มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 5/2550 (ครั้งที่ 114)
วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เวลา 11.00 น.
ณ ห้องประชุมธำรงนาวาสวัสดิ์ (ตึกใหม่) ชั้น 3
อาคารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล
1.การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
2.ร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการเทิน-หินบุนส่วนขยาย
3.แนวทางการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า
4.การแก้ไขสัญญาขยายและประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียมของ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) รอบแรก เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2537 จำนวน 3,800 เมกะวัตต์ โดยแบ่งการรับซื้อไฟฟ้าเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 จำนวน 1,000 เมกะวัตต์ กำหนดแล้วเสร็จปี 2539-2543 และระยะที่ 2 จำนวน 2,800 เมกะวัตต์ กำหนดแล้วเสร็จปี 2544 และ 2545 และต่อมาได้เพิ่มปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าอีก 1,600 เมกะวัตต์ ซึ่งในปัจจุบันมี IPP ที่ได้รับการคัดเลือก จำนวน 7 โครงการ กำลังการผลิตรวม 6,677.5 เมกะวัตต์
2. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช). ได้มีมติเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 เห็นชอบนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานของประเทศ โดยในแผนการจัดหาพลังงานได้เร่งรัดให้มีการออกประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้า จาก IPP และต่อมา กพช. ได้มีมติเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2550 เห็นชอบในหลักการแนวทางการออกประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP สำหรับการจัดหาไฟฟ้าในช่วงปี พ.ศ. 2555-2557 โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP รอบใหม่เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2550 จำนวน 3,200 เมกะวัตต์ และได้จำหน่ายเอกสารเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (RFP Package) ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน - 27 กรกฎาคม 2550 ซึ่งมีผู้สนใจซื้อเอกสารรวมทั้งสิ้น 60 ซอง ประกอบด้วย บริษัทที่ปรึกษาด้านกฎหมายและการเงิน จำนวน 1 ซอง ผู้ลงทุน IPPs/SPPs ปัจจุบัน จำนวน 29 ซอง และผู้ลงทุนรายใหม่/ผู้จัดหาอุปกรณ์ จำนวน 30 ซอง
3. การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535 จำนวน 300 เมกะวัตต์ และได้มีการขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP เป็นลำดับ จนถึง 3,200 เมกะวัตต์ โดย กฟผ. จะรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ผลิตไฟฟ้าพลังงานนอกรูปแบบ กาก หรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานเชิงพาณิชย์ ด้วยระบบ Cogeneration ต่อมารัฐบาลได้ยุติการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ใช้พลังงานเชิงพาณิชย์เป็นเชื้อเพลิง แต่ยังคงให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP พลังงานหมุนเวียน และ SPP ประเภท Non-Firm ต่อไป โดยไม่กำหนดระยะเวลาและปริมาณ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของระบบส่งและระบบจำหน่ายที่จะรับได้ โดย ณ เดือนมิถุนายน 2550 มี SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้า จำนวน 120 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 2,827.42 เมกะวัตต์ โดยมีโครงการที่ขายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว จำนวน 84 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 2,409.52 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2549 กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ กฟผ. เปิดการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP โดยให้ขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากเดิม 3,200 เมกะวัตต์ เป็น 4,000 เมกะวัตต์ ซึ่งการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้ออกประกาศระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฉบับ พ.ศ. 2550 รวมทั้ง กฟผ. ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP โดยกำหนดปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration จำนวน 500 เมกะวัตต์ และ SPP ประเภทสัญญา Firm สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และ SPP ประเภทสัญญา Non-Firm รวม 530 เมกะวัตต์ รวมปริมาณพลังไฟฟ้าที่ประกาศรับซื้อในรอบนี้ 1,030 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ ณ เดือนสิงหาคม 2550 มี SPP ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration ที่ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ฉบับ พ.ศ. 2550 แล้ว จำนวน 19 โครงการ รวมปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายตามสัญญาทั้งสิ้น 1,442 เมกะวัตต์ ซึ่งเกินกว่าที่ประกาศไว้ 942 เมกะวัตต์
อย่างไรก็ตาม กฟผ. จะประกาศปิดการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2550 และจะพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ยื่นข้อเสนอ โดยพิจารณาจากสัดส่วน การใช้ไอน้ำ กำหนดวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้า (SCOD) ตลอดจนความสามารถและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าที่จะรับได้ ตามเงื่อนไขที่กำหนดในระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP
4. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) สำหรับปริมาณพลังไฟฟ้าขายเข้าระบบไม่เกิน 1 เมกะวัตต์ ในปี 2545 โดยสถานภาพ และ ณ เดือนมิถุนายน 2550 มี VSPP ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายไม่เกิน 1 เมกะวัตต์ เสนอขายไฟฟ้าเข้าระบบรวม 98 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขาย 17.93 เมกะวัตต์ โดยมีโครงการที่ขายไฟฟ้าเข้าระบบแล้วจำนวน 49 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้ารวม 13.29 เมกะวัตต์
ต่อมา กพช. ได้มีมติเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2549 เห็นชอบการขยายระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP โดยเห็นชอบร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานเชิงพาณิชย์ด้วยระบบ Cogeneration สำหรับปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายเข้าระบบไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ซึ่ง กฟภ. และ กฟน. ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP สำหรับปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ เมื่อเดือนธันวาคม 2549 และ ณ เดือนกรกฎาคม 2550 มีโครงการ VSPP ที่ยื่นแบบคำขอจำหน่ายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย จำนวน 82 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้ารวม 390.35 เมกะวัตต์เป็นโครงการที่ขายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟภ. จำนวน 78 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 390.22 เมกะวัตต์ และเป็นโครงการที่ขายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟน. มีจำนวน 4 ราย เป็น VSPP รายใหม่ ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 0.13 เมกะวัตต์
5. เพื่อเป็นการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ได้กำหนดให้มีมาตรการจูงใจทางด้านราคา โดย กพช. ได้มีมติเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2549 เห็นชอบการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุน เวียน ที่มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ซึ่งขายไฟฟ้าเข้าระบบตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP โดยกำหนดระยะเวลาสนับสนุน 7 ปี และให้ผู้สนใจยื่นข้อเสนอภายในปี 2551 กฟภ. และ กฟน. ได้ออกประกาศการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า สำหรับ VSPP โดยกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าในอัตราดังต่อไปนี้ คือ ก๊าซชีวภาพและชีวมวล เท่ากับ 0.30 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง พลังน้ำขนาดเล็ก (50-200 กิโลวัตต์) และ น้อยกว่า 50 กิโลวัตต์ เท่ากับ 0.40 และ 0.80 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ตามลำดับ สำหรับขยะและพลังงานลม เท่ากับ 2.50 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และพลังงานแสงอาทิตย์ เท่ากับ 8.00 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
ต่อมา เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2550 กพช. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายมากกว่า 10 เมกะวัตต์ ซึ่งขายไฟฟ้าเข้าระบบตามระเบียบ SPP โดยกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับ SPP พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และขยะ ในอัตราคงที่ ดังต่อไปนี้ คือ ขยะและพลังงานลม เท่ากับ 2.50 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง และพลังงานแสงอาทิตย์ เท่ากับ 8.00 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง สำหรับ SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ใช้วิธีประมูลแข่งขัน ในอัตราสูงสุดไม่เกิน 0.30 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง โดยกำหนดระยะเวลาสนับสนุน 7 ปี และกำหนดวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้า ภายในเดือนธันวาคม 2555
สนพ. ได้ออกประกาศเชิญชวน SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อยื่นข้อเสนอขอรับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า จำนวน 300 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2550 และจำหน่ายเอกสารเชิญชวนฯ จนถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2550 ณ วันปิดจำหน่ายเอกสารเชิญชวนฯ มีผู้สนใจซื้อเอกสารเชิญชวนฯ จำนวน 11 ซอง และเมื่อถึงกำหนดวันยื่นข้อเสนอคือ วันที่ 1 สิงหาคม 2550 มีผู้ยื่นข้อเสนอขอรับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า จำนวน 9 โครงการ รวมปริมาณพลังไฟฟ้าที่เสนอขาย 435 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ คาดว่าคณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนสำหรับผู้ผลิต ไฟฟ้ารายเล็ก จะประเมิน และคัดเลือกข้อเสนอโครงการแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2550
นอกจากนี้ กพช. ได้มีมติเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2550 เห็นชอบการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าพิเศษ สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส โดย กฟผ. และ กฟภ. ได้ออกประกาศการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า ดังกล่าวแล้ว โดยให้ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าพิเศษ สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อีก 1.00 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
6. ฝ่ายเลขานุการ ได้สรุปผลการดำเนินงานในการปรับปรุงการดำเนินงานตามนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ดังนี้
6.1 ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ฉบับ พ.ศ. 2548 กำหนดกระบวนการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration ให้ SPP จะต้องมีสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพ นอกจากการผลิตไฟฟ้าต่อการผลิตพลังงานทั้งหมดไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ในแต่ละปี และจะต้องมีประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 ในแต่ละปี ซึ่งมี SPP บางรายไม่ผ่านเงื่อนไขคุณสมบัติ Cogeneration ดังกล่าว ซึ่ง กพช. ได้มีมติเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2549 เห็นชอบแนวทางการแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพื่อกำหนดบทปรับกรณี SPP ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration ตั้งแต่ผลการตรวจวัดคุณสมบัติ Cogeneration ปี 2548 ถึงปี 2550 รวมระยะเวลา 3 ปี ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่มีการลงนามแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเป็นต้นไป
อย่างไรก็ตามยังมี SPP ที่แก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามมติ กพช. ดังกล่าวแล้ว แต่ยังคงประสบปัญหาในเรื่องของลูกค้าไอน้ำ สมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน จึงเสนอขอให้พิจารณาขยายระยะเวลาของการปรับปรุงแก้ไขบทปรับจากเดิมถึงปี 2550 เป็นใช้จนสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ทั้งนี้ ให้เพิ่มบทปรับจากเดิมร้อยละ 40 เป็นร้อยละ 50 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงเพียงพอที่จะส่งผลให้ผู้ผลิตไฟฟ้านั้น ใช้พลังงานความร้อนในกระบวนการอุณหภาพอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่า ควรให้การผ่อนปรนการปฏิบัติตามเงื่อนไขคุณสมบัติ Cogeneration โดยขยายระยะเวลาของการปรับปรุงแก้ไขบทปรับตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับ SPP ระบบ Cogeneration จากเดิมกำหนดไว้ถึงสิ้นปี 2550 เป็นจนสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้านั้น และให้เพิ่มบทปรับจากเดิมร้อยละ 40 เป็นร้อยละ 50 เพื่อให้มีการใช้พลังงานความร้อนในกระบวนการอุณหภาพ ซึ่งเป็นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
6.2 เนื่องจากมีผู้สนใจยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ระบบ Cogeneration สูงกว่าปริมาณพลังไฟฟ้าที่ประกาศรับซื้อประมาณ 500 เมกะวัตต์ เป็นจำนวนมาก จึงเห็นควรให้ กฟผ. ยุติการรับข้อเสนอการขายไฟฟ้าจาก SPP ระบบ Cogeneration ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2550 เป็นต้นไป และการรับซื้อไฟฟ้าให้พิจารณาสัดส่วนการใช้ไอน้ำ กำหนดวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้า (SCOD) ตลอดจนความสามารถและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าที่จะรับได้ ตามเงื่อนไขที่กำหนดในระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP
6.3 เพื่อเป็นการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติของการไฟฟ้า และเป็นการเปิดให้มีผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น จึงเห็นควรให้ปรับปรุงประกาศการกำหนดอัตราส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับ ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยให้ยกเลิกเงื่อนไขการบังคับใช้ กรณีผู้ไม่มีสิทธิ์รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า ในประกาศการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุน เวียน "ข้อ ... ผู้ผลิตไฟฟ้าที่ได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนในการผลิตไฟฟ้าตามนโยบายรัฐบาลใน รูปแบบอื่นๆ แล้ว" และ "ข้อ ... ผู้ผลิตไฟฟ้าที่ได้รับการสนับสนุนในรูปแบบเงินสมทบการลงทุนผลิตไฟฟ้า (Investment Subsidy) จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน"
6.4 เพื่อเป็นการส่งเสริมธุรกิจผลิตไฟฟ้าในเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประสบปัญหาในการดำเนินงานจากเหตุการณ์ความไม่สงบ และเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติ รวมทั้งเกิดความเท่าเทียมกันสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงเห็นควรกำหนดอัตราส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าพิเศษ สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าเดิมที่ตั้งอยู่ในจังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ด้วย
มติของที่ประชุม
1.รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานตามนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิต ไฟฟ้าเอกชน รายใหญ่ (IPP) ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) และการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
2.เห็นชอบให้ผ่อนปรนการปฏิบัติตามเงื่อนไขคุณสมบัติ Cogeneration โดยขยายระยะเวลาการปรับปรุงแก้ไขบทปรับตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับ SPP ระบบ Cogeneration จากเดิมกำหนดไว้ถึง สิ้นปี 2550 เป็นจนสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้านั้น โดยเพิ่มบทปรับจากเดิม ร้อยละ 40 เป็นร้อยละ 50 และมอบหมายให้ กฟผ. ดำเนินการแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ SPP ต่อไป
3.เห็นชอบการกำหนดอัตราส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าที่ให้เพิ่มเติมพิเศษ สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าเดิมที่ตั้งอยู่ใน 3 จังหวัดดังกล่าว โดยมอบหมายให้ กฟผ. และ กฟภ. ดำเนินการแก้ไขประกาศส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าต่อไป
4.เห็นชอบให้ยกเลิกเงื่อนไขการบังคับใช้ กรณีผู้ไม่มีสิทธิ์รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า ในประกาศการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุน เวียน "ข้อ ... ผู้ผลิต ไฟฟ้าที่ได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนในการผลิตไฟฟ้าตามนโยบายรัฐบาลในรูปแบบ อื่นๆ แล้ว" และ "ข้อ ... ผู้ผลิตไฟฟ้าที่ได้รับการสนับสนุนในรูปแบบเงินสมทบการลงทุนผลิตไฟฟ้า (Investment Subsidy) จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" และมอบหมายให้การไฟฟ้าดำเนินการแก้ไขต่อไป
ให้ กฟผ. ปิดรับการยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าของ SPP ระบบ Cogeneration ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2550 เป็นต้นไป และให้5.พิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากสัดส่วนการใช้ไอน้ำ กำหนดวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้า (SCOD) ตลอดจนความสามารถและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าที่จะรับได้ ตามเงื่อนไขที่กำหนด ในระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP
เรื่องที่ 2 ร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการเทิน-หินบุนส่วนขยาย
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2539 เพื่อส่งเสริมและให้ความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว สำหรับจำหน่ายให้แก่ประเทศไทยจำนวนประมาณ 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2549 ต่อมาคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2549 ได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 เรื่องการขยายการรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาว จาก 3,000 เมกะวัตต์ เป็น 5,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2558 โดยปัจจุบันมี 2 โครงการภายใต้ MOU ดังกล่าวที่จ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เข้าระบบของ กฟผ. แล้ว ได้แก่ โครงการเทิน-หินบุน และห้วยเฮาะ และอีก 2 โครงการที่ได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว ได้แก่ โครงการน้ำเทิน 2 และโครงการน้ำงึม 2 โดยมีกำหนดการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ในเดือนธันวาคม 2552 และมีนาคม 2554 ตามลำดับ
2. กฟผ. ได้ดำเนินการเจรจาอัตราค่าไฟฟ้าและเงื่อนไขสำคัญกับกลุ่มผู้ลงทุนโครงการ เทิน-หินบุนส่วนขยายภายใต้นโยบายและหลักการที่ได้รับมอบหมายจากคณะอนุกรรม การประสานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านที่มี มติเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2550 ซึ่งต่อมาคณะอนุกรรมการประสานความร่วมมือฯ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2550 ได้เห็นชอบร่าง MOU ของโครงการเทิน-หินบุนส่วนขยาย
3. คณะกรรมการ กฟผ. ในการประชุมเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2550 ได้มีมติเห็นชอบร่าง MOU โครงการเทิน-หินบุนส่วนขยาย โดย กฟผ. ได้นำร่าง MOU ดังกล่าวเสนอต่อ กพช. เพื่อขอความเห็นชอบก่อนลงนาม พร้อมทั้งได้เสนอต่อสำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาร่าง MOU ดังกล่าวขนานกันไปด้วย
4. รายละเอียดโครงการเทิน-หินบุนส่วนขยาย สรุปได้ดังนี้
4.1 กฟผ. และบริษัท เทิน-หินบุน เพาเวอร์ จำกัด ได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเทิน-หินบุน เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2539 ผู้ลงทุนประกอบด้วยรัฐบาล สปป. ลาว ร้อยละ 60 บริษัท Nordic Power จำกัด ร้อยละ 20 และบริษัท GMS Lao จำกัด ร้อยละ 20 ด้วยกำลังผลิต 210 เมกะวัตต์ สัญญาอายุ 25 ปี นับจากวันที่จ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์และผลิตไฟฟ้าขายให้กับ กฟผ. ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2541
4.2 บริษัทฯ ได้เสนอขอขยายกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติม โดยจะสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำเหนือเขื่อนเดิมเพื่อให้สามารถควบคุมน้ำได้มาก ขึ้น (จะติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 60 เมกะวัตต์ ณ เขื่อนใหม่เพื่อผลิตไฟฟ้าขายให้รัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว) ทำให้สามารถขยายการติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ณ เขื่อนเดิมเพิ่มขึ้นอีก 220 เมกะวัตต์ และขอปรับปรุงตัวเลขกำลังผลิตตามสัญญาฯ เดิม 210 เมกะวัตต์ เป็น 220 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เสนอกำหนดการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์สำหรับหน่วยผลิตใหม่เป็นวันที่ 1 มีนาคม 2555 และขอแก้ไขสัญญาฯ เดิมเท่าที่จำเป็น เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากหน่วยผลิตใหม่ โดยเสนอให้ สัญญาฯ ทั้งหน่วยผลิตเดิมและหน่วยผลิตใหม่มีอายุ 27 ปี นับจากวันที่ 1 มีนาคม 2555
5. สาระสำคัญของร่าง MOU การรับซื้อไฟฟ้าโครงการเทิน-หินบุนส่วนขยาย สรุปได้ ดังนี้
5.1 บันทึกความเข้าใจนี้จัดทำขึ้นระหว่าง กฟผ. และบริษัท เทิน-หินบุน เพาเวอร์ จำกัด
5.2 กฟผ. และบริษัทฯ จะทำการเจรจาแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าฉบับปัจจุบันเท่าที่จำเป็นตามที่โครงการ โรงไฟฟ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและเทคนิค ให้ครอบคลุมทั้งกำลังผลิตส่วนเดิมและส่วนขยาย และให้สะท้อนข้อกำหนดใน MOU นี้
5.3 โครงการรวมทั้งหมดมีกำลังผลิต 440 เมกะวัตต์
5.4 สัญญาซื้อขายไฟฟ้าจะมีอายุ 27 ปี นับจากวันจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์
5.5 อัตราค่าไฟฟ้า โดยที่กำลังผลิตเดิม ปี 2551-2555 (ก่อน COD ส่วนขยาย) ใช้อัตราค่าไฟฟ้าที่มีการปรับเพิ่มจากปีก่อนหน้าเป็นปีละ 1% และอัตราค่าไฟฟ้าเริ่มจาก COD ใหม่ (เดือนมีนาคม 2555) สำหรับกำลังผลิตเดิมและส่วนขยายจะเป็นอัตราเดียวคงที่ตลอดอายุสัญญา 27 ปี ดังนี้ ส่วนที่ 1 เท่ากับ 0.9083 บาท/หน่วย และส่วนที่ 2 เท่ากับ 2.595 Cents/หน่วย
5.6 อัตราค่าไฟฟ้าสำหรับพลังงานที่ผลิตได้จากการทดสอบหรือผลิตขายก่อน COD แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 เท่ากับ 0.6358 บาท/หน่วย และส่วนที่ 2 เท่ากับ 1.817 Cents/หน่วย
5.7 MOU จะสิ้นสุดเมื่อมีเหตุการณ์ใดดังต่อไปนี้เกิดขึ้นก่อน เมื่อมีการลงนามในสัญญา ซื้อขายไฟฟ้า MOU มีอายุครบ 12 เดือนนับจากวันลงนาม หรืออาจมีอายุมากกว่า 12 เดือนหากมีการตกลงต่ออายุ MOU ออกไป ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อเลิกก่อนได้
5.8 แต่ละฝ่ายจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในส่วนของตน และไม่สามารถเรียกร้องความเสียหายจาก MOU หรือจากการยกเลิก MOU
5.9 MOU จะถูกบังคับและตีความตามกฎหมายไทย
5.10 กำหนดวันแล้วเสร็จของงานต่างๆ จะเป็นดังนี้ 1) Scheduled Financial Close Date (SFCD) คือวันที่ช้ากว่าระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2551 และ 3 เดือน นับจากวันลงนามแก้ไขในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 2) Scheduled Energizing Date (SED) (กำหนดวันที่ระบบส่งของทั้งสองฝ่ายพร้อมรับและส่งพลังงานไฟฟ้า) เท่ากับ 42 เดือน นับจากวันที่ช้ากว่าระหว่างวัน Financial Close Date และวัน SFCD 3) Scheduled Commercial Operation Date (SCOD) คือวันที่ช้ากว่าระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2555 และ 45 เดือน นับจากวันที่ช้ากว่าระหว่างวัน Financial Close Date และวัน SFCD 4) หากฝ่ายใดทำให้วัน Commercial Operation Date (COD) ล่าช้ากว่าวัน SCOD จะต้องจ่ายค่าปรับตามที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าปัจจุบัน
5.11 ณ สิ้นเดือนตุลาคมของทุกปี บริษัทฯ ต้องแจ้งข้อมูลระดับน้ำที่เขื่อนบนที่สร้างใหม่ โดยบริษัทฯ จะเก็บกักน้ำไว้ไม่ต่ำกว่า 90% ให้ กฟผ. ใช้ในการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนพฤษภาคมปีถัดไป เพื่อให้ กฟผ. จัดทำรายละเอียดแผนการผลิตไฟฟ้าของเดือนธันวาคมถึงเดือนพฤษภาคม โดยมีรายละเอียดเป็นรายวันส่งให้บริษัทฯ
5.12 ในแต่ละปี กฟผ. จะซื้อไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 90% ของความพร้อมจ่ายไฟฟ้าในปีนั้น นอกจากนี้ แต่ละรอบ 3 ปี กฟผ. จะซื้อไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 95% ของความพร้อมจ่ายไฟฟ้ารวมในรอบ 3 ปีนั้น
มติของที่ประชุม
เห็นชอบหลักการของร่าง MOU การรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการเทิน-หินบุนส่วนขยายตามข้อ 5 โดยรายละเอียดในร่าง MOU ให้เป็นไปตามการพิจารณาแก้ไขของสำนักงานอัยการสูงสุด และมอบหมายให้ กฟผ. ดำเนินการลงนามในร่าง MOU กับผู้ลงทุนต่อไป
เรื่องที่ 3 แนวทางการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุม กพช. เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2550 ได้มีมติเห็นชอบให้มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าให้ แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2550 และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการยกร่างระเบียบการสรรหาคณะ กรรมการกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า และระเบียบการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าเพื่อใช้เป็นต้น แบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้ง ให้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาการจัดตั้งกองทุนหรือจัดเก็บภาษีค่า ธรรมเนียมทางด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ ไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกัน ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช.ดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2550
2. ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ได้มีคำสั่งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ที่ 9/2550 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2550 เพื่อทำหน้าที่พิจารณายกร่างระเบียบและดำเนินการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนใน พื้นที่รอบโรงไฟฟ้าให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 2550
3. คณะอนุกรรมการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ได้ยกร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ว่าด้วยแนวทางการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า พ.ศ. .... ตามแนวทางที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ เพื่อให้การจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าเป็นไปในแนวทาง เดียวกัน ทั้งนี้ในการยกร่างระเบียบฯ ได้มีการการสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนภาครัฐ ผู้แทนโรงไฟฟ้า และผู้แทนประชาชนที่อยู่ในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า จำนวน 5 ครั้ง ระหว่างวันที่ 6 - 17 สิงหาคม 2550 ณ จังหวัดสระบุรี, ลำปาง, ขอนแก่น, นครศรีธรรมราช, และฉะเชิงเทรา เพื่อนำความคิดเห็นมาใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงร่างระเบียบฯ ให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
4. สรุปสาระของร่างระเบียบฯ ดังนี้
4.1 อาศัยอำนาจ มาตรา 6(3) แห่ง พ.ร.บ. กพช. พ.ศ.2535 ในการออกร่างระเบียบฯ
4.2 ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า "ระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ว่าด้วยแนวทางการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า พ.ศ. ...."
4.3 ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
4.4 ข้อ 3 กำหนดความหมายของคำที่ใช้ในระเบียบเพื่อให้เข้าใจตรงกัน
4.5 หมวด 1 การดำเนินการจัดตั้งกองทุนตามข้อ 4-6 ของระเบียบฯ กำหนดให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานจัดทำบัญชีรายชื่อโรงไฟฟ้าที่จะต้องจัด ตั้งกองทุนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเรียกประชุมผู้แทนโรงไฟฟ้า นายอำเภอและผู้แทนสำนักงานพลังงานภูมิภาคหรือผู้แทนกระทรวงพลังงาน เพื่อกำหนด (1) จำนวนกองทุนในจังหวัดนั้น (2) พื้นที่รอบโรงไฟฟ้า (3) จำนวนและแนวทางในการสรรหากรรมการผู้แทนภาคประชาชน โดยเน้นกระบวนการการมีส่วนร่วม และ (4) จำนวนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ แล้วประกาศให้ประชาชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าทราบ
4.6 หมวด 2 กองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ตามข้อ 7-9 ของระเบียบฯ กำหนดวัตถุประสงค์ในการใช้เงินกองทุนเพื่อจัดสรรเงินทุนในการพัฒนาคุณภาพ ชีวิตของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในชุมชนพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าเพื่อให้มีการพัฒนา ที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นไปตามกรอบการใช้จ่ายเงินกองทุนที่ กพช. กำหนด รวมทั้งระบุแหล่งที่มาของเงินกองทุน
4.7 หมวด 3 คณะกรรมการและการบริหารกองทุน ตามข้อ 10-18 ของระเบียบฯ กำหนดองค์ประกอบ อำนาจหน้าที่ วาระการดำรงตำแหน่งและการประชุมของคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาชุมชนใน พื้นที่รอบโรงไฟฟ้า โดยคณะกรรมการเป็นพหุภาคี ประกอบด้วย ผู้แทนภาคประชาชน ผู้แทนภาครัฐ ผู้แทนโรงไฟฟ้า และผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งนี้ผู้แทนภาคประชาชนจะมีจำนวนเกินกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมด และให้ผู้แทนสำนักงานพลังงานภูมิภาคหรือผู้แทนกระทรวงพลังงานเป็นกรรมการและ เลขานุการ และผู้แทนโรงไฟฟ้าเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
4.8 หมวด 4 การเงินและการบัญชี ตามข้อ 19-23 ของระเบียบฯ ระบุให้คณะกรรมการฯ เปิดบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงินและให้ทำบัญชีตามหลักสากล และให้มีการตรวจสอบบัญชี โดยรายงานต่อคณะกรรมการติดตามและประเมินผลอย่างน้อยปีละครั้ง และเผยแพร่ต่อชุมชนรอบโรงไฟฟ้าและสาธารณชนทั่วไปทราบ
มติของที่ประชุม
- เห็นชอบร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ว่าด้วยแนวทางการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า พ.ศ. .... ตามที่คณะอนุกรรมการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าเสนอ
สรุปสาระสำคัญ
1. เนื่องจากกำลังการกลั่นของประเทศในปี 2532 ไม่เพียงพอที่จะรองรับความต้องการใช้น้ำมันที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น รัฐบาลจึงได้ออกประกาศเชิญชวนลงทุนสร้างโรงกลั่นปิโตรเลียมเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2532 เพื่อให้ประเทศมีกำลังการกลั่นใกล้เคียงกับความต้องการใช้น้ำมัน แต่เนื่องจากแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 ได้กำหนดให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2533 จึงเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการคัดเลือกข้อเสนอสร้าง โรงกลั่นของบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด และให้เปลี่ยนนโยบายจากการกำหนดให้ประเทศมีกำลังกลั่นใกล้เคียงความต้องการ เป็นให้มีกำลังการกลั่นมากกว่าความต้องการ ซึ่งต่อมาได้มีการอนุญาตให้บริษัท คาลเท็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด สร้างโรงกลั่นใหม่ และให้บริษัท เอสโซ่แสตนดาร์ด ประเทศไทย จำกัด (ESSO) ขยายกำลังการกลั่นได้
2. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2534 ได้เห็นชอบให้ ESSO ขยายโรงกลั่นปิโตรเลียมจากกำลังการกลั่น 63,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 185,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่ง ESSO ได้ทำสัญญาขยายและประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2534 และได้มีการแก้ไขสัญญาฯ เพิ่มเติม ยกเลิกการจ่ายเงินประจำปีร้อยละ 2 ลงวันที่ 3 กันยายน 2540 โดยสาระสำคัญของสัญญาได้กำหนดให้กระทรวงการคลังเข้าถือหุ้นในกิจการโรงกลั่น ร้อยละ 12.5 และบริษัทในเครือเอ็กซอน คอร์ปอเรชั่น (Exxon) ถือหุ้นร้อยละ 87.5 และในสัญญาข้อ 4.1.2 ระบุว่าภายใน 5 ปี หลังจากขยาย โรงกลั่นปิโตรเลียมขั้นตอนที่ 1 กำลังการผลิตเป็น 145,000 บาร์เรลต่อวัน แล้วเสร็จ ESSO จะต้องออกหุ้นสามัญเพิ่มเพื่อจำหน่ายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้ประชาชนเข้ามาถือหุ้นร้อยละ 20 ของทุนจดทะเบียน เปลี่ยนสัดส่วนการถือหุ้นของรัฐบาลและ Exxon เป็นเหลือร้อยละ 10 และร้อยละ 70 ตามลำดับ หาก ESSO ไม่นำหุ้นเข้าจำหน่ายในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะถือว่าปฏิบัติผิดเงื่อนไขในสัญญา และผู้อนุญาตมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ตามสัญญาข้อ 20
3. ESSO ได้ดำเนินการขยายโรงกลั่นแล้วเสร็จในปี 2538 แต่จากวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศไทยและภูมิภาคตั้งแต่ปี 2540 ทำให้กำลังการกลั่นมีเกินความต้องการ ส่งผลให้ค่าการกลั่นตกต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ และ ESSO ประสบภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่อง เมื่อใกล้ครบกำหนดเวลาที่จะต้องเข้าจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ไทยในปี 2543 ทาง ESSO ได้ขอขยายกำหนดเวลาออกไปจนกว่าสถานะทางการเงินของบริษัท และสภาวะแวดล้อมต่างๆ จะเอื้ออำนวย
4. ภาครัฐได้ดำเนินการติดตามให้ ESSO นำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มาตั้งแต่สัญญาฯ ยังอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงอุตสาหกรรม และเมื่อมีการปฏิรูปโครงสร้างระบบราชการในปี 2545 ได้โอนภารกิจและหน้าที่การกำกับดูแลสัญญาฯ ของกระทรวงอุตสาหกรรมมายังกระทรวงพลังงาน และได้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ต่อมาเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2550 กระทรวงพลังงานได้แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับและติดตามการเข้าจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทยของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดยมีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้เร่งรัดให้ ESSO ดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขในสัญญา โดยให้ ESSO แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินและจัดทำแผนการดำเนินงานเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยคาดว่าจะสามารถยื่นขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (Filing) ได้ประมาณเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2550 และนำหุ้นออกจำหน่ายในตลาดหลักทรัพย์ฯ (IPO) ได้ประมาณเดือนเมษายน 2551
5. เนื่องจากกฎหมาย กฎเกณฑ์ หรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องได้เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ข้อบังคับ ในสัญญาขยายและประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียมบางประการไม่สอดคล้องกับหลัก เกณฑ์ในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงควรให้มีการแก้ไขสัญญาเพื่อให้บริษัทฯ สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ ดังนี้
5.1 แก้ไขชื่อหน่วยงานและข้อกฎหมายให้เป็นปัจจุบัน โดย 1) แก้ไขชื่อผู้อนุญาตจาก "กระทรวงอุตสาหกรรม" เป็น "กระทรวงพลังงาน" เพื่อให้สอดคล้องกับผลของพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 และให้สิทธิและหน้าที่ภายใต้สัญญาขยายและประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียมโอน จากกระทรวงอุตสาหกรรมไปอยู่ภายใต้กระทรวงพลังงาน 2) แก้ไขข้อกฎหมายจาก "ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521" เป็น "ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543" เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่ออกมาใช้บังคับแทนพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 และ 3) แก้ไขชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ จาก "เอ็กซอน คอร์ปอเรชั่น" เป็น "เอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่น" เนื่องจากเอ็กซอน คอร์ปอเรชั่น ได้ควบรวมกิจการกับ โมบิล คอร์ปอเรชั่น และได้เปลี่ยนชื่อเป็น เอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่น
5.2 เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นของโครงสร้างการถือหุ้นระหว่าง Exxon และกระทรวงการคลังเมื่อนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้สามารถเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือหุ้นของ Exxon และกระทรวงการคลังจากที่กำหนดไว้ ร้อยละ 70 และ 10 ตามลำดับได้ และเปิดให้ ESSO สามารถออกหุ้นสามัญเพื่อจำหน่ายให้กับประชาชนได้มากกว่าร้อยละ 20
5.3 ให้ Exxon สามารถลดสัดส่วนการถือหุ้นลงได้ถึงร้อยละ 50 โดยต้องเสนอขายให้กับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 เป็นลำดับแรก และหากไม่สามารถตกลงกันได้จึงจะมีสิทธิเสนอขายให้แก่ผู้อื่น
5.4 หลังจากที่บริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ให้โครงสร้างกรรมการของ ESSO รวมถึงคุณสมบัติ การเลือกตั้ง และวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ และกฎระเบียบที่มีผลใช้บังคับกับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตราบเท่าที่กระทรวงการคลังยังถือหุ้นอยู่ใน ESSO ตามสัดส่วนที่กำหนด ให้มีผู้แทนรัฐบาลซึ่งกระทรวงการคลังเสนอเป็นกรรมการ 1 คน
5.5 ขยายขอบเขตของ "ธุรกิจหลัก" ให้เป็นไปตามที่ ESSO ดำเนินการอยู่จริงในปัจจุบัน โดยให้รวมถึงการผลิต การกลั่น กรรมวิธี การเก็บรักษา การตลาด การใช้ และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ ผลพลอยได้จากปิโตรเลียม น้ำมันชีวภาพ และวัตถุดิบปิโตรเลียม ซึ่งรวมถึงกิจกรรมสนับสนุนธุรกิจหลักต่างๆ รวมทั้งธุรกิจที่อยู่ในวัตถุประสงค์ของ ESSO ซึ่งได้จดทะเบียน ไว้กับสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท
5.6 แก้ไขเพิ่มเติมที่อยู่ของผู้อนุญาตและผู้รับอนุญาตให้เป็นปัจจุบัน
5.7 แก้ไขเพิ่มเติมหลักการสำคัญในการให้ความคุ้มครองแก่ผู้ถือหุ้นฝ่ายข้างน้อย เพื่อให้สอดคล้องกับการขยายขอบเขตของธุรกิจหลัก
6. กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง และ ESSO ได้ร่วมหารือในหลักการดังกล่าว และร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาขยายและประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียม ฉบับที่ 2 แล้ว และได้นำส่งร่างสัญญาดังกล่าวให้สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาเรียบร้อย แล้ว
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้มีการแก้ไขสัญญาขยายและประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียม ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและบริษัท เอสโซ่แสตนดาร์ดประเทศไทย จำกัด ตามหลักการในข้อ 5
2.มอบหมายให้กระทรวงพลังงานดำเนินการแก้ไขสัญญาฯ ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ตรวจพิจารณาแล้ว
สรุปสาระสำคัญ
1. เนื่องจากกำลังการกลั่นของประเทศในปี 2532 ไม่เพียงพอที่จะรองรับความต้องการใช้น้ำมันที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น รัฐบาลจึงได้ออกประกาศเชิญชวนลงทุนสร้างโรงกลั่นปิโตรเลียมเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2532 ซึ่งต่อมา บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ได้รับคัดเลือกข้อเสนอสร้างโรงกลั่นแห่งที่ 4 ของประเทศตามนโยบายดังกล่าว โดยได้ทำสัญญาจัดสร้างและประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียมกับกระทรวง อุตสาหกรรม ลงวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2534 (ภายหลังการปฏิรูประบบราชการได้โอนสิทธิและหน้าที่ตามสัญญามายังกระทรวง พลังงาน) และต่อมาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาฯ ยกเลิกการเก็บเงินประจำปีร้อยละ 2 ลงวันที่
2. สาระสำคัญของสัญญาฯ ได้กำหนดให้มีการดำเนินการ ดังนี้ 1) ให้จัดตั้งบริษัทจำกัดเพื่อดำเนินการกิจการโรงกลั่นภายใต้ชื่อบริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด "RRC" โดยมี ปตท. ถือหุ้นร้อยละ 36 และ B.V.Licht en Kracht Maatschappij "LKM" ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท เชลล์ฯ ถือหุ้นร้อยละ 64 ต่อมา LKM ได้โอนหุ้นให้กับบริษัท เชลล์ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้งส์ จำกัด "SIHL" 2) ให้ RRC ออกหุ้นเพิ่มเพื่อจำหน่ายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ประชาชนถือหุ้นได้ในสัดส่วนร้อยละ 30 ในโอกาสแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรืออย่างช้าไม่เกินภายในปี 2543 โดยสัดส่วนการถือหุ้นระหว่าง LKM ปตท. และประชาชน เป็นร้อยละ 45, 25 และ 30 ตามลำดับ และ 3) RRC จะโอนสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาฯ ไปยังบุคคลอื่นไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้อนุญาตก่อน หากฝ่าฝืนผู้อนุญาตมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้
3. โรงกลั่น RRC ขนาดกำลังกลั่น 120,000 บาร์เรลต่อวัน ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม 2539 แต่ต่อมาในปี 2540 ได้เกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันหดตัวลง โรงกลั่นประสบปัญหาค่าการกลั่นตกต่ำ และทำให้ RRC ประสบภาวะขาดทุนและขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม2547 จึงได้เห็นชอบการปรับโครงสร้างของ RRC โดยให้ SIHL ขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมดให้แก่ ปตท. และเห็นชอบแผนงานที่ ปตท. จะดำเนินงานภายหลังการถือหุ้นทั้งหมด โดยให้นำหุ้นของ RRC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในโอกาสที่เหมาะสม ซึ่ง ปตท. ได้ซื้อหุ้นทั้งหมดของ RRC จาก SIHL ในเดือนธันวาคม 2547 และต่อมาเมื่อเดือนมิถุนายน 2549 RRC ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเสนอขายหุ้นต่อประชาชนในสัดส่วน ร้อยละ 30 ตามข้อกำหนดของสัญญาฯ ซึ่งมีผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท. มีสัดส่วนร้อยละ 70
4. เพื่อเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการประกอบธุรกิจ RRC มีความประสงค์จะควบรวมกิจการกับบริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) "ATC" เพื่อให้เป็นอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีอย่างครบวงจร โดยจัดตั้งเป็นบริษัทใหม่ ดำเนินกิจการโรงกลั่นน้ำมัน และการผลิตและจำหน่ายอะโรเมติกส์และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ซึ่งเมื่อจดทะเบียนการควบรวมบริษัทแล้ว ทั้ง 2 บริษัทจะหมดสภาพการเป็นนิติบุคคล โดยบริษัทที่ควบกันจะรับโอนทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่และความรับผิดชอบทั้งหมด รวมถึงหน้าที่ในการปฏิบัติตามสัญญาจัดสร้างและประกอบกิจการโรงกลั่น ปิโตรเลียมด้วย โดยสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทใหม่เบื้องต้นจะเป็น ปตท. ร้อยละ 49 และผู้ถือหุ้นรายย่อย (ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ) ร้อยละ 51 โดยในส่วนของผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ไม่เห็นด้วยกับการควบรวมกิจการ ปตท. จะขอรับซื้อคืนในราคาประกัน ซึ่งอาจมีผลให้สัดส่วนการถือหุ้นเปลี่ยนแปลงไปจากเบื้องต้นได้
5. การควบรวมกิจการของ RRC และ ATC ทำให้เกิดการ synergy ให้โรงกลั่นมีขนาดใหญ่ขึ้น เป็นการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการประกอบธุรกิจให้มีความแข็งแกร่ง และเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น ผู้บริโภค และอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันของประเทศในภาพรวม คือ 1) เพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานในด้านกำลังการกลั่นและการเก็บรักษาน้ำมันดิบและ ผลิตภัณฑ์ 2) สร้างมูลค่าเพิ่มจากการกลั่นคอนเดนเสทในประเทศ 3) การผลิตปิโตรเคมีเพื่อส่งออก นำรายได้เข้าประเทศ 3) เพิ่มความยืดหยุ่นในการเลือกผลิตน้ำมันหรือปิโตรเคมี และการเลือกใช้วัตถุดิบคอนเดนเสทที่มีกำมะถันสูงที่มีต้นทุนถูกลง 4) สร้างเสริมประสิทธิภาพทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีแก่ประเทศ และ 5) เป็นหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่และเข้มแข็งขึ้น ทำให้นักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มากขึ้น
6. เนื่องจาก RRC ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขและหน้าที่ตามสัญญาจัดสร้างและประกอบกิจการโรงกลั่น อย่างครบถ้วน ประกอบกับการควบรวมกิจการดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยรวม จึงเห็นสมควรที่จะให้การสนับสนุนการควบรวมกิจการดังกล่าว ซึ่งตามข้อ 21 ของสัญญาจัดสร้าง และประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียมกำหนดไว้ว่าผู้รับอนุญาตจะโอนสิทธิและ หน้าที่ตามสัญญาไปยังบุคคลอื่นไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้อนุญาต คือ กระทรวงพลังงานก่อน
มติของที่ประชุม
1.รับทราบการควบรวมกิจการของบริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) กับบริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
2.มอบหมายให้กระทรวงพลังงานดำเนินการแก้ไขสัญญาจัดสรรและประกอบกิจการโรง กลั่นปิโตรเลียมระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม กับ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด โดยให้บริษัทที่เกิดขึ้นใหม่จากการควบรวมกิจการเป็นผู้รับอนุญาตตามสัญญากับ กระทรวงพลังงานภายหลังจากการควบรวมบริษัทเสร็จสิ้นแล้ว
- กพช. ครั้งที่ 114 - วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม 2550 (1841 Downloads)