มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 35)
วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2546 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
2. คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
4. ขออนุมัติเงินสนับสนุนชุดโครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง
5. การนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานส่งเข้ารายได้แผ่นดิน
รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ผู้เข้าร่วมประชุม
1. ประธานฯ ได้ให้ที่ประชุมรับทาบรายงานการรับ-จ่าย เงินกองทุนฯ ประจำไตรมาสที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2546 ถึง 31 มีนาคม 2546 ซึ่งมีเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคาร ณ วันที่ 31 มีนาคม 2546 จำนวน 11,588,201,573.84 บาท
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ได้ให้ข้อสังเกตว่า เพื่อให้การรับทราบการใช้จ่ายเงินจากกองทุนฯ มีความชัดเจนมากขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ ควรปรับรูปแบบรายงานโดยในแต่ละโครงการฯ ควรมีรายละเอียดการใช้จ่ายเงินของแต่ละโครงการฯ แสดงไว้ด้วย
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ ปรับรูปแบบของรายงานการรับ-จ่ายเงินของกองทุนฯ ให้มีรายละเอียดการใช้จ่ายเงินของแต่ละโครงการ ตามข้อเสนอแนะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานด้วย
เรื่องที่ 2 คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า จากการประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ 1/2546 เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2546 ที่ประชุมได้เห็นควรปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนอนุรักษ์พลังงาน จากเดิมที่มีจำนวน 3 คณะ ให้นำมารวมเป็น 1 คณะ ทั้งนี้เพื่อลดความซ้ำซ้อนของงานและทำให้การบริหารงานกองทุนฯ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็ได้มีการจัดทำคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 1/2546 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เสนอประธานกรรมการกองทุนฯ ลงนามในคำสั่งดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว โดยมี ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานอนุกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ผู้แทนกรมบัญชีกลาง เป็นอนุกรรมการ ผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ในส่วนของอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน นั้นคงเป็นไปตามอำนาจหน้าที่เดิม แต่มีเพิ่มหน้าที่ในคำสั่งดังกล่าว คือ ข้อ 3 (7) ให้ฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการฯ รายงานการดำเนินการ เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานทราบเป็นรายเดือน
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบให้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 3,060 ล้านบาท ไปจัดทำ "โครงการส่งเสริม ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" เพื่อจูงใจให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงเข้ามาร่วมผลิตและขายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเพิ่มมากขึ้น โดยนำเงินจากกองทุนฯ ไปใช้ในการสนับสนุนราคารับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน ในอัตราการสนับสนุนสูงสุดไม่เกิน 36 สตางค์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง โดยกองทุนฯ จะสนับสนุนเป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กเริ่มต้นขายและส่งมอบไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ตามปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ได้ตกลงกันไว้ตามสัญญาเงินสนับสนุน โดยมีขั้นตอนดำเนินการดังนี้
ขั้นที่ 1 การเปิดรับข้อเสนอจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2544 ประกอบด้วย ข้อมูลทางเทคนิค ข้อมูลทางการเงิน และอัตราการสนับสนุนที่ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กจะขอรับจากกองทุนฯ ซึ่งปรากฏว่ามีผู้สนใจยื่นข้อเสนอรวมทั้งสิ้น 43 โครงการ ซึ่งปรากฏว่ามีข้อเสนอที่ผ่านการพิจารณารวมทั้งสิ้น 31 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขายทั้งสิ้น 511 เมกะวัตต์ คิดเป็นเงินที่ขอสนับสนุนทั้งสิ้นประมาณ 2,991 ล้านบาท
ขั้นที่ 2 เป็นการให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ข้อเสนอผ่านการพิจารณาทั้ง 31 โครงการ ไปดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่รัศมี 10 กิโลเมตร จากสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้า และรายงานให้ สนพ. ทราบ ภายในเดือนมีนาคม 2546 เพื่อนำผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ จาก 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย กระทรวงพลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้าไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า และรายงานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อประกอบการพิจารณา
ขั้นที่ 3 การจัดทำกรอบรายงานผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Performance Report) และการติดตามตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ในรูปแบบ "คณะกรรมการไตรภาคี"
2. เมื่อสิ้นสุดกำหนดรับรายงานผลการดำเนินการรับฟังความคิดเห็น ในเดือนมีนาคม 2546 ปรากฏว่ามีเจ้าของข้อเสนอจำนวน 8 โครงการ ไม่สามารถรายงานผลการรับฟังความคิดเห็นได้ตามเงื่อนไข จึงเป็นผลให้ข้อเสนอทั้ง 8 โครงการ ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก ได้แก่
เจ้าของโครงการ | สถานที่ตั้ง | เชื้อเพลิง | พลังไฟฟ้าเฉลี่ยเข้าระบบ |
(1) บริษัท เอ็น. วาย. ชูการ์ จำกัด | ต. จรเข้หิน อ. ครบุรี จ. นครราชสีมา | ชานอ้อย | 3.00 MW |
(2) บริษัท ไบโอ-แมส เพาเวอร์ จำกัด | ต. มะขามเฒ่า อ. วัดสิงห์ จ. ชัยนาท | แกลบ | 16.00 MW |
(3) บริษัท เซ็นทรัลเอ็นเนอร์ยี่ จำกัด | ต. คลองสะแก อ. นครหลวง จ. อยุธยา | แกลบ | 55.00 MW |
(4) บริษัท เอ.ที.ไบโอพาวเวอร์ จำกัด | ต. โพกรวม อ.เมือง จ. สิงห์บุรี | แกลบ | 20.00 MW |
(5) บริษัท เอ.ที.ไบโอพาวเวอร์ จำกัด | ต. ห้วยม่วง อ. กำแพงแสน จ. นครปฐม | แกลบ | 20.00 MW |
(6) บริษัท วี.โอ.กรีน เพาเวอร์ จำกัด | ต. บางหลวง อ. บางเลน จ. นครปฐม | แกลบ | 8.50 MW |
(7) บริษัท อาร์.วี.กรีน เพาเวอร์ จำกัด | ต. พลับพลาชัย อ. อู่ทอง จ. สุพรรณบุรี | แกลบ | 8.50 MW |
(8) บริษัท เซ็นทรัลเอ็นเนอร์ยี่ จำกัด | ต. โคกช้าง อ.ผักไห่ จ. อยุธยา | แกลบ | 55.00 MW |
รวมพลังไฟฟ้าเฉลี่ยเข้าระบบ | 186.00 MW |
3. สนพ. ได้นำผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ เดินทางไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่สามารถรายงานผลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ เสนอต่อ สนพ. ได้ตามเงื่อนไข 23 โครงการ โดยคณะผู้แทนกองทุนฯ ได้ร่วมกันกำหนดกรอบการพิจารณาไว้ดังนี้
(1) แบ่งผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กออกเป็น 3 กลุ่ม ตามผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมที่ผ่านมา และสภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ณ วันที่ผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ ลงพื้นที่ เพื่อกำหนดเป็นเงื่อนไขประกอบการอนุมัติเงินสนับสนุน ดังนี้
กลุ่มที่ 1 เป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่มีผลการดำเนินงานผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่นำส่งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและ ณ วันที่ผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ ลงพื้นที่ พบว่าสภาพสิ่งแวดล้อมไม่ปรากฏปัญหาใดๆ หรือ เป็นโรงไฟฟ้าใหม่ที่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งผู้แทนกองทุนฯ ได้เข้าไปในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าแล้ว มีข้อสังเกตว่าโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง ในกรณีนี้เห็นควรอนุมัติเงินสนับสนุนแก่ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กได้
กลุ่มที่ 2 เป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่มีผลการดำเนินงานผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่นำส่งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง แต่เมื่อผู้แทนกองทุนฯ ได้เข้าไปในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าแล้ว มีข้อสังเกตว่าโรงไฟฟ้าดังกล่าวยังก่อปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง ในกรณีนี้เห็นควรอนุมัติเงินสนับสนุนผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละรายแบบมีเงื่อนไข และระบุไว้ในสัญญารับเงินสนับสนุนอย่างชัดเจน โดยผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละรายต้องจัดทำมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมมาให้ สนพ. พิจารณาภายใน 1 เดือน นับจากวันที่แจ้งมติคณะกรรมการกองทุนฯให้ทราบ เมื่อ สนพ. เห็นชอบกับมาตรการดังกล่าวแล้ว จะต้องนำมาตรการไปดำเนินการให้แล้วเสร็จ ภายในระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ลงนามในสัญญารับเงินสนับสนุน และหากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กรายใดไม่สามารถดำเนินการได้ตามเงื่อนไข ก็ให้ สนพ. มีสิทธิเพิกถอนสัญญารับเงินสนับสนุน
กลุ่มที่ 3 เป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่มีผลการดำเนินงานไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมบางประเด็นในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่นำส่งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และผู้แทนกองทุนฯ ได้เข้าไปในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าแล้ว มีข้อสังเกตว่าโรงไฟฟ้าดังกล่าวก่อปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง ในกรณีนี้เห็นควรอนุมัติเงินสนับสนุนผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละรายแบบมีเงื่อนไขโดยผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละรายต้องจัดทำมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมมาให้ สนพ. พิจารณาภายใน 1 เดือนนับจากวันที่แจ้งมติคณะกรรมการกองทุนฯ ให้ทราบ เมื่อ สนพ. เห็นชอบกับมาตรการดังกล่าวแล้ว จะต้องนำไปดำเนินการแก้ไขปรับปรุงให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 1 ปี ก่อนที่จะลงนามในสัญญารับเงินสนับสนุน ซึ่งหากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กไม่สามารถดำเนินการได้ก็จะไม่ได้รับการพิจารณาให้ทำสัญญารับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ
(2) นอกจากเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อ (1) แล้ว ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละรายต้องปฏิบัติตามที่ ผู้แทนกองทุนฯ ได้มีคำแนะนำไว้ เช่น
ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้ชานอ้อยเป็นเชื้อเพลิง ต้องดำเนินการปรับปรุง/ติดตั้งระบบการกำจัดฝุ่นจากทุกปล่องของโรงงานให้ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด และต้องกำหนดมาตรการกำจัดผลกระทบจากฝุ่นและอื่นๆ จากกองชานอ้อย เช่น จุลินทรีย์ เป็นต้น และต้องกำหนดมาตรการบำบัดน้ำทิ้งที่มีประสิทธิภาพ และต้องจัดทำระบบป้องกันน้ำเสียจากโรงงานไหลเข้าสู่แหล่งน้ำสาธารณะ โดยเฉพาะในฤดูฝน
ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิง ผู้แทนกองทุนฯ ได้มีคำแนะนำให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กต้องดำเนินการปรับปรุงระบบการจัดเก็บแกลบเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน ต้องกำหนดมาตรการ จัดการด้านมลภาวะด้านอื่นๆ เช่น การจัดการขี้เถ้า น้ำทิ้งจากโรงไฟฟ้า
4. ระหว่างเดือนมกราคม 2546-มีนาคม 2546 สนพ. ได้นำผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ เดินทางไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า รวม 15 โครงการ และได้รายงานผลเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2546 พิจารณาแล้ว และที่ประชุมได้มีมติดังนี้
(1) ด้วยประชาชนโดยรอบพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าของ บริษัท ทีพีเค สตาร์ช จำกัด (RFP 00040) อ.หนองบุนนาก จ.นครราชสีมา ยังมีข้อกังวลในระดับสูงเกี่ยวกับผลกระทบต่างๆ ที่อาจเกิดจากการดำเนินกิจการของบริษัทฯ ดังนั้นคณะกรรมการกองทุนฯ จึงเห็นควรให้บริษัทฯ จัดรับฟังความคิดเห็นของชุมชนอีกครั้ง แล้วรายงานผลต่อ สนพ. ภายในเดือนมีนาคม 2546 เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาใหม่ (ซึ่งบริษัทฯ ไม่ได้ดำเนินการตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้ให้ความเห็นไว้ จึงส่งผลให้ข้อเสนอของบริษัทฯ ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก)
(2) อนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 1,116,750,664.20 บาท ให้ กฟผ. เพื่อนำไปจ่ายให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก จำนวน 14 ราย ตามหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ กฟผ. ในอัตรา (บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง) ที่ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละรายได้เสนอไว้ และผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กทั้ง 14 ราย ต้องดำเนินการตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดไว้ตามข้อ 3 (1) และ (2)
5. ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กทั้ง 14 ราย ได้มีหนังสือตอบยืนยันการดำเนินการตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดไว้แล้ว และ สนพ. ได้ดำเนินการประสานงานกับหน่วยราชการแต่ละจังหวัดจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคีที่จะกำกับดูแลโรงไฟฟ้าขนาดเล็กทั้ง 14 รายดังกล่าว เสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2546 โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีลงนาม
6. ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม 2546-วันที่ 9 มิถุนายน 2546 สนพ. ได้นำผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ เดินทางไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่รายงานผลเสนอต่อ สนพ. ที่เหลืออยู่อีก 8 โครงการสุดท้าย ในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่
วันที่ | เจ้าของโครงการ | สถานที่ตั้ง |
27 มีนาคม 2546 | 1. บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด (RFP 00010) | อ. บางปะกง จ. ฉะเชิงเทรา |
27 มีนาคม 2546 | 2. บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด (RFP 00011) | อ. บางปะกง จ. ฉะเชิงเทรา |
27 มีนาคม 2546 | 3. บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด (RFP 00012) | อ. พนมสารคาม จ. ฉะเชิงเทรา |
21 เมษายน 2546 | 4. บริษัท กัลฟ์อิเล็คทริก จำกัด (มหาชน) (RFP 00019) | อ. ห้วยยอด จ. ตรัง |
30 เมษายน 2546 | 5. บริษัท น้ำตาลสระบุรี จำกัด (RFP 00031) | อ. วังม่วง จ. สระบุรี |
9 พฤษภาคม 2546 | 6. บริษํท น้ำตาลตะวันออก จำกัด (RFP 00067) | อ. วัฒนานคร จ. สระแก้ว |
13 พฤษภาคม 2546 | 7. บริษํท เอ.ที.ไบโอเพาเวอร์ จำกัด (RFP 00049) | อ. บางมูลนาก จ. พิจิตร |
9 มิถุนายน 2546 | 8. บริษํท เอ.ที.ไบโอเพาเวอร์ จำกัด (RFP 00050) | อ. พยุหะคีรี จ. นครสวรรค์ |
7. ภายหลังจากการเข้าไปในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าครบทั้ง 8 โครงการแล้ว คณะผู้แทนกองทุนฯ ได้ประชุมร่วมกัน 2 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2546 และวันที่ 13 มิถุนายน 2546 เพื่อสรุปผลการร่วมรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่นั้นๆ และจัดทำรายงานเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ โดยสรุปได้ดังนี้
(1) ด้วยผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ ต.น้ำทรง อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ที่มีต่อบริษัท เอ.ที.ไบโอพาวเวอร์ จำกัด (RFP 00050) ปรากฏว่าไม่ผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เนื่องจากประชาชนที่อยู่ใกล้บริเวณพื้นที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าในรัศมี 0-3 กิโลเมตร ยังมีข้อกังวลในระดับสูงมากเกี่ยวกับผลกระทบต่างๆ ที่อาจเกิดจากการดำเนินกิจการของบริษัทฯ โดยเฉพาะกรณีที่บริษัทฯ จะถมพื้นที่ก่อสร้างให้สูงขึ้นมากกว่า 3 เมตร เพื่อให้พ้นจากระดับน้ำท่วมสูงสุด ซึ่งจะทำให้บริเวณพื้นที่รอบๆ โรงไฟฟ้ากลายเป็นแอ่งน้ำ ส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าวที่มีน้ำท่วมเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว น้ำจะท่วมเร็วขึ้นหากการระบายน้ำไม่มีประสิทธิภาพ
นอกจากนั้นประชาชนในพื้นที่ ต.น้ำทรง อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ได้มีข้อคิดเห็นที่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม อย่างชัดเจน คือกลุ่มที่เห็นด้วยกับกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการฯ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้ผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ ได้ทราบว่า บริษัทฯ ยังไม่สามารถทำให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจและยอมรับโครงการฯ ได้ตามที่กองทุนฯ กำหนดเงื่อนไขไว้ ประกอบกับระยะเวลาที่กองทุนฯ กำหนดให้ผู้ยื่นข้อเสนอดำเนินการรับฟังความเห็นจากพื้นที่ได้สิ้นสุดลงแล้ว ในเดือนมีนาคม 2546 ด้วยเหตุผลดังกล่าวคณะผู้แทนกองทุนฯ จึงมีมติไม่ควรอนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ให้กับโครงการฯ RFP 00050
(2) ให้ผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ เห็นควรให้ สนพ. รายงานผลการร่วมรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ เสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ประกอบการตัดสินใจอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ให้การสนับสนุนผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก รวม 7 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขายทั้งสิ้น 69.2 เมกะวัตต์ คิดเป็นเงินที่ขอสนับสนุนประมาณ 410.3 ล้านบาท ดังมีรายชื่อต่อไปนี้
เจ้าของโครงการ | สถานที่ตั้ง | เชื้อเพลิง พลังงาน |
พลังไฟฟ้า เฉลี่ยเข้าระบบ (MW) |
อัตราขอรับเงินสนับสนุน (บาท/kwh) |
เงินสนับสนุน จากกองทุนฯ (บาท) |
|
(1) บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) | อ. ห้วยยอด จ. ตรัง | เศษไม้ยางพารา กะลาปาล์ม | 20.0 | 0.180 | 126,144,000.00 | |
(2) บริษัท เอ.ที.ไบโอพาวเวอร์ จำกัด | อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร | แกลบ | 20.0 | 0.169 | 118,435,200.00 | |
(3) บริษัท ไทย เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด | อ. บางปะกง จ. ฉะเชิงเทรา | แกลบ | 1.6 | 0.1812 | 12,037,478.40 | |
(4) บริษัท ไทย เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด | อ. บางปะกง จ. ฉะเชิงเทรา | แกลบ เปลือกไม้ กะลาปาล์ม | 2.0 | 0.181 | 15,030,240.00 | |
(5) บริษัท ไทย เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด | อ. พนมสารคาม จ. ฉะเชิงเทรา | แกลบ เปลือกไม้ | 16 | 0.183 | 119,111,040.00 | |
(6) บริษัท น้ำตาลสระบุรี จำกัด | อ. วังม่วง จ. สระบุรี | ชานอ้อย | 4.0 | 0.140 | 9,979,200.00 | |
(7) บริษัท น้ำตาลตะวันออก จำกัด | อ. วัฒนานคร จ. สระแก้ว | ชานอ้อย | 5.6 | 0.120 | 9,630,720.00 | |
รวม 7 โครงการ | 69.2 | 410,367,878.40 |
8. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงเหตุผลเพิ่มเติมถึงกรณีที่โครงการโรงไฟฟ้าห้วยยอด ต.ลำภูรา จ.ตรัง ของบริษัท กัลฟ์ อิเล็คทริก จำกัด (RFP 00019) ผ่านการพิจารณาของผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ ซึ่งเป็นโครงการที่มีข่าวสารเผยแพร่สู่สาธารณะบ่อยครั้ง จึงเป็นที่สนใจของบุคคลทั่วไป
โครงการนี้เป็นโรงไฟฟ้าใหม่ที่อยู่ระหว่างจะการดำเนินการก่อสร้าง จากผลการสำรวจทัศนคติประชาชน 1,002 คน โดยรอบพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า พบว่า 81.9% ยอมรับโครงการฯ และ ณ วันที่ผู้แทนคณะกรรมกองทุนฯ ได้เข้าไปในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าฯ มีข้อสังเกตว่าโรงไฟฟ้าฯ จะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง เว้นแต่ข้อกังวลเรื่องความเพียงพอของการใช้น้ำจากแม่น้ำตรัง และการจัดการขี้เถ้าที่เกิดจากการเผาเศษไม้ยางพารา ผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ จึงเห็นควรอนุมัติเงินสนับสนุนแก่บริษัทฯ โดยมีเงื่อนไขดังนี้
(1) บริษัทฯ ต้องชี้แจงความเพียงพอของการใช้น้ำจากแม่น้ำตรัง โดยมีข้อมูลปริมาณน้ำในเดือนที่น้ำน้อยที่สุดเพื่อเปรียบเทียบกับความต้องการใช้น้ำของบริษัทฯ และมาตรการป้องกันผลกระทบจากโรงไฟฟ้าต่อแหล่งน้ำสาธารณะ
(2) บริษัทฯ ต้องยินยอมให้คณะกรมการไตรภาคีเข้าไปดูแลในขั้นตอนการขุดบ่อเก็บเถ้าที่เกิดจากการเผาเศษไม้ยางพาราและกะลาปาล์ม โดยเฉพาะในช่วงของการปูแผ่นยางรองพื้นหลุมฝังกลบ เพื่อดูแลให้การดำเนินการเป็นไปตามข้อแนะนำของกรมควบคุมมลพิษ ป้องกันการปนเปื้อนน้ำใต้ดิน
(3) บริษัทฯ ต้องชี้แจงถึงความเพียงพอในการจัดหาเชื้อเพลิง มาตรการแก้ไขปัญหาการลำเลียงเชื้อเพลิงป้อนโรงไฟฟ้า และความชื้นที่สูงของเชื้อเพลิงในช่วงฤดูฝน
(4) บริษัทฯ ต้องดำเนินงานมวลชนสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์โครงการฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ชุมชนในส่วนที่ยังไม่เห็นด้วยกับโครงการฯ
9. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอต่อที่ประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องต่อเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2546 กรณีที่ สนพ. จะขอจัดสรรเงินจำนวนหนึ่งให้ กฟผ. สำหรับนำไปเตรียมชำระภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับกรมสรรพากรตามมูลค่ารายจ่ายที่เกิดจากการนำเงินกองทุนฯ ไปจ่ายสนับสนุนฯ ให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก และเมื่อคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาแล้วได้มีข้อคิดเห็นว่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ปรากฏใน "ใบเรียกเก็บเงินสนับสนุน" ซึ่งไม่ได้ปรากฏใน "ใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้า" นั้น กฟผ. สามารถนำไปใช้ประกอบการคำนวณภาษี (ภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ) ในแต่ละเดือนได้ ในคราวนั้นที่ระชุมเห็นควรให้ สนพ. หารือกับกรมสรรพากรเพื่อทราบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดเก็บเงินภาษีดังกล่าว
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2546 สนพ. ได้เข้าพบเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากร โดยได้รับการชี้แจงว่าการจัดเก็บเงินภาษีมูลค่าเพิ่มตามกรณีดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามประมวลรัษฎากร สำหรับการที่ กฟผ. จะนำรายการดังกล่าวไปใช้ประกอบการคำนวณภาษี ตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร นั้นขึ้นอยู่กับวิธีจัดการและข้อตกลงระหว่าง กองทุนฯ กับ กฟผ. ดังนั้น สนพ. จึงได้ประชุมหารือประเด็นดังกล่าวกับผู้แทนของ กฟผ. เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2546 และได้รับการยืนยันว่าตามแนวทางปฏิบัติที่ได้ใช้อยู่ในปัจจุบัน กฟผ. จะไม่นำภาษีซื้อดังกล่าวมาคำนวณ เนื่องจากมิได้มาจากการประกอบการโดยตรงของ กฟผ. และกฟผ. จะนำใบกำกับภาษีฉบับต้นฉบับที่ได้รับจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กส่งให้แก่กองทุนฯ เพื่อเป็นหลักฐานในการใช้จ่ายเงิน
สนพ. จึงเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ให้ กฟผ. สำหรับนำไปชำระภาษีมูลค่าเพิ่มตามมูลค่ารายจ่ายที่เกิดจากการนำเงินกองทุนฯ ไปจ่ายสนับสนุนราคารับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กทุกรายที่ได้รับอนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนฯ รวมเป็นเวลา 5 ปีด้วย
10. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2546 ได้เห็นชอบให้ สนพ. ใช้เงินจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายการดำเนินงานของคณะกรรมการไตรภาคี ในวงเงิน 3 แสนบาทต่อคณะ เป็นระยะเวลา 5 ปี แต่เนื่องจากพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าบางแห่ง (เช่น บริษัท ไฟฟ้าชนบท จำกัด อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี) มีพื้นที่ครอบคลุมในหลายตำบล หลายจังหวัด จำเป็นต้องมีผู้แทนชุมชนเข้ามาร่วมในคณะกรรมการไตรภาคีเกินจำนวนที่ได้ประมาณไว้ สนพ. จึงจำเป็นต้องขอเพิ่มงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของคณะกรรมการไตรภาคี ภายในวงเงิน 5 แสนบาทต่อคณะ โดย สนพ. จะจัดทำรายละเอียดประมาณการรายจ่ายและแผนการใช้จ่ายเงินดังกล่าว เสนอ ผู้อำนวยการ สนพ. พิจารณาอนุมัติต่อไป และจะรายงานเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบอย่างต่อเนื่อง
11. เนื่องจาก สนพ. ต้องจ้างที่ปรึกษาอิสระ (Third Party) เพื่อเก็บข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมทั้งจัดทำรายงานผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม เสนอต่อคณะกรรมการไตรภาคี ทุกๆ 3 เดือน ตลอดระยะเวลา 5 ปี ของการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ซึ่ง สนพ. จะขอสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาอิสระ ในวงเงิน 800,000 บาทต่อคณะต่อปี
มติที่ประชุม
1. มีมติให้ข้อเสนอของบริษัท เอ.ที. ไบโอพาวเวอร์ จำกัด ที่จะตั้งโรงผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กขึ้นบริเวณพื้นที่ ต.น้ำทรง อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ (RFP 00050) ไม่ผ่านการพิจารณาและไม่ได้รับจัดสรรเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เนื่องจากบริษัทฯ ยังไม่สามารถทำให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจและยอมรับโครงการฯ ได้ตามที่กองทุนฯ กำหนดเงื่อนไขไว้
2. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 118,435,200.00 บาท (หนึ่งร้อยสิบแปดล้านสี่แสนสามหมื่นห้าพันสองร้อยบาท) ให้ กฟผ. เพื่อนำไปจ่ายให้กับ บริษัท เอ.ที. ไบโอพาวเวอร์ จำกัด อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร (RFP 00049) ที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการกองทุนฯ และทำสัญญากับ กฟผ. ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กเรียบร้อยแล้ว ตามหน่วยไฟฟ้าที่บริษัทฯ จำหน่ายให้ กฟผ. ในอัตรา 0.169 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง โดยกองทุนฯ จะสนับสนุนเป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่บริษัทฯ เริ่มต้นขายและส่งมอบไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ตามปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ได้ตกลงกันไว้ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
3. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานงานกับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กจำนวน 6 โครงการ เพื่อให้จัดทำข้อมูลด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่มีรายละเอียดเพียงพอต่อการพิจารณาตัดสินใจ และให้ สนพ. รายงานต่อคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง ดังนี้
(1) บริษัท ไทย เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด อ. บางปะกง จ. ฉะเชิงเทรา (RFP 00010)
(2) บริษัท ไทย เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด อ. บางปะกง จ. ฉะเชิงเทรา (RFP 00011)
(3) บริษัท ไทย เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด อ. พนมสารคาม จ. ฉะเชิงเทรา (RFP 00012)
(4) บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) อ.ห้วยยอด จ. ตรัง (RFP 00019)
(5) บริษัท น้ำตาลสระบุรี จำกัด อ. วังม่วง จ. สระบุรี (RFP 00031)
(6) บริษัท น้ำตาลตะวันออก จำกัด อ.วัฒนานคร จ. สระแก้ว (RFP 00067)
4. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 86,463,010.49 บาท (แปดสิบหกล้านสี่แสนหกหมื่นสามพันสิบบาทสี่สิบเก้าสตางค์) ให้ กฟผ. เพื่อนำไปเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมูลค่ารายจ่ายที่เกิดจากการนำเงินกองทุนฯ ไปจ่ายสนับสนุนฯ ให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กจำนวน 15 ราย ที่ได้รับการอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ได้แก่
เจ้าของโครงการ | สถานที่ตั้ง | เชื้อเพลิง พลังงาน |
พลังไฟฟ้า เฉลี่ยเข้าระบบ (MW) |
อัตราขอรับเงินสนับสนุน (บาท/kwh) |
เงินสนับสนุน จากกองทุนฯ (บาท) |
(1) บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) | อ.เมือง จ.ยะลา | เศษไม้ | 20.0 | 0.180 | 126,144,000.00 |
(2) บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย |
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี | พลังน้ำขนาดเล็ก | 8.0 | 0.200 | 46,920,000.00 |
(3) บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย |
เขื่อนคลองท่าด่าน อ.เมือง จ.นครนายก | พลังน้ำขนาดเล็ก | 10.0 | 0.200 | 31,420,000.00 |
(4) บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย |
เขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท | พลังน้ำขนาดเล็ก | 14.0 | 0.200 | 91,420,000.00 |
(5) บริษัท พี อาร์ จี พืชผล จำกัด | อ.เมือง จ.ปทุมธานี | แกลบ | 5.0 | 0.219 | 43,099,200.00 |
(6) บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด | อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี | ชานอ้อย เปลือกไม้ แกลบ | 25.0 | 0.145 | 120,649,796.20 |
(7) บริษัท น้ำตาลมิตรกาฬสินธุ์ จำกัด | อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ | ชานอ้อย เปลือกไม้ | 5.1 | 0.145 | 35,858,268.00 |
(8) บริษัท น้ำตาลราชสีมา จำกัด | อ.แก้งสนามนาง จ.นครราชสีมา | ชานอ้อย | 18.0 | 0.140 | 73,290,000.00 |
(9) บริษัท แอ็ดวานซ์ อะโกร จำกัด (มหาชน) | อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี | แกลบ เปลือกไม้ | 30.0 | 0.180 | 226,281,600.00 |
(10) บริษัท เอ เอ พัลพ์ มิลล์ 2 จำกัด | อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี | น้ำมันยางดำ | 25.0 | 0.184 | 192,542,880.00 |
(11) บริษัท อุตสาหกรรมโคราช จำกัด | อ.พิมาย จ.นครราชสีมา | ชานอ้อย | 8.0 | 0.180 | 28,487,520.00 |
(12) บริษัท ไฟฟ้าชนบท จำกัด | อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี | แกลบ | 15.0 | 0.150 | 74,583,000.00 |
(13) บริษัท น้ำตาลรีไฟน์ชัยมงคล จำกัด | อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี | ชานอ้อย | 7.0 | 0.140 | 15,758,400.00 |
(14) บริษัท ไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม จำกัด | อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ | ชานอ้อย | 4.0 | 0.130 | 10,296,000.0 |
(15) บริษัท เอ.ที.ไบโอพาวเวอร์ จำกัด | อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร | แกลบ | 20.0 | 0.169 | 118,435,200.000 |
รวมทั้ง 15 โครงการ | 214.10 | 1,235,185.864.20 |
5. อนุมัติให้ สนพ. ใช้เงินจากจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงินรวม 67,500,000 บาท (หกสิบเจ็ดล้านห้าแสนบาท) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการไตรภาคี 15 คณะ ที่จะติดตามการดำเนินกิจการของโรงผลิตไฟฟ้าในแต่ละพื้นที่ที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ดังรายชื่อที่ปรากฏในตารางตามมติที่ประชุมข้อ 4 โดยค่าใช้จ่ายประกอบด้วย
(1) ค่าตอบแทน ค่าใช้สอยและค่าวัสดุ ในการจัดประชุมคณะกรรมการไตรภาคี 15 คณะ ตลอดระยะเวลา 5 ปี (ประมาณ 100,000 บาทต่อคณะต่อปี) |
7,500,000 บาท |
(2) ค่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินการเก็บข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ของคณะกรรมการไตรภาคี 15 คณะ ตลอดระยะเวลา 5 ปี (ประมาณ 800,000 บาทต่อคณะต่อปี) |
60,000,000 บาท |
รวมเป็นเงินจำนวน | 67,500,000 บาท |
6. ให้ สนพ. จัดทำรายละเอียดพร้อมทั้งแผนการใช้จ่ายเงิน ตามมติที่ประชุมข้อ 5 เสนอต่อผู้อำนวยการ สนพ. อนุมัติเป็นรายปี และรายงานความเป็นไปได้ให้คณะกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง
เรื่องที่ 4 ขออนุมัติเงินสนับสนุนชุดโครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2546 (ครั้งที่ 34) เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2546 ได้พิจารณาข้อเสนอของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และกรุงเทพมหานคร ที่ได้ยื่นข้อเสนอไว้กับสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เพื่อขอสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคขนส่งเพิ่มมากขึ้น จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย
(1) โครงการแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซ NGV ระยะที่ 2 จำนวน 3,000 คัน เสนอโดย ปตท.
(2) โครงการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ เสนอโดย ปตท.
(3) โครงการจัดซื้อรถเก็บขนมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง เสนอโดย กทม.
ในครั้งนั้นคณะกรรมการกองทุนฯ มีความเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินการส่งเสริมการใช้ NGV ของประเทศเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องและเหมาะสม ที่ประชุมเห็นควรให้ ปตท. ประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น ขสมก. เพื่อร่วมกันจัดทำกิจกรรมและโครงการที่จะก่อให้เกิดการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคขนส่งเพิ่มมากขึ้น แล้วรวบรวมเป็นชุดโครงการ (NGV Package) แล้วนำกลับมาเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
2. ปตท. พร้อมด้วย กทม. ขสมก. และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ได้ร่วมกันจัดทำ NGV Package ที่จะดำเนินกิจกรรมร่วมกันเพื่อก่อให้เกิดการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคขนส่งเพิ่มมากขึ้น และได้ยื่นข้อเสนอไว้กับ สนพ. เพื่อขอสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรม รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 1,631 ล้านบาท ดังนี้
ชื่อกิจกรรม/โครงการ | หน่วยงาน | งบประมาณโครงการฯ (ล้านบาท) | |
กองทุนฯ | หน่วยงาน | ||
(1) โครงการแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซ NGV จำนวน 3,000 คัน | ปตท. (ธ.ออมสิน) |
6.6 | 45.0 (105.0) |
(2) โครงการแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซ NGV จำนวน 7,000 คัน | ปตท. | 21.8 | 350.0 |
(3) โครงการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ จำนวน 57 สถานี | ปตท. | 693.0 | 1,616.0 |
(4) โครงการประเมินผลและปรับปรุงชุดอุปกรณ์ก๊าซธรรมชาติแบบเชื้อเพลิงทวิ สำหรับรถยนต์เบนซิน จำนวน 3 รุ่น |
ปตท. | 3.4 | 10.625 |
(5) โครงการจัดซื้อรถเก็บขนมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 69 คัน |
กทม. | 160.0 | 84.0 |
(6) โครงการปรับปรุง/ซ่อมแซมเครื่องยนต์รถโดยสาร NGV ยี่ห้อ MAN จำนวน 44 คัน | ขสมก. | 50.7 | 173.9 |
(7) โครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง 109 คัน | ขสมก. | 690.0 | 615.5 |
(8) โครงการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาปรับเปลี่ยนรถโดยสารใช้น้ำมันดีเซล จำนวน 3 คัน ให้เป็นรถโดยสารใช้ก๊าซธรรมชาติ |
มก. | 5.0 | - |
รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น | 1,630.5 | 3,000.025 |
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบเพิ่มเติมว่า ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประสงค์ที่จะมีส่วนร่วมในการส่งเสริมให้เกิดการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่มากขึ้น และได้เสนอแผนงาน "โครงการแท็กซี่เอื้ออาทร" ต่อรัฐบาล โดยธนาคารฯ จะให้สินเชื่อรายย่อยแก่ผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ ในวงเงิน 700,000 บาท/คัน ภายในระยะเวลา 5 ปี เพื่อใช้ในการจัดซื้อรถแท็กซี่ใหม่ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง (รถแท็กซี่ NGV) ระบบเชื้อเพลิงทวิ (Bi-fuel Engine) จำนวน 100,000 คัน เพื่อทดแทนรถแท็กซี่รุ่นเก่าที่หมดอายุการใช้งาน ทั้งนี้ ธนาคารฯ มีเป้าหมายในการปล่อยสินเชื่อในปีแรก เป็นจำนวน 30,000 คัน และในปีที่ 2 ถึงปีที่ 5 จะปล่อยสินเชื่อจำนวน 17,500 คันต่อปี โดยธนาคารฯ จะเรียกเก็บเงินจากผู้กู้เป็นแบบรายวันเท่ากับค่าเช่าแท็กซี่รายวันในปัจจุบัน หรือประมาณ 500-600 บาท/วัน โดยโครงการนี้ยังคงอยู่ในระหว่างการจัดทำการแผนปฏิบัติการ (Implementation Plan) ซึ่งคาดว่ารถแท็กซี่เอื้ออาทรคันแรกจะเริ่มออกสู่ตลาดภายในเดือนกรกฎาคม 2546
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซ NGV จำนวน 3,000 คัน" ในวงเงินรวมไม่เกิน 6,562,000 บาท (หกล้านห้าแสนหกหมื่นสองพันบาทถ้วน)
2. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซ NGV จำนวน 7,000 คัน" ในวงเงินรวมไม่เกิน 21,875,000 บาท (ยี่สิบเอ็ดล้านแปดแสนเจ็ดหมื่นห้าพันบาทถ้วน)
3. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการจัดซื้อรถเก็บขนมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง" ในวงเงินรวม 160,000,000 บาท (หนึ่งร้อยหกสิบล้านบาทถ้วน) ทั้งนี้ กทม. ต้องจัดทำแผนการเพิ่มจำนวนรถเก็บขนมูลฝอยที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในระยะต่อไป ภายหลังจาก กทม. ได้ทราบผลการดำเนินงานจากโครงการฯ ระยะสาธิตนี้แล้วด้วย
4. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการประเมินผลและปรับปรุงชุดอุปกรณ์ก๊าซธรรมชาติแบบเชื้อเพลิงทวิสำหรับรถยนต์เบนซิน" ในวงเงินรวม 3,400,000 บาท (สามล้านสี่แสนบาทถ้วน)
5. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา ให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการปรับเปลี่ยนรถโดยสารใช้น้ำมันดีเซลเป็นรถโดยสารใช้ก๊าซธรรมชาติ" ในวงเงินรวม 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน)
5. ไม่อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ" เนื่องจากกองทุนฯ ควรให้การสนับสนุนเฉพาะในส่วนของการกระตุ้นและการส่งเสริมให้เกิดการสร้างตลาดรถยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง แต่ในส่วนของการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง เช่นการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาตินั้น ปตท. ควรเป็นผู้รับผิดชอบเองทั้งหมด เนื่องจาก ปตท. จะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากการใช้ก๊าซธรรมชาติ
6. ไม่อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการปรับปรุง/ซ่อมแซมเครื่องยนต์รถโดยสาร NGV" และ "โครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง" เนื่องจาก ปัจจุบัน ขสมก. กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างองค์กรภายใน ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาในการบริหารจัดการโครงการฯ และอาจส่งผลให้การดำเนินงานของโครงการฯ ไม่ประสบผลสำเร็จตามที่คาดหวังไว้ แต่ทั้งนี้หาก ขสมก. ได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถเสนอโครงการเข้ามาเพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ใหม่ได้
7. ให้เจ้าของข้อเสนอที่ได้รับอนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ปรับปรุงแก้ไขข้อเสนอให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีความเห็นไว้ให้เรียบร้อย ก่อนลงนามในสัญญาหรือหนังสือยืนยันการให้ทุนสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยให้ สนพ. พิจารณาเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีก
เรื่องที่ 5 การนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานส่งเข้ารายได้แผ่นดิน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ด้วยกระทรวงการคลังได้มีหนังสือลงวันที่ 15 ตุลาคม 2544 แจ้งให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเงินทุนหมุนเวียนส่งเข้ารายได้แผ่นดิน ประเภทรายได้เบ็ดเตล็ด ภายในวันที่ 30 กันยายน 2544 รวม 2 กองทุน ดังนี้
(1) กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 1,000 ล้านบาท
(2) กองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม จำนวน 100 ล้านบาท
2. ด้วยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวข้างต้น มีพระราชบัญญัติ ระเบียบ ที่มาและวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกำหนดไว้เป็นเรื่องเฉพาะ และไม่อยู่ในอำนาจของ สนพ. ที่จะดำเนินการได้ เว้นแต่จะมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเสียก่อน สนพ. จึงได้มีหนังสือลงวันที่ 31 ตุลาคม 2544 เพื่อแจ้งขอระงับการนำส่งเข้ารายได้แผ่นดินตามหนังสือสั่งการดังกล่าวไว้ก่อน
3. กระทรวงการคลังได้มีหนังสือลงวันที่ 3 มิถุนายน 2545 แจ้งให้ สนพ. พิจารณาดำเนินการดังนี้
(1) ตามกฎหมายจัดตั้ง "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ไม่ได้บัญญัติยกเว้นให้ไม่ต้องนำส่งเข้ารายได้แผ่นดิน ดังนั้น อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 มาตรา 13 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจกำหนดข้อบังคับว่าด้วยการนำทุนหรือผลกำไรส่งเข้าเงินคงคลังได้
(2) ตามระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 ข้อ 15 กำหนดว่า "ในกรณีที่ปรากฏว่ากองทุนมีเงินเหลือเกินความจำเป็นให้กระทรวงการคลังพิจารณานำเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณานำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามจำนวนที่เห็นสมควร"
(3) จากการพิจารณายอดเงินคงเหลือ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2545 ของทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวแล้วเห็นว่า มีเงินคงเหลือเพียงพอที่จะนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินได้ กระทรวงการคลังจึงขอให้ สนพ. ดำเนินการ ดังนี้
นำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานส่งเข้ารายได้แผ่นดินเป็นรายเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กันยายน 2545 รวม 4 เดือนๆ ละ 250 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 1,000 ล้านบาท
นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้นำเงินกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมส่งเข้ารายได้แผ่นดินเป็นรายเดือนเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กันยายน 2545 รวม 4 เดือนๆ ละ 25 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 100 ล้านบาท
4. "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ได้จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายช่วยเหลือหรืออุดหนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน การป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการใช้พลังงาน ตลอดจนการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับพลังงาน การกำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์พลังงาน หรือผลิตเครื่องจักรอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงหรือวัสดุเพื่อใช้ในการอนุรักษ์พลังงาน โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้เก็บรักษาเงินและทรัพย์สินของกองทุนและดำเนินการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เพื่อวัตถุประสงค์ตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
