข้าใจในเนื้อหา มีขนาด 60 คอลัมน์นิ้ว จัดรูปแบบ Art Work ที่ดึงดูดความสนใจ โดยเผยแพร่สัปดาห์ละ 2 ครั้ง รวม 30 ครั้ง
(2) กิจกรรมที่ 5 การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน ศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2 มีผู้ยื่นข้อเสนอ 2 ราย คัดเลือกได้ บริษัท คิธ แอนด์ คิน คอมมิวนิเคชั่น แอนด์ คอนซัลแตนท์ จำกัด เป็นผู้รับทำกิจกรรม ในวงเงิน 7,990,000 บาท ดำเนินกิจกรรมระหว่างเดือนเมษายน 2546-16 มีนาคม 2547 บริษัทฯ จะบริหารจัดการศูนย์ประชาสัมพันธ์ โดยมีเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ ทำการประชาสัมพันธ์เชิงรุกกับสื่อ ด้วยกลยุทธ์หลักดังนี้
สร้างกิจกรรมที่จูงใจให้สื่อมวลชนเข้ามาทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานมากขึ้น เกิดผลอย่างจริงจังชัดเจน สามารถสร้างกระแสในเชิงสังคม มากขึ้น เช่น จัดแถลงข่าว ทำข่าวแจก จัดสัมภาษณ์ผ่านสื่อวิทยุ และหรือโทรทัศน์ จัดพาสื่อมวลชนร่วมกิจกรรม เป็นต้น
สื่อสารข้อมูลในเชิงรุกถึงภายในและนอกองค์กร ด้วยความรวดเร็ว ถูกต้องและครอบคลุม ก่อให้เกิดความร่วมมือ และสร้างการรับรู้ความเคลื่อนไหวด้านการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่อง เช่น จัดทำ News Clipping & Monitoring Report
กำหนดแผนรองรับการแก้สถานการณ์ หรือช่องทางการสื่อสารที่ฉับไว ทันต่อเหตุการณ์ สามารถสื่อสารในภาวะวิกฤติได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อมวลชน
จัดระบบข้อมูลและข่าวสารด้านอนุรักษ์พลังงานที่เป็นหมวดหมู่และบริการสืบค้นข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์ได้ โดยจัดการฐานข้อมูลด้วยโปรแกรมการ SQL Database System ประกอบด้วย ฐานข้อมูลสื่อทั่วประเทศ ฐานข้อมูลองค์กรเครือข่าย ฐานข้อมูล และข่าวสารด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน เป็นต้น
ประเมินผลการให้บริการ โดยมีระบบวัดผลที่ชัดเจน ได้แก่ การทำแบบสอบถามความคิดเห็นและเพิ่มแรงจูงใจในการประเมินผล ซึ่งจะทำให้ประชาชนผู้มาใช้บริการได้แสดงทัศนคติ ความพึงพอใจ รวมถึงทัศนคติต่อองค์กรโดยรวม ที่สามารถนำมาปรับปรุงประสิทธิภาพ หรือเพิ่มศักยภาพการบริการให้ดียิ่งขึ้น
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้สนับสนุน "โครงการสารคดีเพื่อเผยแพร่ผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" โดยใช้เงินจากกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ในวงเงิน 19,990,000 บาท โดยให้ สนพ. ไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
2. อนุมัติให้สนับสนุน "โครงการศูนย์ประชาสัมพันธ์" โดยใช้เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ในวงเงิน 7,990,000 บาท (เจ็ดล้านเก้าแสนเก้าหมื่นบาทถ้วน) โดยให้ สนพ. ไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป