Power (40)
Children categories
นโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
Feed-in Tariff คืออะไร
Feed-in Tariff หรือ FiT คือ มาตรการส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนประเภทหนึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการเอกชนเข้ามาลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (เนื่องจาก การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมีต้นทุนค่อนข้างสูง) ซึ่งอัตรา FiT จะอยู่ในรูปแบบอัตรารับซื้อไฟฟ้าคงที่ตลอดอายุโครงการ (มีการปรับเพิ่มส าหรับกลุ่มที่มีการใช้เชื้อเพลิง) โดยอัตรา FiT จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามค่าไฟฐานและค่า Ft ทาให้มีราคาที่ชัดเจนและเกิดความเป็นธรรม
การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนแต่ละประเภทจะมีความเสี่ยงของการดาเนินกิจการที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน การผลิตไฟฟ้าจากเทคโนโลยีกลุ่มพลังงานธรรมชาติ อันได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมและพลังงานน้าขนาดเล็ก จะไม่มีต้นทุนในการจัดหาเชื้อเพลิง แต่จะมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของพลังงานจากธรรมชาติ ส่วนการผลิตไฟฟ้าเทคโนโลยีกลุ่มพลังงานชีวภาพ อันได้แก่ ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ และ ขยะ จะมีความเสี่ยงจากความผันผวนของต้นทุนในการจัดหาเชื้อเพลิง ดังนั้น การกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT ที่เหมาะสม สามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วนหลัก ดังนี้
1) อัตรารับซื้อไฟฟ้าส่วนคงที่ (FiT fixed : FiTF) คิดจากต้นทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าและค่าดำเนินการและบารุงรักษา (O&M) ตลอดอายุการใช้งาน ใช้สาหรับพลังงานหมุนเวียนทุกประเภท
2) อัตรารับซื้อไฟฟ้าส่วนแปรผัน (FiT variable : FiTV) คิดจากต้นทุนของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตพลังงานไฟฟ้าซึ่งเปลี่ยนไปตามเวลา ใช้สาหรับพลังงานหมุนเวียนกลุ่มพลังงานชีวภาพ
นอกจากนี้ยังได้มีการกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT พิเศษ (FiT Premium) เพิ่มเติมจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT ปกติ สำหรับบางประเภทเทคโนโลยี เพื่อสร้างแรงจูงใจการลงทุนสำหรับโครงการตามนโยบายรัฐบาล เช่น ขยะ ชีวมวล และก๊าซชีวภาพ และโครงการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานในพื้นที่
สูตรโครงสร้างอัตรา FiT
สูตรโครงสร้างของอัตรา FiT จะประกอบไปด้วย 3 ส่วน ได้แก่ (1) อัตรารับซื้อไฟฟ้าส่วนคงที่ (FiTF) ซึ่งจะคงที่ตลอดอายุโครงการ (2) อัตรารับซื้อไฟฟ้าส่วนแปรผัน (FiTV) จะปรับเพิ่มขึ้นตามค่าอัตราเงินเฟ้อขั้น พื้นฐาน (Core inflation) เฉลี่ยของปีก่อนหน้า ตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์ (3) อัตรารับซื้อไฟฟ้าพิเศษ (FiT Premium) ตามนโยบายของภาครัฐที่ต้องการสร้างแรงจูงใจการลงทุนบางประเภทเชื้อเพลิง
ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.thaibioenergy.com/
แผนรองรับวิกฤติด้านไฟฟ้า
แผนรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้า
กระทรวงพลังงาน ได้มีนโยบายในการพัฒนาพลังงานของประเทศไทยให้มีความมั่นคงด้านพลังงาน โดยให้มีการจัดหาพลังงานให้เพียงพอ มีเสถียรภาพ และการมีแผนเตรียมพร้อมรองรับสภาวะวิกฤติการณ์ด้านพลังงาน โดยมอบหมายให้ สนพ. ดำเนินการจัดทำแผนรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการรองรับวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยในอนาคต โดย สนพ. ได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อจัดทำแผนรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้าขึ้น เพื่อทำหน้าที่รวบรวม ศึกษา วิเคราะห์ และเสนอแนะแนวทางการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยในสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้า รวมทั้ง จัดทำแผนรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยที่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยคณะทำงานจัดทำแผนรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้า ได้รวบรวมคำนิยามสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้า ข้อมูลสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา และแผนปฏิบัติงานเพื่อรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้าของการไฟฟ้าในปัจจุบัน รวมทั้ง ได้วิเคราะห์สถานการณ์สมมติสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้า และเสนอแนวทางการบริหารจัดการสภาวะวิกฤติภายใต้สถานการณ์สมมติ ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. ข้อมูลสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา พบว่ามีเหตุการณ์ฉุกเฉินส่วนใหญ่เกิดขึ้นในส่วนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งจำแนกได้เป็น 3 สถานการณ์หลัก ดังนี้
1.1 เหตุการณ์ฉุกเฉินต่อระบบผลิตไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วย การเกิดโรงไฟฟ้า Trip เป็นจำนวนมาก และระบบเชื้อเพลิงเกิดขัดข้อง ซึ่งมีผลกระทบต่อความถี่ของระบบไฟฟ้าที่ลดลง การเกิดแรงดันต่ำในบางพื้นที่ ระดับ Spinning Reserve ของประเทศอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ การเกิดไฟฟ้าดับในบางพื้นที่ รวมทั้ง ยังมีผลกระทบต่อต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นจากการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าด้วยน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลเพื่อทดแทนปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ขาดหายไป
1.2 เหตุการณ์ฉุกเฉินต่อระบบสายส่งไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วย การเกิดเสาส่งไฟฟ้าล้มจากการโจรกรรม และการเกิดสายส่งไฟฟ้า Trip หลายวงจร ส่งผลให้สภาพระบบการจ่ายไฟฟ้ามีความมั่นคงต่ำ ความถี่ของระบบไฟฟ้าที่ลดลง การเกิด Partial Blackout ในพื้นที่ระบบโซนตะวันออกเฉียงเหนือ และการเกิดไฟฟ้าดับในบางพื้นที่
1.3 เหตุการณ์ฉุกเฉินต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น การเกิดระเบิดอุปกรณ์ในห้อง UPS ของศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าแห่งชาติ (National Control Center: NCC) การเกิดระเบิดและไฟไหม้หม้อแปลงสถานีไฟฟ้า Breaker และใบมีดเกิด Flash over ทั้ง 3 เฟส เป็นต้น ซึ่งส่งผลทำให้ NCC ขาดการควบคุมระบบ และการเกิดไฟฟ้าดับที่สถานีไฟฟ้าได้ สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้นกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะมีสาเหตุมาจากระบบการผลิตของ กฟผ. ไม่เพียงพอ การเกิดภัยพิบัติ การก่อวินาศกรรม การลอบวางระเบิดต่อเสาไฟฟ้า และหม้อแปลงระบบจำหน่าย ซึ่งส่งผลให้เกิดระบบไฟฟ้าขัดข้องทำให้เกิดไฟฟ้าดับ นอกจากนี้ อาจมีสาเหตุมาจากการจลาจลทำให้การดำเนินการแก้ไขระบบไฟฟ้ากลับสู่สภาวะปกติใช้เวลานาน
2. แผนปฏิบัติงานเพื่อรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้าของการไฟฟ้าในปัจจุบัน การดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้มีการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงขององค์กรแผนปฏิบัติการกรณีเหตุการณ์ไม่ปกติหรือฉุกเฉิน และแผนการสื่อสารองค์กร เพื่อใช้ในการบริหารธุรกิจด้านไฟฟ้าให้มีความต่อเนื่อง เพียงพอ และป้องกันความเสียหายและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับระบบผลิต ระบบสายส่งไฟฟ้า ระบบจำหน่ายไฟฟ้า และผู้ใช้ไฟฟ้าไว้แล้ว ดังนี้
2.1 แผนบริหารความเสี่ยงองค์กร: การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงขององค์กร ไว้ดังนี้
กฟผ. | แผนการบริหารจัดการความเสี่ยงสายงานรองผู้ว่าการระบบส่ง 2552 ซึ่งได้จัดประเภทความเสี่ยงไว้เป็น 6 ด้าน ประกอบด้วย (1) ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์และการแข่งขัน (2) ความเสี่ยงด้านการเงิน (3) ความเสี่ยงด้านการดำเนินงานด้านระบบส่งและด้านการดำเนินงานทั่วไปซึ่งรวมถึงความเสี่ยงด้านสารสนเทศ (4) ความเสี่ยงด้านบุคลากร (5) ความเสี่ยงด้านชุมชนและสิ่งแวดล้อม และ (6) ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหากความเสี่ยงด้านใดมีความเชื่อมโยงและส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานหรือประเด็นสำคัญทางยุทธศาสตร์ของ กฟผ. จะมีการกำหนดแผนงานรองรับเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงในด้านนั้นๆ |
กฟน. | แผนบริหารความเสี่ยงองค์กรเกี่ยวกับการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในระบบจำหน่ายของ กฟน. ซึ่งจะมีการวิเคราะห์รายการความเสี่ยงออกเป็น 5 รายการ ประกอบด้วย (1) สายอากาศในระบบสายป้อนขาดหรือชำรุด อาจทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน (2) ความเสียหายในระบบจำหน่ายและงานบริการอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติและภัยคุกคามอื่นๆ (3)ความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน อันเนื่องมาจากระบบไฟฟ้าและการบริการล่าช้า ไม่ทันท่วงที (4) การละเมิดทรัพย์สิน กฟน. มีแนวโน้มสูงขึ้น และ (5) อุปกรณ์ไฟฟ้าที่สำคัญชำรุดทำให้ระบบไฟฟ้าขัดข้องและได้มีการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับไว้แล้วรวม 6 แผน |
กฟภ. | การบริหารจัดการเพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมีการตรวจสอบระบบงานสำคัญที่หากเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติขึ้นแล้ว ส่งผลให้ กฟภ. ไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ประกอบด้วย (1) ระบบสายส่ง 115 kV (2) สถานีไฟฟ้า (3) ระบบจำหน่ายไฟฟ้าแรงสูง 22-33 kV และ (4) ระบบจำหน่ายไฟฟ้าแรงต่ำ 400-230 V โดยมีการจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินการเพื่อแก้ไขฟื้นฟู การประเมินผลกระทบต่อธุรกิจ โอกาสการเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ และมีการกำหนดแผนงาน/กิจกรรม ผู้รับผิดชอบ และทรัพยากรที่ใช้ในการดำเนินงาน |
2.2 แผนปฏิบัติการเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน: การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ไว้ดังนี้
กฟผ. |
มีการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อรองรับกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินรวม 9 แผน ดังนี้ 1. คู่มือปฏิบัติการประสานงานด้านการควบคุมระบบไฟฟ้าเรื่อง ข้อปฏิบัติในการขอดับไฟฟ้า 2. แผนนำระบบกลับคืนสู่สภาวะปกติเมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับทั่วประเทศ (Blackout Restoration Plan) ประจำปี 2553 3. แผนรองรับเหตุฉุกเฉินกรณีระบบผลิตหรือระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติขัดข้องปี 2553 4. แผนฉุกเฉินกรณีระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้ามีปัญหาขัดข้องไม่สามารถใช้งานได 5. แผนการอพยพศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าแห่งชาติไปยังศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้าแห่งชาติสำรอง 6. คู่มือแผนฉุกเฉินกรณีเสาส่งไฟฟ้าแรงสูงล้ม 7. คู่มือแผนรองรับเหตุฉุกเฉินน้ำท่วม 8. คู่มือแผนรองรับเหตุฉุกเฉินด้านวินาศกรรม 9. คู่มือแผนรองรับเหตุฉุกเฉินอัคคีภัย |
กฟน. | แผนป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ของ กฟน. |
กฟภ. | แผนปฏิบัติการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกรณีเหตุการณ์ไม่ปกติ |
Demand Response
มาตรการ Demand Response
- Demand Response คืออะไร
การตอบสนองด้านโหลด (Demand Response) คือ การส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟเองจากรูปแบบการใช้ปกติ เพื่อตอบสนองต่อราคาค่าไฟในช่วงเวลาต่างๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุด (Peak Demand) อันจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการสภาวะวิกฤตด้านพลังงานไฟฟ้า และเสริมความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
มาตรการ Demand Response เพื่อลด Peak ในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา
ในช่วงปี 2556-2557
- เดือนเมษายน 2556 ทำการรณรงค์ลดการใช้พลังงานทั่วประเทศ ผ่านการขอความร่วมมือจากภาคอุตสาหกรรมและภาคประชาชน เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตแหล่งก๊าซยานาดา
- 31 ธันวาคม 2556 – 20 มกราคม 2557 ทำการเปิดรับสมัครปริมาณที่สามารถลดความต้องการใช้ไฟฟ้าโดยสมัครใจมีเป้าหมาย 200 MW ดำเนินการได้จริง 70 MW เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตแหล่งก๊าซยานาดา
- เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม 2557 ทำการรณรงค์ลดการใช้พลังงานพื้นที่ภาคใต้ ผ่านการขอความร่วมมือจากภาคอุตสาหกรรมและภาคประชาชน เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตแหล่งก๊าซ JDA
- 13 มิถุนายน – 10 กรกฎาคม 2557 ทำการเปิดรับสมัครปริมาณที่สามารถลดความต้องการใช้ไฟฟ้าโดยมีค่าชดเชยการลดการใช้ไฟฟ้า (Rebate) มีเป้าหมาย 247 MW ดำเนินการได้จริง 48 MW เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตแหล่งก๊าซ JDA
ในช่วงปี 2558
- 10 – 27 เมษายน 2558 ทำการเปิดรับสมัครปริมาณที่สามารถลดความต้องการใช้ไฟฟ้าโดยมีค่าชดเชยการลดการใช้ไฟฟ้า (Rebate) มีเป้าหมาย 676 MW ดำเนินการได้จริง 560 MW เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตแหล่งก๊าซยานาดา
- 21 – 25 กรกฎาคม 2558 ทำการเปิดรับสมัครปริมาณที่สามารถลดความต้องการใช้ไฟฟ้าโดยมีค่าชดเชยการลดการใช้ไฟฟ้า (Rebate) มีเป้าหมาย 53 MW ดำเนินการได้จริง 25 MW เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตแหล่งก๊าซ JDA
- 21 – 25 กรกฎาคม 2558 เปิดรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมจากกำลังผลิตส่วนเหลือของ VSPP ที่ใช้เชื้อเพลิงพลังงานหมุนเวียนในพื้นที่ภาคใต้ ในช่วงเวลา 18.30 -21.30 น. โดยให้อัตรารับซื้อตามอัตราค่าไฟฟ้าขายส่งรวมค่า Ft ขายส่งเฉลี่ย (ไม่ได้รับค่า Adder) โดยดำเนินการได้จริงจำนวน 19,011 หน่วย เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตแหล่งก๊าซ JDA
ประเภทของ Demand Response
สามารถแบ่งประเภทของ DR ตามลักษณะกลไกการตอบสนอง แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่
1. มาตรการตอบสนองด้านโหลดต่อความน่าเชื่อถือของระบบ (Reliability-based Options)
เป็นรูปแบบการตอบสนองด้านโหลดต่อช่วงเวลาที่ความน่าเชื่อถือของระบบไฟฟ้าต่ำ เหตุการณ์ผิดปกติ หรือเหตุฉุกเฉิน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า โดยอาจมีการกำหนดค่าตอบแทนที่เหมาะสมให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าที่เข้าร่วมดำเนินการ ได้แก่
- มาตรการควบคุมโหลดโดยตรง (Direct Load Control)
- มาตรการเชื่อมต่อผ่านระบบจัดการควบคุมโหลดผ่านระบบจัดการ (AutoDR to EMS)
- มาตรการอัตราค่าไฟฟ้าที่สามารถงดจ่ายไฟฟ้าได้ (Curtailable/Interruptible Tariff)
- มาตรการตอบสนองแบบฉุกเฉิน (Emergency Demand Response Program)
- มาตรการประมูลหรือซื้อคืน (Demand Bidding/Buyback Program)
- มาตรการตลาดกำลังไฟฟ้า (Capacity Market Program)
- มาตรการเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง (Standby Generator)
- มาตรการระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage)
- มาตรการกำลังผลิตเสริมความมั่นคง (Ancillary Service)
2. มาตรการตอบสนองด้านโหลดต่อกลไกราคา (Price-based Options)
เป็นรูปแบบการตอบสนองด้านโหลดโดยใช้กลไกราคา ตั้งราคาค่าไฟฟ้าให้มีราคาสูงในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง หรือช่วงที่มีความเสี่ยงต่อที่จะเกิดเหตุการณ์ผิดปกติในระบบไฟฟ้า เพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้าลดการใช้ไฟฟ้า หรือหลีกเลี่ยงไปใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาอื่นที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าต่ำ ซึ่งมีราคาค่าไฟฟ้าถูกกว่า ได้แก่
- มาตรการอัตราค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาการใช้ (Time of Use Rates)
- มาตรการอัตราค่าไฟฟ้าช่วงวิกฤต (Critical Peak Pricing)
- มาตรการอัตราค่าไฟฟ้าส่วนลดช่วงวิกฤต (Peak Time Rebate)
- มาตรการอัตราค่าไฟฟ้า ณ เวลาปัจจุบัน (Real Time Pricing)
การดำเนินมาตรการ Demand Response เพิ่มเติมในอนาคต
ปัจจุบันกระทรวงพลังงานได้มีการจัดทำการวิจัยและนำร่องมาตรการควบคุมโหลดโดยตรง (Direct Load Control) และมาตรการเชื่อมต่อผ่านระบบจัดการควบคุมโหลดผ่านระบบจัดการ (AutoDR to EMS) ซึ่งจะทำให้การควบคุมการใช้ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถลดการก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ดียิ่งขึ้น โดยได้ดำเนินการนำร่องในภาคอุตสาหกรรม ภาคอาคารธุรกิจและภาคบ้านอยู่อาศัย เช่น โครงการ DR ในภาคบ้านอยู่อาศัย นำร่อง 100 หลัง (DR100) โดย คณะวิศวฯ จุฬาฯ เป็นต้น