5. ในช่วงปี 2538-2545 คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ ช่วยเหลือหรืออุดหนุนโครงการต่างๆ ตามแผนภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน ไปแล้วหลายรายการ ซึ่ง ณ เดือนมีนาคม 2546 ยังคงเหลืองบผูกพันจ่ายอีก 4,741.79 ล้านบาท นอกจากนี้ คณะกรรมการกองทุนฯ ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับแผนงานและโครงการในช่วงปีงบประมาณ 2543-2546 ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 14,033.46 ล้านบาท โดยคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ ช่วยเหลือหรืออุดหนุนแผนงานต่างๆ ไปแล้วรวมเป็นเงิน 3,318.90 ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่เป็นค่าใช้จ่ายตามกรอบที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ในช่วงปีงบประมาณ 2546-2547 เป็นเงิน 10,714.56 ล้านบาท
มติที่ประชุม
มอบหมายให้ปลัดกระทรวงพลังงานหารือกับปลัดกระทรวงการคลังตามคำแนะนำของประธานฯ และเมื่อทราบผลการหารือแล้ว ให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ในโอกาสต่อไป
1. ปลัดกระทรวงพลังงานได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการดำเนินกิจการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เมื่อเดือนมีนาคม 2546 และเดือนเมษายน 2546 และได้มอบนโยบายให้กระทรวงพลังงานเร่งดำเนินการตามแนวนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนากิจการพลังงานของประเทศไทยในอนาคต และให้เร่งดำเนินการแปรรูปรัฐวิสากิจสาขาไฟฟ้า ทั้ง 3 การไฟฟ้า ให้สำเร็จลงภายในปี 2547 โดยกระทรวงพลังงานจะดำเนินการจัดทำยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนากิจการพลังงานของประเทศไทย ดังนี้
1.1 นโยบายการลงทุนในกิจการไฟฟ้า
(1) ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลางพลังงานของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Energy Grid)
(2) กฟผ. ดำเนินการลงทุนในโครงการเขื่อนสาละวินชายแดนไทย-พม่า สอดคล้องกับความต้องการไฟฟ้าของประเทศ สำหรับการลงทุนในลุ่มน้ำสาละวิน ส่งเสริมความร่วมมือการร่วมลงทุนกับประเทศในกลุ่ม ASEAN เพื่อก่อให้เกิดข้อตกลงภายในกลุ่ม
(3) กฟผ. คงสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30
(4) ยุติระบบการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชนรายใหม่ โดยให้ กฟผ. เป็นผู้พิจารณาดำเนินการผลิตไฟฟ้าจากโรงงานที่มีอยู่ หรือดำเนินโครงการใหม่ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้ารับภาระค่าไฟฟ้าในอัตราที่เป็นธรรม
1.2 นโยบายการปรับปรุงประสิทธิภาพของ 3 การไฟฟ้า
(1) เปรียบเทียบประสิทธิภาพของธุรกิจแต่ละด้านของทั้ง 3 การไฟฟ้า กับมาตรฐานของอุตสาหกรรม (Benchmarking) เพื่อให้มีต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
(2) หาแนวทางลดความต้องการใช้ไฟฟ้าช่วงสูงสุด (Peak) เช่น โครงการ Energy Saving เป็นต้น เพื่อช่วยประหยัดการลงทุนของประเทศ
(3) สร้างระบบแรงจูงใจ (Incentive) ในการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้า เพื่อให้โรงไฟฟ้าแต่ละแห่งแข่งขันกันผลิตไฟฟ้าให้ได้ต้นทุนต่ำที่สุด
1.3 นโยบายการแปรรูปของ 3 การไฟฟ้า
(1) ชะลอการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (Power Pool)
(2) แปลงสภาพ กฟผ. เป็นบริษัทมหาชนทั้งองค์กร
(3) นำหุ้นของ กฟผ. เข้าจดทะเบียนและกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยภาครัฐยังคงถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวไม่น้อยกว่าร้อยละ 50
1.4 นโยบายอื่นๆ
(1) ศึกษาการใช้ Energy Tax โดยให้ชุมชนที่เป็นที่ตั้งโรงไฟฟ้าได้รับเงินสนับสนุนตามปริมาณการผลิตไฟฟ้า
(2) พิจารณาทบทวนโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าให้เหมาะสม เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งรวมถึงความเหมาะสมในการจัดการ Subsidize ของ กฟน. ให้แก่ กฟภ. ซึ่งต้องหารือร่วมกับ กฟผ. ด้วย
(3) ศึกษาระบบของ Partial Liberalization ที่ กฟผ. ขายไฟฟ้าตรงให้กับอุตสาหกรรมบางอุตสาหกรรมที่ไม่เท่าเทียมกันและในบางส่วนรับซื้อจาก กฟภ. รวมถึงการสร้างการ Subsidize อัตราค่าไฟฟ้าจากภาคอุตสาหกรรมไปสู่ภาคครัวเรือน
2. การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้เกิดผลสัมฤทธิ์ จำเป็นที่จะต้องมีการศึกษารายละเอียดในประเด็นต่างๆ เพื่อนำไปสู่ภาคปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสม สอดคล้องกับภาวะการณ์ของประเทศในปัจจุบัน ครอบคลุมถึงประเด็นที่ยังเป็นปัญหา มีความชัดเจนในการปฏิบัติ โดยเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และบรรลุวัตถุประสงค์ตามนโยบายของรัฐบาลในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ผู้บริโภคมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอ ในราคาที่เหมาะสม คุณภาพบริการที่ดี อันจะนำมาซึ่งการใช้พลังงานอย่างรู้ค่า ประหยัด และเกิดการอนุรักษ์พลังงานอย่างจริงจังในที่สุด แต่เนื่องด้วยกระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานใหม่ที่ยังมิได้จัดทำงบประมาณในส่วนนี้ไว้ จึงจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษาดังกล่าว กระทรวงพลังงานจึงได้นำเรียนต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบ และกระทรวงพลังงานจักได้จัดทำรายละเอียดและขอบเขตงานจ้างที่ปรึกษา เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามขั้นตอนต่อไป
3. ที่ประชุมได้รับทราบเรื่องดังกล่าว โดยนายพรายพล คุ้มทรัพย์ ได้ให้คำแนะนำว่า เนื่องจากเนื้อหาของโครงการฯ ที่กระทรวงพลังงานจะทำการศึกษานั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนโยบายด้านไฟฟ้าทั้งสิ้น จึงควรจะเปลี่ยนชื่อของโครงการฯ เป็น "ยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนากิจการไฟฟ้าของประเทศไทย"
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